แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิตและงาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิตและงาน แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมื่อผมได้รับคำขอโทษเป็นคำกลอน

วันนี้ขอใช้บล็อกทำหน้าที่ของมันด้วยการทำหน้าที่เป็นไดอารี่ออนไลน์สักวันแล้วกันนะครับ จากการสอนหนังสือมากว่า 20 ปี ผมได้รับคำขอโทษจากนักศึกษามากมายในความผิดพลาดที่เขาได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่งงานช้า ทำงานไม่เสร็จ หรืออีกหลายสาเหตุ นักศึกษาที่มาขอโทษส่วนใหญ่ก็จะมาหามาพูดคุยกัน ถัดมาก็ใช้อีเมล หรือตอนนี้บางคนก็ใช้ส่งข้อความผ่านทาง Facebook Messenger หรือ Line แต่ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดสิ่งที่ผมได้รับก็จะเป็นคำพูดที่เป็นร้อยแก้วธรรมดาครับ แต่วันนี้ผมได้รับคำขอโทษผ่านทางอีเมลเป็นกลอนครับ เขาเขียนมาขอโทษที่เขาส่งงานช้า ไม่สามารถนำเสนอในเวลาที่กำหนดได้ และงานไม่ค่อยดี และอธิบายถึงเหตุผล ลองอ่านกลอนของเขาดูครับ

ประนมมือ ทั้งสอง ก้มลงกราบ
เพราะหนูทราบ ความผิด อันมหันต์
ความผิดที่ ทำงาน ส่งไม่ทัน
แม้นผลัดวัน มากี่ครั้ง ยังละเลย
อาจารย์คะ พวกหนู มาขอโทษ
อย่าได้โกรธ โปรดเถิด อย่าวางเฉย
กลับมาดี ต่อกัน เหมือนอย่างเคย
แย้มยิ้มเปรย โปรยให้หนู เหมือนวันวาน
มีเรื่องหนึ่ง หนูอยากขอ สารภาพ
อยากจะกราบ เรียนบอก อย่างฉะฉาน
พวกหนูนั้น ไม่ได้เที่ยว เริงสำราญ
และปล่อยกาล เวลา ล่วงเลยไป
แต่เป็นเพราะ งานอื่น ที่มีมาก
พวกหนูอยาก เรียนบอกให้ คลายสงสัย
งานอาจารย์ มิได้ด้อย กว่าใครใคร
หนูใส่ใจ ในงาน ทุกวิชา
เพราะเวลา ที่มีอยู่ มันจำกัด
หากจะมัด งานรวมไว้ คงจะหนา
จึงทำการ แตกงาน ตามวิชา
แบ่งเวลา จัดไว้ อย่างลงตัว
แต่ปัจจัย รอบข้าง ไม่ช่วยเอื้อ
ทั้งยังเผื่อ แผ่ความมืด อันสลัว
มอบแต่สิ่ง ที่ทำ ให้หนูกลัว
เหมือนว่าตัว ปีศาจ มาเดินตาม
ถึงแม้ว่า งานของหนู จะดูขาด
ดูแล้วปราศ จากบีน น่าเกรงขาม
แต่หนูก็ มีของแทน ที่งดงาม
อย่าห้ามปราม โปรดรับไว้ แต่โดยดี
อาจารย์ขา หนูมา ขอโอกาส
จะไม่พลาด ซ้ากันให้ ไร้ศักดิ์ศรี
จะมุ่งทำ แต่คุณ งามความดี
โอกาสนี้ จะถนอม ดั่งดวงใจ
กลอนบทนี้ หวังใจว่า คงจะชอบ
คงจะมอบ ความสุข ความสดใส
ให้อาจารย์ แย้มยิ้มยิ่ง กว่าวันใด
ด้วยรักใน อาจารย์ ศรัณย์เอย....

เป็นไงบ้างครับ เขาแต่งได้ดีทีเดียวว่าไหมครับ ผมอ่านแล้วก็ประหลาดใจและอดขำไม่ได้ แล้วก็คิดว่าเออเนอะใครว่าคนเรียนทางคอมพิวเตอร์จะเป็นคนแห้งแล้ง ไม่มีสุนทรียะในหัวใจ ดูจากกลอนนี้นี่ไม่จริงเลย

จากนั้้นผมก็ลองไล่ตรวจงานของเขาดู ซึ่งก็ไม่ค่อยดีอย่างที่เขาสารภาพไว้แหละครับ และแน่นอนผมก็ต้องตอบกลับงานของเขาไป และไหน ๆ เขาก็จัดเต็มเป็นกลอนมาแล้ว ผมก็คิดว่าคงต้องปลุกวิญญาณศิลปินในตัวตอบกลับไปซะหน่อย ก็เลยแต่งกลอนตอบเขาไปดังนี้ครับ

อ่านกลอนแล้วต้องกลั้นใจ ก่อนไปตรวจ
เมื่อได้ตรวจยิ่งปวดใจ เหมือนไข้ถาม
พวกเธอนี้ทำอะไร ไม่อยากตาม
โปรแกรมงามทำอะไร หรือพวกเธอ
ดูเหมือนว่ามีแต่พิมพ์ ผลลัพธ์ออก
ตัดสต๊อกตรวจบัญชี ตรงไหนหรือ
ส่งให้บีนแล้วบีนทำ อะไรฤา
หรือเพียงแต่พิมพ์ซื่อซื่อ บื้อออกมา
เข้าใจว่ามีงานมาก ยากจะเสร็จ
แต่เด็ดเด็ดมีให้ได้ แค่นี้หรือ
ทำไมเพื่อนทำกันได้ สบายมือ
หรือเขาถืออุปกรณ์ วิเศษใด
เอาเวลาที่แต่งกลอน ไปถามเพื่อน
เผื่อจะช่วยเพิ่มความรู้ ดีกว่าไหม
ขอโปรแกรมเขามาลอง ไล่ดูไป
เพื่อจะได้แก้สงสัย หายงวยงง
ถึงตอนนี้ขอบอกว่า ไม่ได้โกรธ
อาจารย์โหดต้องทำใจ ให้วางเฉย
ขอเตือนให้ทุกคนไป ทบทวนเลย
อย่าทำเฉยปล่อยจนแย่ แพ้ตัวเอง


รู้สึกว่าแต่งสู้พวกเขาไม่ได้นะครับ แต่ก็พอได้ใจความที่ต้องการจะสื่อกับเขาแล้วนะครับ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องสนุก ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ

สุดท้ายอันนี้ส่วนตัวหน่อย ขอสื่อถึงนักศึกษากลุ่มนี้ที่เข้ามาอ่านนะครับว่า อาจารย์ไม่ได้โกรธอะไรนะ แต่คะแนนก็ได้ตามผลงานที่ทำมานะครับ...




วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขอเล่นบ้าง โจทย์ปัญหาวันนี้คือวันอะไร?

จากโจทย์ปัญหายอดฮิตในไทยในช่วงเวลานี้ (จริง ๆมันฮิตในโลกมาได้สักปีหนึ่งแล้ว) ที่ว่าอยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวานจังวันนี้จะได้เป็นวันศุกร์ และก็มีคนพยายามเฉลยมาหลายวิธี ซึ่งบางวิธีก็ดูซับซ้อนเข้าใจยาก วันนี้ผมจะลองเสนอวิธีของผมบ้างนะครับ ซึ่งจะใช้วิธีแก้สมการง่าย ๆ ก็หวังว่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น (มั้ง)ครับ

ผมจะกำหนดให้วัน
จ.  = 1  อ. = 2 พ. = 3  พฤ. = 4  ศ. = 5  ส. = 6 และ อา. = 7

กำหนดให้วันนี้เป็น x  จากโจทย์ที่บอกว่า  อยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวานจังวันนี้จะได้เป็นวันศุกร์  ตีความได้ว่าต้องการย้อนเวลาถอยหลังกลับไปสองวัน เพื่อให้วันนี้กลายเป็นวันศุกร์ ดังนั้นตั้งสมการได้ว่า

 x - 2 = 5 (หมายเหตุวันศุกร์ คือ 5 ตามที่กำหนดไว้) ดังนั้นเมื่อแก้สมการนี้จะได้ว่า x = 7 ซึ่งคือวันอาทิตย์

อย่างไรก็ตามโจทย์นี้ถ้าเขียนใหม่ว่า อยากให้เมื่อวานนี้เป็นวันพรุ่งนี้จังวันนี้จะได้เป็นวันศุกร์ ถ้าตีความตามนี้จะได้ว่าต้องการให้เวลาเดินหน้าไปสองวันเพื่อให้วันนี้เป็นวันศุกร์ ดังนั้นจะตั้งสมการได้ว่า
x + 2 = 5 ซึ่งเมื่อแก้สมการแล้วจะได้ว่า x = 3 ซึ่งคือวันพุธ

เป็นยังไงครับ พอเข้าใจกันบ้างไหมครับ หรือยิ่งงงหนักเข้าไปอีก ...

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เมืองที่มีการจราจรแย่และดีเป็นอันดับหนึ่งของโลก

ถ้าถามถึงเมืองที่มีการจราจรหนักหนาสาหัสและน่าจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ผมคิดว่าพวกเราหลายคนคงจะนึกถึงกรุงเทพเมืองฟ้าอมรของเราใช่ไหมครับ เพราะดูเหมือนว่าไม่ว่าจะออกจากบ้านตอนไหนรถก็ติดไปหมด ที่ที่แต่ก่อนไม่เคยติดเดี๋ยวนี้ก็เริ่มติด แต่จากการคำนวณโดยใช้ดัชนี Castrol's Magnatec Stop-Start ซึ่งใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาจากผู้ใช้เครื่องนำทาง Tom Tom โดยข้อมูลที่เขานำมาคือการหยุดและการเคลื่อนที่ของรถ (นี่คือที่มาของคำว่า stop-start) ในระยะทาง 1 กิโลเมตร จากนั้นนำค่านี้มาคูณกับระยะทางเฉลี่ยที่รถวิ่งได้ในหนึ่งปี ซึ่งต่อไปผมจะขอเรียกดัชนีนี้ว่าดัชนีกระตึกกระตักแล้วกันนะครับ โดยเขาเก็บข้อมูลจากทั้งหมด 78 ประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเมืองที่มีการจราจรแย่ที่สุดในโลกได้แก่... กรุงจาร์การ์ตาประเทศอินโดนีเซียครับ โดยมีดัชนีกระตึกกระตักอยู่ที่ 33,240 นั่นคืออัตราการหยุดแล้วก็เคลื่อนต่ออยู่ที่ 33,240 ครั้งต่อปี ดีใจใช่ไหมครับที่ไม่ใช่กรุงเทพ แต่สำหรับคนที่ชอบให้เราอยู่ในอันดับการจัดทุกครั้งก็ไม่ต้องเสียใจไปนะครับ เพราะกรุงเทพของเราก็ติดหนึ่งใน 10 ครับ โดยอยู่ที่อันดับ 8 โดยมีดัชนีกระตึกกระตักอยู่ที่ 27,480 ครับ สำหรับ 10 อันดับของเมืองที่มีการจราจรแย่ที่สุดในโลกก็ตามนี้ครับ

  1. จาร์การ์ตา อินโดนีเซีย: 33,240
  2. อิสตันบูล ตุรกี: 32,520
  3. กรุงเม็กซิโก เม็กซิโก: 30,840
  4. สุราบายา อินโดนีเซีย: 29,880
  5. เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย: 29,040
  6. มอสโคว์ รัสเซีย: 28,680
  7. โรม อิตาลี: 28,680
  8. กรุงเทพ ไทย: 27,480
  9. กัวดาลาจารา เม็กซิโก: 24,480
  10. บัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา: 23,760

เห็นอย่างนี้แล้วต่อไปตอนเจอรถติดก็ให้นึกซะนะครับว่ายังมีเมืองที่แย่กว่าเราอยู่อีกเจ็ดเมือง เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น ยิ่งกรุงเทพตอนนี้มีโครงการเปิดไฟเขียวผ่านตลอดอะไรสักอย่างนี่ อาจจะดีขึ้นก็ได้นะครับ ใครมีข้อมูลว่ามันดีขึ้นไหมก็มาแบ่งปันกันได้นะครับ

ส่วนเมืองที่มีการจราจรคล่องตัวที่สุด 10 อันดับแรกก็มีดังนี้ครับ


  1. แทมเปอร์ (Tampere) ฟินแลนด์: 6,240
  2. รอตต์เตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์: 6,360
  3. บลาติสสลาวา สโลวาเกีย: 6,840
  4. อาบูดาบี สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์: 6,840
  5. บริสเบน ออสเตรเลีย: 6,960
  6. Antwerp เบลเยียม: 7,080
  7. ปอร์โต โปรตุเกส: 7,200
  8. Brno สาธารณรัฐเชค: 7,320
  9. โคเปนเฮเกน เด็นมาร์ค: 7,440
  10. Kosice สโลวาเกีย: 7,440 

ดัชนีกระตึกกระตักของเมืองเหล่านี้นี่ยังไม่ถึง 8,000 เลยนะครับ เทียบกับสิบอันดับบนแล้วต่างกันราวฟ้าดิน แต่อย่าไปอิจฉาเขาเลยครับ ผู้คนในเมืองเหล่านี้จะไม่มีประสบการณ์ที่น่าตื่นใจ อย่างอั้นอุจาระปัสสาวะ หรือต้องใช้คอมฟอร์ต 100 เพื่อขับถ่ายในรถเหมือนคนกรุงเทพแน่นอน นับว่าชีวิตขาดสีสันว่าไหมครับ...

ที่มา: THE WORST TRAFFIC IN THE WORLD IS IN... 

วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความแตกฉานสี่ด้านที่เราพึงมี

อยากเขียนบล็อกมาเป็นเดือนแล้วแต่ไม่ว่างเลย แต่จะปีใหม่ทั้งทีก็คงต้องเขียนสักหน่อยนะครับ ถึงแม้เพื่อน ๆ ผู้ติดตามอาจจะหายไปหมดแล้วเพราะไม่ได้เขียนมาสักครึ่งปีได้ ปีใหม่นี้จะพยายามเขียนให้บ่อยขึ้นครับ เป็นปณิธานข้อหนึ่งเลยแล้วกัน

บล็อกต้อนรับปีใหม่นี้ก็ขอเป็นทางธรรมะหน่อยแล้วกันนะครับ และผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเราโดยเฉพาะกับครูและนักเรียนครับ เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้ได้มาจากหนังสือเรียนพุทธศาสนาของลูกคนเล็กครับ คือเขาจะสอบแล้วผมก็ช่วยติวก็เลยได้รู้เรื่องและเห็นว่าน่าสนใจดี และน่าจะเป็นประโยชน์ก็เลยนำมาถ่ายทอดต่อให้ฟังกันครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธสาวิกาซึ่งก็คือพระอริยบุคคลฝ่ายหญิงซึ่งยังทันได้พบกับพระพุทธองค์ พุทธสาวิกาคนนี้คือพระเขมาเถรีครับ

บอกตามตรงว่าก่อนหน้าที่จะช่วยติวลูกนี้ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยครับ และคิดว่าพวกเราหลายคนก็อาจไม่รู้จักนะครับ ก็เลยขอเล่าประวัติให้ฟังคร่าว ๆ ก่อนแล้วกันครับ ส่วนใครที่รู้จักอยู่แล้วก็ทนอ่านนิดหนึ่งแล้วกันนะครับ พระเขมาเถรีนี้ก่อนจะออกบวชมีนามว่าพระนางเขมาเทวีซึ่งเป็นพระมเหสีผู้เลอโฉมของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารนี้พวกเราอาจจะทราบดีว่าเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง และพระองค์ก็ต้องการให้พระมเหสีได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แต่พระนางเขมาเทวีไม่ยอมไปฟังครับ เพราะพระนางได้รับฟังมาว่าพระพุทธเจ้ามักจะทรงสั่งสอนเกี่ยวกับโทษของร่างกายก็เลยไม่ยอมไปฟัง แต่สุดท้ายพระเจ้าพิมพิสารก็ออกอุบายให้ไปฟังจนได้ครับ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรมให้เห็นถึงว่าร่างกายเป็นของไม่เที่ยงจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ซึ่งพระนางเขมาเทวีพอได้ฟังแล้วก็เลิกยึดติดกับความงามและบรรลุโสดาบัน จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมต่อจนพระนางตัดกิเลสได้จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ซึ่งตามที่หนังสือบอกไว้คนธรรมดาที่สำเร็จอรหันต์จะต้องออกบวชมิฉะนั้นจะต้องนิพพานใน 7 วันครับ ดังนั้นพระเจ้าพิมพิสารจึงต้องให้พระนางออกบวชครับ (ถ้าผมเป็นพระเจ้าพิมพิสารผมอาจคิดว่าไม่น่าหาเรื่องเลยตู ซวยเลยต้องเสียภรรยาแสนสวยไปคนหนึ่ง :) )

เมื่อพระนางออกบวชแล้วก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉานครับ และได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าให้เป็นพระอัครสาวิกาเบื้องขวาครับ โดยพระนางได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นภิกษุณีที่เป็นเลิศทางปัญญา ซึ่งพระนางมีความแตกฉานในสี่ด้าน ซึ่งผมคิดว่าเป็นสี่ด้านที่พวกเราโดยเฉพาะที่เป็นครูและนักเรียนควรจะมีครับ มาดูกันครับว่าสี่ด้านที่ว่ามีอะไรบ้าง


  1.   ความแตกฉานในความหมาย ในข้อนี้หมายความว่าพระนางเพียงเห็นหัวข้อธรรม ก็สามารถอธิบายได้โดยละเอียด ดังนั้นนักเรียนทั้งหลายถ้าสามารถเรียนหนังสือจนสามารถทำแบบนี้ได้ ย่อมจะเรียนหนังสือได้ดีจริงไหมครับ ส่วนครูอาจารย์ถ้าทำแบบนี้ได้ก็แสดงว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาที่ตัวเองสอน
  2. ความแตกฉานในหลักการ ข้อนี้หมายความว่าเมื่อได้รับฟังรายละเอียดของเรื่องราวใดก็สามารถจับใจความหรือตั้งเป็นหัวข้อได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็คือการจับประเด็นนั่นเอง ดังนั้นนักเรียนหรือใครก็ตามที่ฟังบรรยายแล้ว และสามารถจับใจความสำคัญได้นั่นก็แสดงว่าเข้าใจในหลักการที่ผู้บรรยายต้องการนำเสนอ ส่วนครูอาจารย์โดยเฉพาะที่คุมงานวิจัย ถ้ามีความแตกฉานในข้อนี้ก็จะสามารถบอกถึงหลักการที่นักศึกษานำเสนอ และสามารถให้ความเห็นได้ว่ามีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร
  3. ความแตกฉานในภาษา อันนี้ก็หมายความว่าสามารถอธิบายคำศัพท์ หรือคำบัญญัติให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ซึ่งอันนี้ก็คงจะตรงกับที่ไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าคุณอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ไม่ได้ นั่นคือคุณไม่เข้าใจเรื่องนั้นดีพอ
  4. ความแตกฉานในปฏิภาณ อันนี้ก็คือความมีไหวพริบสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม นักเรียนที่เรียนภาคทฤษฎีมาแล้วและไม่สามารถนำมาประบุกต์ได้ก็อาจทำข้อสอบไม่ได้ อาจารย์ที่ดีก็ควรจะมีความสามารถในการยกตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบให้นักศึกษาเห็นภาพได้
นี่คือสี่ข้อที่พระเขมาเถรีมีครับ ทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เป็นเลิศในทางปัญญาอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งผมคิดว่าเป็นประโยชน์ก็เลยเอามาฝากกันเป็นของขวัญปีใหม่ครับ  ส่วนตัวเองผมก็ขอตั้งปณิธานว่าจะพยายามพัฒนาตัวเองให้มีความแตกฉานในสี่ด้านนี้ให้ได้มากที่สุด สวัสดีปีใหม่ 2558 ครับทุกคน...

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

แด่เพื่อนผู้จากไป อาจารย์วีระชัย ตันยะสิทธิ์

ไม่ได้เขียนบล็อกเสียนานเพราะไม่ว่าง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเมื่อมีโอกาสได้เขียนบล็อกจะต้องมาเขียนถึงเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่เพิ่งจากไป จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเค้าลางใด ๆ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อนคนนั้นคนที่ผมพูดถึงคืออ.วีระชัย ตันยะสิทธิ์ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ผมเริ่มเข้ามาทำงานที่นี่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนในฐานะนักเรียนทุนรัฐบาล คนที่ผมรู้จักมาก่อนในตอนนั้นก็มีเพียงอ.วีระ บุญจริง ที่เป็นรุ่นพี่ที่จุฬาเท่านั้น เมื่อผมเข้ามาทำงานผมก็ได้รู้จักกับอ.วีระชัย และผมก็ได้นั่งทำงานห้องเดียวกับอ.วีระชัยมาตลอด การแนะนำตัวของผมที่มีต่อนักศึกษาในแต่ละรุ่นในชั่วโมงแรกของการเรียนก็คือห้องพักของผมก็คือห้องเดียวกับห้องของอ.วีระชัย เพราะไม่มีนักศึกษาที่เรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์คนใดนับจนถึงปัจจุบันนี้จะไม่ได้เรียนกับอ.วีระชัย อ.วีระชัยเป็นคนปูพื้นฐานการเขียนโปรแกรมให้กับนักศึกษาแต่ละรุ่นตั้งแต่ครั้งเรายังใช้ภาษาปาสคาลจนมาถึงภาษาจาวา

อ.วีระชัยเป็นกำลังหลักให้กับภาควิชามาโดยตลอด เพราะคนที่สอนวิชาเขียนโปรแกรมให้กับคนที่ไม่เคยเขียนโปรแกรมมาเลย ก็ทำงานหนักไม่ต่างจากครูที่สอนโรงเรียนอนุบาลที่ต้องสร้างความรู้พื้นฐานให้เด็กเพื่อนำไปใช้ชีวิตต่อไป และอ.วีระชัยก็ยินดีที่จะรับทำหน้าที่นั้นด้วยความเต็มใจถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนอ.ก็ไม่บ่น บอกตามตรงว่าตั้งแต่ทำงานกันมากว่า 20 ปี ผมแทบไม่เคยเห็นอ.วีระชัยจะงดสอน ยกเว้นจะไม่สบายมาสอนไม่ไหวจริง ๆ

ด้วยความที่อ.วีระชัยยินดียอมรับหน้าที่นี้ ทำให้อ.วีระชัยไม่สนใจที่จะไปเรียนต่อที่ไหน ในขณะที่อาจารย์หลาย ๆ ท่าน รวมถึงตัวผมด้วย ก็ยังมีช่วงเวลาที่ลาไปเรียนต่อ ซึ่งช่วงเวลาที่ไปเรียนต่อนั้นอ.วีระชัยนอกจากจะต้องสอนการเขียนโปรแกรมและโครงสร้างข้อมูลซึ่งเป็นวิชาประจำของอาจารย์แล้ว อาจารย์ก็ต้องรับภาระแทนในบางวิชาของอาจารย์ที่ลาเรียนต่อด้วย เรียกว่าอ.วีระชัยคือเสาหลักที่สำคัญที่สุดของภาควิชาเลยก็ว่าได้

นอกจากในแง่การทำงานแล้ว ในแง่ส่วนตัวอ.วีระชัยก็เปรียบได้กับเป็นพี่เลี้ยงให้กับอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่อย่างผม คอยแนะนำเรื่องต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ และบางครั้งก็ยังแนะนำการใช้ชีวิตให้ผมด้วย ผมก็คงเหมือนกับพวกเราหลาย ๆ คนที่บางครั้งก็บ้าทำงาน อยากทำให้เสร็จจนบางครั้งก็ลืมที่จะดูลิมิตของตัวเอง อ.วีระชัยก็จะคอยเตือนว่าใจเย็น ๆ สุขภาพสำคัญนะ พักผ่อนก่อนแล้วกลับมาทำต่อก็ได้ สำหรับผมแล้วอ.วีระชัยเป็นเพื่อนร่วมงานที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่เคยเรียนด้วยกันมา แต่ผมเชื่อว่าอาจารย์มีความปรารถนาดีต่อผมอย่างจริงใจ ผมสามารถเปิดใจคุยกับอาจารย์ได้ทุกเรื่อง โดยสบายใจได้ว่าอาจารย์จะไม่เอาเรื่องที่เราคุยกันไปพูดต่อ หรือไปทำอะไรให้ผมเสียหาย ซึ่งผมคิดว่าพวกเราคงจะหาเพื่อนแบบนี้ได้ยากมากในที่ทำงาน ซึ่งถ้าใครเจอเพื่อนแบบนี้ก็ต้องบอกว่าโชคดีมาก และผมก็เป็นคนหนึ่งที่โชคดีที่ได้รู้จักกับอ.วีระชัย

ผมไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าวันนี้ผมจะไม่มีเพื่อนที่ชื่ออาจารย์วีระชัยแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วนี้เองอาจารย์ยังดูปกติ แข็งแรงทุกอย่าง เรายังพูดคุยกันว่าหลังจากอาจารย์เกษียณแล้ว อย่าหนีหายไปไหน ให้ขับรถเข้ามาคุยกัน ไปหาข้าวกลางวันกินกันเหมือนที่พวกเราทำกันมาตลอด อาจารย์จะเกษียณปี 2558 ซึ่งจากการปรับเทอมรับ AEC ก็เท่ากับว่าอาจารย์จะได้สอนอีกสองเทอม แล้วอาจารย์ก็จะได้พักผ่อนจากหน้าที่อันหนักและสำคัญที่อาจารย์ทำมากว่าสามสิบปี

เรื่องของเรื่องมันไม่น่าจะมีอะไรเลย ผมจำได้ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่อาจารย์บ่นว่าปวดเมื่อยตัว ซึ่งพวกเราก็คิดว่าเป็นอาการธรรมดาอาจจะนั่งหรือนอนผิดท่า จากนั้นมันก็เริ่มหนักขึ้นอาจารย์ขยับตัวไม่ได้  ต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งผมก็ยังไม่ได้ตระหนักอะไรอีกว่ามันจะเลยเถิดมาจนเป็นวันนี้ มันอาจเป็นเพราะอ.วีระชัยเคยป่วยหนักจนเข้าโรงพยาบาลแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้วด้วยโรคไต ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ก็หายออกมาได้ ถึงแม้หลังจากนั้นจะต้องไปฟอกไตสัปดาห์ละสามวันก็ตาม หลังจากอ.วีระชัยออกจากโรงพยาบาลในครั้งนั้น ผมกับอ.วีระก็ชวนอ.วีระชัยไปเดินออกกำลังกายกันที่สนามกีฬาในตอนเย็น ๆ กัน เราสามคนเดินออกกำลังด้วยกันในตอนเย็นมาอย่างนั้นตลอดหลายปี ซึ่งสุขภาพของอาจารย์ก็แข็งแรงมาโดยตลอด จนมาช่วงสองปีหลังนี้ผมกับอาจารย์วีระมีภารกิจมากขึ้นจนเราไม่ค่อยได้ไปเดินออกกำลังกาย แต่อ.วีระชัยก็ยังคงไปเหมือนเดิม ซึ่งผมคิดว่าอาจารย์น่าจะแข็งแรงกว่าผมกับอ.วีระเสียอีก

หนึ่งในสิ่งที่ผมเสียใจที่สุดก็คือ ผมไม่ได้ไปเยี่ยมอ.วีระชัยในตอนที่อาจารย์ยังรู้สึกตัวอยู่ ผมมัวแต่ยุ่งกับนักศึกษาปัญหาพิเศษ เคลียร์งาน และก็ช่วยตรวจข้อสอบที่อ.วีระชัยยังตรวจไม่เสร็จ (ผมกับอ.วีระแบ่งข้อกันตรวจข้อสอบ ส่วนของอ.วีระเรียบร้อยแล้วเหลือส่วนของผม) โดยผมคิดว่าหลังจากเสร็จงานพวกนี้อ.วีระชัยก็จะแข็งแรงขึ้นและใกล้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมก็จะไปนั่งคุยกับอาจารย์ ท้าวความถึงความหลังว่านี่ผมได้ตอบแทนที่อาจารย์เคยช่วยผมแล้วนะ คือตอนที่ผมจะไปเรียนต่อผมต้องเดินทางวันที่ 1 ม.ค. ดังนั้นผมจะต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จรวมถึงตรวจข้อสอบด้วย แต่ปรากฏว่าผมทำไม่เสร็จก่อนวันที่ 30 ธ.ค.​ ซึ่งเป็นวันทำงานวันสุดท้าย ผมนั่งตรวจข้อสอบและตัดเกรดจนเสร็จและเอาไปฝากไว้ที่อ.วีระชัยในคืนวันที่ 30 ธ.ค. ซึ่งดึกมากแล้ว แต่อ.วีระชัยก็นั่งคอยรอรับข้อสอบจากผมอยู่ที่บ้าน ซึ่งผมยังจำภาพที่ผมขับรถเอาข้อสอบไปส่งให้อาจารย์ได้อยู่เลย เหมือนมันเพิ่งเกิด ทั้ง ๆ ที่จริงมันสิบกว่าปีมาแล้ว

ในวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม เวลาประมาณ 11 โมงกว่า ๆ ตอนนั้นผมกำลังตรวจข้อสอบของอ.วีระชัยอยู่ ผมได้รับโทรศัพท์จากอ.วีระ ซึ่งมันทำให้ผมใจหายเพราะผมกับอ.วีระเราติดต่อกันผ่าน Facebook messenger เป็นหลักมานานแล้ว และก็เป็นจริง อ.วีระโทรมาบอกให้ผมรีบไปเยี่ยมอ.วีระชัยให้ทันก่อนที่อาจารย์จะเข้าห้องผ่าตัด ผมก็รีบแต่งตัว แต่วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมาก เป็นวันที่ผมขับรถไปก็แช่งด่าฟ้าฝนไปอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ผมใช้เวลาเดินทางกว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็เกือบบ่ายสอง  อ.วีระชัยเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว ผมกับอ.วีระรออยู่จนอ.วีระชัยออกจากห้องผ่าตัด และนั่นเป็นครั้งแรกหลังจากที่อ.วีระชัยเข้าโรงพยาบาลที่ผมได้เห็นอาจารย์ บอกตามตรงว่าผมใจหายและเริ่มกังวล แต่ก็ยังคิดว่าอาจารย์จะต้องหาย ผมไม่ได้คุยกับอ.วีระชัย เพราะอาจารย์ยังไม่ฟื้นจากผ่าตัด ผมกลับมาบ้านรีบตรวจข้อสอบของอ.วีระชัยต่อ เพื่อที่จะได้ไปบอกอ.วีระชัยว่าข้อสอบตรวจเสร็จแล้วไม่ต้องกังวล ผมตรวจเสร็จวันอาทิตย์ 23 วันจันทร์ที่ 24 เอาไปให้อ.วีระป้อนคะแนนตัดเกรดเรียบร้อย และในวันนั้นเป็นวันที่ผมต้องสอบทั้งปัญหาพิเศษของป.ตรี และหัวข้อวิทยานิพนธ์ของป.เอก กว่าจะเสร็จก็ค่ำ

วันที่ 25 มีนาคม ผมควรจะไปเยี่ยมอ.วีระชัยแต่ก็ไม่ได้ไป เพราะนัดนักศึกษาในที่ปรึกษาของตัวเองให้เอารายงานมาส่ง เวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่า ๆ ขณะที่ผมกำลังตรวจรายงานนักศึกษาอยู่ มีเสียงโทรศัพท์ของอ.วีระดังขึ้น ได้ยินเสียงอ.วีระบ่นพึมพำว่าไม่อยากรับสายนี้เลย ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ตรวจงานนักศึกษาต่อไป สักครู่หนึ่งอ.วีระ เดินมาที่โต๊ะผมแล้วแจ้งข่าวที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด อาจารย์วีระชัยเสียแล้ว ผมกับนักศึกษาสองคนของผม (ซึ่งน่าจะเป็นสองคนแรกที่รู้ข่าวนี้) เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง บอกตามตรงว่าณ.เวลานั้น ผมอยากบอกให้นักศึกษาทั้งสองคนกลับไป ผมไม่อยากทำอะไรแล้ว แต่มาคิดดูอ.วีระชัยคงไม่สบายใจนักถ้าเราจะต้องมาหยุดงานมาเสียงานกันเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นเราจึงพยายามทำหน้าที่ของเราจนจบ

หลังจากนั้นผมเริ่มเขียนสเตตัสเพื่อแจ้งข่าวนี้บน Facebook แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีนักศึกษาและเพื่อนอาจารย์หลายคนที่รู้ข่าวนี้กันบ้างแล้ว จากนั้นแทบทั้งไทม์ไลน์ก็เต็มไปด้วยข้อความแสดงความอาลัยที่ทางภาค(สาขา)วิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้สูญเสียบุคคลากรที่เป็นเสาหลักของภาควิชามาตั้งแต่เริ่มต้น เป็นครูที่แท้จริง ทุ่มเท เสียสละ เป็นราวกับพ่อคนที่สองของนักศึกษา

สุดท้ายนี้ผมคงต้องบอกกับอาจารย์วีระชัยว่าขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้กับภาค และประเทศชาติ ด้วยการทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพออกไปเป็นกำลังของประเทศ ขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อนเป็นพี่ที่ได้มอบให้กันมากว่า 20 ปี สิ่งที่อ.วีระชัยได้ทำไว้ มันได้ส่งให้เห็นผลแล้วครับ นักศึกษาที่อาจารย์ได้สั่งสอนไปวันนี้พวกเขาเติบใหญ่ มีการงานที่มั่นคง พวกเขารักอาจารย์ และได้กลับมาร่วมส่งอาจารย์เดินทางกันอย่างคับคั่ง เรื่องนักศึกษาที่อาจารย์อาจเป็นห่วงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่เรียนกับอาจารย์ในเทอมนี้ นักศึกษาที่ตกค้าง นักศึกษาในที่ปรึกษาของอาจารย์ พวกเราอาจารย์ที่อยู่กันตอนนี้ช่วยกันดูแลจัดการกันเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องกังวลอะไร ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอให้เราได้มาเป็นเพื่อนกันแบบนี้อีกนะครับ พักผ่อนให้สบายนะครับอ.วี ...  

วันพุธที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เริ่มต้นที่ตัวเราเปลี่ยนความคิดเพื่อพ่อหลวงของเรา

ในวาระที่วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านได้เวียนมาครบอีกวาระหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพร ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปชั่วกาลนาน และข้าพระพุทธเจ้าขอปฏิญาณว่าข้าพระพุทธเจ้าจะทำความดีถวายแด่พระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองที่ดีเคารพกฏหมายของบ้านเมือง และจะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าให้ดีที่สุด ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

เวลาปีหนึ่งเร็วมากครับ วันพ่อเวียนมาถึงอีกแล้วดูเหมือนเพิ่งเขียนบล็อกวันพ่อไปไม่นานนี้เอง แต่อาจเป็นไปได้ครับว่าหลัง ๆ มานี้ผมแทบไม่ได้เขียนบล็อกเลยก็เลยทำให้มันดูเหมือนเร็ว ปีนี้ประเทศเรามีปัญหากันอีกแล้ว ด้วยเรื่องเดิม ๆ ที่ย้อนกลับมาอีกและคงจะเป็นเช่นนี้ไม่รู้จักจบสิ้นถ้าเรายังยึดติดกันด้วยกรอบความคิดเดิม ๆ  แต่ด้วยพระบารมีในวันสำคัญนี้ที่ทำให้ประชาชนรวมใจกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง พักวางทุกอย่างลงและร่วมฉลองวันสำคัญนี้ ซึ่งก็คงไม่มีที่ไหนเหมือนในประเทศเราอีกแล้ว

สิ่งที่ผมอยากจะนำเสนอให้เราคิดในวันนี้เพื่อพ่อหลวงของเราก็คือ เรื่องการเมืองก็คือการเมืองความคิดก็คือความคิด แต่ละคนคงไปห้ามความคิดความเชื่อของใครไม่ได้ แต่สิ่งที่ผมอยากให้พวกเราไม่ว่าฝ่ายไหนก็ตามทำก็คือ อย่าได้ดึงพระองค์ท่านลงมาเกี่ยวข้องเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ฝ่ายตน มันจำเป็นด้วยหรือว่าฝ่ายที่ชอบทักษิณทุกคนจะต้องไม่รักในหลวง และจริงหรือที่คนที่ออกมาต่อต้านทักษิณทุกคนรักในหลวง คนที่ออกไปประท้วงกันอยู่ตอนนี้เป็นคนที่รักสถาบันกษัตริย์ คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคือไม่ปกป้อง ถ้าเราติดอยู่กับกรอบคิดแบบนี้มันจะทำให้เราอาจใช้ความรุนแรงต่อกัน และลองคิดดูนะครับว่าข้อหาไม่จงรักภักดีนี่มันเป็นข้อหาที่รุนแรงสำหรับคนไทยที่จงรักภักดีทุกคนนะครับ

อีกอย่างผมว่าในยุคปัจจุบันนี้เมื่อโลกมันเปลี่ยนไป เราก็ควรจะยอมรับความคิดเห็นที่ต่างกันมากขึ้น เราไม่ควรจะออกปากขับไล่คนที่เห็นต่างจากเราออกไป ผมว่าในหลวงท่านไม่อยากให้เราทำอย่างนั้นหรอกนะครับ ไม่มีพ่อคนไหนหรอกนะครับที่อยากจะไล่ลูกออกจากบ้าน ถึงแม้ลูกจะไม่รักก็ตาม ผมเคยเขียนลงในบล็อกบ้างแล้วว่าผมไม่เข้าใจคนที่ไม่รักในหลวงเหมือนกันว่าทำไม ด้วยสิ่งที่พระองค์ทำให้เรา ทำให้ประเทศเรารอดพ้นวิกฤตมานับครั้งไม่ถ้วนเพราะพระองค์เป็นศูนย์รวมให้คนไทยรวมใจเป็นหนึ่งอย่างที่เป็นอยู่อย่างวันนี้แหละ คนต่างชาติยังเห็นทำไมคนเหล่านี้ถึงไม่เห็น แต่ถ้าถามว่าระหว่างคนที่ปากบอกว่ารักสถาบันรักในหลวงแต่มีพฤติกรรมคดโกง กับคนที่บอกไม่รักในหลวงแต่ทำงานตรงไปตรงมาซื่อสัตย์ คนแบบไหนที่เราควรจะยกย่อง เราคิดว่าในหลวงท่านจะมีความสุขหรือครับที่เราเลือกที่จะไม่ทำหน้าที่ของเราให้กับคนบางคนที่เรารู้ว่าไม่รักท่าน

ในวันพ่อปีนี้ก็อยากจะฝากไว้แค่นี้แหละครับ เริ่มที่ตัวเรากำจัดอคติออกไป เปิดใจให้มากขึ้น แลกเปลี่ยนความเห็นกับคนที่เห็นต่างอย่างมิตร ถ้าทำได้ประเทศของเราก็อาจจะกลับมามีความสุขสงบมากขึ้น และนี่น่าจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะถวายให้กับพ่อหลวงของเราครับ...

วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าจากงานสัมมนา

ในช่วงปิดเทอมพอจะมีเวลาว่างบ้าง ก็เลยไปร่วมสัมมนาวิชาการสักหน่อยครับ จริง ๆ หลาย ๆ งานก็นำมาประกาศเชิญชวนบนเฟซบุ๊คของตัวเองนะครับ แต่พอไปในงานไม่เจอนักศึกษาของตัวเองเลยสักคน :( วันนี้พอมีเวลาว่างก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันสักหน่อย เริ่มจากงานแรกก็คือ PRAGMA Cloud Computing and Software-Defined Networking (SDN) Technology Workshop งานนี้จัดที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระหว่างวันที่ 20-22 มีนาคม 2556 ครับ ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมฟังสัมมนาวันแรกซึ่งในช่วงแรกก็เป็นการปูพื้นคลาวด์คอมพิวติงทั่ว ๆ ไปว่าคืออะไร ในส่วนหลังก็จะเน้นไปที่ตัวอย่างของการติดตั้งคลาวด์คอมพิวติง ซึ่งก็จะลงไปในแง่ของสถาปัตยกรรมซึ่งไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมมากนัก ดังนั้นก็ขอสรุปสิ่งที่คิดว่าพอจะเป็นประเด็นที่น่าสนใจและยังพอจำได้มาให้ฟังกันสักสองสามเรื่องดังนี้ครับ

 1. ประเด็นหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ยังมีความเป็นกังวลเกี่ยวกับคลาวด์คอมพิวติงก็คือเรื่องของความมั่นคง (security) คือต้องแยกเป็นสองประเด็นนะครับ ข้อมูลที่อยู่บนคลาวด์ในแง่หนึ่งก็จะมีความมั่นคงในแง่ที่บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ส่วนใหญ่ก็จะสำรองข้อมูลไว้ให้เราอยู่ระดับหนึ่ง แต่ความกังวลด้านความมั่นคงจะเกี่ยวกับข้อมูลที่มีความอ่อนไหว หรือเป็นเรื่องลับ การที่เราจะฝากข้อมูลดังกล่าวไว้ให้กับผู้ให้บริการก็อาจไม่ปลอดภัยได้

2. ประเด็นเรื่องการเขียนงบประมาณการใช้งานคลาวด์ครับ อันนี้ผมว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับประเทศเราที่น่าจะเตรียมตัวไว้นะครับ เพราะแม้แต่ประเทศต้นกำเนิดอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังมีปัญหาครับ คือวิทยากรเล่าให้ฟังว่าเขามีปัญหาเรื่องการเขียนงบประมาณเหมือนกัน เพราะโดยปกติเวลาเขียนงบประมาณนี่เราก็จะระบุเป็นของไปเช่นจะซื้อเครื่องเซิฟเวอร์ มีฮารด์ดิสก์เท่าไร มีหน่วยความจำเท่าไร แต่พอจะเขียนข้อกำหนดคุณลักษณะของคลาวด์เราไม่ได้ซื้อฮาร์ดแวร์ แต่เราจะซื้อเวลาในการประมวลผล ซึ่งตรงนี้ระเบียบหลาย ๆ อย่างยังไม่รองรับ

3. การใช้งานคลาวด์ไม่ได้เหมาะกับงานทุกงาน วิทยากรบอกว่าอย่าลืมว่าเราต้องจ่ายค่าบริการคลาวด์ตามปริมาณการใช้งาน ดังนั้นงานที่ต้องมีการรับส่งข้อมูลไปมาเป็นจำนวนมากอาจไม่เหมาะที่จะใช้บริการคลาวด์ งานที่ควรใช้งานคลาวด์ควรเป็นงานที่มีการประมวลผลหลัก ๆ อยู่บนเซิฟร์เวอร์ และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ถ้าใครตามข่าวด้านไอทีคงพอจะทราบว่าเริ่มมีแนวคิดที่จะเก็บเงินค่าบริการอินเทอร์เน็ตต่อการคลิกดูข้อมูลแต่ละครั้ง เพราะผู้ให้บริการอาจต้องจ่ายค่าการใช้งานข้อมูลที่เราโหลดมานั่นเองครับ

 4. ประเด็นที่เป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในกระแสของคลาวด์ตอนนี้ก็คือเรื่องของ Software-Defined Networking (SDN) ซึ่งเป็นการจัดการเครือข่ายผ่านทางซอฟต์แวร์ พูดถึงตรงนี้หลายคนอาจนึกถึง Virtual LAN แต่วิธีนี้จะเหมือนกับเหนือขึ้นไปอีกระดับครับ เป็นลักษณะของเขียนโปรแกรมเพื่อปรับแต่งเครือข่ายตามที่เราต้องการ ซึ่งก็จะรองรับกับแนวคิดของคลาวด์คอมพิวติงซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรต่าง ๆ ในแบบไดนามิก ก็เป็นเรื่องที่คนที่สนใจด้านการทำ IaaS น่าจะศึกษาไว้นะครับ 

ทั้งหมดนี่้ก็คืองานสัมมนาแรกที่พอจะจับประเด็นและพอจะจำได้ครับ 

งานสัมมนางานที่สองที่ไปมาก็เมื่อวันอาทิตย์ 31 มีนาคม ที่ผ่านมาครับ งานนี้ก็คือการประชุมวิชาการประจำปี สวทช.ครั้งที่ 9 ในหัวข้อ ความพร้อมสู่ AEC ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Towards AEC with Science and Technology) สำหรับงานนี้ก็มีประเด็นพอจะสรุปให้ฟังได้ดังนี้ครับ ในช่วงเช้าเป็นการบรรยายหลักที่เกี่ยวกับทีมของงานครับ แต่ผมไปสายครับ :( ก็เลยได้ฟังเรื่องเดียวคือ เรื่องการสนับสนุนงานวิจัยของสวทช. ซึ่งสามารถดูรายละเอียดของได้จากเอกสารประกอบการบรรยายของ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ซึ่งนอกจากจะมีข้อมูลงานวิจัยแล้ว ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจเช่นความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตัวอย่างงานวิจัยที่นำไปใช้ได้จริงที่สนับสนุนโดยสวทช. ถ้าใครอยากได้เอกสารบรรยายของวิทยากรทุกคนก็สามารถโหลดได้ที่นี่ครับ

ในช่วงบ่ายจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลครับ ซึ่งหัวข้อของการบรรยายก็คือ  AEC : ขุมทรัพย์ Talent ไร้พรมแดน (AEC : Talent Treasury ) ต้องบอกตามตรงว่าตอนแรกผมตั้งใจว่าจะไปฟังแค่ช่วงเช้าแล้วกลับ แต่พอเห็นหัวข้อนี้จากเอกสารที่ได้รับก็รู้สึกสนใจครับเลยตัดสินใจอยู่ฟัง และจากที่ฟังก็ได้ประเด็นที่น่าสนใจมาสรุปให้ฟังดังนี้ครับ  

1. อันนี้คิดว่าหลายคนก็คงทราบอยู่แล้วนะครับว่าเมือประเทศเราเปิด AEC จะมีการเคลื่อนย้ายบุคคลากรระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งอาชีพ 7 อย่างที่จะเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีก็คือ หมอ หมอฟัน นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก พยาบาล และนักสำรวจ ยังไม่มีคอมพิวเตอร์นะครับ ถ้ามองในแง่ดีก็คืออย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถูกแย่งงาน แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็คือถ้าเราอยากไปทำงานในประเทศอื่นบ้างก็ยังไม่เปิดเสรี

2. ประโยชน์ของการใช้เครือข่ายสังคมในการได้งาน เครือข่ายสังคมที่พวกเราใช้อยู่ตอนนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งเป็นช่องทางที่เราจะได้รู้เรื่องความต้องการงานจากนายจ้าง และเป็นช่องทางให้นายจ้างรู้จักเราด้วย โดยเครือข่ายสังคมที่วิทยากรบอกว่ามีศักยภาพเกี่ยวกับการเรืองงานมากที่สุดคือ Linkedin ถัดมาคือ Facebook และ Twitter ตามลำดับ ดังนั้นใครที่ยังไม่มี Linkedin ก็ไปเปิดบัญชีกันไว้ซะนะครับ และก็ไม่จำเป็นนะครับที่เราจะต้องหางานอยู่แล้วค่อยไปเปิดบัญชีพวกนี้ ถึงแม้เราจะมีความสุขดีอยู่แล้วกับงานที่ทำแต่ถ้าเราไปเปิดบัญชีไว้ ก็เท่ากับเราเปิดโอกาสของงานใหม่ ๆ ที่อาจดีกว่าเข้ามาสู่ตัวเรา

3. ถัดมาอีกหัวข้อหนึ่ง อันนี้น่าสนใจมากครับเพราะเป็นเสียงของผู้ประกอบการที่ชี้ให้เห็นถึงนิสัยแบบไทย ๆ ที่ทำให้คนไทยไม่ค่อยก้าวหน้าในหน้าที่การงานเมื่อเทียบกับชาวต่างชาติ ปัญหาประการแรกคือปัญหาที่เรารู้กันอยู่แล้วก็คือเรื่องของภาษา ซึ่งทางวิทยากรบอกว่าสิ่งที่เราต้องแก้ที่สุดไม่ใช่เรื่องของการพูดนะครับ แต่เป็นเรื่องของการฟัง เขาบอกว่าเรื่องพูดนี่อย่างภาษาอังกฤษสำเนียงสิงคโปร์ฝรั่งก็ยังฟังรู้เรื่อง แต่เหตุผลหนึ่งที่คนไทยไม่ค่อยแสดงความเห็นอาจเป็นเพราะฟังไม่รู้เรื่องมากกว่า ปัญหาประการที่สองก็คือเขามองว่าคนไทยไม่ทุ่มเทให้กับงานเท่าที่ควร เขาบอกว่าไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาทำงานเป็นบ้าเป็นหลังนะครับ แต่หมายความว่าให้ใส่ใจในงานที่รับผิดชอบให้มากกว่านี้ อันถัดมาก็คือเรื่องของการที่เรามักจะทำตัวเป็นผู้รายงานเหตุการณ์แต่ไม่ทำตัวเป็นผู้แก้ปัญหา เขายกตัวอย่างว่าบริษัทรับนักศึกษาฝึกงาน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นนักศึกษาไทยก็จะรายงานว่าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นแบบนี้ขึ้น แต่ไม่เคยบอกว่าควรจะแก้ปัญหาอย่างไร ดังนั้นเราคงต้องเริ่มกันตั้งแต่ในห้องเรียนแล้วล่ะครับ ดังนั้นนักศึกษาของผมต่อไปผมถามอะไร ให้คิดวิเคราะห์แก้ปัญหาอะไรก็ช่วยกันตอบนะ 

4. หัวข้อต่อมาเกี่ยวกับบทบาทของสถานศึกษาครับ โดยหน้าที่หลักของสถานศึกษาก็คือสร้างบุคคลากรที่มีความสามารถดีเด่น (talent)  ซึ่งวิทยากรก็ได้ยกตัวอย่างโครงการต่าง ๆ ของสถาบันการศึกษาที่วิทยากรดูแลคือพระจอมเกล้าธนบุรีมาให้ดูกัน ซึ่งประเด็นสำคัญก็คือการสอนที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ครับ 

5. ส่วนหัวข้อสุดท้ายอันนี้เป็นเรื่องผ่อนคลายครับเหมือนกับดูทอล์กโชว์เลย เป็นการขึ้นนำเสนอของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นนักคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยได้รางวัลนวัตกรรมมากมายหลายรางวัล ประเด็นที่ได้ก็คือการที่เราจะสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาได้นั้นเราต้องมีความรักกับงานที่เราทำ มีความสังเกตุ มีความอดทน มีความพยายาม และอย่าคิดดูถูกตัวเองว่าเราเป็นคนไทยเราจะไปทำอะไรสู้ระดับโลกได้ยังไง หรือเราอยู่นอกเมืองคงทำอะไรสู้คนในเมืองไม่ได้อะไรอย่างนี้ นอกจากนี้การนำเสนอก็เป็นเรื่องสำคัญ ต่อให้ทำงานออกมาดีเลิศแต่นำเสนอไม่เป็นหรือไม่น่าสนใจก็อาจทำให้งานของเราถูกมองข้ามไปได้ 

สำหรับรายละเอียดและรายชื่อวิทยากรของหัวข้อนี้สามารถดูได้จากที่นี่ครับ เสียดายที่หัวข้อนี้ไม่ได้มีลิงก์ให้ไปโหลดเอกสารประกอบการบรรยายครับ 

สำหรับงานสัมมนาเรื่อง AEC นี้ ผมขอนำเสนอมุมมองส่วนตัวในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์หน่อยแล้วกันนะครับว่านักศึกษาและบุคคลากรในด้านนี้จะมีบทบาทอย่างไร จากงานนี้ผมได้เห็นว่าประเทศของเรากำลังมุ่งสู่งานวิจัยระดับสูงในด้านต่าง ๆ ซึ่งก็เน้นไปในส่วนที่เป็นหลักของประเทศเราก็คือด้านอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้ผมมองว่าต้องการการสนับสนุนด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างแน่นอนครับ ดังนั้นสถานศึกษาที่สอนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ก็ควรจะเน้นที่จะสร้างคนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จริง ๆ กันให้มากขึ้นได้แล้ว คือสร้างคนที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับสูงที่อาจต้องมีการคิดค้นขั้นตอนวิธีใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา พอผมพูดประเด็นนี้อาจมีคนสงสัยว่ามันยังไงเน้นวิทยาการคอมพิวเตอร์จริง ๆ ปัจจุบันนี้มันไม่จริงยังไง คือต้องขออธิบายก่อนว่าสาขาหลัก ๆ ที่มีการเรียนการสอนทางด้านคอมพิวเตอร์และดูมันจะเหลื่อม ๆ กันอยู่ก็มีอยู่สามสาขาคือวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งทั้งสามสาขานี้จริง ๆ แล้วมีจุดเน้นที่ต่างกันนะครับ ผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดเรื่องความแตกต่างแล้วกันนะครับเพราะมันยาว และรู้สึกว่าน่าจะมีคนเคยเขียนไว้แล้ว ลองค้นจาก Google ดูแล้วกันนะครับ ถ้าค้นไม่เจอมาคอมเม้นต์บอกไว้ได้ครับแล้วผมจะเขียนให้อ่านกัน แต่เพราะตลาดแรงงานของเราในอดีตถึงปัจจุบันมันอาจจะไม่กว้างนักครับ ดังนั้นทั้งสามสาขาก็จำเป็นที่จะต้องเรียนอะไรที่เป็นความต้องการของตลาด เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็อาจตกงานกันหมด นักศึกษาจึงมักจะเลือกเรียนวิชาที่ออกมาทำงานในตลาดแรงงานได้ โดยไม่เลือกเรียนวิชาที่เป็นวิชาระดับสูงในสาขาตัวเองเพราะมองว่ายากและเรียนแล้วก็ไม่ได้ใช้ ดังนั้นบัณฑิตที่จบจากสามสาขานี้ก็มักจะจบออกมามีความรู้ในเรื่องที่ใกล้ ๆ กัน ทำงานในด้านเดียวกันเช่นจบมาไม่ว่าสาขาไหนก็มาพัฒนาเว็บแอพพลิเคชันอะไรประมาณนี้ แต่ถ้าเรามีงานด้านวิจัยระดับสูงแบบนี้มารองรับก็น่าที่จะทำให้นักศึกษาหันมาเรียนวิชาเลือกที่เคยโดนมองข้ามไปมากขึ้น 

เอาล่ะครับนั่นก็คือบทสรุปทั้งหมดตามที่พอจะจำได้ในงานสัมมนาวิขาการที่ได้ไปฟังมา ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ...  


วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Nothing but trouble

สวัสดีครับ เวลาผ่านไปไวมากตอนนี้ปีใหม่ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ผมยังแทบไม่ได้ทำอะไรที่วางแผนไว้เลยรวมถึงเรื่องที่ว่าจะอัพบล็อกนี้ให้ได้สักอาทิตย์ละเรื่อง จริง ๆ ในเดือนแรกของปีก็มีอะไรที่อยากจะเขียนถึงอยู่นะครับ แต่พอไม่มีเวลาเข้าเรื่องมันก็ผ่านไปจนหมดความน่าสนใจไปแล้ว และบางครั้งก็ลืมไปด้วยว่าตั้งใจจะเขียนเรื่องอะไร เฮ้อผมถ้าจะแก่แล้วจริง ๆ เอ้ากลับมาที่เรื่องที่จะเขียนวันนี้ดีกว่า บอกตามตรงว่าคิดหัวข้อภาษาไทยไม่ออก แต่พอดีคิดถึงหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งที่เคยดูสมัยยังเป็นหนุ่ม (มากกว่าตอนนี้) ได้ ก็คือเรื่อง Nothing but trouble และคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่จะมาเล่าให้ฟังวันนี้ครับ สำหรับเรื่อง Nothing but trouble นี่มีดาราดังอย่าง Demi Moore เล่นด้วยนะครับ แต่เป็นหนังที่ผมคิดว่าไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร เท่าที่จำได้คร่าว ๆ ก็คือเรือง ๆ ของเรื่องมันเริ่มจากเรื่องที่ไม่น่าจะมีอะไร จากการทำผิดกฏจราจรในเรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไม่ได้หยุดรถที่ป้ายหยุดในเมืองเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีรถวิ่ง แล้วก็นำไปสู่เรื่องไร้สาระมากมาย ผมลองไปค้นดูพบว่า Wikipedia เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านดูได้ตามลิงก์นี้ครับ Nothing but trouble (1991 film)

แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องของพนักงานในร้าน Applebee ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารในอเมริกาถูกไล่ออกด้วยสาเหตุมาจากการที่ไปโพสต์รูปใบเสร็จที่มีลายเซ็นและข้อความของลูกค้าที่แสดงความไม่พอใจที่มีการคิดค่าทิปอัตโนมัติ โดยลูกค้าคนดังกล่าวรู้สึกว่าจะเป็นบาทหลวงเสียด้วยครับ นี่คือรูปเจ้าปัญหาที่ถูกโพสต์ขึ้นไปครับ
ภาพจาก http://news.yahoo.com/blogs/sideshow/applebees-waitress-fired-pastor-receipt-193820748.html
จากรูปจะเห็นว่าลูกค้าไม่พอใจและขีดฆ่าค่าทิปออก และยังเขียนข้อความเชิงประชดประชันว่าฉันให้พระเจ้าแค่ 10% ทำไมเธอถึงจะได้ 18% ล่ะ นอกจากนี้ยังเขียนคำว่า Pastor ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะหมายถึงบาทหลวงอยู่เหนือลายเซ็นด้วย

ซึ่งพนักงานคนหนึ่งได้โพสต์รูปนี้ขึ้นไปที่ reddit โดยเธอบอกว่าเธอไม่มีความตั้งใจจะโพสต์เพื่อต่อว่าลูกค้าหรือประจานอะไร แต่เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีและอยากจะแบ่งปันไปทั่ว ๆ โดยเธอได้ชี้แจงว่าการที่ค่าทิปถูกคิดอัตโนมัติ เพราะถ้าลูกค้ามาเป็นกลุ่มเกินแปดคนระบบจะคิดค่าทิปอัตโนมัติเธอไม่ได้เป็นคนคิด และลูกค้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเธอยังชมว่าเธอทำงานดีด้วยซ้ำ ปัญหาก็มีเพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจ่ายทิปก็แค่นั้น  

แต่เรื่องราวกลับมาเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะว่าหลังจากรูปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ลูกค้าคนดังกล่าวก็ได้มาร้องเรียนกับผู้จัดการร้านว่ารูปดังกล่าวทำให้เขาได้รับความอับอาย เพราะลายเซ็นของเขาบนใบเสร็จใบนั้นมีคนหลายคนที่จำได้ เป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาต่อชุมชน ซึ่ง Applebee ได้ตอบสนองต่อคำร้องเรียนนี้ด้วยการไล่พนักงานคนดังกล่าวออกครับ ย้ำอีกทีครับว่าไล่ออก ด้วยเหตุผลละเมิดความเป็นส่วนตัว 

อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกกันอย่างไรบ้างครับ เรื่องทีเกิดขึ้นมันเริ่มจากเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ ในยุคนี้ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเราที่จะแชร์โน่นแชร์นี่ขึ้นอินเทอร์เน็ต แต่จากตัวอย่างนี้เราก็คงต้องระมัดระวังกันให้มากขึ้นแล้วล่ะครับ และผมก็เห็นว่าตอนนี้คนไทยก็เริ่มระวังกันมากขึ้นนะครับ อย่างที่เห็นล่าสุดก็คือมีการถ่ายรูปรถที่เป็นพวกจอมปาด (ไม่ใช่ปราชญ์) ชอบมาแซงคิวเขาขึ้นสะพานในขณะที่คนอื่นเขาต่อคิวกันอยู่ ก็มีการเบลอป้ายทะเบียนไว้

สุดท้ายก็คงสรุปว่าในต่างประเทศเขาให้ความเคารพสิทธิของลูกค้าและความเป็นส่วนตัวกันค่อนข้างมากนะครับ ถ้าเทียบกับประเทศเราแล้วก็คนละเรื่องกันเลย แต่กรณีนี้ถึงกับไล่ออกเลยผมว่ามันก็อาจจะมากไปหน่อยหรือเปล่า เพราะถ้าดูแล้วพนักงานก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้เสียหาย และข้อความที่อยู่ในใบเสร็จในสายตาผมก็ไม่ใช่ข้อความที่จะทำให้ชื่อเสียงของคนเขียนเสียหายอะไร หรือจะเป็นเพราะคนเขียนเป็นบาทหลวงแต่มาสารภาพว่าให้พระเจ้าแค่ 10% เดี๋ยวชาวบ้านจะไม่นับถือ...      

ที่มา Yahoo News!

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ห้าอันดับบทความยอดฮิตประจำปี 2012

ขอเริ่มต้นบล็อกสุดท้ายของปีนี้ด้วยการอัญเชิญอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจงดลบันดาลให้ประเทศของเราสงบสุข และขอให้ทุกท่านที่คิดดีทำดีมีความสุขสมหวังตลอดปีใหม่นี้และตลอดไปนะครับ เวลาปีปีหนึ่งผ่านไปเร็วมากครับ ยิ่งปีนี้ทำไมไม่รู้ผมรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วเป็นพิเศษ มีปณิธาณปีใหม่ที่ผมตั้งใจจะทำในปีนี้ตั้งหลายข้อที่ยังทำไม่ได้หรือยังทำไม่เสร็จ สงสัยปีนี้ต้องตั้งปณิธาณว่าขอทำปณิธาณให้สำเร็จซะละมั้งเนี่ย สำหรับบล็อกสุดท้ายของปีนี้ก็ขอเลียนแบบชาวบ้านเขาคือจัดอันดับบล็อกยอดนิยมในปีนี้ 5 อันดับนะครับ เผื่อใครสนใจและพลาดไม่ได้อ่านไป จะได้เข้าไปอ่านกันได้ เริ่มเลยแล้วกันครับว่ามีอะไรบ้าง


  1. เบื้องหลัง Siri ของ Apple หรือจะคืองานวิจัยของนักวิจัยไทย? บล็อกนี้มียอดดู 3295 ครั้งทีเดียวครับ
  2. iPhone 5 ไม่ว้าว แต่ iPod touch รุ่น 5 นี่โดนใจจริง ๆ อันนี้มียอดดู 861 ครั้งครับ 
  3. การเขียนบททฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (เน้นที่ปริญญานิพนธ์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์) ยอดดูอยู่ที่ 804 ครั้งครับ
  4. การเขียนคำภาษาต่างประเทศในบทความวิชาการ ยอดดูอยู่ที่ 663 ครั้งครับ
  5. คำเตือนสำหรับผู้ที่จะใช้โปรแกรมช่วยคำนวณภาษี ยอดดูอยู่ที่ 573 ครับสำหรับบล็อกนี้ 
นั่นก็คือบทความที่มียอดดูสูงสุดห้าอันดับแรกสำหรับบล็อกผมในปี 2012 ครับ ก็อาจไม่ได้มียอดอ่านหลักหมื่นหลักแสนเหมือนกับบล็อกที่ดัง ๆ ทั้งหลายนะครับ แต่สำหรับผมผมก็ดีใจแล้วครับที่ได้แบ่งปันเรื่องราวที่คิดว่ามีประโยชน์ให้กับทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน แต่ถ้าถามว่าผมชอบบล็อกไหนมากที่สุดมันกลับไม่ใช่บล็อกที่ติดอยู่ในห้าอันดับแรกนี้ครับ แต่เป็นบล็อกลำดับที่หกซึงคือ จะทำยังไงเมื่อ Facebook คิดว่าเราตายไปแล้ว 

สรุปในปีนี้ผมเขียนไปทั้งหมด 21 บล็อก ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย ก็หวังว่าปีหน้าจะสามารถวางแผนงานเพื่อให้เขียนได้มากกว่านี้ และก็หวังว่าจะยังมีผู้อ่านติดตามผลงานของผมต่อไปนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ... 

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สัญญาณสิบประการที่บอกว่าเราอาจไม่เหมาะกับงานด้านไอที

จะปีใหม่แล้วเห็นหลาย ๆ ที่ เขาจัดอันดับนู่นนี่นั่นประจำปีกัน ผมก็เลยลองหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ ว่า เราจะเอาอะไรมาเขียนจัดอันดับกับเขาดีไหม ค้นไปค้นมาก็มาเจอบล็อกนี้เข้าครับ 10 signs that you aren't cut out for IT ไม่ได้เกี่ยวกับการจัดอันดับอะไร แต่เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ คือในบล็อกนี้เขาได้สรุปสัญญาณ 10 ประการว่าถ้าเกิดขึ้นกับคนที่ทำงานอยู่ในสายไอทีแล้ว อาจต้องกลับมาคิดว่าเราเหมาะกับงานนี้หรือไม่ ลองมาดูกันครับ

 1. คุณเป็นคนไม่อดทน เขาอธิบายว่างานสายนี้ต้องอดทนในการแก้ปัญหา และยังต้องอดทนกับผู้ใช้อีกด้วย ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่รับงานพัฒนาระบบมานานมากแล้ว เพราะผมเบื่อผู้ใช้นี่แหละ
2.  คุณเป็นคนที่ไม่ชอบที่จะเรียนต่อไปเรื่อย ๆ อันนี้เหมือนที่ผมบอกนักศึกษาเสมอครับว่าเทคโนโลยีด้านนี้มันเปลี่ยนแปลงไปตลอด ดังนั้นเราจะต้องพร้อมที่จะเรียนรู้เสมอ
3.  คุณไม่ยอมทำงานนอกเวลา (9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น) ชัด ๆ ครับ งานด้านนี้ต้องพร้อมทำงานนอกเวลาเสมอ โปรแกรมยังไม่เสร็จแต่ใกล้ถึงเส้นตายแล้ว เซอร์ฟเวอร์ล่มตอนเที่ยงคืนอะไรประมาณนี้ ซึงพูดถึงตรงนี้ผมยังแปลกใจมุนินทร์(แรงเงา) นะครับ ว่าทำไมมีเวลาไปวางแผนแก้แค้นใครต่อใครได้ร้ายกาจอย่างนั้น
4. คุณไม่ชอบคน เขาบอกว่างานด้าน IT มีจุดประสงค์หลักอันหนึ่งก็คือสนับสนุนผู้ใช้ ดังนั้นถ้าคุณไม่ชอบคนก็ไม่น่าทำงานด้านนี้ แต่อันนี้ผมว่าไม่เฉพาะด้านไอทีนะ ถ้าคุณทำงานด้านบริการไม่ว่าอะไรก็ตามคุณต้องมีตรงนี้
5. คุณยอมแพ้ง่ายเกินไป อันนี้ผมว่าคล้าย ๆ ข้อแรกนะ คือไม่อดทน ตรงนี้ขอคุยกับนักศึกษาหน่อยแล้วกันครับ คือหลาย ๆ ครั้งที่ผมให้งานไปค้นคว้านี่คือผมต้องการให้คุณไปค้นคว้าและหาคำตอบด้วยตัวเองนะครับ แต่หลายคนมักจะกลับมาถามและมักจะบอกว่าค้นไม่เจอทำไม่ได้ ซึ่งผมต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้คุณมีเครื่องมือให้ค้นคว้าอะไรได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมากเลยนะครับ ดังนั้นใช้ความพยายามหน่อยนะครับ ผมจะบอกว่าคำตอบของปัญหายาก ๆ ที่เราสามารถแก้ได้ด้วยตัวเองนี่มันน่าภาคภูมิใจนะครับ
6. คุณหงุดหงิดง่าย อันนี้ก็คล้าย ๆ ข้อแรกอีกเหมือนกัน แต่เขาขยายความว่าเมื่อคุณโกรธ คุณก็เสียเวลาไปกับความโกรธนั่นแหละ แทนที่จะเอาเวลามาแก้ปัญหา
7. คุณทำงานหลายงานพร้อมกันไม่ได้ เพราะคุณอาจต้องรับผิดชอบโครงการหลายโครงการ ซึ่งถ้าคุณสามารถทำงานได้ทีละอย่างก็จะทำให้ชีวิตของคุณยากขึ้น นอกจากงานแล้วอย่าลืมว่าเรายังมีเรื่องส่วนตัวต้องรับผิดชอบด้วยนะ พูดถึงตรงนี้นี่อาจแสดงว่ามุนินทร์เป็นคนที่มีความสามารถแบบนี้ก็ได้ ถึงได้มีเวลาไปแก้แค้นได้
8. คุณมีความฝันที่จะก้าวหน้าขึ้นไปในระดับสูงในอาชีพ ถ้าเป็นอย่างนี้เขาบอกว่าคุณไม่เหมาะ เพราะงานสายนี้อาจพาคุณไปได้สูงสุดแค่ CIO แต่ถ้าคุณฝันถึง CEO งานสายนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ
9. คุณเกลียดเทคโนโลยี อันนี้ผมว่าคล้ายข้อสองนะ และคงชัดเจนว่าถ้าคุณเกลียดเทคโนโลยี คุณก็อาจจะไม่ยอมเรียนรู้ และไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้ได้ความรู้ใหม่ ๆ คุณอาจจะยึดติดกับเทคนิควิธีการแก้ไขปัญหาแบบเก่า ๆ ซึ่งล้าสมัยไปแล้ว คุณอาจไม่ยอมรับการเข้ามาของอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งคุณมองว่าทำให้ชีวิตของคุณยากขึ้นเพราะต้องมาเรียนรู้วิธีการพัฒนาโปรแกรมแบบใหม่เป็นต้น
10. คุณปิดมือถือตอนกลางคืน อันนี้ก็คงเกี่ยวข้องกับข้อ 3 เพราะถ้าคุณปิดโทรศัพท์ก็เท่ากับบอกกลาย ๆ ว่านอกเวลางานแล้วอย่ามายุ่งกับฉันนะอะไรประมาณนี้ ดูไปดูมานี่มันจะคล้ายหมอขึ้นทุกทีแล้วนะ ต้องตามตัวได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 ยังไงก็ตามเขาบอกว่าถ้าคุณมีสิ่งเหล่านี้สักสองสามข้อก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะออกจากงานด้านนี้ไปทันทีนะครับ เขาบอกว่ามันแค่อาจเป็นสัญญาณว่าคุณอาจจะต้องกลับไปเรียนต่อเพื่อที่จะพาคุณไปทำงานในสิ่งที่คุณชอบ และผมไม่อยากบอกเลยว่าผมอาจเป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ เพราะผมลองตามลิงก์งานที่เป็นทางเลือกให้คนที่ไม่ชอบทำงานด้านไอทีตรง ๆ งานหนึ่งก็คือสอนหนังสือนี่เอง และมันก็เป็นงานที่ผมชอบจริง ๆ ซะด้วย

ปีใหม่นี้ก็ขอให้ทุกคนหาตัวเองให้เจอนะครับว่าชอบงานอะไร และขอให้มีความสุขกับการทำงานนะครับ สวัสดีปีใหม่ 2556 ล่วงหน้าไว้ก่อนนะครับ

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มารู้จักปุ่มไปรษณีย์และปุ่มบทวิจารณ์กันดีกว่า

สุดสัปดาห์นี้มีเรื่องเบา ๆ ที่ตัวเองได้เจอมาเล่าให้ฟังกันครับ จริง ๆ มันเกิดขึ้นประมาณเกือบเดือนมาแล้วตั้งใจจะเขียนเล่าให้ฟังกันแต่พอดีไม่ค่อยว่าง ประกอบกับมีเรื่องอื่นแทรกเข้ามาเลยเขียนก่อน สำหรับวันนี้เป็นเรื่องนี้เกี่ยวกับการแปลส่วนติดต่อกับผู้ใช้ของโปรแกรมมาเป็นภาษาท้องถิ่นหรือที่พวกเราอาจรู้จักกันในชื่อ localization ครับ

ปัญหาที่เกิดกับ localization นี้ผมว่าพวกเราทุกคนน่าจะเจอกันมามากบ้างน้อยบ้างนะครับคือประเภทเปิดเมนูภาษาไทยขึ้นมาแล้วต้องนั่งคิดกลับว่าภาษาอังกฤษของมันคืออะไรหว่า จนบางคนเลือกใช้เมนูภาษาอังกฤษไปเลย แต่ผมว่าปัญหานี้เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากนะครับ และผมก็เข้าใจว่าทำไมสมัยก่อนบางครั้งการแปลออกมามันดูเพี้ยน ๆ เพราะตัวเองเคยมีประสบการณ์การทำ localization ให้กับไมโครซอฟท์เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว โดยโปรแกรมที่ผมมีส่วนทำก็คือโปรแกรมที่ชื่อว่า Microsoft Work ไม่ทราบว่ามีใครรู้จักบ้างไหมครับ... เงียบ สงสัยจะ(ไม่) ช้อต เจ้าโปรแกรมนี้พูดง่าย ๆ คือโปรแกรม Microsoft Office ชุดเล็ก คือมันจะมีโปรแกรมพวก Word Processor และ Spread Sheet อะไรเหล่านี้ แต่แน่นอนครับความสามารถของมันสู้ Microsoft Office ไม่ได้แน่ ซึ่งเข้าใจว่าโปรแกรมนี้มันไม่ประสบความสำเร็จนะครับ เพราะผมว่ามันทับซ้อนกับ Microsoft Office (หวังว่ามันคงไม่ได้เจ๊งเพราะผมไปทำ localization ให้นะ) และจากการทำ localization โปรแกรมนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมการแปลมันถึงเพี้ยน เพราะจากประสบการณ์ที่ผมทำมาก็คือ ผมจะได้รายการคำศัพท์มาแล้วก็นั่งแปลไป โดยบางครั้งก็ไม่รู้ว่าไอ้คำศัพท์นี้มันจะอยู่ในเมนูไหนหรือโปรแกรมอะไร ซึ่งการทำอย่างนี้มีโอกาสผิดพลาดสูงนะครับ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ต้องใช้ความหมายไม่ใช่คำแปล คือมันต้องรู้บริบทรอบข้างของคำศัพท์นั้นด้วยถึงจะใช้คำได้ถูกต้อง แต่คิดว่าปัจจุบันนี้ไมโครซอฟท์คงเข้าใจปัญหานี้มากขึ้นแล้วแหละครับ เพราะเท่าที่ลองใช้เมนูภาษาไทยดูก็รู้สึกว่าดีขึ้นมาก 

กลับมาเรื่องที่ผมเจอดีกว่า คือเมื่อเดือนก่อนผมได้ใช้โปรแกรมเช็คอินยอดนิยมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่โปรแกรมหนึ่ง คือโปรแกรม Foursquare ปกติผมจะใช้แค่เช็คอินตำแหน่งที่ผมอยู่เท่านั้น แต่วันนั้นผมพาลูกไปเรียนฟุตบอลและก็ถ่ายรูปเขาก็เลยเช็คอินแล้วก็แนบรูปของเขาไปด้วย แต่บังเอิญตอนเช็คอินผมลืมให้มันส่งข้อมูลไปที่ Facebook และ Twitter ด้วยก็เลยต้องมาทำตอนหลัง และเมื่อผมเข้ามาผมก็เจอหน้าจอนี้ครับ  

เห็นปุ่มไปรษณีย์ไหมครับ พวกเราคิดว่ามันคือปุ่มอะไรครับ .... ใช่แล้วครับมันคือปุ่ม Post บอกตามตรงว่าตอนแรกที่ผมเห็นปุ่มนี้ผมนั่งอี้งอยู่พักหนึ่ง เพราะนึกไม่ออกว่าปุ่มนี้มันคืออะไร เกือบไม่กล้ากดแล้วครับ เพราะกลัวมันจะเอาข้อความผมไปส่งตู้ไปรษณีย์ :) ถึงแม้ผมจะมีความเข้าใจเรื่อง localization อยู่บ้าง แต่พอเห็นอันนี้เข้าแล้วก็อดขำและประหลาดใจไม่ได้ คือประการแรกผมมองว่าโปรแกรมอย่าง Foursquare นี่ ไม่ใช่โปรแกรมใหญ่นะครับ ดูมันมีหน้าจอหลัก ๆ ไม่กี่หน้าจอเอง ดังนั้นไม่น่าพลาด และคำว่า Post ในภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับโปรแกรมนี้ มันก็ไม่น่าจะสื่อถึงอะไรได้อย่างอื่นนอกจากการโพสต์ข้อมูล แต่คนแปลกลับเลือกใช้คำว่าไปรษณีย์ ซึ่งในการใช้งานของคนไทยเรามักจะนึกถึงแต่การส่งจดหมายหรือพัสดุ จะว่าใช้ Google Translate แปลแทนจ้างคนแปลก็ไม่น่าใช่ เพราะผมลองใช้ Google Translate ลองแปลคำว่า Post ดูมันก็ใช้คำว่าโพสต์

ยังไม่พอครับคราวนี้กับ Apple บ้าง อันนี้เพิ่งเจอเมื่อสักสัปดาห์ก่อน คือผมสอนลูกสมัคร Apple ID อันนี้เสียดายไม่ได้จับหน้าจอไว้ และพยายามเข้าไปที่หน้าจอนั้นอีกก็เข้าไม่ได้ รู้สึกว่ามันจะขึ้นมาเฉพาะตอนเราสมัคร Apple ID ใหม่ เอาเป็นว่าเราให้ฟังแบบแห้ง ๆ แล้วกันนะครับ คือหลังจากเราป้อนข้อมูลไปมันจะมีปุ่มขึ้นมาปุ่มหนึ่งครับปุ่มนั้นมีคำว่าบทวิจารณ์ ซึ่งพอเรา (ผมกับลูก) เจอปุ่มนี้เข้าก็มองหน้ากันไปมาว่ามันคืออะไร มันจะให้เราวิจารณ์อะไร สุดท้ายก็นึกออกว่ามันหมายถึงปุ่ม Review ซึ่งตรงนี้คำว่า Review ควรจะหมายถึงการตรวจทานมากกว่านะครับ เจอแบบนี้สงสัยคงต้องใช้เมนูภาษาอังกฤษไปตลอดครับ แต่คิดอีกทีก็เป็นการฝึกสมองดีเหมือนกันนะครับ

ผมว่าหลายคนมีความเข้าใจผิดว่าคำศัพท์ในภาษาอังกฤษนี่เราจะแปลได้แบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น  แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่นะครับ ศัพท์ในภาษาอังกฤษนี่มันมีลักษณะเป็นความหมายมากกว่า คำ ๆ หนึ่งอยู่ในบริบทหนึ่งมันจะหมายถึงอย่างหนึ่ง อีกบริบทหนึ่งอาจจะหมายถึงอีกอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้แปลก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะแปลในระดับหนึ่งด้วย ผมมีประสบการณ์การอ่านบทความภาษาไทยบทความหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว และยังติดใจมาจนถึงทุกวันนี้ บทความนั้นเป็นบทความทางคณิตศาสตร์ และคนแปลได้ใช้คำหนึ่งครับคำนั้นคือ ผลิตภัณฑ์คาร์ทีเชียน เดาได้ไหมครับว่าเขาแปลมาจากคำว่าอะไร ใครที่จบคณิตศาสตร์มาอาจตอบได้ ครับใช่แล้ว Cartesian Product ซึ่งในทางคณิตศาสตร์คำที่ใช้กันคือผลคูณคาร์ทีเชียน แต่จริง ๆ ก็คงโทษคนแปลไม่ได้นะครับ เพราะเมื่อสิบกว่าปีก่อนคนที่ทำงานด้านแปลเก่ง ๆ ในประเทศเราอาจยังมีน้อย ยิ่งไปกว่านั้นผมลองใช้ Google Translate ดู มันก็แปลว่า ผลิตภัณฑ์ Cartesian ครับ

ที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี่ก็ไม่มีเจตนาจะไปตำหนิหรือติเตียนใครนะครับ แค่อยากจะเล่าให้ฟังแล้วก็ให้ระมัดระวังกันเวลาจะแปลหรือเขียนบทความอะไร แต่สุดท้้ายแล้วไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะย้อนมาเข้าตัวหรือเปล่า เพราะตัวผมเองมักจะจู้จี้กับนักศึกษา (ที่หลงผิดมาทำงานด้วย) ในที่ปรึกษา หรือนักศึกษา (ที่โชคร้าย) ได้ผมเป็นกรรมการสอบ ให้ระมัดระวังเรื่องการเขียน และการใช้คำ พอเขามาอ่านเรื่องนี้เข้าอาจย้อนว่าโห.... อาจารย์จะเอาอะไรกับพวกผม (หนู) นักหนา ดูอย่างโปรแกรมที่คนใช้กันเกือบทั้งโลกอย่าง Foursquare หรือ Apple สิ เขายังทำแบบนี้เลย....

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรามาน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงมาปฏิบัติกันเถอะครับ

ในวาระที่วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านได้เวียนมาครบอีกวาระหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพร ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปชั่วกาลนาน และข้าพระพุทธเจ้าขอปฏิญาณว่าข้าพระพุทธเจ้าจะทำความดีถวายแด่พระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองที่ดีเคารพกฏหมายของบ้านเมือง และจะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าให้ดีที่สุด และจะน้อมนำพระราชดำรัสเรื่องความปราถนาดีต่อกันมาใช้ โดยข้าพเจ้าจะมีความเมตตาให้กับผู้อื่นทั้งที่เห็นด้วยหรือเห็นต่างจากข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไม่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติขาดความสามัคคี ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


วันนี้แน่นอนครับจะเขียนบล็อกเรื่องอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระองค์ท่าน ซึ่งวันนี้ของแต่ละปีผมจะพยายามหาโอกาสมาเขียนบล็อกให้ได้ไม่ว่าจะไม่ว่างอย่างไร วันนี่ก็นั่งทำงานออกข้อสอบรีวิวบทความวิชาการมาตั้งแต่เช้า เดี๋ยวพอเขียนบล็อกเสร็จก็จะต้องกลับไปออกข้อสอบต่อ

สำหรับบล็อกผมเรื่องนี้ในทุกปีผมก็จะเริ่มด้วยการถวายพระพรและปฏิญาณตนทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดี ซึ่งผมมองว่าถ้าทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีแค่นี้ประเทศชาติก็น่าจะสงบสุขและก้าวหน้าไปได้อย่างดี แต่ในปีนี้พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสเรื่องความปราถนาดีต่อกันและความสามัคคี ที่จะทำให้เกิดความพร้อมเพรียง ผมก็เลยเพิ่มคำปฏิญาณนี้เข้าไปด้วย และก็อยากเชิญชวนพวกเราน้อมนำพระราชดำรัสนี้มาใช้กันเถอะครับ

วันนี้ถ้าใครที่ได้ติดตามบรรยากาศของงานพระราชพิธีมาตั้งแต่เช้าคงจะเห็นว่าเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขความตื้นตัน ผมจึงอยากจะให้พวกเราจำบรรยากาศนี้ไว้ครับ บรรยากาศที่เรามีจุดมุ่งหมายร่วมกันเราไม่คิดถึงเรื่องความขัดแย้งใด ๆ ซึ่งมันก็ทำให้เกิดความพร้อมเพรียงอย่างที่พระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้ ซึ่งถ้าเราจะรักษาเรื่องนี้ไว้ได้ ผมว่าเราต้องเปิดใจให้กว้างอย่ามีอคติแบ่งสีแบ่งฝ่ายกันมากเกินไปจนมองคนที่เราคิดว่าอยู่ตรงข้ามกับเราเลวไปหมด หรือได้รับฟังข่าวอะไรมาถ้าเป็นข่าวไม่ดีเกี่ยวกับคนที่เราไม่ชอบแล้วก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อลองคิดด้วยเหตุด้วยผล หรือหาข้อมูลอื่นมาประกอบ เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับอีกฝ่ายแต่ลองเปิดใจรับฟังและถกกันอย่างมีเหตุผล

ยิ่งในสมัยที่เราใช้เครือข่ายสังคมกันอย่างนี้ผมว่าเรายิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะสิ่งที่เราสื่อออกไปมันกระจายออกไปได้กว้างมาก และจากการที่เคยสอนวิชาคอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสาร ต้องบอกว่าข้อจำกัดประการหนึ่งของการสื่อสารแบบนี้คือบางครั้งมันทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย เพราะบางทีมันขาดองค์ประกอบเช่นน้ำเสียงหรือสีหน้าท่าทางที่จะมีในตอนที่เราพูดคุยกันแบบเห็นหน้า ยิ่งไปกว่านั้นตามทฤษฎีแล้วข้อเตือนใจประการหนึ่งของการสื่อสารแบบนี้ก็คือเราไม่ควรส่งข้อความที่จะสร้างความขุ่นเคื่องที่เรียกว่า flaming message แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าหลายคนสามารถที่จะด่าใครก็ได้ด้วยข้อความที่รุนแรง เช่นโง่ หรือบางทีก็เสียดสีประชดประชันฝ่ายตรงข้าม ซึ่งข้อความเหล่านี้แหละที่อาจสร้างความขัดแย้งไม่จบไม่สิ้น อันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองนะครับ แค่เรื่องเชียร์ฟุตบอลคนละทีมนี่แหละ บางทีก็โพสต์ว่ากันเอง ว่าทีมตรงข้ามสาดเสียเทเสีย ผมไม่ได้บอกว่าเราจะแสดงความเห็นที่ขัดแย้งหรือถกเถียงไม่ได้นะครับ แต่ที่อยากจะบอกก็คือก่อนโพสต์ข้อความเหล่านี้ เรามีเวลาคิดก่อนนะครับ เรามีเวลาที่จะเลือกใช้ถ้อยคำ หรือถ้าเห็นว่าตอนนั้นเรายังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ปกติก็น่าจะเลือกที่จะไม่โพสต์อะไรไว้ก่อน ซึ่งถ้าทำอย่างนี้ได้ผมว่ามันจะช่วยลดความขัดแย้งไปเยอะ

อีกเรื่องก็คือก่อนที่เราจะโพสต์เห็นด้วยหรือสนับสนุนการกระทำใดให้คิดก่อนว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรไหม ยกตัวอย่างเช่นเรื่องนักบินที่ไล่ผู้โดยสารคนหนึ่งลงจากเครื่องบิน เพราะว่ามีคดีเรื่องหมิ่นสถาบันที่และก็รู้สึกว่ามีชาวเครือข่ายสังคมไปยกย่องนักบินคนดังกล่าวราวกับเป็นวีรบุรุษ ถึงตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าผมรักในหลวงนะครับ ใครที่ติดตามการโพสต์ของผมมาตลอดก็คงทราบดี และผมก็ไม่เข้าใจด้วยว่าคนที่ไม่รักพระองค์ท่านนี่เขามีเหตุผลอะไร แต่ที่ผมอยากจะบอกก็คือให้ลองคิดว่าจริง ๆ แล้วนักบินคนนั้นเขาทำถูกหรือเปล่า หน้าที่ของเขาคืออะไร เรื่องการจัดการมันก็มีกระบวนการตามกฏหมายอยู่แล้ว ถ้าเราสนับสนุนเรื่องอะไรแบบนี้ก็คงไม่ต่างจากการเรียกร้องให้มีคนออกมาเอาปืนไปไล่ยิงพิพากษาคนที่เราคิดว่าชั่วโดยไม่ต้องพึ่งตำรวจหรือศาล หรือถ้าเอาให้ใกล้ตัวหน่อยอย่างผมเป็นอาจารย์ ถ้าผมมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่รักในหลวง แต่เขาตั้งใจเรียนทำข้อสอบได้ ผมควรทำยังไงกับเขาดี ผมควรจะไล่เขาออกจากห้องเรียน หรือแกล้งตรวจข้อสอบเขาให้ตกในวิชาผมอย่างนั้นหรือ อีกอย่างจะให้คนคิดเหมือนเราทุกคนคงไม่ได้ (ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาคิดอย่างนั้นก็ตาม) ให้คิดว่าขนาดพระพุทธเจ้ายังก็ถูกนินทาว่ากล่าวได้ก็น่าจะเข้าใจเขามากขึ้น ตราบใดที่เขายังไม่ได้ทำผิดกฏหมายหรือยังไม่ได้ถูกตัดสินว่าทำผิดกฏหมายเราก็ไม่มีสิทธิที่จะไปจำกัดสิทธิของเขา และถ้าเขาทำผิดกฏหมายจริงและเขาหลบหนีหน้าที่ของเราก็คือแจ้งผู้ที่มีหน้าที่ไม่ใช่ไปไล่ยิงหรือไล่ชกเขา

เรามาเริ่มต้นที่ตัวเรากันก่อนเถอะครับ น้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสกับพวกเราในวันนี้มาทำให้ได้ เพื่อที่พ่อหลวงของเราจะได้มีความสุขที่เห็นพสกนิกรของพระองค์ท่านที่ถึงแม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่ก็มีความพร้อมเพรียงที่จะร่วมมือร่วมใจกันผลักดันให้ประเทศของเราเดินหน้าต่อไปได้

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เบื้องหลัง Siri ของ Apple หรือจะคืองานวิจัยของนักวิจัยไทย?

ไม่ได้เขียนบล็อกมานานมาก คำแก้ตัวเดิม ๆ คือไม่ว่าง แต่วันนี้ยังไงก็ขอเขียนเสียหน่อย เพราะเป็นข่าวเกี่ยวกับนักวิจัยไทยของเราที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทระดับโลกอย่าง Apple เจ้าของ iDevice ทั้งหลายที่พวกเราหลายคนใช้กันอยู่นั่นแหละครับ ยิ่งไปกว่านั้นนักวิจัยคนดังกล่าวก็เป็นคนที่ผมรู้จักดีเสียด้วย

 ก่อนจะมารู้จักกันว่าเขาเป็นใครเรามาดูข่าวที่เป็นต้นเรื่องของบล็อกวันนี้กันก่อน ถ้าใครอยากอ่านข่าวต้นฉบับก็เชิญอ่านจาก ฺBloomberg ได้เลยครับ แต่ถ้าไม่อยากอ่านผมจะสรุปให้ฟังครับ เนื้อหาก็คือบริษัทใน Texas ชื่อ Dynamic Advances กำลังจะฟ้อง Apple ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรม Siri ซึ่งเป็นโปรแกรมเลขาส่วนตัวที่มีความชาญฉลาดในการโต้ตอบและทำตามคำสั่งจากผู้ใช้ที่ใช้ภาษาพูดปกติ คือผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้คำสั่งเฉพาะในการบอกให้ Siri ทำงานให้ เจ้า Siri  ที่ว่านี่ Apple เริ่มนำมาใช้งานใน  iPhone 4s และต่อมาก็นำมาใช้กับ iDevice รุ่นใหม่ ๆ  อีกด้วย

แล้วมันเกี่ยวกับงานวิจัยคนไทยยังไง ประเด็นก็คือบริษัท Dynamic Advances ที่ว่านี่ได้รับใบอนุญาตในการใช้สิทธิบัตรที่เกี่ยวกับงานวิจัยที่เรีกว่า natural language interface ซึ่งเป็นการทำให้ระบบสามารถตอบคำถามที่คนพูดเข้ามาตามปกติได้ โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อนในการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล งานวิจัยนี้ได้ถูกคิดค้นและจดสิทธิบัตรไว้กว่าสิบปีแล้ว โดย Professor Cheng Hsu ที่เป็นอาจารย์อยู่ที่ Rensselaer Polytechnic Institute (RPI) ที่ New York และนักศึกษาปริญญาเอกของเขาในขณะนั้นคือ วีระ บุญจริง (Veera Boonjing) ซึ่งปัจจุบันคือ รศ.ดร.วีระ บุญจริง แห่งสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  นักศึกษาที่ทำวิทยานิพนธ์ไม่ว่าระดับไหนคงทราบดีนะครับว่างานที่ออกมา จะออกมาจากตัวนักศึกษาเป็นหลักโดยอ.ที่ปรึกษาจะให้คำแนะนำในแง่มุมต่าง ๆ  ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าระบบดังกล่าวนี้รศ.ดร.วีระ น่าจะมีส่วนไม่ต่ำกว่า 80 % และระบบนี้แหละครับที่ทาง Dynamic Advances ฟ้องว่าโปรแกรม Siri ละเมิดสิทธิบัตร โดยสรุปตอนนี้ทาง Apple ยังไม่มีความเห็นใด ๆ นะครับ รวมทั้ง Professor Hsu ด้วย โดย Professor บอกว่าตัวแกก็ไม่รู้ว่าสิทธิบัตรนี้จะมีมูลค่าเท่าไร แต่ก็ได้กล่าวทิ้งท้ายในข่าวไว้ด้วยว่า เสียใจด้วย (นะ Apple) แต่เราทำมันก่อน 

นั่นคือเนื้อข่าวและที่มาที่ไปคร่าว ๆ นะครับ มาดูในส่วนอ.วีระกันบ้าง ผมในฐานะที่เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย และเป็นเพื่อนร่วมงานกับอ.วีระเกือบ 20 ปี แล้ว (ขอเกาะกระแสคนดังหน่อยนะ :) ) ก็ได้คุยกับอ.ในเรื่องนี้ โดยตัวอ.ก็บอกว่าเรื่องการฟ้องนี่จริง ๆ เริ่มมาได้พักหนึ่งแล้วไม่ได้มาเริ่มตอนนี้หรอก แต่แกก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงออกมาตอนนี้ตอนที่ Apple ออกผลิตภัณฑ์ใหม่พอดี ตอนนี้ก็รอผลลัพธ์ต่อไปว่าจะเป็นยังไง โดยการฟ้องร้องนี้อ.วีระไม่ได้ทำเองนะครับเป็นเรื่องของทาง RPI และ บริษัท Dynamic Advances

ท้ายนี้ผมก็ขอเล่าถึงเบื้องหลังงานวิจัยของอ.วีระชิ้นนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวผมเองเท่าที่พอจำได้นะครับ ก็คือในตอนที่งานวิจัยของอ.ใกล้จะเสร็จแล้วมีวันหนึ่งผมก็ได้รับเมลจากอ.ว่าขอให้ช่วยคิดคำถามเอาแบบที่เป็นภาษาพูดหน่อยจะเอาไปทดสอบกับระบบที่สร้างขึ้น ซึ่งอ.วีระก็คงขอให้เพื่อน ๆ ของแกหลายคนช่วยกันคิด จะได้มีข้อมูลที่หลากหลายไปทดสอบ ซึ่งผมก็ช่วยคิดไปจำนวนหนึ่งจำไม่ได้ว่ากี่ประโยค และก็ไม่เคยถามด้วยว่าแกเอาของผมไปใช้บ้างหรือเปล่า ส่งเสร็จก็ลบทิ้งไป ถ้ารู้ว่ามันจะดังอย่างนี้จะเก็บไว้ฟ้องร้อง... เอ๊ยไม่ใช่... เป็นที่ระลึกว่าเราก็มีส่วนร่วมในระบบนี้เหมือนกันก็คงจะดี ไม่แน่เหมือนกันนะครับว่าการที่ Apple รีบออกผลิตภัณฑ์อย่าง iPad รุ่นสี่ หรือ iPad Mini นี่อาจทำไปเพื่อระดมทุนมาจ่ายค่าสิทธิบัตรนี่ก็ได้...  :) 


หมายเหตุ
ใครที่อยากดูตัวสิทธิบัตรว่าหน้าตาอย่างไรดูได้จากลิงก์ต่อไปนี้ครับ http://www.google.com/patents/US7177798

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จะทำยังไงเมื่อ Facebook คิดว่าเราตายไปแล้ว

บล็อกนี้เขียนขึ้นด้วยความประหลาดใจสองข้อครับ ข้อแรกคือผมเพิ่งจะรู้ว่า Facebook มีฟังก์ชันให้เราแจ้งว่าเพื่อนของเราตายไปแล้ว ข้อสองคือ Facebook จะเชื่อทันทีโดยไม่ตรวจสอบและเปลี่ยนสถานะบัญชีของคนที่ถูกแจ้งว่าตายแล้วเป็นสถานะอยู่ในความทรงจำ ซึ่งเจ้าของบัญชีที่อยู่ในสถานะนี้เมื่อล็อกอินเข้ามาแล้วจะเจอข้อความว่า

Account Inaccessible This account is in a special memorial state. If you have any questions or concerns, please visit the Help Center for further information.

 ถ้าแปลเป็นไทยก็จะได้ความประมาณว่า บัญชีนี้อยู่ในสถานะอยู่ในความทรงจำ ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยใด ๆ ให้ติดต่อศูนย์ช่วยเหลือ นั่นหมายความว่าเจ้าของบัญชีจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องติดต่อศูนย์ช่วยเหลือนี่เท่านั้น ซึ่งถ้าใครตอนนี้อยู่ในสถานะนี้ (และแน่นอนยังไม่ได้ตายจริง) นี่คือลิงก์ของศูนย์ช่วยเหลือเรื่องนี้ครับ แจ้งเรื่องสถานะอยู่ในความทรงจำ

ประเด็นที่ผมอยากจะเพิ่มเติมก็คือหนึ่งผมว่าคุณสมบัตินี้มีประโยชน์นะครับ ลองนึกว่าจะดีแค่ไหนถ้าเพื่อนเราตายไปแล้วแต่เวลาเราคิดถึงเขาเราก็ยังเข้าไปดูสิ่งที่เขาเคยโพสต์ได้ แต่ Facebook น่าจะทำอะไรได้ดีกว่าพอมีคนแจ้งปุ๊บก็เชื่อปั๊บและเปลี่ยนสถานะให้เขาตายทันที อย่างนี้ก็แกล้งกันได้ง่ายสิครับ และแน่นอนมีคนถูกแกล้งมาแล้ว สิ่งที่ Facebook ทำตอนนี้คือแค่มีคำเตือนอย่างนี้ครับ

IMPORTANT: Under penalty of perjury, this form is solely for the reporting of a deceased person to memorialize.

แปลเป็นไทยแบบสรุป ๆ ก็คือคุณอาจโดนข้อหาแจ้งความเท็จได้ ประเด็นคือต้องไปฟ้องร้องเอา แล้วกฎหมายนี้มันจะครอบคลุมทุกประเทศไหม อย่างประเทศไทยนี่มันเข้าข่ายพรบ.คอมพิวเตอร์ข้อไหนไหมแค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ซึ่งจริง ๆ ผมว่ามันมีวิธีป้องกันง่าย ๆ ที่ Facebook น่าจะคิดและทำได้ เช่นพอมีคนแจ้งก็ส่งอีเมลไปให้เจ้าของบัญชีก่อนเพื่อการยืนยัน โดยข้อความในจดหมายที่ผมคิดเล่น ๆ อาจเป็นประมาณนี้ (เอาแบบสนุก ๆ นะครับ)

  เรียนคุณ .... 

 เราได้รับแจ้งว่าคุณได้เสียชีวิตไปแล้ว ถ้าเป็นจริงเราเสียใจด้วย และคุณไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เราเข้าใจดีว่าการติดต่อสื่อสารจากอีกโลกหนึ่งมายังอีกโลกหนึ่งอาจมีความไม่สะดวก เราจะดำเนินการทุกอย่างให้คุณเอง ขอให้พักผ่อนอย่างสงบ 

แต่ถ้าคุณยังไม่ตาย เราขอแสดงความยินดีด้วย และเรายินดีที่จะได้บริการคุณต่อไป เราขอให้คุณคลิกที่ลิงก์ข้างล่างนี้ภายใน 30 วัน เพื่อยืนยันว่าคุณยังไม่ตาย และเราขอแนะนำเพิ่มเติมอีกว่าให้คุณเลิกคบกับคุณ ... ซึ่งเป็นคนแจ้งว่าคุณตายไปแล้ว แต่กรุณาอย่าแก้แค้นเขาด้วยการแจ้งว่าเขาตายไปแล้วเช่นกัน นั่นจะเป็นการเพิ่มงานให้กับเรา 

ด้วยความนับถืออย่างสูง 

 มาร์ค และทีมงาน Facebook 

หรือเวลาคนที่ถูกแจ้งตายล็อกอินเข้ามาก็มีข้อความแจ้งเตือน และให้เขายืนยันตัวตนด้วยการส่งลิงก์ไปให้คลิกจากอีเมล นี่คือวิธีง่าย ๆ ที่น่าจะทำได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ เออแต่นึกอีกทีไอ้เรื่องง่ายกว่านี้เขายังปล่อยปละละเลยมาตั้งนานเช่นเรื่องไม่ให้แก้คอมเมนต์เวลาพิมพ์ผิด ถ้าอยากแก้ก็ต้องลบคอมเมนต์แล้วพิมพ์ใหม่ นี่เพิ่งจะนึกได้ว่าควรจะให้แก้ได้ แต่เขาก็ทยอยเปิดคุณสมบัตินี้ให้ผู้ใช้นะครับ ไม่ได้ให้ใช้พร้อมกัน เหมือนตอนทยอยเปิดไทม์ไลน์นั่นแหละครับ ไม่แน่ใจว่าพวกเราจะได้ใช้เมื่อไหร่ (ตอนนี้อาจมีบางคนได้ใช้แล้วก็ได้)

ผมไม่ค่อยอยากคิดว่านี่เป็นบั๊กของโปรแกรมหรอกนะครับ เพราะขี้เกียจได้ยินประโยคที่มักจะได้ยินบ่อย ๆ ว่า

It's not a bug. It's a feature (มันไม่ใช่บั๊กนะเฟ้ย มันเป็นคุณสมบัติของโปรแกรมต่างหาก)

สุดท้ายก็หวังว่าคงจะไม่มีใครเอาเรื่องนี้ไปแกล้งกันนะครับ...

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คนไทยยอมรับรัฐบาลที่โกงแต่ให้ประโยชน์จริงหรือ


อ่านข่าวว่าโพลบอกว่าคนไทยยอมให้รบ.โกงถ้าตัวเองได้ประโยชน์ด้วยมาหลายครั้งแล้ว ล่าสุดนี่ก็อีกครั้ง อึ้ง! โพลชี้คนไทย รับได้รัฐบาลทุจริต แล้วก็มักจะมีข้อสรุปว่าคนไทยมีทัศนคติไม่ดี ทัศนคติอันตรายบ้าง ผมดูผลแล้วก็งงอยู่ว่าคนไทยเป็นอย่างนี้จริงหรือ โดยส่วนตัวอยากเห็นคำถามในโพลมากว่าเป็นอย่างไร อยากรู้ว่ามันมีให้เลือกระหว่างรัฐบาลที่ไม่โกงแต่ไม่เก่ง (ประชาชนได้ประโยชน์น้อย) กับรัฐบาลที่โกงแต่เก่งไหม ถ้ามีแล้วผลยังออกมาแบบนี้ในส่วนตัวก็คิดว่านั่นคือทัศนคติที่ต้องแก้ไขจริง ๆ เพราะโดยส่วนตัวผมเชื่อว่าความเก่งพัฒนากันได้ แต่ความซื่อสัตย์สุจริตนี่สร้างยากครับ และในแง่ของนักลงทุนเขาก็คงต้องการลงทุนกับรัฐบาลที่ซื่อสัตย์สุจริตมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นถ้าประชาชนมีความคิดอย่างนี้จริง ค่านิยมนี้ก็จะระบาดไปทั่วสังคม ซึ่งคงไม่ต้องบอกนะครับว่าสังคมที่มีแต่คนที่ไม่ซื่อสัตย์นี่มันจะเป็นอย่างไร

แต่ผมไม่คิดว่าประเทศเราจะอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายอย่างนั้นครับ ผมเชื่อว่าที่ผลออกมาแบบนี้เพราะคนไทยส่วนใหญ่น่าจะเห็นว่ารัฐบาลไหนก็โกงทั้งนั้น ดังนั้นถ้าต้องเลือกก็ขอเลือกที่โกงแล้วแต่ประเทศยังก้าวเดินไปข้างหน้าได้ก็แล้วกันมากกว่า

แน่นอนครับผมคิดว่าคนไทยทุกคนก็อยากได้รัฐบาลที่ไม่โกงและเก่งด้วย แต่ด้วยนักการเมืองที่มีอยู่ตอนนี้เราคงหวังได้ยาก ดังนั้นเราคงต้องช่วยกันครับ เริ่มจากตัวเราครับตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย เช่นทำตามกฏหมายง่าย ๆ อย่างเคร่งครัด เช่นข้ามถนนบนสะพานลอย ไม่ขับรถย้อนศรเพื่อที่จะได้กลับรถใกล้ ๆ นักเรียนนักศึกษาไม่ทุจริตการสอบ ไม่จ่ายเงินใต้โตะเพื่อให้ได้รับบริการที่เร็วขึ้น และไม่จ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะเพื่อให้ลูกเข้าโรงเรียนดัง ๆ เป็นต้น ซึ่งผมมองว่าเรื่องการทุจริตนั้นมันมักจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้แหละครับ และมันก็ติดเป็นนิสัยจนไปทำเรื่องที่ใหญ่ขึ้น และอย่าลืมครับว่าเด็ก ๆ เขามองการกระทำของเราเป็นตัวอย่างอยู่นะครับ พ่อแม่ที่จูงมือลูกข้ามถนนใต้สะพานลอย ลูกก็จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้ระเบียบวินัย พ่อแม่ที่จ่ายเงินให้ลูกได้เข้าเรียนลูกก็จะคิดว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง ดังนั้นเขาก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่คิดแต่จะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ อะไรประมาณนี้ ส่วนเรื่้องความเก่งนั้นผมว่าน่าจะทำได้ด้วยการพัฒนาตัวเองให้เป็นคนรู้รอบและรอบรู้ครับ เริ่มต้นจากพัฒนาตัวเองให้สามารถหาความรู้ต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองครับ หรือพูดง่าย ๆ ว่าเป็นคนที่สามารถเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้ตลอดชีวิต รู้จักแยกแยะข้อมูลข่าวสารรับข่าวสารให้รอบด้าน ปัญหาของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่พวกเราหลายคนเลือกที่จะรับข่าวสารเพียงด้านเดียวและไม่กรองข่าวสารด้วยนี่แหละครับ

วันนี้อาจจะหนักไปหน่อยแต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เริ่มเขียนที่โรงเรียนกวดวิชาแต่จบที่บ้าน


บล็อกนี้เริ่มเขียนที่โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังแห่งหนึ่งในวิสุทธานีครับ และพูดอย่างไม่กลัวเชยว่าผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก มาส่งลูกคนโตเรียนพิเศษและถือโอกาสเดินสำรวจไปทั่ว ๆ จากนั้นก็เข้ามานั่งรอลูกและเริ่มเขียนบล็อกนี้ครับ ผมเข้ามาสู่วังวนของโรงเรียนกวดวิชาอีกครั้งแล้วครับหลังจากหยุดมานานตั้งแต่สมัยที่ให้ลูกไปเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเข้าป.1 ตอนนั้นผมกับภรรยาก็ยังไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่ามันควรทำหรือไม่ แต่ได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ทั้งเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องว่าควรไปจะได้รู้แนวข้อสอบงั้นจะเสียเปรียบเขา เราก็เลยพาลูกไปเรียน ซึ่งจริงๆ ก็สงสารลูกนะครับและต้องชมเขาอีกครั้งว่าพวกเขาซึ่งตอนที่ไปเรียนนั้นอายุแค่ประมาณห้าขวบ ตื่นกันขึ้นมาแต่เช้าและยอมไปเรียนโดยไม่งอแง

หลังจากสอบเข้าป.1 แล้วผมกับภรรยาก็ไม่ได้ให้ลูกไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาที่ไหนอีก จะมีก็แค่เป็นส่วนเสริมเช่นไปเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ดนตรี ฟุตบอล แต่ถ้าจะเรียนเป็นงานเป็นการก็คือคุมองซึ่งเป็นการเน้นการทำโจทย์คณิตศาสตร์และฝึกให้เด็กรู้จักรับผิดชอบ และถ้าแบ่งเวลาดี ๆ ก็จะใช้เวลาไม่มาก  ซึ่งจริง ๆ ผมเพิ่งมาทราบภายหลังว่าภรรยาผมเธอมีจุดประสงค์แอบแฝงในการให้ลูกไปเรียนคุมอง เพราะเธอต้องการเปิดศูนย์คุมองครับเลยส่งลูกไปเป็นสายลับก่อน :) ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้เปิดศูนย์คุมองสมใจเธอแล้ว   

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่ชอบให้ลูกเรียนกวดวิชาคำตอบก็คือผมกับภรรยาไม่คิดว่าการเรียนพิเศษในวิชาที่เรียนอยู่ในห้องมันจะเป็นเรื่องจำเป็นอะไร สำหรับภรรยาผมเท่าที่คุยกันเธอก็ไม่เคยไปเรียนพิเศษที่ไหนเนื่องจากตอนเด็กเธอต้องช่วยที่บ้านขายของ ส่วนผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเองครับ ผมจะใช้วิธีซื้อหนังสือคู่มือมาอ่านแล้วก็ฝึกทำโจทย์ อีกอย่างหนึ่งเราคิดว่าการไปเรียนกวดวิชาเป็นการยัดเยียดอะไรให้ลูกมากเกินไป เราก็เลยสอนลูกให้ตั้งใจเรียนทำความเข้าใจในห้องและหมั่นทบทวนซึ่งลูกก็สอบในโรงเรียนได้ดีโดยไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่ไหน

คราวนี้ทำไมให้ลูกมากวดวิชาอีก เหตุผลเริ่มจากที่ภรรยาผมต้องการให้ลูกคนเล็กลองมาสอบเข้าม.1 ที่โรงเรียนอื่นดูบ้าง เธอให้เหตุผลว่าให้เขามาลองฝีมือดู มาเทียบกับเด็กโรงเรียนอื่นดูบ้าง  ซึ่งเราก็ให้เขามาลองสอบ pre-test  เข้า ม. 1 ซึ่งโรงเรียนดัง ๆ ส่วนใหญ่นิยมจัดกัน ลองให้เขาสอบตั้งแต่เขาอยู่ ป. 5 ผลปรากฏว่าไม่ติดฝุ่นครับ เจ้าตัวเล็กผมตอนอยู่โรงเรียนเดิมนี่ได้ที่ 1-3 ของห้องมาเกือบตลอด แต่พอมาสอบนี่ไม่ติดอันดับเลย ตอนนั้นเราก็วิเคราะห์กันว่าเพราะเขาอยู่แค่ป. 5 และไม่ได้เตรียมตัวสอบดีเท่าไร  พอเขาอยู่ป. 6 ก็ให้มาลองสอบอีกปรากฏว่าดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ติดอันดับเหมือนเดิม คราวนี้เราก็เลยต้องคิดกันใหม่  ช่วงแรกเราก็เลยหาคู่มือสอบมาให้เขาลองทำซึ่งทำให้รู้ว่าเขาไม่เคยเจอข้อสอบในลักษณะนั้นมาก่อน เท่าที่จำได้และเห็นเด่นชัดก็คือวิชาวิทยาศาสตร์ซึ่งการเรียนในโรงเรียนดูเหมือนจะไม่ได้เน้นพวกโครงสร้างอะตอมอะไรพวกนี้ (อันนี้ที่รู้เพราะเวลาลูกสอบผมมักจะหาเวลามาติวลูก) แต่ในคู่มือกลับมีข้อสอบลักษณะนี้ ซึ่งผมจำได้ว่าสมัยผมกว่าจะเรียนพวกนี้ หรือรู้จักตารางธาตุก็ตอนม.ปลายแล้ว แต่นี่แค่เด็กป. 6 และข้อสอบไม่ได้ถามแค่ให้รู้จักธรรมดายังถามให้คำนวณด้วย หรืออย่างข้อสอบคณิตศาสตร์นี่มันก็จะมีสูตรลัดต่าง ๆ ซึ่งถ้าทำตรง ๆ อาจใช้เวลานาน และในบางวิชาถึงจะมีเฉลยแล้วเราก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปอยู่ดี คือผมกับภรรยาก็พยายามช่วยเขา แต่ความที่เราก็ทิ้งวิชาอื่น ๆ นอกจากเลขกับภาษาอังกฤษมานานแล้วทำให้บางครั้งเราก็ตอบไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร  อีกประการที่ผมพยายามฝึกลูกอยู่ก็คือลูกผมไม่เหมือนผมที่ชอบอ่านและทำโจทย์เองครับ ด้วยเหตุผลนี้เราจึงคิดว่าน่าจะลองให้เขาเรียนพิเศษดูและเขาก็น่ารักอีกตามเคยที่ยอมไปเรียนครับ แต่คราวนี้แรก ๆ ก็มีงอแงบ้าง เพราะจริง ๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากย้ายจากโรงเรียนเดิมครับ เราก็ต้องบอกเขาว่าอยากให้เขาไปเรียนเพื่อที่จะเพิ่มความรู้ให้เขาไปลองเทียบฝีมือกับคนอื่นดู ถ้าสอบได้และเขาไม่อยากย้ายก็จะไม่บังคับอะไร

สรุปเจ้าคนเล็กเริ่มเรียนพิเศษเพื่อเตรียมสอบเข้าม.1 ช้ามากคือมาเริ่มเรียนตอนป.6 แล้ว ไปสอบสนามแรกก็ไม่ติด มาสนามที่สองก็ยังไม่ติดแต่ที่ผมสังเกตุคือคะแนนเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนถึงสนามสุดท้ายบดินทรเดชา 2 สนามนี้เจ้าคนเล็กอยากเข้ามากครับ เพราะเขาไปได้เพื่อนใหม่ที่เรียนพิเศษด้วยกันและตั้งใจเข้าบดินทร 2 ด้วยกัน  (คิด ๆ ดูนี่เจ้าตัวเล็กผมใจง่ายนะครับ เพื่อนโรงเรียนเดิมเรียนกันมาตั้งหกปีจะทิ้งไปอยู่กับเพื่อนที่เพิ่งเรียนด้วยกันซะแล้ว) ปรากฏว่าเขาสอบติดครับและเพื่อนเขาที่เรียนด้วยกันหลายคนก็ติดด้วย ไม่รู้ว่านี่จะสรุปได้ไหมว่าโรงเรียนกวดวิชามีผลเป็นอย่างมาก ถ้าลูกใครสอบเข้าได้โดยไม่ต้องไปกวดวิชาที่ไหนนี่มาแสดงความเห็นด้วยก็ดีนะครับ มาช่วยบอกหน่อยว่าทำยังไง คือถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้ชอบโรงเรียนกวดวิชา แต่มันเหมือนกับว่าถ้าคุณไม่กวดวิชาคุณก็จะเสียเปรียบสู้คนที่กวดไม่ได้  

คราวนี้ก็ถึงรอบคนโตครับเพราะภรรยาผมก็ต้องการให้เขาไปวัดฝีมือสอบเข้าม.4 กับเด็กอื่นอีกแล้ว และนี่ก็คือเหตุผลที่ผมต้องมาที่วิสุทธานีเป็นครั้งแรก และยังคงจะต้องมาอีกหลายครั้งเพื่อรับส่งเขา ส่วนคนเล็กนี่เราตัดสินใจให้เขาหยุดเรียนพิเศษไว้ก่อนครับ เพราะเราก็ยังเชื่อว่าการตั้งใจเรียนและทบทวนบทเรียนในห้องเรียนน่าจะเพียงพอสำหรับการเรียนในโรงเรียนแล้ว ซึ่งถ้าแค่เรียนในโรงเรียนยังต้องมากวดวิชานี่เราสองคนก็ยังไม่เห็นด้วยครับ เพราะเราคิดว่ามันจะติดเป็นนิสัยจนเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยครับ ซึ่งเหตุการณ์นี้เจอกับตัวเองเลย มีลูกศิษย์บางคนเคยเข้ามาถามว่าอาจารย์ไม่รับติวพิเศษบ้างหรือ ซึ่งผมก็บอกว่าเราเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้วเราไม่ควรจะต้องมีการมาติวพิเศษอีกแล้ว เราจะต้องหัดเรียนรู้และรับผิดชอบด้วยตัวเองให้ได้ เร็ว ๆ นี้ก็ได้คุยกับเพื่อนที่เป็นอาจารย์ด้วยกันแต่อยู่กันคนละมหาวิทยาลัยซึ่งเขาก็บอกว่าเดี๋ยวนี้ค่านิยมการเรียนพิเศษมันได้ลามไปถึงระดับป.โทหรือกระทั่งป.เอกแล้ว ฟังแล้วก็อนาถใจ 

สิ่งหนึ่งที่ผมได้เห็นจากเรื่องโรงเรียนกวดวิชานี้ก็คือเหตุผลของการที่เด็กต้องมาเรียนกวดวิชา ซึ่งผมสรุปเองได้หลัก ๆ สามข้อ หนึ่งคือข้อสอบที่ใช้สอบเข้าไม่ว่าจะระดับไหนไม่ได้ออกตามจุดประสงค์หรือแม้กระทั่งอาจจะไม่ตรงกับหลักสูตรที่เด็กได้เรียนมา (ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น) สองการมาเรียนกวดวิชาทำให้เด็กได้สูตรลัดในการคิดคำนวณซึ่งก็จะได้เปรียบกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนเพราะจะทำให้ได้คำตอบที่เร็วกว่า (แต่จุดประสงค์ของการสอบต้องการวัดอะไรกันแน่ วัดความเร็วหรือจะวัดกระบวนการคิด) สามครูที่สอนอยู่ในสถานศึกษา(รวมถึงตัวผมด้วย) อาจต้องพิจารณาแล้วว่าทำไมเราจึงสื่ิอสารกับเด็กสู้ติวเตอร์ที่สอนพิเศษเหล่านี้ไม่ได้ บางคนอาจถามว่าแล้วความแตกต่างระหว่างโรงเรียนไม่เกี่ยวหรือ ผมว่าไม่เกี่ยวนะเด็กที่มาเรียนพิเศษที่ผมเห็นอยู่รวมถึงลูกผมด้วยส่วนใหญ่ก็มาจากโรงเรียนดัง ๆ กันทั้งนั้น คือพูดง่าย ๆ ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่โรงเรียนไหนคุณก็ต้องกวดวิชาทั้งนั้น ผมยังเคยคิดเล่น ๆ เลยว่าถ้ามันเป็นอย่างนี้ให้ลูกเรียนกศน.เสียเลยดีไหม แล้วก็มาเรียนกวดวิชาเอา  

ผมเริ่มเขียนบล็อกที่โรงเรียนกวดวิชาแต่สุดท้ายก็มาจบที่บ้านครับ ยังไงเสียบ้านก็จะเป็นที่บ่มเพาะสำคัญให้ลูก ๆ ของเราเติบโตเป็นสมาชิกที่ดีของประเทศชาติต่อไป ช่วยกันทำบ้านให้อบอุ่นเพื่อลูกหลานของเรากันนะครับ วันนี้จบมันแบบไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนมาแบบนี้แหละ สวัสดีครับ...

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กรุงเทพมีคำขวัญแล้ว

กรุงเทพมีคำขวัญแล้วครับ เมื่อสามปีก่อน ผมเคยเขียนบล็อกเรื่องคำขวัญกรุงเทพ? เอาไว้ เหตุผลที่ผมเขียนบล็อกนั้นก็เพราะผมรู้สึกประหลาดใจครับ เ้หตุก็คือเมื่อสามปีที่แล้วผมติวหนังสือเตรียมตัวสอบกับลูกเรื่องคำขวัญของจังหวัดต่าง ๆ และผมพบว่าในหนังสือเล่มนั้นบอกว่าคำขวัญของกรุงเทพคือ

ช่วยชุมชนแออัด ขจัดมลพิษ แก้ปัญหารถติด ทุกชีวิตรื่นรมย์


ซึ่งผมอ่านแล้วตอนแรกก็ขำกลิ้ง แล้วก็รู้สึกงงว่านี่มันคำขวัญหรือป้ายหาเสียงกันแน่ แต่ตอนนี้เราได้คำขวํญของกรุงเทพจริง ๆ แล้วครับ  โดยสรุปก็คือทางกทม.ได้จัดประกวดตั้งคำขวัญกรุงเทพ แล้วได้คำขวัญที่เข้ารอบสุดท้ายมาห้าคำขวัญ จากนั้นก็ให้คนเข้้าไปโหวต (แต่แปลกนะทำไมผมไม่รู้เรื่องเรื่องนี้เลย) และสุดท้ายผลการโหวตออกมาแล้วครับ เราได้คำขวัญกรุงเทพดังนี้ครับ

กรุง​เทพฯ ดุจ​เทพสร้าง ​เมืองศูนย์กลาง​การปกครอง วัด วัง งาม​เรืองรอง ​เมืองหลวงของประ​เทศ​ไทย     

จากที่ไปอ่านดูคำขวัญที่เข้ารอบมาก็เพราะทุกอันเลยนะครับ ถ้าใครอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างก็ดูจากที่มาได้เลยครับ

ที่มา: mthai

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เครื่องมือไม่ใช่ปัญหาคนต่างหากที่เป็นปัญหา

วันนี้พอดีได้อ่านข่าวจาก blognone เรื่องนี้ครับ นิวยอร์คซิตี้ออกกฎใหม่ห้ามอาจารย์-นักเรียนเป็นเพื่อนกันบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค เหตุผลที่เขาออกกฎนี้ออกมาก็เพราะในปีที่แล้วมีกรณีไม่เหมาะสมระหว่างครูกับนักเรียนเกิดขึ้นผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คหลายกรณีด้วยกัน พออ่านแล้วก็รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีจะมีผู้คนที่ใช้วิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ต่างจากประเทศสารขัณฑ์ที่นึกอะไรไม่ออกก็บล็อกเว็บไซต์ไว้ก่อนแบบนี้  ผมไม่คิดว่าการแก้ปัญหาแบบนี้มันจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดนะครับ กรณีระหว่างครูกับนักเรียนนี่ถ้ามันจะมีไม่ต้องมีโซเชียลเน็ตเวิร์คมันก็มีได้ และจริง ๆ ไอ้เรื่องแบบนี้มันก็มีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะมีโซเชียลเน็ตเวิร์คแล้ว

การที่นักเรียนกับอาจารย์เป็นเพื่อนกันบนโซเชียลเน็ตเวิร์คมันก็มีประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ การติดตามดูแลการโพสต์ของนักศึกษาไม่ให้เกินเลยไปรวมถึงการโพสต์ข้อความของตัวอาจารย์เองด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการที่อาจารย์กับนักเรียนเป็นเพื่อนกันบนเฟซบุ๊คก็จะทำให้นักเรียนไม่รู้สึกกลัวเวลาที่จะต้องไปพบอาจารย์เพื่อปรึกษาเรื่องต่าง ๆ หรือถ้ายังกลัวอยู่ก็ยังสามารถขอคำปรึกษาผ่านเฟซบุ๊คได้ ซึ่งในยุคสมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนอยู่นี่เวลาต้องเข้าไปปรึกษาอาจารย์ก็รู้สึกเกร็ง ๆ แทบทุกครั้ง ขนาดไม่ได้ทำความผิดอะไรนะครับ และไม่มีเฟซบุ๊คให้ไปโพสต์ถามด้วยต้องเข้าไปเผชิญหน้ากันอย่างเดียว เทียบกับลูกผมตอนนี้เป็นเพื่อนกับครูบนเฟซบุ๊คอยากถามอะไรก็ถามได้ง่าย หรือบางครั้งก็มีการคุยเล่นสนุก ๆ กับครูของเขาบ้าง  หรือแม้แต่ตัวผมเองต้องบอกว่าเพื่อนของผมกว่าครึ่งบนเฟซบุ๊คตอนนี้ก็คือลูกศิษย์ของผม และผมก็ถูกแซวบ้างเวลาที่ลิเวอร์พูลแพ้ (แต่ก็อย่าแซวมากนักนะ เดี๋ยวมีเคือง) ซึ่งผมว่าตรงนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนใกล้ชิดกันมากขึ้น

สรุปก็คือผมว่าทั้งหลายทั้งปวงมันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนไม่ว่าจะมีอาชีพใดก็ตาม ถ้าคนคนนั้นไม่มีจิตสำนึกที่ดี ต่อให้ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรคนคนนั้นก็ทำเรื่องไม่ดีได้ การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่น่าจะใช่การไปควบคุมการใช้เครื่องมือที่คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนดีใช้ประโยชน์อยู่ แต่ควรจะกลับมาเน้นเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่เด็ก ๆ ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า และช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องผู้ใหญ่ไม่ดีในวันนี้ไม่ให้ทำเรื่องชั่วร้ายและควรจะลงโทษสถานหนักสำหรับคนที่ทำผิดมากกว่า 


วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

คำเตือนสำหรับผู้ที่จะใช้โปรแกรมช่วยคำนวณภาษี

สวัสดีครับวันนี้ผมมีข้อแนะนำสำหรับคนที่จะใช้โปรแกรมช่วยคำนวณภาษีของกรมสรรพากรเพื่่อช่วยคำนวณภาษีมาฝากครับหวังว่าคงไม่สายเกินไปนะ ก่อนอื่นสำหรับคนที่เพิ่งจะเคยเสียภาษีเป็นครั้งแรก หรือเพิ่งอยากจะลองยื่นภาษีออนไลน์ กรมสรรพากรเขาได้อำนวยความสะดวกด้วยการจัดเตรียมโปรแกรมช่วยคำนวณภาษีไว้ให้ โดยให้เราป้อนข้อมูลเงินได้ ค่าลดหย่อนต่าง ๆ ของเรา และโปรแกรมก็จะคำนวณภาษีให้ ที่ดีไปกว่านั้นก็คือเราสามารถจัดเก็บข้อมูลลงไฟล์ แล้วอั๊พโหลดขึ้นเว็บของกรมสรรพากรในกรณีที่เราต้องการจะยื่นแบบภาษีออนไลน์ได้เลย  โดยเราสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมได้จากเว็บนี้ครับ http://rdserver.rd.go.th/publish/page901_ty54.htm

ผมเพิ่งจะยื่นออนไลน์ไปเมื่อสักครู่นี้เองครับ จริง ๆ น่าจะยื่นได้ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว แต่โปรแกรมช่วยคำนวณนี้ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ครับ ทำให้ผมต้องนั่งกรอกข้อมูลซ้ำซากอยู่สามครั้งกว่าจะบันทึกข้อมูลได้ จำได้ว่าปีก่อนหน้าก็ไม่เคยเจอข้อผิดพลาดนี้นะครับ แต่ทำไมปีนี้เจอก็ไม่รู้ครับ  มาดูกันครับว่าข้อผิดพลาดที่ผมเจอคืออะไร สำหรับผมยื่นแบบ ภงด. 90 นะครับ สำหรับภงด. แบบนี้จะมีให้เรากรอกทั้งหมด 10 หน้า โปรแกรมนี้ก็จะให้เรากรอกจนถึงหน้่าสุดท้าย  (หน้าไหนไม่เกี่ยวกับเราก็ข้ามไปได้ครับ)  แล้วจึงจะสั่งจัดเก็บได้ ข้อผิดพลาดที่ผมเจอคือ เมื่อผมสั่งจัดเก็บโปรแกรมก็บอกว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แล้วก็หลุดออกไปครับ นั่นคือสิ่งที่ผมป้อนไว้ก่อนหน้าก็ลาโลกตามโปรแกรมไปด้วยเช่นกัน คราวนี้ปัญหาเกิดจากอะไร ซึ่งผมลองวิเคราะห์ดูน่าจะเกิดจากสาเหตุสองประการครับ เพราะครั้งที่สามที่ผมหลีกเลี่ยงสองประการดังกล่าวแล้วมันทำงานได้ครับ สองประการที่ว่ามีอะไรบ้าง

1. ห้ามเปิดไฟล์เก่าของปีที่แล้วมาแก้ โปรแกรมจะปล่อยให้คุณแก้ไปจนเสร็จก่อน แล้วพอสั่งจัดเก็บก็จะ  error แล้วก็หลุดออกไป (ทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้ ถ้าชอบของสด ๆ ซิง ๆ ก็น่าจะบอกกันก่อน)
2. อย่าพยายามเปลี่ยนโฟลเดอร์ที่่โปรแกรมใช้จัดเก็บไฟล์ ถ้าพยายามทำอย่างนั้น โปรแกรมก็อาจจะ error และหลุดออกไปเช่นกัน (ขอโทษนะครับ ทีหลังผมจะเชื่อฟังครับ ไม่น่าโหดร้ายขนาดนี้เลย)

สุดท้ายมีอีกจุดหนึ่งที่ผมขอเตือนไว้ครับ เพราะปีที่แล้วโดนมากับตัวคือโดนให้จ่ายภาษีย้อนหลังเพราะสรรพากรบอกว่าผมคำนวณภาษีผิด (ผมใช้โปรแกรมคุณคำนวณนะ)  คือถ้าใครผ่อนบ้านอยู่ มันจะมีช่องให้คุณกรอกลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านที่คุณผ่อนอยู่ได้ ถ้าคุณมีภรรยา เวลาคุณกรอกดอกเบี้ยลงไปเท่าไหร่ก็ตาม มันจะเอายอดนั้นไปขึ้นที่ภรรยาคุณด้วย ซึ่งสรรพากรบอกว่าอย่างนี้ผิดนะครับ (โปรแกรมมันทำให้นะย้ำอีกรอบ) เพราะถือว่าคุณหักภาษีเกิน คุณต้องหารครึ่งยอดนั้่นด้วยตัวคุณเองแล้วค่อยกรอกลงไป (สุดยอดไหมล่ะครับท่านทั้งหลาย)

ก็มีคำเตือนอยู่เท่านี้ล่ะครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีด้วยการเสียภาษีให้ประเทศชาตินะครับ





วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มองย้อนปีเก่า 2554 พร้อมก้าวเข้าสู่ปีใหม่ 2555

ก่อนอื่นก็ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่ก่อนนะครับ ขอให้มีความสุข สุขภาพแข็งแรง และประสบความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาที่เป็นสิ่งดี ๆ ครับ เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ ครับ เหมือนกับเพิ่งผ่านบรรยากาศปีใหม่ปีที่แล้วไปไม่นานนี้เอง ช่วงที่ผมหนีน้ำท่วมไปอยู่บ้านพี่สาวของภรรยาเมื่อเดือนที่แล้ว เห็นป้ายที่หมู่บ้านเขียนเชิญชวนร่วมงานปีใหม่ ตอนแรกผมนึกว่าเป็นป้ายเก่าที่ยังไม่ได่้เก็บ แต่พอเดินเข้าไปดูเออนี่มันของใหม่นี่ และ (ตอนนั้น) มันเดือน พ.ย. แล้ว

ถ้าย้อนกลับไปดูปีที่กำลังจะผ่านไปจะเห็นว่ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายเริ่มตั้งแต่มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่  และเราได้นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก จนมาถึงมหาอุทกภัยที่สร้างความเดือนร้อนไปทั่วประเทศ สิ่งที่ผมได้เห็นจากเหตุการณ์เหล่านี้ประเด็นใหญ่ก็คือ นักการเมืองทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านรวมถึงข้าราชการประจำของเราหลายคนยังไม่มีคุณภาพ การแก้ปัญหาหลาย ๆ อย่างน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ที่น่าภาคภูมิใจก็คือบรรดาจิตอาสาทั้งหลายซึ่งหลายคยเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งในตอนที่สถานการณ์ปกติพวกผู้ใหญ่หลายคนอาจจะรู้สึกหนักใจ เพราะเห็นว่าพวกนี้เป็นเด็กไร้สาระเอาแต่เล่นเกมเล่นเฟซบุ๊ค แต่พอถึงสถานการณ์พวกเขาก็แสดงพลังให้เห็นโดยไม่แบ่งสีแบ่งฝ่าย ดีกว่าผูํ้ใหญ่บางคนที่ยังแยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรสำคัญหรือไม่สำคัญ

แต่สิ่งที่ผมหนักใจมากที่สุดก็คือการแสดงความเห็นและข้อมูลที่ส่งผ่านกันผ่านทางเครือข่ายสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการแตกแยกในสังคมนั้นยังคงมีอยู่ หลาย ๆ คนแสดงความเห็นต่อข้อมูลที่ได้เห็นด้วยความรวดเร็วโดยขาดการไตร่ตรอง การแสดงความเห็นนั้นหลาย ๆ ครั้งเกิดจากอคติส่วนตัวของตัวเอง คือถ้ามีข้อมูลที่ไม่ดีเกี่ยวกับฝ่ายที่ตัวเองไม่ชอบ ก็พร้อมที่จะช่วยถล่มซ้ำ ในขณะที่ฝ่ายที่ตัวเองชอบจะทำอะไรผิดพลาดก็พร้อมที่จะมองข้ามไปหรือหนักกว่านั้นก็ไปกล่าวหาว่าเป็นการกลั่นแกล้งจากอีกฝั่งหนึ่ง หลาย ๆ ครั้งข้อมูลบางอย่างที่ได้มาถ้าทำใจเป็นกลางก็อาจฉุกคิดสักหน่อยได้ว่าเอมันจริงหรือ

ที่หนักไปกว่านั้นความรู้สึกของคนเมืองที่นึกว่าตัวเองฉลาดกว่าคนชนบทก็ยังมีอยู่ และแสดงออกมาอย่างชัดแจ้งผ่านทางความเห็นประเภทเพราะคน ... เลือกคน ... เข้ามาบริหารประเทศถึงได้เป็นอย่างนี้ ทั้งที่ความจริงฝ่ายที่ตัวเองคิดว่าดีกว่าก็เคยทำหน้าที่มาแล้ว และจริง ๆ ก็ไม่ได้ดีกว่า บางคนที่เป็นคนมีชื่อเสียงในสังคม ถึงกับหลุดด่าคำรุนแรงอย่างคำว่าโง่ออกมา และก็มีแนวร่วมเข้าไปช่วยกันซ้ำแถมเชียร์ว่าเป็นคนเก่งคนกล้า ทั้งที่การกระทำอย่างนั้นไม่น่าจะได้รับความชื่นชมแต่อย่างใด ผมไม่ได้บอกว่าจะตำหนิหรือวิจารณ์การทำงานไม่ได้นะครับ เพราะผมก็ติไปเยอะ แต่จะติก็ให้ติไปที่ผลงานของเขา อย่าไปติหรือจิกหัวด่าไปที่ตัวบุคคล ถามตัวเองครับว่าคุณเป็นใครมีสิทธิอะไรไปจิกหัวด่าเขา หรือไปเรียกผู้บริหารบ้านเมือง (กทม.) ว่าไอ้เอ๋ออย่างนี้นี่มันอะไรกัน ถ้ามีใครมาเรียกคุณอย่างนี้บ้างมาด่าคุณว่าโง่บ้างคุณรู้สึกอย่างไร ถ้าจะให้ดีติแล้วเสนอทางแก้ที่คิดว่าน่าจะดีกว่าออกมาด้วย นอกจากนี้ยังมีคำพูดประเภทว่าดูซิปล่อยปละละเลยให้น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ให้น้ำท่วมเมืองหลวง ทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าเขาพยายามป้องกันอยู่ แต่ด้วยความผิดพลาดหรือไร้ประสบการณ์อะไรก็ตามทำให้มันไม่สำเร็จ

เอาล่ะครับนั่นมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วเรามามองไปปีหน้ากันดีกว่า เริ่มจากในหลวงของเราครับ ผมหวังว่าพระองค์ท่านจะหายจากอาการประชวรมีพระวรกายที่สมบูรณ์ และเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยต่อไปตราบนานเท่านาน

ส่วนเรื่องภัยธรรมชาตินั้นผมก็หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นร้ายแรงแบบนี้อีก และถ้าเกิดอีกก็หวังว่าภาครัฐจะเอาอยู่จริง ๆ เสียที

ส่วนนักการเมืองก็ขอให้ทำงานโดยเลิกเล่นการเมืองให้นึกถึงประชาชนเป็นหลัก เลิกโต้เถียงกันด้วยเรื่องไร้สาระ  ข้าราชการก็ขอให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถอย่าเล่นการเมืองตามไปด้วย ส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมก็ขอให้ปฏิบัติกับทุกฝ่ายอย่างเสมอภาคกันอย่าหลายมาตรฐาน เฮ้อรู้สึกว่าความหวังในส่วนนี้แต่ละข้อน่าจะเป็นไปได้น้อยสุด เอาน่าตั้งความหวังไว้ก่อน


ในส่วนเรื่องความแตกแยก ผมหวังว่าเราเริ่มจากตัวเองก่อนครับ ก่อนจะโพสต์อะไรก็คิดก่อนว่าการโพสต์อย่างนั้นมันได้ประโยชน์อะไรบ้างนอกจากความสะใจ ได้ข้อมูลอะไรมาก็ไตร่ตรองเสียหน่อยหรือตรวจสอบจากหลาย ๆ ทาง หาความรู้ครับว่าสื่อไหนเอียงไปข้างไหน การโพสต์ที่มุ่งโจมตีบุคคล หรือก่อความแตกแยกก็ควรจะเลี่ยงเสีย เวลาอีกฝ่ายหนึ่งจะทำอะไรก็อย่าคิดแต่ค้านอย่างเดียว ลองรับฟังเหตุผล และประเด็นที่เขาต้องการสื่อออกมาดูบ้าง ถ้าทำได้อย่างนี้ผมว่าประเทศของเราจะสงบมากขึ้น และกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้

ในด้านส่วนตัวเราเองผมว่าพวกเราหลายคนคงตั้งปณิธาณปีใหม่กันแล้วนะครับ ผมก็เช่นกันแต่เวลาปีหนึ่ง ๆ นี่ผ่านไปเร็วมากมีสิ่งที่ผมตั้งใจจะทำในปีนี้หลายอย่างที่ผมยังทำไม่ได้ ซึ่งถ้าจะแก้ตัวก็น่าจะบอกว่างานเยอะ แต่ปัญหาจริง ๆ น่าจะเกิดจากการบริหารเวลาที่ไม่ดีมากกว่า ก็ตั้งใจว่าปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้จะพยายามทำให้ได้ รวมถึงปรับปรุงนิสัยบางอย่างที่คุณภรรยาออกมาตำหนิด้วย (ไม่ต้องถามนะครับว่าเรื่องอะไร แต่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ทำการบ้านหรอกครับ ;) )

สำหรับปณิธานเรื่องบล็อก จริง ๆ ผมเป็นคนชอบเขียนชอบเล่านะครับ แต่ด้วยการบริหารเวลาที่ไม่ดีทำให้ไม่สามารถจัดสรรเวลามาเขียนได้มากอย่างที่ตั้งใจ ก็หวังว่าปีใหม่นี้จะเขียนได้มากขึ้น และก็หวังว่ายังจะมีคนอ่านอยู่นะครับ ^^ สำหรับบล็อกนี้ก็จะเน้นไปที่เรื่องทั่ว ๆ ไป หรือเทคโนโลยีที่น่าสนใจที่ผมพบเจอมาแล้วอยากมาเล่าให้ฟังเหมือนเดิม ส่วนเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ตั้งใจว่าจะไปเปิดขึ้นมาอีกบล็อกหนึ่ง โปรดติดตามครับ บล็อกสรุปย่อเกี่ยวกับงานวิจัยทางด้านคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่แล้วจะอัพเดตมากขึ้นอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และเพิ่งไปเปิดบล็อกเกี่ยวกับทีมโปรดลิเวอร์พูลขึ้นมาเมื่อสักอาทิตย์ก่อน ก็ขอเชิญแฟนหงส์ติดตามไปร่วมแสดงความเห็นได้ครับ

นั่นคือการมองย้อนกลับไปในปีเก่าและเตรียมพร้อมสำหรับปีใหม่ในมุมมองของผมครับ เขียนเสร็จก็เกือบจะปีใหม่พอดี สวัสดีปีใหม่ 2555 ครับ