แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Education แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Education แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ใช้ AI ช่วยระบุตัวนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ

นักวิจัยที่ North Carolina State University's Center for Educational Informatics  ได้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Arificial Intelligence, AI) เพื่อช่วยวัดว่านักเรียนเข้าใจบทเรียนแค่ไหนผ่านทางการเล่นเกม โดยตัวแบบ (model) ที่ปรับปรุงขึ้นใช้แนวคิดการฝึกสอน AI ที่เรียกว่าการเรียนแบบหลายงาน (multi-task learning) ซึ่งจะช่วยปรับปรุงทั้งการสอนและผลลัพธ์การเรียนรู้ การเรียนแบบหลายงานก็คือการที่ตัวแบบตัวแบบหนึ่งใช้กับงานหลาย ๆ งาน AI จะถูกมอบหมายให้เรียนรู้งาน 17 งาน ซึ่งจะสัมพันธ์กับคำถามที่จะเป็นข้อสอบ 17 ข้อ  นักวิจัยได้ทดสอบกับนักเรียน 181 คน โดย AI จะดูวิธีเล่นเกมของนักเรียน และระบุพฤติกรรมของนักเรียนว่าเล่นเกมแบบไหนจึงตอบคำถามถูก และแบบไหนจึงตอบคำถามผิด ซึ่งข้อมูลตรงนี้จะสามารถใช้ทำนายว่านักเรียนคนใหม่ที่เข้ามาเล่นเกมนี้จะตอบคำถามในข้อสอบถูกหรือไม่ นักวิจัยบอกว่าวิธีเรียนแบบหลายงานนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำจากการฝึกสอนแบบเดิม ๆ ประมาณ 10%

อ่านข่าวเต็มได้ที่: NC State University News

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายส่งเสริมอดีตทหารเข้าสู่อาชีพด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลบี

สภาคองเกรสของสหรัฐผ่านร่างกฎหมายที่จะส่งเสริมให้ทหารผ่านศึกที่ปลดประจำการได้มีโอกาสเข้าสู่งานด้าน STEM และวิทยาการคอมพิวเตอร์ ซึ่งตรงนี้จะช่วยแก้ปัญหาทั้งสองด้านคือทหารผ่านศึกเหล่านี้เมื่อปลดประจำการแล้วก็จะได้มีโอกาสเข้าทำงานในวงการอุตสาหกรรมที่มีรายได้ค่อนข้างสูง ในขณะเดียวกันก็แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในตลาดแรงงานด้านนี้ด้วย ตามข่าวบอกว่าในปี 2018 มีตำแหน่งงานด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ว่างมากถึง 500,000 ตำแหน่งทั่วอเมริกา แต่มีบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์เพียง 60,000 คนเท่านั้น และในปี 2022 จะมีงานด้าน STEM ว่างถึงกว่า 9,000,000 ตำแหน่ง โดยจะมีทหารปลดประจำการกว่า 1.5 ล้านคน

อ่านข่าวเต็มได้ที่: NextGov 

เพิ่มเติมเสริมข่าว:

แรงงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นที่ต้องการมากในสหรัฐอเมริกามานานมากแล้ว เพราะเอาจริง ๆ คนอเมริกาเองก็ไม่ชอบเรียนด้านนี้ และอเมริกาก็พยายามส่งเสริมทุกด้าน เช่นส่งเสริมให้ผู้หญิงได้เข้ามาสู่อุตสาหกรรมด้านนี้มากขึ้น ตอนนี้ก็ส่งเสริมทหารผ่านศึก จริง ๆ นี่เป็นโอกาสดีของคนไทย แต่อุปสรรคใหญ่อย่างหนึ่งในอดีตที่ผ่านมาก็คือปัญหาด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่มองโอกาสที่จะย้ายออกจากประเทศนี้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถ้าเรียนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็จะมีโอกาสค่อนข้างดี ใครที่ยังไม่เก่งภาษาอังกฤษก็พัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษกันเถอะครับ

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

นักศึกษาเบื่อหรือยัง AI ช่วยบอกได้

นักวิจัยจาก Hong Kong University of Science and Technology (HKUST) และ China's Harbin Engineering University ร่วมกันพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence, AI) เพื่อช่วยวัดอารมณ์ของนักเรียนนักศึกษา โดยวิเคราะห์จากการแสดงความรู้สึกทางใบหน้าของนักศึกษา เพื่อที่จะวิเคราะห์ระดับความสนใจต่อการเรียนของนักศึกษาในขณะนั้น โดยได้มีการทดสอบระบบนี้กับนักเรียนชั้นอนุบาลห้องหนึ่งในญี่ปุ่น และชั้นเรียนในระดับมหาวิทยาลัยชั้นเรียนหนึ่งในฮ่องกง ผลการทดลองออกมายังไม่ดีนัก โดยระบบสามารถตรวจจับอารมณ์ที่มองเห็นได้อย่างเด่นชัดนั่นคือนักเรียนนักศึกษากำลังรู้สึกสนุก แต่ยังไม่สามารถตรวจจับความรู้สึกโกรธหรือเศร้าได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนักวิจัยจะต้องไปปรับปรุงโมเดลต่อไป 

อ่านข่าวเต็มได้ที่: IEEE Spectrum 

เพิ่มเติมเสริมข่าว: 

เหมือนเคยอ่านข่าวว่ามีงานวิจัยแนวนี้อยู่หลายปีแล้ว แต่น่าแปลกใจว่างานวิจัยนี้เหมือนไม่ได้ต่อยอดขึ้นมา เหมือนทำขึ้นมาใหม่ เพราะได้ผลลัพธ์ไม่ดีมากนัก สำหรับตัวเองไม่ต้องใช้ AI หรอก แค่เดินเข้าห้องก็รู้แล้วว่านักศึกษาอยากเลิกเรียนกลับบ้าน :) 

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563

เมือสถานศึกษาเปลี่ยนสมาร์ตโฟนเป็นเครื่องมือสอดแนม

ปัจจุบันสถานศึกษาหลายแห่งในอเมริกาได้ใช้เทคโนโลยีในการติดตามนักศึกษาจากสมาร์ตโฟนที่พวกเขาใช้ โดยเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนของพวกเขาเข้ากับไวไฟ (WiFi) หรือบลูทูช (Bluetooth) ของมหาวิทยาลัย หรือภายในชั้นเรียน ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากการทำแบบนี้ก็คือสามารถติดตามว่านักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนหรือไม่ สามารถประเมินสุขภาพจิตของนักศึกษา สถานศึกษาบางแห่งยังมีการคำนวณคะแนนความเสี่ยงว่านักศึกษาอาจมีผลการเรียนตก โดยดูจากจำนวนครั้งที่นักศึกษาเข้าห้องสมุด  อย่างไรก็ตามมีนักวิชาการหลายคนกังวลว่าการติดตามในลักษณะดังกล่าว จะทำให้นักศึกษาเติบโตมาโดยยอมรับการสอดแนมว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต แต่เมื่อไปสอบถามนักศึกษาหลายคนก็บอกว่าไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรกับเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวดังกล่าว แต่นักศึกษาและอาจารย์หลายคนก็บอกว่า จะให้ทำยังไงล่ะก็ต้องยอมรับมันไป เพราะเทคโนโลยีนี้มันก็มีอยูแทบจะทุกที่แล้ว

อาจารย์ท่านหนึ่งให้ความเห็นทิ้งท้ายกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า  "สิ่งที่เรากำลังทำอยู่เป็นการเสริมความสร้างความรู้สึกของการไร้อำนาจที่จะขัดขืน (ให้กับนักเรียนนักศึกษา).... แต่คำถามที่ควรจะคิดกันจริงจังก็คือ ทำไมเราถึงสร้างสถาบันการศึกษาที่นักเรียนนักศึกษาไม่รู้สึกอยากจะมาเรียนขึ้นมาล่ะ"

“We’re reinforcing this sense of powerlessness … when we could be asking harder questions, like: Why are we creating institutions where students don’t want to show up?”

อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Washington Post

เพิ่มเติมเสริมข่าว

ในตอนนี้ยังไม่ได้ยินว่ามหาวิทยาลัยในไทยนำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ แต่เอาจริง ๆ ตอนนี้เราก็เริ่มยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันแล้วนะครับ อย่างกรณีแสดงความสนใจอะไร Facebook ก็ส่งโฆษณามาเลย นี่ก็แสดงถึงการสอดแนมแบบหนึ่ง และต่อไปการสอดแนมแบบนี้สักวันก็คงมาในระดับประชาชน ด้วย โดยเหตุผลก็คงเป็นเรื่องของการยกระดับคุณภาพชีวิต และความมั่นคงของประเทศ ก็ได้แต่หวังว่าเราจะได้คนออกฎหมายที่เข้าใจ และออกกฎหมายมาเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ และป้องกันคนไม่ดีเอาข้อมูลไปใช้เพื่อหาประโยชน์หรือคุคามฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองก็แล้วกัน

วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2556

โปรแกรมช่วยตรวจข้อสอบแบบเขียนตอบ

สำหรับข่าวนี้คงเป็นข่าวดีสำหรับอาจารย์และอาจจะนักศึกษาด้วยนะครับ สำหรับงานนี้เป็นผลงานของ Edx ซึ่งเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไร ก่อตั้งขึ้นมาโดยมหาวิทยาลัย Harvard และ สถาบันเทคโนโลยี Massachusetts จุดประสงค์ขององค์กรนี้ก็คือให้การเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต ตามข่าวนี้องค์กรนี้ได้พัฒนาเครื่องมือที่ช่วยตรวจข้อสอบแบบเขียนตอบโดยอัตโนมัติ ซึ่งประโยชน์ที่ได้ก็คืออาจารย์ไม่ต้องมาตรวจข้อสอบนักศึกษาแต่ละคนด้วยตนเอง และนักศึกษาก็สามารถรู้คะแนนของตัวเองได้ทันทีหลังจากสอบเสร็จไม่ต้องรอลุ้นเป็นอาทิตย์หรืออาจเป็นเดือน แต่ก็ยังมีคนค้านเหมือนกันนะครับว่ายังไม่มีข้อมูลทางสถิติที่เชื่อถือได้ว่าเครื่องจะตรวจได้ดีเท่ากับคน แต่ Ex เขื่อว่าระบบจะได้รับการยอมรับจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ทาง Edx บอกว่าระบบนี้จะทำงานโดยใช้เทคนิคของ Machine Learning โดยเรียนรู้จากการตรวจข้อสอบของอาจารย์ที่เป็นคนจากการตรวจข้อสอบแบบเขียนตอบจำนวนร้อยชุด 

ที่มา: The New York Times

สอนเด็กเขียนภาษา Java ด้วยวีดีโอเกม

นักวิจัยจาก University of California, San Diego ได้พัฒนาเกมเพื่อช่วยสอนภาษา Java ซึ่งเป็นภาษาโปรแกรมที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน และเป็นภาษาที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งใช้ในการเรียนการสอน แต่จุดประสงค์ของงานวิจัยนี้คือเขาอยากจะสอนภาษานี้กับเด็ก ๆ สิบขวบถึงสิบสองขวบครับ ดังนั้นเขาจึงได้สร้างเกมเพื่อใช้สอนภาษานี้ขึ้นมาครับ โดยเนื้อหาของเกมก็คือ คนเล่นจะเป็นพ่อมดซึ่งจะต้องเข้าไปช่วยเหลือคนแคระซึ่งเคยมีเวทมนตร์แต่ตอนนี้เสียมันไปหมดแล้ว โดยพ่อมดจะต้องช่วยเขียนคาถาด้วยภาษา Java ซึ่งเมื่อเด็กผ่านระดับแรกของเกมก็จะมีความรู้ในองค์ประกอบหลักของภาษา Java เช่นพารามิเตอร์ if, for, และ while เป็นต้น ทางผู้วิจัยจะนำเสนองานของเขาในวันที่ 18 เมษายนนี้ครับ ในงาน Research Expo ของ  University of California, San Diego โดยผู้วิจัยตั้งใจจะแจกเกมนี้ฟรีให้กับสถานศึกษาที่ขอไป ไม่รู้ว่าเฉพาะในอเมริกาหรือเปล่านะครับ ก็หวังว่าจะแจกจ่ายให้กับทั่วโลกนะครับ แต่ถ้าไม่แจกผมว่าคนไทยเราก็ทำแบบนี้ได้นะครับ มีใครสนใจจะทำไหมครับ


ที่มา: UC Sandiego News Center

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เริ่มเขียนที่โรงเรียนกวดวิชาแต่จบที่บ้าน


บล็อกนี้เริ่มเขียนที่โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังแห่งหนึ่งในวิสุทธานีครับ และพูดอย่างไม่กลัวเชยว่าผมเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก มาส่งลูกคนโตเรียนพิเศษและถือโอกาสเดินสำรวจไปทั่ว ๆ จากนั้นก็เข้ามานั่งรอลูกและเริ่มเขียนบล็อกนี้ครับ ผมเข้ามาสู่วังวนของโรงเรียนกวดวิชาอีกครั้งแล้วครับหลังจากหยุดมานานตั้งแต่สมัยที่ให้ลูกไปเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเข้าป.1 ตอนนั้นผมกับภรรยาก็ยังไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่ามันควรทำหรือไม่ แต่ได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ทั้งเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องว่าควรไปจะได้รู้แนวข้อสอบงั้นจะเสียเปรียบเขา เราก็เลยพาลูกไปเรียน ซึ่งจริงๆ ก็สงสารลูกนะครับและต้องชมเขาอีกครั้งว่าพวกเขาซึ่งตอนที่ไปเรียนนั้นอายุแค่ประมาณห้าขวบ ตื่นกันขึ้นมาแต่เช้าและยอมไปเรียนโดยไม่งอแง

หลังจากสอบเข้าป.1 แล้วผมกับภรรยาก็ไม่ได้ให้ลูกไปเรียนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาที่ไหนอีก จะมีก็แค่เป็นส่วนเสริมเช่นไปเรียนภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ดนตรี ฟุตบอล แต่ถ้าจะเรียนเป็นงานเป็นการก็คือคุมองซึ่งเป็นการเน้นการทำโจทย์คณิตศาสตร์และฝึกให้เด็กรู้จักรับผิดชอบ และถ้าแบ่งเวลาดี ๆ ก็จะใช้เวลาไม่มาก  ซึ่งจริง ๆ ผมเพิ่งมาทราบภายหลังว่าภรรยาผมเธอมีจุดประสงค์แอบแฝงในการให้ลูกไปเรียนคุมอง เพราะเธอต้องการเปิดศูนย์คุมองครับเลยส่งลูกไปเป็นสายลับก่อน :) ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้เปิดศูนย์คุมองสมใจเธอแล้ว   

ถ้าถามว่าทำไมผมถึงไม่ชอบให้ลูกเรียนกวดวิชาคำตอบก็คือผมกับภรรยาไม่คิดว่าการเรียนพิเศษในวิชาที่เรียนอยู่ในห้องมันจะเป็นเรื่องจำเป็นอะไร สำหรับภรรยาผมเท่าที่คุยกันเธอก็ไม่เคยไปเรียนพิเศษที่ไหนเนื่องจากตอนเด็กเธอต้องช่วยที่บ้านขายของ ส่วนผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเองครับ ผมจะใช้วิธีซื้อหนังสือคู่มือมาอ่านแล้วก็ฝึกทำโจทย์ อีกอย่างหนึ่งเราคิดว่าการไปเรียนกวดวิชาเป็นการยัดเยียดอะไรให้ลูกมากเกินไป เราก็เลยสอนลูกให้ตั้งใจเรียนทำความเข้าใจในห้องและหมั่นทบทวนซึ่งลูกก็สอบในโรงเรียนได้ดีโดยไม่ต้องไปเรียนพิเศษที่ไหน

คราวนี้ทำไมให้ลูกมากวดวิชาอีก เหตุผลเริ่มจากที่ภรรยาผมต้องการให้ลูกคนเล็กลองมาสอบเข้าม.1 ที่โรงเรียนอื่นดูบ้าง เธอให้เหตุผลว่าให้เขามาลองฝีมือดู มาเทียบกับเด็กโรงเรียนอื่นดูบ้าง  ซึ่งเราก็ให้เขามาลองสอบ pre-test  เข้า ม. 1 ซึ่งโรงเรียนดัง ๆ ส่วนใหญ่นิยมจัดกัน ลองให้เขาสอบตั้งแต่เขาอยู่ ป. 5 ผลปรากฏว่าไม่ติดฝุ่นครับ เจ้าตัวเล็กผมตอนอยู่โรงเรียนเดิมนี่ได้ที่ 1-3 ของห้องมาเกือบตลอด แต่พอมาสอบนี่ไม่ติดอันดับเลย ตอนนั้นเราก็วิเคราะห์กันว่าเพราะเขาอยู่แค่ป. 5 และไม่ได้เตรียมตัวสอบดีเท่าไร  พอเขาอยู่ป. 6 ก็ให้มาลองสอบอีกปรากฏว่าดีขึ้นแต่ก็ยังไม่ติดอันดับเหมือนเดิม คราวนี้เราก็เลยต้องคิดกันใหม่  ช่วงแรกเราก็เลยหาคู่มือสอบมาให้เขาลองทำซึ่งทำให้รู้ว่าเขาไม่เคยเจอข้อสอบในลักษณะนั้นมาก่อน เท่าที่จำได้และเห็นเด่นชัดก็คือวิชาวิทยาศาสตร์ซึ่งการเรียนในโรงเรียนดูเหมือนจะไม่ได้เน้นพวกโครงสร้างอะตอมอะไรพวกนี้ (อันนี้ที่รู้เพราะเวลาลูกสอบผมมักจะหาเวลามาติวลูก) แต่ในคู่มือกลับมีข้อสอบลักษณะนี้ ซึ่งผมจำได้ว่าสมัยผมกว่าจะเรียนพวกนี้ หรือรู้จักตารางธาตุก็ตอนม.ปลายแล้ว แต่นี่แค่เด็กป. 6 และข้อสอบไม่ได้ถามแค่ให้รู้จักธรรมดายังถามให้คำนวณด้วย หรืออย่างข้อสอบคณิตศาสตร์นี่มันก็จะมีสูตรลัดต่าง ๆ ซึ่งถ้าทำตรง ๆ อาจใช้เวลานาน และในบางวิชาถึงจะมีเฉลยแล้วเราก็ยังไม่รู้ที่มาที่ไปอยู่ดี คือผมกับภรรยาก็พยายามช่วยเขา แต่ความที่เราก็ทิ้งวิชาอื่น ๆ นอกจากเลขกับภาษาอังกฤษมานานแล้วทำให้บางครั้งเราก็ตอบไม่ได้ว่าอะไรเป็นอะไร  อีกประการที่ผมพยายามฝึกลูกอยู่ก็คือลูกผมไม่เหมือนผมที่ชอบอ่านและทำโจทย์เองครับ ด้วยเหตุผลนี้เราจึงคิดว่าน่าจะลองให้เขาเรียนพิเศษดูและเขาก็น่ารักอีกตามเคยที่ยอมไปเรียนครับ แต่คราวนี้แรก ๆ ก็มีงอแงบ้าง เพราะจริง ๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากย้ายจากโรงเรียนเดิมครับ เราก็ต้องบอกเขาว่าอยากให้เขาไปเรียนเพื่อที่จะเพิ่มความรู้ให้เขาไปลองเทียบฝีมือกับคนอื่นดู ถ้าสอบได้และเขาไม่อยากย้ายก็จะไม่บังคับอะไร

สรุปเจ้าคนเล็กเริ่มเรียนพิเศษเพื่อเตรียมสอบเข้าม.1 ช้ามากคือมาเริ่มเรียนตอนป.6 แล้ว ไปสอบสนามแรกก็ไม่ติด มาสนามที่สองก็ยังไม่ติดแต่ที่ผมสังเกตุคือคะแนนเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนถึงสนามสุดท้ายบดินทรเดชา 2 สนามนี้เจ้าคนเล็กอยากเข้ามากครับ เพราะเขาไปได้เพื่อนใหม่ที่เรียนพิเศษด้วยกันและตั้งใจเข้าบดินทร 2 ด้วยกัน  (คิด ๆ ดูนี่เจ้าตัวเล็กผมใจง่ายนะครับ เพื่อนโรงเรียนเดิมเรียนกันมาตั้งหกปีจะทิ้งไปอยู่กับเพื่อนที่เพิ่งเรียนด้วยกันซะแล้ว) ปรากฏว่าเขาสอบติดครับและเพื่อนเขาที่เรียนด้วยกันหลายคนก็ติดด้วย ไม่รู้ว่านี่จะสรุปได้ไหมว่าโรงเรียนกวดวิชามีผลเป็นอย่างมาก ถ้าลูกใครสอบเข้าได้โดยไม่ต้องไปกวดวิชาที่ไหนนี่มาแสดงความเห็นด้วยก็ดีนะครับ มาช่วยบอกหน่อยว่าทำยังไง คือถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้ชอบโรงเรียนกวดวิชา แต่มันเหมือนกับว่าถ้าคุณไม่กวดวิชาคุณก็จะเสียเปรียบสู้คนที่กวดไม่ได้  

คราวนี้ก็ถึงรอบคนโตครับเพราะภรรยาผมก็ต้องการให้เขาไปวัดฝีมือสอบเข้าม.4 กับเด็กอื่นอีกแล้ว และนี่ก็คือเหตุผลที่ผมต้องมาที่วิสุทธานีเป็นครั้งแรก และยังคงจะต้องมาอีกหลายครั้งเพื่อรับส่งเขา ส่วนคนเล็กนี่เราตัดสินใจให้เขาหยุดเรียนพิเศษไว้ก่อนครับ เพราะเราก็ยังเชื่อว่าการตั้งใจเรียนและทบทวนบทเรียนในห้องเรียนน่าจะเพียงพอสำหรับการเรียนในโรงเรียนแล้ว ซึ่งถ้าแค่เรียนในโรงเรียนยังต้องมากวดวิชานี่เราสองคนก็ยังไม่เห็นด้วยครับ เพราะเราคิดว่ามันจะติดเป็นนิสัยจนเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยครับ ซึ่งเหตุการณ์นี้เจอกับตัวเองเลย มีลูกศิษย์บางคนเคยเข้ามาถามว่าอาจารย์ไม่รับติวพิเศษบ้างหรือ ซึ่งผมก็บอกว่าเราเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้วเราไม่ควรจะต้องมีการมาติวพิเศษอีกแล้ว เราจะต้องหัดเรียนรู้และรับผิดชอบด้วยตัวเองให้ได้ เร็ว ๆ นี้ก็ได้คุยกับเพื่อนที่เป็นอาจารย์ด้วยกันแต่อยู่กันคนละมหาวิทยาลัยซึ่งเขาก็บอกว่าเดี๋ยวนี้ค่านิยมการเรียนพิเศษมันได้ลามไปถึงระดับป.โทหรือกระทั่งป.เอกแล้ว ฟังแล้วก็อนาถใจ 

สิ่งหนึ่งที่ผมได้เห็นจากเรื่องโรงเรียนกวดวิชานี้ก็คือเหตุผลของการที่เด็กต้องมาเรียนกวดวิชา ซึ่งผมสรุปเองได้หลัก ๆ สามข้อ หนึ่งคือข้อสอบที่ใช้สอบเข้าไม่ว่าจะระดับไหนไม่ได้ออกตามจุดประสงค์หรือแม้กระทั่งอาจจะไม่ตรงกับหลักสูตรที่เด็กได้เรียนมา (ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น) สองการมาเรียนกวดวิชาทำให้เด็กได้สูตรลัดในการคิดคำนวณซึ่งก็จะได้เปรียบกว่าเด็กที่ไม่ได้เรียนเพราะจะทำให้ได้คำตอบที่เร็วกว่า (แต่จุดประสงค์ของการสอบต้องการวัดอะไรกันแน่ วัดความเร็วหรือจะวัดกระบวนการคิด) สามครูที่สอนอยู่ในสถานศึกษา(รวมถึงตัวผมด้วย) อาจต้องพิจารณาแล้วว่าทำไมเราจึงสื่ิอสารกับเด็กสู้ติวเตอร์ที่สอนพิเศษเหล่านี้ไม่ได้ บางคนอาจถามว่าแล้วความแตกต่างระหว่างโรงเรียนไม่เกี่ยวหรือ ผมว่าไม่เกี่ยวนะเด็กที่มาเรียนพิเศษที่ผมเห็นอยู่รวมถึงลูกผมด้วยส่วนใหญ่ก็มาจากโรงเรียนดัง ๆ กันทั้งนั้น คือพูดง่าย ๆ ว่า ไม่ว่าคุณจะอยู่โรงเรียนไหนคุณก็ต้องกวดวิชาทั้งนั้น ผมยังเคยคิดเล่น ๆ เลยว่าถ้ามันเป็นอย่างนี้ให้ลูกเรียนกศน.เสียเลยดีไหม แล้วก็มาเรียนกวดวิชาเอา  

ผมเริ่มเขียนบล็อกที่โรงเรียนกวดวิชาแต่สุดท้ายก็มาจบที่บ้านครับ ยังไงเสียบ้านก็จะเป็นที่บ่มเพาะสำคัญให้ลูก ๆ ของเราเติบโตเป็นสมาชิกที่ดีของประเทศชาติต่อไป ช่วยกันทำบ้านให้อบอุ่นเพื่อลูกหลานของเรากันนะครับ วันนี้จบมันแบบไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนมาแบบนี้แหละ สวัสดีครับ...