วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรามาน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงมาปฏิบัติกันเถอะครับ

ในวาระที่วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านได้เวียนมาครบอีกวาระหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพร ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปชั่วกาลนาน และข้าพระพุทธเจ้าขอปฏิญาณว่าข้าพระพุทธเจ้าจะทำความดีถวายแด่พระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองที่ดีเคารพกฏหมายของบ้านเมือง และจะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าให้ดีที่สุด และจะน้อมนำพระราชดำรัสเรื่องความปราถนาดีต่อกันมาใช้ โดยข้าพเจ้าจะมีความเมตตาให้กับผู้อื่นทั้งที่เห็นด้วยหรือเห็นต่างจากข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไม่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติขาดความสามัคคี ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


วันนี้แน่นอนครับจะเขียนบล็อกเรื่องอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระองค์ท่าน ซึ่งวันนี้ของแต่ละปีผมจะพยายามหาโอกาสมาเขียนบล็อกให้ได้ไม่ว่าจะไม่ว่างอย่างไร วันนี่ก็นั่งทำงานออกข้อสอบรีวิวบทความวิชาการมาตั้งแต่เช้า เดี๋ยวพอเขียนบล็อกเสร็จก็จะต้องกลับไปออกข้อสอบต่อ

สำหรับบล็อกผมเรื่องนี้ในทุกปีผมก็จะเริ่มด้วยการถวายพระพรและปฏิญาณตนทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดี ซึ่งผมมองว่าถ้าทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีแค่นี้ประเทศชาติก็น่าจะสงบสุขและก้าวหน้าไปได้อย่างดี แต่ในปีนี้พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสเรื่องความปราถนาดีต่อกันและความสามัคคี ที่จะทำให้เกิดความพร้อมเพรียง ผมก็เลยเพิ่มคำปฏิญาณนี้เข้าไปด้วย และก็อยากเชิญชวนพวกเราน้อมนำพระราชดำรัสนี้มาใช้กันเถอะครับ

วันนี้ถ้าใครที่ได้ติดตามบรรยากาศของงานพระราชพิธีมาตั้งแต่เช้าคงจะเห็นว่าเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขความตื้นตัน ผมจึงอยากจะให้พวกเราจำบรรยากาศนี้ไว้ครับ บรรยากาศที่เรามีจุดมุ่งหมายร่วมกันเราไม่คิดถึงเรื่องความขัดแย้งใด ๆ ซึ่งมันก็ทำให้เกิดความพร้อมเพรียงอย่างที่พระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้ ซึ่งถ้าเราจะรักษาเรื่องนี้ไว้ได้ ผมว่าเราต้องเปิดใจให้กว้างอย่ามีอคติแบ่งสีแบ่งฝ่ายกันมากเกินไปจนมองคนที่เราคิดว่าอยู่ตรงข้ามกับเราเลวไปหมด หรือได้รับฟังข่าวอะไรมาถ้าเป็นข่าวไม่ดีเกี่ยวกับคนที่เราไม่ชอบแล้วก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อลองคิดด้วยเหตุด้วยผล หรือหาข้อมูลอื่นมาประกอบ เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับอีกฝ่ายแต่ลองเปิดใจรับฟังและถกกันอย่างมีเหตุผล

ยิ่งในสมัยที่เราใช้เครือข่ายสังคมกันอย่างนี้ผมว่าเรายิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะสิ่งที่เราสื่อออกไปมันกระจายออกไปได้กว้างมาก และจากการที่เคยสอนวิชาคอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสาร ต้องบอกว่าข้อจำกัดประการหนึ่งของการสื่อสารแบบนี้คือบางครั้งมันทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย เพราะบางทีมันขาดองค์ประกอบเช่นน้ำเสียงหรือสีหน้าท่าทางที่จะมีในตอนที่เราพูดคุยกันแบบเห็นหน้า ยิ่งไปกว่านั้นตามทฤษฎีแล้วข้อเตือนใจประการหนึ่งของการสื่อสารแบบนี้ก็คือเราไม่ควรส่งข้อความที่จะสร้างความขุ่นเคื่องที่เรียกว่า flaming message แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าหลายคนสามารถที่จะด่าใครก็ได้ด้วยข้อความที่รุนแรง เช่นโง่ หรือบางทีก็เสียดสีประชดประชันฝ่ายตรงข้าม ซึ่งข้อความเหล่านี้แหละที่อาจสร้างความขัดแย้งไม่จบไม่สิ้น อันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองนะครับ แค่เรื่องเชียร์ฟุตบอลคนละทีมนี่แหละ บางทีก็โพสต์ว่ากันเอง ว่าทีมตรงข้ามสาดเสียเทเสีย ผมไม่ได้บอกว่าเราจะแสดงความเห็นที่ขัดแย้งหรือถกเถียงไม่ได้นะครับ แต่ที่อยากจะบอกก็คือก่อนโพสต์ข้อความเหล่านี้ เรามีเวลาคิดก่อนนะครับ เรามีเวลาที่จะเลือกใช้ถ้อยคำ หรือถ้าเห็นว่าตอนนั้นเรายังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ปกติก็น่าจะเลือกที่จะไม่โพสต์อะไรไว้ก่อน ซึ่งถ้าทำอย่างนี้ได้ผมว่ามันจะช่วยลดความขัดแย้งไปเยอะ

อีกเรื่องก็คือก่อนที่เราจะโพสต์เห็นด้วยหรือสนับสนุนการกระทำใดให้คิดก่อนว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรไหม ยกตัวอย่างเช่นเรื่องนักบินที่ไล่ผู้โดยสารคนหนึ่งลงจากเครื่องบิน เพราะว่ามีคดีเรื่องหมิ่นสถาบันที่และก็รู้สึกว่ามีชาวเครือข่ายสังคมไปยกย่องนักบินคนดังกล่าวราวกับเป็นวีรบุรุษ ถึงตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าผมรักในหลวงนะครับ ใครที่ติดตามการโพสต์ของผมมาตลอดก็คงทราบดี และผมก็ไม่เข้าใจด้วยว่าคนที่ไม่รักพระองค์ท่านนี่เขามีเหตุผลอะไร แต่ที่ผมอยากจะบอกก็คือให้ลองคิดว่าจริง ๆ แล้วนักบินคนนั้นเขาทำถูกหรือเปล่า หน้าที่ของเขาคืออะไร เรื่องการจัดการมันก็มีกระบวนการตามกฏหมายอยู่แล้ว ถ้าเราสนับสนุนเรื่องอะไรแบบนี้ก็คงไม่ต่างจากการเรียกร้องให้มีคนออกมาเอาปืนไปไล่ยิงพิพากษาคนที่เราคิดว่าชั่วโดยไม่ต้องพึ่งตำรวจหรือศาล หรือถ้าเอาให้ใกล้ตัวหน่อยอย่างผมเป็นอาจารย์ ถ้าผมมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่รักในหลวง แต่เขาตั้งใจเรียนทำข้อสอบได้ ผมควรทำยังไงกับเขาดี ผมควรจะไล่เขาออกจากห้องเรียน หรือแกล้งตรวจข้อสอบเขาให้ตกในวิชาผมอย่างนั้นหรือ อีกอย่างจะให้คนคิดเหมือนเราทุกคนคงไม่ได้ (ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาคิดอย่างนั้นก็ตาม) ให้คิดว่าขนาดพระพุทธเจ้ายังก็ถูกนินทาว่ากล่าวได้ก็น่าจะเข้าใจเขามากขึ้น ตราบใดที่เขายังไม่ได้ทำผิดกฏหมายหรือยังไม่ได้ถูกตัดสินว่าทำผิดกฏหมายเราก็ไม่มีสิทธิที่จะไปจำกัดสิทธิของเขา และถ้าเขาทำผิดกฏหมายจริงและเขาหลบหนีหน้าที่ของเราก็คือแจ้งผู้ที่มีหน้าที่ไม่ใช่ไปไล่ยิงหรือไล่ชกเขา

เรามาเริ่มต้นที่ตัวเรากันก่อนเถอะครับ น้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสกับพวกเราในวันนี้มาทำให้ได้ เพื่อที่พ่อหลวงของเราจะได้มีความสุขที่เห็นพสกนิกรของพระองค์ท่านที่ถึงแม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่ก็มีความพร้อมเพรียงที่จะร่วมมือร่วมใจกันผลักดันให้ประเทศของเราเดินหน้าต่อไปได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น