แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ #ศรัณย์วันศุกร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ #ศรัณย์วันศุกร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ความรู้สึกหลังเลือกตั้งจนได้รัฐบาลใหม่

ภาพจาก รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ


มาพบกับ #ศรัณย์วันศุกร์ กันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันนาน ในสัปดาห์นี้เราก็ได้ตัวนายกกันสักทีหลังจากที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วเกือบสามเดือน มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นมากมายที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ดังนั้นผมเลยคิดว่ามาลองสรุปความเห็น ความรู้สึกตัวเองไว้สักหน่อยดีกว่า

เริ่มจากผลการเลือกตั้งก่อนแล้วกันนะครับ ผลการเลือกตั้งออกมาต้องบอกว่าผมดีใจ และประหลาดใจ ซึ่งความประหลาดใจนี้ก็คงเหมือนกับหลายคนที่พรรคที่ชนะอันดับหนึ่งคือก้าวไกล โดยชนะเพื่อไทยไป 10 เสียง แต่เป็นสิบเสียงของบัญชีรายชื่อ ซึ่งถ้านับเสียงจริง ๆ ก็ราว ๆ สี่ล้านคะแนน ส่วนผลเขต ก้าวไกลได้เท่าเพื่อไทย และเอาชนะเพื่อไทยได้ในหลาย ๆ เขตที่ควรเป็นของเพื่อไทย ส่วนที่ดีใจคือผลเลือกตั้งคราวนี้ อย่างน้อยมันก็เป็นตัวบ่งชี้ระดับหนึ่งว่า คนไทยค่อนประเทศบอกว่าพอได้แล้ว ไม่เอาแล้วกับพวกยึดอำนาจ ซึ่งบริหารประเทศไม่ได้เรื่องด้วย คือถ้าบริหารประเทศได้เรื่อง อาจไม่แพ้ยับขนาดนี้

จากนั้นก็มีการจับมือกันของแปดพรรคนำโดยก้าวไกล และเพื่อไทย ซึ่งเอาจริง ๆ มันไม่น่าเกิดขึ้น แต่ผู้คนเชียร์ให้มันเกิดขึ้น เพราะคิดว่าสองพรรคนี้สู้กับฝั่งยึดอำนาจมาด้วยกันตอนเป็นฝ่ายค้าน แต่ความเป็นจริงสองพรรคนี้ต่างกันมาก ก้าวไกลยืนอยู่บนหลักการจนดูเหมือนไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ซึ่งก็ไม่ผิด เราควรคาดหวังว่าเราควรมีพรรคแบบนี้ไหม?  พวกที่ขัดขวางการเลือกตั้งจนประยุทธ์เข้ามา โดยอ้างว่าต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง จริง ๆ ควรดีใจด้วยซ้ำที่มีพรรคแบบนี้ แต่ข้อเสียคือด้วยระบบการเมืองแบบนี้ ถ้าพรรคแบบนี้ไม่ชนะขาด และไม่มีพรรคอื่น ๆ ที่มีหลักการเหมือนกัน โอกาสที่จะได้ทำงานมันก็ยาก ส่วนเพื่อไทยนั้นเป็นการเมืองแบบเก่า และเป็นมานานแล้ว คือสามารถประนีประนอม เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจบริหาร ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ เพราะในการเมืองแบบนี้ มันก็ต้องทำแบบนี้ ถึงจะได้อำนาจ ได้โอกาสเข้ามาทำงาน    

ดังนั้นการจับมือที่เกิดขึ้นคิดว่าเพื่อไทยอาจจะกำลังช็อคอยู่ที่แพ้ และด้วยเสียงเชียร์ก็เลยจำต้องตกลงเข้าร่วม ความเป็นจริงเพื่อไทยน่าจะคาดหวังว่าตัวเองควรจะได้เกิน 250 และก้าวไกลได้ไม่เกิน 100 ดังนั้นถ้าจับกับก้าวไกลแล้วมีปัญหาก็อาจจะไปเอาภูมิใจไทย ชาติพัฒนาอะไรพวกนี้มาร่วมแทน แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็เลยต้องตามน้ำไป    

และเราก็ได้เห็นกลไกการยึดอำนาจที่สืบทอดกันมาคือ สว. สำแดงเดช ซึ่งจริง ๆ กลไกนี้ ควรจะได้สำแดงเดชตั้งแต่สี่ปีที่แล้วแล้ว แต่บังเอิญเพื่อไทยไม่ได้ชนะขาดตามที่คาด ดังนั้นพวกสว.ก็อ้างว่าก็โหวตตามเสียงสส.นั่นแหละ แต่คราวนี้ใครที่มีใจเป็นธรรมก็คงเห็นแล้วว่าเขาโหวตกันยังไง  เรื่องต่าง ๆ ที่ยกมาเป็นข้ออ้างทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่อง ม.112 ซึ่งมันเป็นกฎหมายหนึ่งมาตรา ซึ่งต้องคุยกันในสภา ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินครึ่งเลยสักพรรค และสส.ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยเรื่องจะแก้ ยังไงมันก็ไม่ผ่านอยู่แล้ว ดังนั้นคราวที่แล้วใครที่เชียร์ประยุทธ์ และเถียงหัวชนฝาว่าใครรวมเสียงข้างมากได้สว.เขาก็โหวตให้ทั้งนั้น  หวังว่าจะเห็นแล้วนะ 

ด้วยความที่พรรคของประยุทธ์และประวิตรแพ้ขาด มันก็แทบจะปิดทางที่สองคนจะกลับมา ดังนั้นฝั่งอำนาจก็ต้องเลือก และเขาเลือกเพื่อไทย เพราะคิดว่ายังไงมันก็การเมืองแบบเก่า มันคุยกันได้ มันประนีประนอมกันได้ ถ้ายอมก้าวไกล โครงสร้างอำนาจต่าง ๆ ที่วางไว้มันก็คงพังหมด จึงเกิดปรากฏการณ์สลายขั้วแปดพรรคอย่างที่เห็น ซึ่งเพื่อไทยก็เอาด้วยอยู่แล้ว เพราะ(อาจ)ไม่อยากร่วมแต่แรก และอยู่กับก้าวไกลมันมองไม่เห็นทางเพราะพวกที่มีอำนาจเขายืนยันว่าไม่เอา ตัวเองเป็นพรรคพร้อมประนีประนอมเพื่อให้ได้อำนาจปกครองอยู่แล้ว  ก็จำยอมเสียมวลชนไปบางส่วน และคิดว่าจะบริหารให้ดี ถ้าทำดีได้ ก็อาจได้มวลชนกลับมา ซึ่งก็อาจจะจริงก็ได้นะ ก็ต้องรอดูกันไป 

ถามว่าตัวเองรู้สึกผิดหวังหรืออะไรไหม คำตอบคือไม่ ใครจะเป็นรัฐบาลก็ได้ เอาจริง ๆ ตัวเองไม่เดือดร้อนนะ แต่ขอให้มาตามหลักการตามกติกา และรู้จักรอ ไม่ใช่เกลียดใครพอเขาทำอะไรก็ผิดไปหมด ลงถนนประท้วงปิดบ้านปิดเมือง เขาให้ไปเลือกตั้งก็ไม่ไป ไอ้ไม่ไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ไปขัดขวางก่อความวุ่นวายจนเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วเปิดโอกาสให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ แล้วก็ไชโยโห่ร้องว่าชนะแล้ว แต่ฝ่ายที่ตัวเองชอบมีอำนาจ ทำเหมือนกันแต่เหมือนโดนสากอุดปาก ไอ้พวกโดนสากอุดปากไม่พูดอะไรนี่ก็ยังดี บางคนเอาสากออกจากปากมาแก้ตัวให้ข้าง ๆ คู ๆ อีก หลายครั้งต้องหงุดหงิดกับตรรกะประหลาด ๆ ของคนพวกนี้ 

ในกรณีนี้ที่ได้เพื่อไทยเป็นแกนนำ ถึงแม้จะต้องจับกับพรรคยึดอำนาจเก่า ยังไงมันก็อยู่ในกติกานะ ดังนั้นไม่เห็นด้วยถ้าจะประท้วงปิดบ้านปิดเมืองกัน ก็รอให้เขาทำงานไป แล้วดูผลงาน จริง ๆ ต้องเอาใจช่วยด้วยซ้ำว่าเขาจะเก่งเหมือนที่เคย เพราะเก้าปีที่ผ่านมาภายใต้ประยุทธ์ มันดูเละเทะมาก ถ้ามันยังเละต่อไปอีก คราวนี้ได้เดือนร้อนกันถ้วนหน้าแน่

แต่ถ้าถามว่าหงุดหงิดอะไรที่สุด คำตอบก็คือ กลไกยึดอำนาจนี้มันยังทำงานอยู่ ดึใจได้วันสองวันวันที่ผลเลือกตั้งออกมาว่าพวกยึดอำนาจแพ้ขาด นึกว่ามันจะสำนึกยอมแพ้ เพราะก็อยู่มาเก้าปีแล้ว แต่มันก็ไม่ยอมและสุดท้ายคนที่ชนะก็ยังเป็นพวกมันอยู่ดี ชี้ว่าจะเอาอะไร จะไม่เอาอะไรได้หมด และตอนนี้ก็ดูแล้วกัน ตามข่าวที่ออกมา (ุถ้าจริง) ก็ดูเหมือนว่าจะมีการชี้ว่าที่รมต.กลาโหม ซึ่งคือคนของประยุทธ์ ถ้าเป็นแบบนี้จริงก็เท่ากับว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ชนะ ประยุทธ์ที่บอกวางมือ อาจไม่ได้วางมือ และประวิตรก็อาจรอเสียบอยู่ 

ที่หงุดหงิดถัดมาก็เพื่อไทยนี่แหละ ทำไมยังสยบยอมมันทุกอย่าง ตอนนี้ตัวเองได้นายกแล้ว มันน่าจะแสดงความเข้มแข็งเด็ดขาดออกมาบ้างไหม อย่างแก้รัฐธรรมนูญ ตอนแรกก็เสียงแข็งแก้แน่ พอเข้ามาเป็นจะแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งสสร. ร่างใหม่ทั้งฉบับ คงหวังจะได้มวลชนคืนบ้าง (อ้างเหมือนประชาธิปัตย์ตอนเข้าร่วมกับประยุทธ์เป๊ะ ผ่านมาจนครบอายุ ไม่เห็นจะรณรงค์ให้แก้อะไรได้) แต่สุดท้ายตอนนี้เสียงอ่อนแล้ว "มันเป็นแค่การรณรงค์หาเสียง จริง ๆ ยังไม่ได้มีนโยบายอะไรออกมา" (ต่อไปเพื่อไทยหาเสียงอะไร ก็ไม่ต้องเชื่อแล้วสินะ เพราะเป็นแค่การรณรงค์)  

แล้วก็ยังคำว่าสลายขั้วสลายความขัดแย้งอีก เบื่อมาก มันสลายยังไง แค่หัวที่เคยขัดแย้งกันมารวมกันเพื่ออำนาจ มวลชนตัวเองเขาเอาด้วยหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วที่ถีบหัวที่มีคนสนับสนุนอย่างน้อย 14 ล้านเสียงออกมาแบบหาเรื่องเขานี่ คือถ้าเป็นคนนี้ยังไงก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่เอาเพราะพูดว่าจะแก้ 112  อีกคนก็พูดเหมือนกันแต่ไม่เป็นไรยอมได้ ตรงนี้นี่มันไม่ได้สร้างความขัดแย้งเลยใช่ไหม หรือคน 14 ล้านนี้ไม่ต้องสนใจมัน 

โอเคก็ขอบันทึกไว้แค่นี้แล้วกันครับ เอาใจช่วยรัฐบาลใหม่ฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ สภาช่วยกันแก้กฏหมายให้มันเป็นธรรม โละองค์กรอิสระที่ทำงานไม่ได้เรื่อง ไม่ทำหน้าที่ที่ึควรทำ และไม่มีความจำเป็นออกไป รอเวลาที่อำนาจจะกลับมาในมืออีกครั้ง ถึงวันนั้นก็หวังว่าเสียงที่เราโหวตไปมันจะเป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่มีเรื่องอะไรที่มันไม่ปกติมาขวางอีก หวังว่าจะไม่มีการปิดบ้านปิดเมืองเรียกทหารออกมาอีก และพวกสว.ชุดนี้ ควรจะมีสำนึกโดยเลิกกลับเข้ามาทำงานการเมืองกันได้แล้ว โดยเฉพาะคนที่เกาะสภามาเป็นสิบ ๆ ปี ปากบอกรักธรรมนูญเหลือเกินอย่ามาแตะต้อง แต่พอพวกทหารออกมาฉีกก็เงียบกริบ รอวันถูกเรียกใช้ไปเป็นสภาตรายาง และก็ทำทุกอย่างเพื่อช่วยสืบทอดอำนาจ ไม่รู้ว่าจะหวังมากไปไหมว่า ถ้ามีช่องทางจะเอาผิดคนพวกนี้ได้ก็อยากให้ทำ รวมถึงพวกยึดอำนาจด้วย นายกที่มีที่มาจากยึดอำนาจ ให้ไม่นับว่าเคยเป็นนายก  


วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566

มุมมองส่วนตัวกับกรณีการประท้วงของเด็กที่ชื่อหยก

ไม่ได้เขียน #ศรัณย์วันศุกร์ มานานมาก บางทีมีเรื่องอยากเขียนมันก็เลยวันศุกร์มาแล้ว ถ้าเขียนมันจะกลายเป็น #ศรัณย์วันอื่นๆ ไป จะไปเขียนอีกศุกร์หนึ่งเรื่องมันก็ไม่น่าสนใจแล้ว แต่วันนี้ขอเขียนเรื่องที่กำลังประเด็นอยู่ตอนนี้ ก็คือเรื่องนักเรียนคนหนึ่งที่กำลังทำอารยะขัดขืนเพื่อต่อต้านสิ่งที่เขาคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ก็คือเรื่องชุดนักเรียน และเสรีภาพในตัวเอง 

ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ต้องแยกอออกเป็นหลายประเด็น ประเด็นที่หนึ่งคือเครื่องแบบกับเรื่องทรงผมอะไรพวกนี้มันมีผลอะไรกับการเรียนหรือไม่ ซึ่งทุกคนก็คงมีความเห็นเหมือนกันว่าเรื่องพวกนี้มันไม่เกี่ยวกับผลการเรียนเลย 

ประเด็นที่ต่อเนื่องถัดมาคือถ้ามันไม่สำคัญแล้วทำไมบางโรงเรียนถึงต้องให้ใส่เครื่องแบบ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าจริง ๆ มันเป็นสิทธิของโรงเรียนที่เขาจะวางกฏของเขา และเขาก็มีเหตุผลของเขา และไม่ใช่แค่โรงเรียนในไทยที่โรงเรียนมีเครื่องแบบ ในประเทศที่มีประชาธิปไตยเยอะ ๆ บางโรงเรียนเขาก็มีเครื่องแบบ ดังนั้นก่อนที่เราจะเข้าไป เราก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าเรารับกฏเขาได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้าไป ซึ่งเขาจะมีเหตุผลอะไรก็แล้วแต่นะครับ แต่แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวกับผลการเรียนแน่

ประเด็นต่อเนื่องถัดมาคือทำไมถึงมีเด็กที่ต่อต้าน ส่วนตัวมองว่าเพราะมันมีการใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่มีเหตุผลในการควบคุมตรงนี้ คำถามคือมันมีเหตุผลอะไรที่ต้องตัดผมเกรียน หรือสั้นขนาดที่ต้องเอาไม้บรรทัดมาวัด ขาดไปไม่กีมิลก็ไม่ได้ คือมันไม่ใช่โรงเรียนฝึกทหารนะ โรงเรียนแบบนั้นเขาต้องการฝึกคนอีกแบบหนึ่ง ส่วนตัวอาจอคติเกินไปก็ได้เพราะคิดว่ามันเหมือนเป็นที่แสดงอำนาจเหนือเด็กของครูบางคน และก็ไม่ปรับตัวตามยุคสมัย ส่วนตัวมองว่าถ้าทำให้มันเป็นธรรมชาติ ไม่ไปบังคับเรื่องไร้สาระเกินไป มันไม่น่าจะมีประเด็นขนาดนี้ และวิธีการลงโทษก็ทำเกินเลยใช้อำนาจนิยม เช่นตัดผมจนแหว่ง กร้อนผม และอะไรต่ออะไร ซึ่งคนเป็นครูที่ควรจะมองเด็กเหมือนเป็นลูกตัวเองคนหนึ่ง เวลาจะทำอะไร ให้นึกว่าถ้าเป็นลูกตัวเองจะทำแบบนี้ไหม มันอาจจะช่วยให้ไม่ทำก็ได้ 

อีกอย่างก็ต้องยอมรับถึงยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไปด้วย อย่างเรื่องย้อมสีผมอะไรแบบนี้ ส่วนตัวมองว่ามันก็เป็นแค่แฟชันที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมกัน และมันก็จะหายไปเมื่อเขาโตขึ้น  มันน่าแปลกที่ทุกคนก็ผ่านช่วงวัยรุ่นมาแล้วทั้งนั้น และมันก็มีเรื่องที่เราอึดอัดคับข้องใจ มีขนบบางอย่างทื่เราก็อยากแหก หรือบางคนก็แหกไปแล้ว ซึ่งเราก็อาจเคยตั้งคำถามว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องห้าม และเราก็โกรธผู้ใหญ่ตอนนั้น แต่พอตอนเราโตขึ้นมาเรากลับลืม และกลับทำกับเด็กเหมือนกับที่เราโดนทำมา

เรื่องบางเรื่องแทนที่จะใช้การบังคับ เราใช้การพูดกับเขาด้วยเหตุผล ให้เขาคิดเองไหม อย่างเช่นถ้าเด็กใส่ประโปรงสั้นเกินไป หรือไม่ใส่เสื้อซับใน แทนที่จะลงโทษด้วยการประจาน ถ้าเราเปลี่ยนเป็นเตือนว่า ถ้าเธอนุ่งกระโปรงสั้นเวลาเดินทางเธอต้องระวังตัวนะ เดี๋ยวนี้มันมีพวกโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรง แบบนี้มันอาจจะทำให้เขาคิดได้ว่า เออถ้าเราใส่กระโปรงให้มันยาวหน่อยก็น่าจะช่วยเซฟตัวเองจากพวกโรคจิตได้มากขึ้น

ประเด็นถัดมาก็คือประเด็นที่เด็กที่ชื่อหยกทำอยู่ตอนนี้ เริ่มจากตัวเด็กก่อน ถามว่าเด็กทำถูกไหม ถ้าจะมองในแง่ของกฏก็ต้องบอกว่าทำไม่ถูก เพราะกฏของโรงเรียนเด็กก็รับทราบมาก่อนแล้ว แต่สิ่งที่เด็กทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่อาจเรียกว่าอารยะขัดขืน เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงกฏซึ่งเขามองว่ามันไม่มีเหตุผล 

ส่วนตัวมองว่าเด็กทำข้ามขั้นตอนไป เพราะก่อนที่จะไปถึงอารยะขัดขืน มันต้องเริ่มตามระบบก่อนไหม ถ้าทำตามระบบแล้ว ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมค่อยอารยะขัดขืน อะไรที่เรียกว่าทำตามระบบ ประการแรกเด็กต้องถามก่อนว่าคนในโรงเรียนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนกฏนี้ไหม ถ้ามีแค่ตัวเองคนเดียว หรือไม่กี่คน ก็ควรต้องหยุด นั่นคือเสียงส่วนใหญ่เขาไม่เอาด้วย แต่ถ้ามีคนเห็นด้วยก็เข้าชื่อกันยื่นข้อเรียกร้องต่อรองกับโรงเรียน ซึ่งก็อาจมีการเจรจากันถึงจุดที่ยอมรับได้ โดยทุกฝ่ายมีความสุข อันนี้ก็จบด้วยดี แต่ถ้าโรงเรียนไม่มีเหตุผล ไม่รับฟังเลย แถมใช้อำนาจว่าฉันเป็นผู้ใหญ่นะ อันนี้ก็อาจจะมีการอารยะขัดขืน และตอนนี้แทนที่จะทำคนเดียวก็อาจมีคนร่วมทำด้วย 

อีกอย่างที่อยากเตือนทุกคนคือ ความหยาบคายไม่เคยนำไปสู่ทางออก เพราะมันจะเบี่ยงเบนประเด็นที่ต้องการจะถกกัน และสุดท้ายจะไม่มีใครฟังใคร และจะจ้องโจมตีกันที่ตัวบุคคล

ประเด็นถัดมาคือโรงเรียน ประการแรกคือโรงเรียนนั้นดีที่ยอมให้หยกมารายงานตัวเข้าเรียน จากกรณีการโดนเอาไปกักขังในสิ่งที่เขามองว่าไม่เป็นธรรม แต่กลับมาจัดการเรื่องนี้ได้แย่มาก (ตอนที่เขียนอยู่นี้ได้ข่าวว่าโรงเรียนเรียกตำรวจมาจัดการ) จริง ๆ แล้วโรงเรียนควรเป็นคนเริ่มพูดคุยกับเด็กว่าต้องการอะไรในการทำแบบนี้ อธิบายว่าทุกที่มีกฏมีกติกาของตัวเอง ประโยชน์ของการมีกฏนี้คืออะไร ซึ่งประชาคมในกลุ่มต้องปฏิบัติตามกฏนี้ แต่ถ้ามีคนเห็นว่ากฏต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากชุมชน จะยกตัวอย่างพรรคก้าวไกล (ซึ่งมีคนชอบโทษว่าเขาล้างสมองเด็กให้เป็นแบบนี้) ก็ได้ว่า กฏหมายต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดข้อโต้เถียงกัน เขายังจะใช้การโหวตในสภาเลย แล้วก็ยอมรับผลการโหวตนั้น

โรงเรียนควรเป็นผู้เสนอทางออกว่างั้นเรามาทำประชามติกันในโรงเรียนไหมว่ามีใครเห็นด้วยบ้าง แล้วจะแก้ยังไง แต่งธรรมดาสามวัน เครื่องแบบสองวันดีไหม อะไรแบบนี้ ผลออกมายังไงมันก็เป็นอย่างนั้นนะ แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนเห็นด้วยกับแนวทางประชาธิปไตย  ถ้าเด็กจะเคลื่อนไหวส่งเสริมประชาธิปไตยก็ควรยอมรับแนวทางนี้ และไม่ควรตัดสิทธิในการเข้าเรียนของเด็ก ให้เด็กต้องปีนเข้าไปเรียน อันนี้อาจมีคนเถียงว่างั้นเดี๋ยวก็มีคนทำตาม ถ้ามีคนทำตามแสดงว่าอะไรล่ะ มันก็แสดงว่ามีคนอยากทำแต่ไม่กล้าทำไง ดังนั้นถ้าโรงเรียนอยากจบเรื่องเร็ว ส่วนตัวมองว่าก็รีบทำประชามติไปเลย โดยต้องตกลงกับเด็กว่ายอมรับผลทั้งสองฝ่ายนะ เด็กจะไปรณรงค์หาเสียงอะไรก็ปล่อยเขาเต็มที่ 

ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง ซึ่งมองว่าปัญหาทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องที่มองต่างกัน ควรแก้ไขผ่านกลไกของระบบที่เป็นธรรม อย่าใช้แต่อำนาจ หรือคำว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ ฉันรู้ดีกว่า ซึ่งความคิดแบบนี้แหละที่มันทำให้ประเทศเรามีปัญหากันแบบทุกวันนี้ 

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

I Feel Fine

วันศุกร์นี้อยากมาชวนฟังเพลงกันครับ ไม่ได้ฟังกันมานานแล้ว เพลงที่จะมาชวนฟังก็เป็นเพลงของ The Beatles คือ I Feel Fine เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากครับ เพราะหนึ่งในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูลมาอย่างเหนียวแน่นมาสีสิบกว่าปีได้  ตามข่าวความสำเร็จของทีมจากหนังสือนิตยสารเป็นส่วนใหญ่ในยุค ปลาย  70 ต่อ 80 ที่ทีมครองความยิ่งใหญ่ เพราะในช่วงนั้นการสื่อสารยังไม่ดีเท่าทุกวันนี้ โอกาสจะมีบอลถ่ายทอดทีมโปรดมาให้ดูสักนัดก็ยากมาก ผ่านยุคตกต่ำที่ต้องมองความสำเร็จของแมนยูปีแล้วปีเล่าในยุค 90 ที่ได้เริ่มดูถ่ายทอดสดได้มากขึ้น แต่ก็ต้องมองทีมตัวเองมีได้แค่ลุ้นตอนต้น ๆ ของฤดูกาล แล้วก็ค่อย ๆ หายไปจนไม่มีเหลือลุ้นอะไร เหมือนที่แมนยูเป็นอยู่ตอนนี้

แต่ถึงตอนนี้คงต้องบอกว่ากองเชียร์ลิเวอร์พูลทุกคนคงจะอยู่ในสถานะ I Feel Fine เพราะผลงานของทีมที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การดูแลของชายที่ชื่อว่า เจอร์เก็น คลอปป์ ซึ่งกำลังพาลิเวอร์พูลกลับสู่ยุครุ่งเรื่องอีกครั้ง ในฤดูกาลนี้ก็ยังมีลุ้นทุกรายการที่ลงแข่ง เป็นทีมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของโลก และนอกจากนี้ยังมีข่าวดีอีกคือ คลอปป์ ยอมขยายสัญญาตัวเองออกไปจากที่จะหมดลงในปี 2024 เป็นปี 2026 ดูหมือนว่ามันจะขยายไปอีกไม่นาน แต่สำหรับแฟนลิเวอร์พูลแล้ว ผมว่าคลอปป์ยอมต่อสัญญาออกไปแม้จะเป็นแค่ปีเดียวก็ทำให้แฟน ๆ มีความสุขแล้ว เพราะมันหมายความว่าลิเวอร์พูลก็จะมีโอการประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปอีกตามจำนวนปีที่คลอปป์อยู่ต่อ

นอกจากจะรู้สึก Fine แบบชื่อเพลงแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากจะมาชวนฟังเพลงนี้ก็เพราะ กองเชียร์ลิเวอร์พูลที่อังกฤษได้แต่งเพลงสั้น ๆ ให้คลอปป์ โดยใช้ทำนองเพลง I Feel Fine นี้ครับ ไปฟังเพลงและดูเนื้อร้องของเพลงนี้กันก่อนครับ 


 Baby's good to me, you know

She's happy as can be, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine, mm

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine
She's in love with me and I feel fine

และนี่คือเพลงของคลอปป์ครับ



เนื้อเพลงก็สั้น ๆ ตามนี้ครับ

I'm so glad that Jurgen is a Red.

I'm so glad he delivered what he said.

Jurgen said to me, you know. We'll win the Premier League, you know. He said so.

I'm in love with him and I feel fine.


วันศุกร์นี้ก็ขอแสดงความ Fine ตามประสาเดอะค็อปสักวันนะครับ และก็ตามลุ้นให้ทีมทำภารกิจ 4 แชมป์ ที่แทบจะเป็น mission impossible ได้สำเร็จ 

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2565

ค่าไฟแบบ TOU จริง ๆ เดือนแรกมาแล้ว

TOU-meter
มิเตอร์ TOU

วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังต่อเนื่องจากบทความเรื่องไฟ TOU อันแรกนะครับ ถ้าใครยังไม่ได้อ่านก็อาจเข้าไปอ่านก่อนได้นะครับ  เรื่องวุ่น ๆ กับไฟ TOU  แต่ถ้าขี้เกียจอ่านผมสรุปให้ฟังคร่าว ๆ ก็คือ ผมได้ขอติดตั้งไฟแบบ TOU คือคิดอัตราตามเวลาการใช้งาน คือ 9.00-22.00 วันจันทร์ถึงศุกร์ก็แพงหน่อย แต่จาก 22.00-9.00 วันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการก็ถูกหน่อย โดยการไฟฟ้าได้มาติดตั้งให้ในเดือนธันวาคม แต่ปรากฏว่ามิเตอร์ที่การไฟฟ้าเอามาติดเสีย การไฟฟ้าก็เลยประมาณ (มโน) ค่าไฟบ้านผมมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะต้องรอเบิกมิเตอร์ใหม่ 

แต่ในเดือนมีนาคมผมก็ได้ยอดใช้จ่ายจริงมาแล้วครับ วันนี้ผมก็เลยจะมาลองคำนวณให้ดูนะครับว่าค่าไฟถ้าคิดแบบ  TOU กับแบบเดิมมันประหยัดลงมากไหม เพราะในบทความแรกก็มีคนอยากรู้ เพราะถ้าคุ้มเขาก็อยากลองไปติดบ้าง ในบทความนี้ผมจะคิดเฉพาะค่าไฟนะครับ ไม่ได้คิดค่าบริการ ค่า FT และ VAT  โดยเดือนมีนาคมนี้ตามบิลค่าไฟบ้านผมใช้ไปแบบนี้ครับ on peak (ราคาแพง) 98 หน่วย off peak (ราคาถูก)  489 หน่วย ถ้าไม่คิดแยกเท่ากับบ้านผมใช้ไฟรวม 587 หน่วยนะครับ

โอเคคราวนี้มาดูอัตราค่าไฟกันครับ รายละเอียดตามลิงก์นี้ครับ  

เนื่องจากบ้านผมเป็นบ้านพักอาศัย และมีอัตราการใช้ไฟเกิน 150 หน่วยต่อเดือน ดังนั้นอัตราค่าไฟก็คือ 

 150 หน่วยแรก (หน่วยที่ 0 – 150) 3.2484

250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151 – 400)  4.2218

เกิน 400 หน่วยขึ้นไป (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป) 4.4217

ถ้าคิดตามสูตรนี้ก็คือ ผมจะต้องเสีย 150 * 3.2484 + 250 * 4.2218 + 187 * 4.4217 = 2369.56 บาท 

แต่ถ้าคิดแบบ TOU ของผมจะเข้า 1.2.2 อัตราก็คือ 

 แรงดันตํ่ากว่า 22 กิโลโวลท์ on peak 5.7982, off peak   2.6369

ค่าไฟที่ผมต้องจ่ายคือ 98 * 5.7982 + 489 * 2.6369 = 1857.66 บาท

ดังนั้นส่วนต่างก็คือ 2369.56-1857.66 = 511.9 บาท  เท่ากับประหยัดไปได้ประมาณ 500 บาท

สำหรับใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้วอยากจะเปลี่ยนมาใช้แบบนี้ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มอย่างนี้นะครับ มันมีค่าเปลี่ยนมิเตอร์อยู่ประมาณ 6600 บาท ซึ่งถ้าผมประหยัดได้เดือนละ  500 แบบนี้ จะใช้เวลาประมาณหนึ่งปีจึงจะได้จำนวนเงินเท่ากับค่ามิเตอร์ที่จ่ายไป นั่นคือจะประหยัดได้จริง ๆ ก็ต้องหนึ่งปีผ่านไปแล้ว และเราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟสักเล็กน้อยนะครับ อย่างเปิดแอร์ผมก็จะรอสี่ทุ่ม จะซักผ้าโดยใช้เครื่องซักผ้า อบผ้า ก็จะรอสี่ทุ่ม หรือรอวันหยุด อีกอย่างหนึ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือถ้าใครไปขอเปลี่ยนแล้ว แล้วปรากฏว่าค่าไฟมันแพงกว่าเดิม จะขอเปลี่ยนกลับเลยไม่ได้นะครับ จะต้องใช้แบบนี้ไปอย่างน้อยหนึ่งปีจึงจะขอเปลี่ยนกลับได้ 

ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนนะครับ อ้อเกือบลืมศุกร์นี้อยู่ในช่วงสงกรานต์พอดี ก็ขออวยพรให้มีความสุขกัน เดินทางปลอดภัย และรอดพ้นภัยโควิดนะครับ สุขสันต์เทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ไทยครับ...  

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

วันนี้ได้ใช้ M-Flow แบบลงทะเบียนแล้ว



M-Flow
M-Flow

หลังจากที่เมื่อสามสัปดาห์ก่อนผมได้เล่าประสบการณ์หลงเข้าไปใช้ M-Flow แบบไม่ได้ตั้งใจให้อ่านกันไปแล้วในบล็อกนี้ครับ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การใช้ M-Flow แบบลงทะเบียนแล้วให้อ่านกันครับ ก็คือหลังจากวันที่ผมหลงเข้าไปวันรุ่งขึ้นผมก็ตัดสินใจสมัครสมาชิก M-Flow ครับ 

ตอนแรกตั้งใจจะสมัครเต็มรูปแบบ แต่เนื่องจากรถที่ผมใช้ชื่อผู้ครองกรรมสิทธิ์เป็นชื่อคุณภรรยาครับ ซึ่งก็จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมจากบัตรประชาชน ทะเบียนรถ รูปถ่ายด้านหน้ารถ นั่นก็คือหนังสือยินยอมจากภรรยา ผมก็เลยขี้เกียจยุ่งยากครับ เลยตัดสินใจสมัครผ่าน Line @mflowthai ครับ ซึ่งง่ายอย่างไม่น่าเชื่อคือ add Line @mflowthai ก่อนจากนั้นก็สมัครโดยข้อมูลที่ต้องให้เขาก็คือ ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และเลขทะเบียนรถ อ้ออีกอันหนึ่งก็คือเลขที่บัตรเครดิตที่เราจะให้ตัดครับ ใช้เวลาไม่น่าเกินห้านาทีก็เรียบร้อยครับ ไม่ต้องถ่ายรูปอะไรทั้งนั้น แต่สมัครแบบนี้จะไม่ได้สิทธิประโยชน์เหมือนสมัครเต็มรูปแบบนะครับ อย่างได้ลดค่าผ่านทาง 20% ผ่านฟรีสองครั้งแรก แล้วก็ยังเลือกวิธีจ่ายเงินได้หลากหลาย ไม่ใช่ตัดบัตรเครดิตอย่างเดียว แต่ก็สมัครยุ่งกว่า ใช้เอกสารมากกว่า ก็ลองเลือกกันดูนะครับ ถ้าเหมือนผมคือไม่ได้ผ่านบ่อย ๆ ไม่อยากยุ่งยาก และมีบัตรเครดิต จะสมัครแบบ Line ก็สะดวกดีครับ และอีกอย่างครับใน Line เขามีเมนูให้เราแก้ไขข้อมูลทะเบียนรถ และบัตรเครดิตด้วยนะครับ นั่นคือถ้าเราเปลี่ยนรถหรือจะเปลี่ยนบัตรเครดิตก็แค่ไปเปลี่ยนที่เมนูนี้สะดวกมาก  

หลังจากสมัครแล้วผมก็ไม่ได้ใช้บริการหรอกครับจนกระทั่งวันนี้ เมื่อไปถึงด่านธัญบุรี 2 ก็พบว่ามีรถไปคับคั่งอยู่ในด่านแบบจ่ายเงินและแบบ M-Pass ติดกันยาวเหยียดครับ  ซึ่งก็ไม่เข้าใจนะครับว่าทำไมทางกรมทางหลวงถึงยังแก้ปัญหาไม่ได้ คือเหมือนคนก็ยังไม่รู้ว่าเขาสามารถวิ่งผ่าน M-Flow ไปก่อนแบบไม่ลงทะเบียนแล้วไปจ่ายทีหลังได้ และอีกอันก็คือตู้ M-Pass เดิมสองอันขวาสุดก็ปิดไว้เฉย ๆ ไม่ให้เข้าไปใช้ และปัญหาคือการติดจากหน้าด่านตรงนั้นท้ายแถวมันมาขวางทางไป M-Flow ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็มีคนที่ไม่รู้วิ่งเลน M-Flow มาก่อน แล้วพอรู้ตัวว่าวิ่งผิดก็พยายามไปแทรกเข้าช่องจ่ายปกติ ยังไงก็ฝากแก้ปัญหาด้วยนะครับ

เมื่อผมหลุดท้ายแถวที่ขวางมาได้ผมก็มาที่เลน M-Flow ครับ คราวนี้ผมวิ่งใช้ความเร็วปกติครับ ประมาณ 90 (คิดว่าไม่น่าวิ่งเกินนี้ได้นะครับ ตราบใดที่เข้ายังมีด่านที่ต้องเข้า ไม่กล้าวิ่งเร็วเกินนี้) ก็ผ่านมาได้โดยสะดวกครับ และเมื่อมาเช็คบัตรเครดิต ก็พบว่ามีการตัดยอดเข้ามาหลังจากวิ่งผ่านด่านมาประมาณ 10 นาทีครับ อันนี้แปลกใจหน่อย ๆ ครับ เพราะเท่าที่หาข้อมูลมาเขาจะตัดตอนเที่ยงคืนของวันที่ใช้งาน คือสมมติวันนั้นเราวิ่งไป แล้วก็วิ่งกลับ เขาจะตัดเป็นยอดเดียวคือ 60 บาท แต่นี่ผ่านปุ๊ปแทบจะตัดปั๊ป  แต่ก็โอเคครับ แสดงว่าระบบใช้ได้ อ่านเลขทะเบียนถูก ตัดเงินได้ และถ้าไม่ได้วิ่งผ่าน ก็ยังไม่มีการตัดมั่ว ๆ เข้ามา อ้อแล้วเขาก็แจ้งผ่าน Line ด้วยนะครับว่าเขาตัดบัตรเครดิตเราแล้ว  

ก็มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกันอีกครั้งครับ เป็นข้อมูลให้เผื่อใครที่สนใจ อยากสมัครแบบง่าย ๆ และอยากย้ำอีกรอบนะครับ ไม่ลงทะเบียนก็ยังวิ่งผ่านได้ วิ่งไปก่อนจ่ายทีหลัง การจ่ายก็ไม่ยุ่งยากใช้ผ่าน  Mobile Banking เหมือนที่เราใช้กันทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาติดอยู่หน้าด่านครับ...    

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เรื่องวุ่น ๆ กับไฟ TOU

มิเตอร์ TOU


สวัสดีครับ #ศรัณย์วันศุกร์ วันนี้ผมขอนำเสนอเรื่องประสบการณ์กับค่าไฟ TOU ครับ จริง ๆ ว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ศุกร์ที่แล้ว แต่บังเอิญมีเรื่อง M-Flow เข้ามาซะก่อน ซึ่งหลังจากเขียนไปก็เห็นว่ามีคนมีประสบการณ์วิ่งผ่านช่อง M-Flow แล้วถูกปรับกันเยอะแยะ ซึ่งโชคดีที่ตัวเองไม่โดนเพราะมองเห็นวิธีจ่ายพอดี และตอนนี้เท่าที่ตามข่าวมา M-Flow ก็จะคืนค่าปรับให้แล้วนะครับ 

มาเข้าเรื่องวันนี้กันดีกว่าวันนี้จะมาเล่าเรื่องประสบการณ์กับค่าไฟแบบ TOU ครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าค่าไฟแบบ TOU คืออะไร สรุปง่าย ๆ ก็คือการคิดอัตราค่าไฟฟ้าตามเวลาที่ใช้ TOU ย่อมาจาก Time of Use ครับ โดยการไฟฟ้าจะแบ่งการคิดอัตราค่าไฟออกเป็นสองช่วงเวลาคือช่วงเวลา Peak ก็คือช่วงที่มีการใช้ไฟเยอะ ก็คือจันทร์ถึงศุกร์ 9.00-22.00 (รวมวันพืชมงคล และวันแรงงานด้วย) ตรงนี้จะคิดค่าไฟแพง กับช่วง off-peak คือช่วงที่มีการใช้ไฟต่ำ คือจันทร์ถึงศุกร์ 22.00-9.00 เช้า วันเสาร์อาทิตย์ทั้งวัน วันหยุดราชการที่ไม่ใช่วันหยุดชดเชย วันพืชมงคล และวันแรงงานที่ตรงกับเสาร์อาทิตย์ ตรงนี้จะคิดค่าไฟถูก รายละเอียดสามารถดูได้จากที่นี่ครับ  

เอาจริง ๆ ตอนแรกผมก็ไม่รู้จักหรอกนะครับ แต่คุณภรรยาไปเจอมา แล้วก็ตัดสินใจสมัครไป รู้สึกจะมีค่าธรรมเนียมการสมัครด้วยนะครับ ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร และการไฟฟ้าก็มาเปลี่ยนมิเตอร์เป็นแบบ TOU ให้เมื่อประมาณกลางเดือนหรือสัปดาห์ที่สามของเดือนธันวาคมปีที่แล้วนี่แหละครับ พอมาเปลี่ยนปุ๊ปบ้านผมก็เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟกันครับ อย่างผมปกติจะเริ่มเปิดแอร์ตอนประมาณสองทุ่มก็ยืดเป็นสี่ทุ่ม ยอมทนร้อนเพิ่มสองชั่วโมง 

คราวนี้ก็รอดูว่าค่าไฟจะถูกลงเท่าไร  ปรากฏว่าเมื่อบิลค่าไฟเดือนมกราคมมาถึงมันแพงขึ้นกว่าปกติครับ ซึ่งก็ทำให้ผมกับภรรยาประหลาดใจมาก (โดยเฉพาะผมอุตส่าห์ทนร้อนเพิ่ม) ขณะที่กำลังงง ๆ ว่าหรือมันจะคิดแบบเดิมรวมมาด้วยก่อนเปลี่ยน และจะรอดูอีกสักเดือนหนึ่ง ปรากฏว่าวันที่ 24 มกราคม มีรถการไฟฟ้ามาดูที่มิเตอร์ ซึ่งภรรยาผมก็ออกไปถามได้ความว่ามิเตอร์เสียครับ เสียตั้งแต่วันที่เอามาติดคือค่าไฟไม่เดินเลยเป็น 0 หมด และที่มานี่แค่มาดูนะครับ ยังไม่ได้มาเปลี่ยนเพราะยังเบิกของไม่ได้ 

คราวนี้ถ้ามิเตอร์เสียแล้วค่าไฟมาจากไหน คุณภรรยาก็เลยโทรไปการไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าแจ้งว่ามิเตอร์เสีย และคนที่มาจดคิดว่าเป็นบ้านไม่มีคนอยู่ก็เลยจดเป็นศูนย์ไปไม่ได้คิดอะไร คุณภรรยาก็เลยถามว่าแล้วค่าไฟเดือนที่แล้วมายังไง ก็ได้รับคำตอบว่าการไฟฟ้ารู้ครับว่ามันเป็นบ้านมีคนอยู่ และนี่คือสิ่งที่เขาทำครับ เขาบอกว่าเนื่องจากบ้านผมใช้ TOU เป็นเดือนแรก เขาไม่มีข้อมูลเก่า เขาเลยประมาณเลขขึ้นมาเองครับ (จะเรียกว่ามั่วก็น่าจะได้นะครับ) โดยเลขที่ประมาณขึ้นมาแบ่งเป็นช่วง peak 60% และช่วง off-peak 40% เจอคำตอบแบบนี้เข้าไปภรรยาผมถึงกับมึนเลยครับ ทำอย่างนี้ก็ได้หรือ ก็เลยบอกไปว่าอย่างนี้ไม่แฟร์นะ ถ้าเราจะใช้ช่วง peak เยอะ ๆ เราจะไปขอเปลี่ยนเป็น TOU ทำไม เปลี่ยนแล้วค่าไฟดันแพงขึ้น ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าเดี๋ยวถ้ามีข้อมูลแล้วจะเฉลี่ยคืนให้ 

และจากวันที่การไฟฟ้ามาดูว่ามิเตอร์เสีย เมื่อ 24 มกราคม ก็ยังไม่ได้มาเปลี่ยนนะครับ เพิ่งมาเปลี่ยนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งในช่วงนั้นเราก็ใช้ไฟกันตามปกติแบบก่อนจะเปลี่ยนมิเตอร์ครับ เพราะไม่รู้จะพยายามใช้แบบ TOU ไปทำไม ในเมื่อเดี๋ยวเขาก็จะใช้ค่าประมาณของเขาเองอีก แต่ปรากฏว่าเดือนนี้เขาประมาณให้ถูกกว่าปกติครับ (ก็ไม่รู้ว่าถ้าคุณภรรยาไม่โทรไปถามจะคิดแบบไหนนะครับ) และพอมิเตอร์มาติดเราก็ไปเช็คกันปรากฏว่ามันเดินแล้วครับ คราวนี้ก็ได้ใช้กันแบบ TOU ซะที เดี๋ยวเดือนหน้ามาดูกันครับว่าค่าไฟจริง ๆ แบบ TOU มันจะเป็นเท่าไร ถูกลงแค่ไหน  

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เมื่อผมหลงเข้าไปใช้ M-Flow โดยบังเอิญ

สวัสดีครับ หลังจากไม่ได้เขียน #ศรัณย์วันศุกร์ มาซะนาน วันนี้พอจะมีเวลาบ้างและบังเอิญได้รับประสบการณ์การใช้งาน M-Flow เป็นครั้งแรก และเป็นแบบบังเอิญซะด้วย และก็เพิ่งอ่านข่าวว่ารู้สึกจะเมื่อวานหรือเมื่อวานซืนที่รถติดหน้าด่านมาก ๆ อาจมีสาเหตุมาจาก M-Flow ก็เลยจะมาเล่าให้ฟังกัน และมีข้อเสนอแนะบางอย่างเผื่อถ้าคนที่เกี่ยวข้องได้อ่านจะได้พิจารณาดูว่าจะไปปรับใช้ได้ไหมนะครับ

ก่อนอื่นมารู้จัก M-Flow กันก่อนครับ M-Flow เอาง่าย ๆ คือวิธีเก็บค่าผ่านทางพิเศษแบบใหม่ ซึ่งจะไม่มีไม้กันให้เราต้องจอดจ่ายเงิน หรือต้องชะลอรถเพื่อให้มีการอ่านบัตร Easy Pass หรือ M-Pass เพื่อหักเงินเราก่อนจะเปิดไม้กั้นให้เราผ่านไป ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการของกระทรวงคมนาคม ซึ่งตั้งใจจะนำมาใช้กับมอเตอร์เวย์ และทางด่วน ซึ่งเปิดตัวให้ใช้อย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ด่านทับช้าง 1 ทับช้าง 2 ธัญบุรี 1 และธัญบุรี 2 

โดยวิธีการของระบบนี้คือเขาจะมีกล้องจับทะเบียนรถเรา แล้วก็ไปเก็บเงินเราตามวิธีการที่เราระบุไว้ตอนเราลงทะเบียนใช้งานระบบ หรือในตอนนี้เราไม่ลงทะเบียนก็ใช้ได้วิ่งผ่านไปก่อน แล้วเขาจะมีเว็บไซต์ให้เราไปจ่ายเงินทีหลังโดยป้อนทะเบียนรถเราเข้าไป ซึ่งกรณีของผมเป็นแบบหลังนี้ครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ M-Flow สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ของ M-Flow ครับ 

จริง ๆ ผมได้รับอีเมลให้ลงทะเบียนสมัครใช้ M-Flow มาก่อนหน้านี้เป็นเดือนแล้วครับ แต่ไม่ได้สนใจจะสมัคร เพราะเหตุผลสองอย่าง อย่างแรกคือยังไม่ไว้ใจระบบอ่านเลขทะเบียนนี่สักเท่าไหร่ เพราะแค่ Easy Pass ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ แค่แสดงจำนวนเงินในบัตรตอนขับผ่านยังแสดงไม่ตรงเลย คือมันมักจะดีเลย์ไปแสดงของรถคันหน้าเรา อีกอย่างหนึ่งก็คือผมมองว่าวิธีนี้มันผูกติดกับตัวรถ คือถ้าผมเปลี่ยนรถ หรือมีวันหนึ่งสมมติต้องยืมรถภรรยามาขับ ถ้าเป็น Easy Pass ผมก็แค่เอามันไปใช้กับรถที่ผมจะใช้วันนั้น แต่ถ้าเป็นระบบนี้ผมก็ต้องลงทะเบียนรถทุกคัน ซึ่งขั้นตอนการลงทะเบียนถึงแม้จะดูไม่ยาก แต่ก็ดูยุ่ง ๆ และถ้าต้องลงทะเบียนรถหลายคัน ก็น่าจะยุ่งขึ้นไปอีก ก็เลยยังไม่สมัคร และคิดว่าจะใช้  Easy Pass ไปก่อน จนระบบมันลงตัว หรือเขายกเลิก Easy Pass ไปแล้ว หรือตัวเองพร้อมที่จะลงทะเบียน

บังเอิญวันนี้ผมมีธุระต้องไปแถวคลองหลวงตั้งแต่เช้า ก็ขับรถขึ้นมอเตอร์เวย์ไป โดยลืมสนิทเลยว่า M-Flow มันเปิดใช้แล้ว และตามทางที่วิ่งไปก็จะเจอข้อความบนบอร์ดประชาสัมพันธ์ของมอเตอร์เวย์พูดถึง M-Flow ว่ารถที่ไม่ลงทะเบียนห้ามวิงผ่าน M-Flow จะมีโทษนู่นนี่นั่น แอบวิ่งไม่จ่ายเงินเจอค่าปรับ 10 เท่า เห็นป้ายแบบนี้แล้วก็ยังไม่ได้คิดครับว่ามันเปิดใช้แล้ว กับด่านที่ผมจะต้องผ่านนี่แหละคือธัญบุรี น่าจะ 2 นะครับ ขาออกมุ่งหน้าบางปะอิน 

ถ้าใครเคยผ่านด่านธัญบุรีอันนี้คงจะรู้นะครับว่ามันจะมีช่อง Easy Pass อยู่ขวาสุดสองช่อง ผมซึ่งคุ้นเคยกับด่านนี้ดีก็ขับไปตามความเคยชินครับไม่ได้มองป้าย M-Flow อะไร พอขับเข้าไปก็เป็นงงครับเพราะมันว่างมากแทบไม่มีรถวิ่งเข้ามาด้านนี้เลย หนักกว่านั้นมีกรวยมาวางกั้นไม่ให้เข้าไปที่ตู้ Easy Pass คราวนี้ก็เริ่มระลึกได้ครับว่า เฮ้ย หรือนี่มันจะเป็น M-Flow แต่ตอนนั้นก็ตั้งคำถามกับตัวเองนะครับว่าต่อให้เป็น M-Flow แล้วทำไมถึงปิดตู้ Easy Pass แต่คิดอีกทีสุดท้ายเขาคงอยากให้เป็น M-Flow ทั้งหมดรถจะได้ไม่ต้องชะลอ แต่ผมว่าถ้ามีตู้อยู่มันก็ต้องชะลอกันอยู่ดีนะ แต่เอาเถอะครับในตอนนั้นปัญหาเฉพาะหน้าก็คือทำยังไงดี เพราะอ่านป้ายคำขู่ตามทางที่ผ่านมาว่ารถไม่ลงทะเบียนห้ามวิ่งผ่าน M-Flow 

แต่จะให้ถอยกลับก็คงไม่ใช่ ถ้าทำอย่างนั้นสงสัยจะถูกชนแบนอยู่บนมอเตอร์เวย์ ก็เลยชะลอรถเลือกผ่านเข้าไปที่ตู้หนึ่ง ก็เห็นป้ายเล็ก ๆ เขียนไว้ประมาณว่า รถที่ไม่ได้ลงทะเบียนให้ไปจ่ายเงินย้อนหลังได้ที่เว็บไซต์ของ M-Flow เห็นแล้วก็เลยโล่งใจขึ้น แล้วก็นึกในใจว่า ทำไมมันถึงไปโปรโมทแต่เรื่องจะลงโทษรถที่ไม่ลงทะเบียนแล้วใช้ M-Flow ในเมื่อมันก็มีระบบให้จ่ายทีหลังด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว 

จริง ๆ ควรจะโปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้มากกว่า เพราะอาจไม่ใช่ทุกคนที่จะผ่านมาใช้เป็นประจำ เขาอาจจะผ่านมาเป็นครั้งคราว พอผ่านเสร็จก็ไปจ่ายเงินย้อนหลัง ไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายลงทะเบียนอะไร และการโปรโมทแบบนี้ก็อาจเป็นการเชิญชวนให้คนที่ใช้ประจำแต่ไม่ได้ลงทะเบียนมาทดลองใช้ดูว่าระบบการอ่านเลขทะเบียนมันโอเคไหม ให้เขาลองใช้ดูแล้วก็ค่อยโปรโมทต่อว่าถ้าคุณลงทะเบียนคุณจะได้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง นี่เล่นขู่กันอย่างเดียวเลย และนี่อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รถติดหนักหน้าด่านเมื่อวานหรือเมื่อวานซืน เพราะคุณลดด่านที่ต้องจ่ายเงิน กับด่าน Easy Pass กับ M-Pass ลง ทำให้รถซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลงทะเบียนต้องไปแออัดกันหน้าด่าน ทำให้ท้ายแถวติดยาวเหยียดจนคนที่ลงทะเบียน M-Flow ก็เข้าช่อง M-Flow ไม่ได้ ไม่ต่างกับคนที่ใช้ Easy Pass หรือ M-Pass ที่ต้องมาติดท้ายแถวจากคนที่จ่ายเงินสด อันนี้ก็เป็นคำแนะนำนะครับ ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะผมไม่ได้ไปติดอยู่กับเขา แต่คนที่ติดอยู่วันนั้นคงสรรเสริญคนที่คิดแต่เรื่องขู่แบบนี้ไปพอสมควรนะครับ :)

คราวนี้มาถึงเรื่องของผมต่อครับ หลังจากผมผ่านด่านมาแล้ว มาลงที่คลองหลวง ใช้เวลาผ่านจากด่านมาน่าจะประมาณ 20 นาที ผมก็ลองเข้าเว็บไซต์เพื่อเช็คดูว่าผมจะต้องจ่ายเงินยังไง เมื่อเข้าไปที่เว็บไซต์  ก็จะเจอเมนูตามรูปที่ 1 ครับ 

Mflow-pay-menu
รูปที่ 1 เมนูจ่ายเงิน M-Flow

ผมก็เลือกอันล่างสุดนะครับ "วิ่งช่องผ่านทาง M-Flow แต่ไม่ใช่สมาชิก" รู้สึกว่าคำพูดมันประหลาด ๆ ไหมครับ จริง ๆ มันน่าจะเป็น "วิ่งผ่านช่องทาง M-Flow แต่ไม่ใช่สมาชิก" ว่าไหมครับ หลังจากเลือกอันนี้มันจะพาเราไปที่หน้าจอดังรูปที่ 2 ครับ

find-car-by-id-mflow
รูปที่ 2 ค้นหารถยนต์เพื่อชำระเงิน

 
เราก็ป้อนเลขทะเบียนรถเราซึ่งต้องแบ่งเป็นสามส่วนนะครับ คือช่องแรกให้ใส่สามหลักแรก ช่องที่สองก็ให้ใส่เลขสี่หลัก (รถผมมีสี่หลัก แต่ถ้าใครมีกี่หลักก็น่าจะใส่ตามนั้นนะครับ) และช่องสุดท้ายก็คือจังหวัด จากนั้นกดปุ่มค้นหา 

ซึ่งในตอนแรกที่ผมป้อน มันหาไม่เจอนะครับ มันบอกไม่มียอดค้างชำระ ตอนแรกผมก็คิดว่าระบบอ่านเลขทะเบียนมันแย่หรือเปล่านี่ แล้วตอนนี้มันไปอ่านเป็นรถใครแทนหรือเปล่า แต่คิดอีกทีสงสัยมันต้องใช้เวลาบันทึกข้อมูลลงระบบ ก็เลยทำธุระไปก่อน ช่วงบ่ายลองค้นอีกทีคราวนี้มันเจอครับ ก็ขึ้นว่าต้องจ่าย 30 บาท ซึ่งเราสามารถจ่ายผ่านระบบพรอมท์เพย์ (prompt pay) ได้นะครับ มันจะสร้าง QR Code ขึ้นมา เราก็เอาไปสแกนจ่ายผ่านแอปธนาคารได้เลย หลังจากจ่ายไปแล้ว ผมลองทิ้งเวลาไปสักหนึ่งชั่วโมง ลองค้นดูอีกทีก็ปรากฏว่าไม่มีค้างชำระแล้ว 

สรุปก็คือระบบอ่านเลขทะเบียนใช้ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าตอนผมผ่านด่านผมชะลอรถช้า ๆ เพราะเข้ามาแบบงง  ๆ หวังว่าจะเจอเจ้าหน้าที่บ้างแต่ก็ไม่มี เจอแต่ป้ายบอกจ่ายทีหลังได้ ดังนั้นที่เขาตั้งใจว่าให้วิ่งผ่านได้ด้วยความเร็ว 120 ไม่ต้องชะลอรถมันจะโอเคไหม ระบบจ่ายเงินก็ใช้ได้ แต่ไม่รู้ว่าถ้ามีคนใช้เยอะกว่านี้จะเป็นยังไง 

ก็หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านนะครับ ถ้าใครผ่านทับช้าง 1 ทับช้าง 2 ธัญบุรี 1 และธัญบุรี 2 และไม่ได้ลงทะเบียน M-Flow ไว้ก็ใช้ได้นะครับ ไม่ต้องไปติดอยู่ที่ด่านจ่ายเงิน ส่วนคำแนะนำสำหรับเจ้าหน้าที่ก็คือน่าจะโปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้นะครับ แทนที่จะขู่ว่าไม่ลงทะเบียนห้ามผ่าน การโปรโมทแบบนี้ผมว่าจะทำให้คนอยากลองใช้มากขึ้น จะช่วยลดรถติดหน้าด่าน ซึ่งน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของการใช้ระบบนี้ แล้วพอเขาเห็นว่าถ้าสมัครสมาชิกมันทำให้สะดวกสบายกว่าอย่างเช่นมันสามารถหักค่าผ่านทางโดยใช้เงินที่มีใน Easy Pass และ M-Pass ได้ด้วย หักจากบัตรเครดิตได้ หรือจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ เขาก็จะสมัครกันเอง แต่ถ้าไม่โปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้เพราะกลัวระบบจ่ายเงินล่มถ้าคนมาใช้เยอะอันนี้ก็คงไม่มีคำพูดอะไรต่อครับ ส่วนถ้ากลัวคนมาใช้แล้วไม่ยอมจ่ายเพราะไม่ลงทะเบียน จริง ๆ อันนี้น่าจะคิดไว้ก่อนแล้วนะครับ ถ้ายังไม่ได้ทำก็เสนอทำพร้อมกับระบบใบสั่งไปเลย คือให้ขนส่งดูให้ว่าถ้ามีใบสั่งที่ยังไม่จ่าย หรือไม่จ่ายค่าผ่านทางก็ไม่ต่อทะเบียนให้ แก้กฎหมายตรงนี้กันไปเลย  

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2564

300000 กว่าวิวแล้ว ขอบคุณและสวัสดีปีใหม่ครับ


วันศุกร์นี้บังเอิญเป็นวันศุกร์สิ้นปีพอดี ดังนั้น #ศรัณย์วันศุกร์ วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะมาคุยกันส่งท้ายปีนะครับขอเริ่มต้นด้วยการขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันจนยอดวิวของบล็อกทะลุ 300,000 วิวไปแล้วครับ ต้องบอกว่าปีนี้สิ่งหนึ่งหนึ่งที่ผมคาดหวังแล้วได้ตามเป้าก็คือยอดวิวของบล็อกนี่แหละครับ  หลายคนอาจจะบอกว่าเปิดบล็อกมา 12-13 ปี ได้ยอดวิวแค่ 300,000 จะมาดีใจอะไร ก็คงต้องบอกว่าถึงผมจะเปิดบล็อกมานานแล้ว แต่ไม่ได้โพสต์สม่ำเสมอ และไม่ได้โปรโมตอะไร เขียนเสร็จก็แชร์ให้เพื่อนใน Facebook กับ Twitter อ่าน บางปีเขียนแค่สี่บทความก็มี :) เรียกง่าย ๆ ว่าเขียนตามอารมณ์ตัวเอง และเหตุผลที่มักจะใช้อ้างก็คือไม่ว่าง แต่จากที่เช็คสองปีก่อนก็มียอดวิวประมาณ 100,000 นิด ๆ  ซึ่งยอดวิวนี้ส่วนใหญ่น่าจะได้มาจากบทความที่เกี่ยวกับอ.วีระและ Siri ของ Apple คือสองบทความต่อไปนี้ครับ เบื้องหลัง Siri ของ Apple หรือจะคืองานวิจัยของนักวิจัยไทย?  ฤาคดี Siri จะได้ข้อยุติแล้ว? พร้อมชัยชนะของนักวิจัยไทย  

แต่จากที่ผมเริ่มโพสต์สรุปข่าวอย่างสม่ำเสมอ บวกกับบทความนี้ สรุปเรื่อง Siri ของ Apple กับ นักวิจัยไทยกันอีกสักครั้ง ผมพบว่ายอดวิวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเมื่อปีที่แล้วมียอดวิวอยู่ที่ประมาณ 150,000 นิด ๆ ประมาณ 10 ปีก่อนหน้ามียอดวิวอยู่ประมาณ 100,000 พอเริ่มโพสต์สม่ำเสมอ ยอดวิวปีเดียวเพิ่มขึ้นครึ่งนึงของสิบปี ผมก็เลยลองตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นไปได้ไหมที่ปีนี้จะมียอดวิวถึง 300,000 จริง ๆ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่สุดท้ายพอเริ่มแตะสองแสนปลาย ๆ ก็เริ่มลุ้นครับ ซึ่งก็ผ่านหลัก 300,000 ไปในสัปดาห์สุดท้าย แต่ก็ลุ้นหนักเหมือนกันครับ เพราะมีบางวันอยู่แค่หลักสิบวิวก็มีครับ :( ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนครับ ที่ช่วยกันเข้ามาอ่าน เป็นกำลังใจให้กับคนเขียนจริง ๆ ครับ ที่เห็นว่าสิ่งที่เราเขียนมีคนอ่าน และก็คาดหวังว่าจะได้ประโยชน์ไปบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ

ส่วนปีหน้าผมก็ยังตั้งใจจะสรุปข่าวมาให้อ่านกันทุกวัน และจะพยายามมาคุยกันในวันศุกร์ให้บ่อยขึ้นครับ และก็หวังว่าสถานการณ์โรคระบาดที่เราเจออยู่นี้น่าจะดีขึ้น จนเราสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ จริง ๆ พอเข้าไตรมาสสุดท้ายของปี ดูเหมือนอะไร ๆ กำลังจะดีขึ้นนะครับ แต่ก็ดันมีโอไมครอนเกิดขึ้นอีก และดูเหมือนยังไม่มีวัคซีนอะไรที่ป้องกันโอไมครอนตัวนี้ได้ แต่เอาจริง ๆ วัคซีนที่เรามีอยู่ตอนนี้ก็ป้องกันติดไม่ได้สักตัวนะครับ แต่อาจกันตายกับอาการหนักได้ ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมคาดหวังว่าเราจะมีในปีหน้าคือยารักษาครับ เอาแบบถ้าติดรู้ตัวก็รีบกินยา แล้วก็นอนพักสักวันสองวัน เหมือนตอนเราเป็นหวัด

สุดท้ายนี้ก็ขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับที่ติดตามอ่านบล็อก และก็ขอสวัสดีปีใหม่ 2565  ถ้านับตามสากลก็ 2022 ครับ ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคน และขอให้วิกฤตโรคระบาดนี้ผ่านพ้นไป และขอให้ติดตามอ่านบล็อกกันเหมือนเดิมนะครับ...

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564

เราจะหาทวีตแรกของทวิตเตอร์ของเราได้อย่างไร

ไม่ได้เขียน #ศรัณย์วันศุกร์ มานานมาก วันนี้พอมีเวลาบ้างก็เลยหาเรื่องมาเล่าให้ฟังกันครับ จากกระแส NFT ที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ แต่ผมจะไม่ได้มาพูดในบล็อกนี้นะครับว่า NFT คืออะไร แต่เรื่องที่จะมาพูดวันนี้คือเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับการที่ Jack Dorsey ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สร้างทวิตเตอร์ได้นำทวีตแรกของเขามาทำเป็น NFT ขาย ก็เลยคิดว่าพวกเราหลายคนก็อาจจะอยากหาทวีตแรกของตัวเองเผื่อจะเอามาทำเป็น NFT ขายบ้าง 

วิธีจะหาทวีตแรกของเราก่อนอื่นเราต้องดูก่อนนะครับว่าเราสมัครทวิตเตอร์ตั้งแต่เมื่อไร ซึ่งวิธีการก็คือเข้าไปที่ทวิตเตอร์ แล้วคลิกที่ ข้อมูลส่วนตัว ซึ่งเราจะเห็นว่าเราเริ่มสมัครเข้าทวิตเตอร์เมื่อไร ซึ่งจากที่ผมลองดูผมก็เลยรู้ว่าผมเริ่มใช้ทวิตเตอร์เมื่อมกราคม 2009

 

จากนั้นคลิกที่ลิงก์นี้ครับ  https://twitter.com/search-advanced ซึ่งเราจะได้จอภาพดังนี้ 


จากนั้นสโกรลลงมาแล้วใส่ชื่อทวิตเตอร์ของเรา 



จากนั้นให้สโกรลลงมาเพื่อเลือกช่วงของวันที่ที่จะค้นหา 




ซึ่งก็ให้เริ่มจากเดือนที่เราเริ่มสมัครไปสักสองสามเดือนนะครับ เพราะเราอาจจะไม่ได้ทวีตหลังจากที่เราสมัคร แต่ถ้าใครจำได้ว่าเริ่มสมัครปุ๊ปก็ทวีตปั๊ปก็อาจค้นในช่วงเดือนเดียวก็ได้นะครับ อย่างในรูปผมเลือกจากช่วงมกราคม 2009 ถึงใีนาคม 2009 จากนั้นกดปุ่มค้นหา 


ให้คลิกเลือกล่าสุด แล้วสโกรลลงมาด้านล่างสุดก็จะเจอทวีตแรกของเราครับ อย่างของผมจะเป็นเมื่อ 6 ก.พ. 2009 ซึ่งก็ทวีตลิงก์ของข่าวจาก Computer World Newzeland ซึ่งตอนนี้ลองคลิกดูปรากฎว่าลิงก์ปลิวไปแล้วครับ ไม่มีข่าวนี้แล้ว 

โอเคครับตอนนี้เราก็หาทวีตแรกของเราได้แล้ว ถ้าใครเจอแล้วจะลองไปสร้างเป็น NFT ขายดูบ้างนะครับ และถ้าขายได้แล้วมาเล่าให้ฟังกันบ้างนะครับ ส่วนผมคิดแล้วก็เศร้าใจตัวเองครับ ทวีตแรกทั้งที่แทนที่จะเป็นสวัสดีทวิตเตอร์ หรืออะไรที่มันแสดงความเป็นแรก ๆ หน่อย ไปทวีตลิงก์ที่ไม่มีซะแล้ว  แล้วอย่างนี้จะไปขายได้ยังไงล่ะนี่...   

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ทำไมประยุทธ์ถึงไม่ยอมขอโทษและเหมือนไม่รู้สึกอะไร

ศรัณย์วันศุกร์วันนี้ขอมาเรื่องเครียด ๆ สักหน่อยแล้วกันนะครับ เพราะสถานการณ์มันไม่ดีเลย นั่งดูโอลิมปิก ก็ยังรู้สีกเสียดายที่เมย์-รัชนก นักแบดมินตันตัวความหวังของเรา ก็พลาดไปเพียงนิดเดียว ก็รู้สึกเสียดายแทนเธอนะครับ แต่เธอทำดีที่สุดแล้วในวันนี้ ขอชมเชย เพียงแต่มันไม่ใช่วันของเธอเท่านั้นเอง 

กลับมาเข้าเรื่องที่อยากจะบันทึกไว้วันนี้ครับ คือวันนี้ได้คุยกับลูกชายคนเล็ก เขาก็ตั้งคำถามว่าทำไมประยุทธ์ถึงไม่ออกมาขอโทษ หรือยอมรับความผิดอะไรบ้าง ผู้นำประเทศอื่นหลายคนเขาก็ขอโทษ ซึ่งผมก็เห็นด้วยกับลูกชายครับ เพราะจริง ๆ การขอโทษถ้าทำอย่างจริงใจ มันจะทำให้เราได้เห็นข้อผิดพลาดที่เราทำ และจะได้แก้ไขได้ แต่ถ้าไม่ขอโทษ คิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็จะดันทุรังทำแบบเดิมไป เพราะถ้าเปลี่ยนก็เท่ากับยอมรับ เหมือนที่อนุทินยังยืนยันไม่เข้า COVAX นั่นแหละ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร ก็บอกกับลูกไปว่า คนมีอีโก้สูงก็เป็นแบบนี้แหละ คิดว่าตัวเองดีตัวเองเก่ง รับความผิดไม่ได้ 

แต่พอผมลองกลับมานั่งนึกดู จากการกระทำของประยุทธ์ ความคิดและคำพูดของประยุทธ์ ที่ออกมาบอกว่าอัตราคนตายในประเทศของเราก็ต่ำกว่าประเทศอื่นตั้งหลายประเทศ และจากการที่ประยุทธ์มักจะเปรียบเทียบสถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้ว่าเป็นเหมือนสงคราม มันทำให้ผมได้มุมมองว่า ประยุทธ์น่าจะคิดแบบทหาร คือเวลารบทหารก็มักจะคิดว่ามันก็ต้องมีความสูญเสียบ้าง ตราบใดที่ยอดความสูญเสียมันยังอยู่ในเกณฑ์ที่พวกเขาตั้งไว้ ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าประยุทธ์อาจจะคิดอยู่บนฐานนี้ ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าผมคิดถูกหรือเปล่านะครับ แต่ถ้าคิดอย่างนี้จริง ก็อยากบอกว่าคิดใหม่เถอะ เราไม่ได้ทำสงครามอยู่ มันไม่ควรมีใครต้องเสียสละชีวิตเพื่อประเทศชาติ และนอกจากชีวิตแล้ว หลายคนต้องเสียงานเสียธุรกิจไปแบบอาจไม่ได้กลับคืนมาอีก  ลองคิดหาวิธีบริหารจัดการแบบไม่ใช่กำลังรบกับใครอยู่ดู นี่คือชีวิตของพลเรือนในความดูแลของคุณ

แต่ที่น่าเศร้าใจกว่าก็คือมีรัฐมนตรีช่วยกระทรวงที่ต้องดูแลสุขภาพประชาชน มาจากพรรคการเมือง เป็นนักการเมือง กลับใช้คำพูดประมาณว่า "อาจโชคร้ายบ้างที่อาจจะมีเสียชีวิตที่บ้าน" โดยไม่ได้คิดว่ามันเป็นเพราะการบริหารจัดการที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่หรือเปล่า ไม่รู้เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว หรืออยู่ใกล้ประยุทธ์นาน ๆ ก็เลยติดวิธีคิดแบบนี้มา น่าเศร้าจริง ๆ ...   

 

 


วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ปราสาททราย

เพื่อให้เข้าสถานการณ์ ภูเก็ตปราสาททราย ของนายกประเทศสารขัณฑ์ เราไปฟังเพลงและดูเนื้อเพลงประสาททรายของสุรสีห์ อิทธิกุล อดีตศิลปิน นักดนตรี และโปรดิวเซอร์ที่โด่งดังคนหนึ่งของไทยกันดีกว่าครับ ไปฟังเพลงเพราะ ๆ แต่อาจจะเศร้านิด ๆ และก็ได้แต่หวังว่าโครงการภูเก็ตประสาททรายของใครบางคนจะไม่แหลกสลายลงไปกับตาเหมือนในเนื้อเพลงนะครับ ไปฟังเพลงกันครับ



และนี่คือเนื้อเพลงครับ

กว่าจะรวมจิตใจ
เก็บทรายสวยสวยมากอง
ก่อปราสาทสักหลัง
ก่อกำแพงประตู
ก่อสะพานสร้างเป็นทาง
ทำให้เป็นดังฝัน
ก่อนที่ฉันจะได้เห็นทุกอย่าง
อย่างที่ฝันที่ฉันทุ่มเท
น้ำทะเลก็สาดเข้ามา
ไม่เหลืออะไรเลย
แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงทรายที่ว่างเปล่า
กับน้ำทะเลเท่านั้น
ไม่เหลืออะไรเลย
จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน
ไร้กำลังจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิม
ทีละเล็กละน้อย
ที่คอยสะสมความดี
มีให้เธอเท่านั้น
ก่อเป็นความเข้าใจ
แต่งเติมความหมายด้วยกัน
คอยถึงวันที่หวัง
ก่อนที่ฉันจะได้พบความสุข
อย่างที่ฉันฝันไว้ทุกวัน
เธอก็พลันมาจากฉันไป
ไม่เหลืออะไรเลย
แหลกสลายลงไปกับตา
เหลือเพียงใจที่ว่างเปล่า
กับฉันคนเดียวเท่านั้น
ไม่เหลืออะไรเลย
จากที่เคยมีความใฝ่ฝัน

ขอให้ปลอดภัยเอาชีวิตรอดจากวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ครับ... 

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ขอเพียงช่วงเวลาหนึ่ง

ไม่ได้เขียนศรัณย์วันศุกร์มาซะนาน วันนี้มาฟังเพลงกันก็แล้วกันครับ เอาอีกแล้วครับที่มีเพลงหนึ่งวิ่งไปวิ่งมาอยู่ในหัวตลอดเวลา สำหรับเพลงที่จะชวนกันฟังในวันนี้ก็คือ One Moment in Time ครับ ซึ่งเป็นเพลงประจำกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1988 ที่โซล เกาหลีใต้ ซึ่งก็ผ่านมา 23 ปีแล้ว และคนร้องซึ่งคือ  Whitney Houston ก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่เพลงนี้ฟังยังไงก็ไม่เบื่อนะครับ ไปฟังเพลงกันก่อนครับ เอาเวอร์ชัน Whitney Houston ก่อนครับ



และแถมอีกเวอร์ชันที่ผมก็ชอบของ Dana Winner ครับ



 

เพราะจริง ๆ นะครับ 

คราวนี้มาดูเนื้อเพลงกันครับ

Each day I live

I want to be

A day to give

The best of me

I'm only one

But not alone

My finest day

Is yet unknown

I broke my heart

Fought every gain

To taste the sweet

I face the pain

I rise and fall

Yet through it all

This much remains

I want one moment in time

When I'm more than I thought I could be

When all of my dreams are a heartbeat away

And the answers are all up to me

Give me one moment in time

When I'm racing with destiny

Then in that one moment of time

I will feel

I will feel eternity

I've lived to be

The very best

I want it all

No time for less

I've laid the plans

Now lay the chance

Here in my hands

Give me one moment in time

When I'm more than I thought I could be

When all of my dreams are a heartbeat away

And the answers are all up to me

Give me one moment in time

When I'm racing with destiny

Then in that one moment of time

I will feel

I will feel eternity

You're a winner for a lifetime

If you seize that one moment in time

Make it shine

Give me one moment in time

When I'm more than I thought I could be

When all of my dreams are a heartbeat away

And the answers are all up to me

Give me one moment in time

When I'm racing with destiny

Then in that one moment of time

I will be

I will be

I will be free

I will be

I will be free


ชีวิตทุกวันของฉัน

ฉันอยากจะอยู่

ในวันที่ฉันจะให้

สิ่งที่ดีที่สุดของฉัน

ฉันตัวคนเดียว

แต่ก็ไม่ได้เปล่าเปลี่ยว

วันที่ดีที่สุดของฉัน

ยังไม่รู้จะมาเมื่อไหร่

ฉันหักห้ามใจตัวเอง

ต่อสู้กับทุกอย่างเพื่อให้ได้มา

เพื่อที่จะได้ลิ้มรสความหวาน

ฉันต้องเผชิญกับความเจ็บปวด

ฉันพุ่งขึ้นแล้วก็ร่วงหล่นลงมา

แม้ว่าฉันจะผ่านมันมาทั้งหมดแล้ว

มันก็มีสิ่งที่เหลืออยู่อีกมากมาย

ฉันขอเพียงช่วงเวลาหนึ่ง

ช่วงเวลาที่ฉันเป็นได้มากกว่าที่ฉันเคยคิดไว้

เมื่อความฝันทั้งปวงของฉันอยู่ห่างออกไปแค่จังหวะหัวใจเต้น

และคำตอบทั้งหมดขึ้นอยู่กับฉันเพียงผู้เดียว

ขอเพียงช่วงเวลาหนึ่งให้ฉันเถอะ

ช่วงเวลาที่ฉันได้แข่งขันกับโชคชะตา

และในช่วงเวลานั้น

ฉันจะรู้สึก

ฉันจะรู้สึกถึงความเป็นนิรันดร์

ฉันใช้ชีวิต

เพื่อให้เป็นที่สุด

ฉันต้องการมันทั้งหมด

ไม่มีเวลาให้กับสิ่งที่ไม่สำคัญ

ฉันวางแผนมาตลอด

ตอนนี้ก็คว้าโอกาส

ซึ่งอยู่ในมือของฉัน

ขอเพียงช่วงเวลาหนึ่งให้ฉันเถอะ

ช่วงเวลาที่ฉันเป็นได้มากกว่าที่ฉันเคยคิดไว้

เมื่อความฝันทั้งปวงของฉันอยู่ห่างออกไปแค่จังหวะหัวใจเต้น

และคำตอบทั้งหมดขึ้นอยู่กับฉันเพียงผู้เดียว

ขอเพียงช่วงเวลาหนึ่งให้ฉันเถอะ

ช่วงเวลาที่ฉันได้แข่งขันกับโชคชะตา

และในช่วงเวลานั้น

ฉันจะรู้สึก

ฉันจะรู้สึกถึงความเป็นนิรันดร์

คุณจะเป็นผู้ชนะตลอดชีวิตของคุณ

ถ้าคุณคว้าช่วงเวลาหนึ่งนั้นเอาไว้ได้

ทำให้มันเปล่งประกายออกมา

ขอเพียงช่วงเวลาหนึ่งให้ฉันเถอะ

ช่วงเวลาที่ฉันเป็นได้มากกว่าที่ฉันเคยคิดไว้

เมื่อความฝันทั้งปวงของฉันอยู่ห่างออกไปแค่จังหวะหัวใจเต้น

และคำตอบทั้งหมดขึ้นอยู่กับฉันเพียงผู้เดียว

ขอเพียงช่วงเวลาหนึ่งให้ฉันเถอะ

ช่วงเวลาที่ฉันได้แข่งขันกับโชคชะตา

และในช่วงเวลานั้น

ฉันจะเป็น
ฉันจะเป็น
ฉันจะเป็นอิสระ
ฉันจะเป็น
ฉันจะเป็นอิสระ 


ถือว่าเป็นการต้อนรับโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นปีนี้ (ถ้าจัดได้) ด้วยแล้วกันนะครับ ขอให้ปลอดภัยจากโควิดครับ

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564

สวัสดีปีใหม่ 2564 (2021)

Photo by Moritz Knöringer on Unsplash

สวัสดีปีใหม่ครับ ศรัณย์วันศุกร์วันนี้มาในวันปีใหม่พอดี เนื่องจากวันเริ่มต้นของปีนี้เป็นวันศุกร์ และเมื่อเริ่มต้นด้วยวันศุกร์ ก็หวังว่ามันจะเป็นปีที่ทำให้เรามีความสุขกันทุกคนนะครับ 

ในวันนี้ผมก็อยากจะเริ่มต้นด้วยการมองย้อนไปในปีที่แล้วจากการเขียนบทความลงในบล็อกนี้ของผมแล้วกันนะครับ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบล็อกนะครับ เริ่มจากต้นปีมียอดวิวอยู่ที่ประมาณ 120,000 กว่าวิว จนถึงวันสุดท้ายของปีมียอดวิว  150,000 กว่าวิว ถ้าเอากลม ๆ ก็คือ ปีนี้มีผู้เข้ามาอ่านบล็อกทั้งหมดประมาณ 30,000 กว่าครั้ง ก็ขอขอบคุณอีกครั้งครับ

ถึงแม้ผมจะทำสำเร็จตามที่ตั้งปณิธานไว้ในปีที่แล้ว คือสรุปข่าวไอทีเขียนลงบล็อกวันละหนึ่งเรื่อง แต่บทความที่ถูกอ่านมากที่สุดกลับเป็นบทความเกี่ยวกับอ.วีระกับ Apple ซึ่งโพสต์ไว้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว กับบทความสรุปให้ฟังอีกครั้งซึ่งเขียนในปีที่แล้ว ส่วนสรุปข่าวไอทีที่เขียนให้อ่านทุกวันก็พอมียอดอ่านอยู่บ้าง ก็หวังว่าในปีนี้จะเข้ามาอ่านกันให้มากขึ้นนะครับ ซึ่งผมจะพยายามคัดสรรเรื่องที่น่าสนใจมาให้อ่านกันต่อไปครับ ส่วนศรัณย์วันศุกร์ก็จะพยายามหาเรื่องที่น่าสนใจมาเขียนให้บ่อย ๆ ขึ้นในทุก ๆ วันศุกร์ครับ 

และสำหรับใครที่สนใจบทความด้าน Computing ก็ขอฝากบล็อกนี้ของผมไว้ด้วยครับ ซึ่งเอาจริง ๆ ปีที่แล้วก็ไม่ได้เขียนมากนัก เนื่องจากไม่มีเวลา เพราะจัดสรรเวลาแต่ในปีนี้ผมตั้งใจว่าจะเขียนให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละบทความครับ 

ในปีนี้ปณิธานของผมที่ตั้งใจจะทำให้ได้ก็คือจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นเพื่อจะได้มีเวลาพัฒนาตัวเองตามที่ตั้งใจไว้มาหลายปีแล้ว  และดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อที่จะได้มีกำลังดูแลคนในครอบครัว และเมื่อแก่ตัวลงมากกว่านี้จะได้ไม่เป็นภาระของคนในครอบครัวครับ ส่วนใครที่มีปณิธานอะไรก็ขอให้ทำได้ตามที่ตั้งใจไว้นะครับ

ขอให้เป็นปีที่ดีสำหรับทุกคนครับ 

 


วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ปีที่ไม่น่าจดจำกำลังจะผ่านไป

หลังจากไม่ได้เขียนศรัณย์วันศุกร์มาพักหนึ่ง วันศุกร์นี้ก็ขอเขียนซะหน่อยแล้วกันนะครับ เพราะมันเป็นศุกร์สุดท้ายของปีที่ไม่น่าจดจำปีหนึ่งทีเดียว ทั้ง ๆ ที่เลขของปีสวยงามมากคือ 2020 นิตยสาร Times ถึงกับใช้รูปนี้เป็นหน้าปก และบอกว่ามันเป็นปีที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่เคยมีมา 


จริง ๆ ศุกร์สุดท้ายของปีนี้คือวันคริสมาสต์พอดี ซึ่งควรเป็นช่วงของการเฉลิมฉลองแต่เนื่องจากสถานการณ์ของโลกในปีนี้ นั่บตั้งแต่ไฟป่าตามที่ต่าง ๆ และการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น และเมื่อถึงเดือนสุดท้ายของปี กลับดูหมือนจะแย่ลงไปอีก และผลกระทบของ COVID ไม่เป็นเพียงแต่ด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบไปถึงปัญหาเศรษฐกิจอีกด้วย 

ในส่วนประเทศของเรานั้น รัฐบาลเลือกที่จะไม่ให้มีการแพร่ระบาดในประเทศ โดยในตอนต้นนั้นเน้นด้านเดียว โดยแทบจะทิ้งมิติด้านเศรษฐกิจไปเลย พอสถานการณ์ดีแล้วจึงกลับมามองด้านเศรษฐกิจ ซึ่งก็ไม่รู้จะทันไหม แต่ขณะที่กลไกเศรษฐกิจกำลังจะเดินไป ก็เกิดมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้นมาในเดือนสุดท้ายของปี ซึ่งในบล็อกนี้ผมจะไม่โทษใครแล้วกันนะครับ เอาเป็นว่ามันเกิดขึ้นแล้ว และก็หวังว่ารัฐบาลจะมองเห็นจุดบกพร่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จากการแก้ปัญหาในรอบแรก และไม่ให้มันเกิดซ้ำอีกในรอบนี้ (แต่ดู ๆ แล้ว อาจหวังไม่ได้ เพราะเอาง่าย ๆ ตอนนี้หน้ากากอนามัยก็เริ่มแพง และอาจจะขาดตลาดอีกแล้ว) 

ส่วนตัวถ้าถามว่าปีนี้มีผลกระทบอะไรไหม ก็มีญาติคนหนึ่งต้องเสียชีวิตไปในปีนี้ (ไม่ใช่จาก COVID) แต่นอกจากนั้นแล้วต้องบอกว่า โดยส่วนตัวก่อนเดือนสุดท้ายของปีก็ถือว่าไม่มีอะไรนะครับ สุขภาพก็ยังใช้ได้ การงานอาจหนักขึ้นหน่อย เนื่องจากต้องมาเปลี่ยนการเรียนการสอนออนไลน์อย่างกระทันหัน แต่ในอีกแง่หนึ่งก็ทำให้ได้ทักษะด้านการจัดทำสื่อออนไลน์เพิ่มขึ้น ในปีนี้ผมได้สร้างนิสัยในการโพสต์ข่าวด้านวิทยาการทุกวันเป็นเวลาจะครบปีแล้ว ทีมฟุตบอลที่เชียร์คือลิเวอร์พูลก็ได้แชมป์ (แต่เอาจริง ๆ ผลงานลิเวอร์พูลนั้นดีมาก ๆ ในปี 2019 นะครับ พอเข้ามา 2020 ก็ดรอปลงไป แต่อาศัยว่าทำดีมาก่อนหน้าแล้วก็เลยได้แชมป์ไปอย่างสบาย) คนรอบตัวก็ไม่มีใครติด COVID 

แต่พอเข้าเดือนสุดท้ายของปี ก็เริ่มโดนกับเขาบ้าง เริ่มจากอุบัติเหตุรถยนต์เล็ก ๆ น้อย ซึ่งต้องบอกว่าผมไม่ได้ขับรถที่เกิดอุบัติเหตุโดยมีสาเหตุมาจากตัวเองมาเป็นสิบปีแล้วนะครับ พอวันที่ 2 ของเดือนสุดท้ายก็โดนเลย แต่มันก็เป็นอะไรที่เล็กน้อยมาก 

แต่เหตุการณ์ที่แย่กว่านั้นมากก็คือ แม่ผมหกล้มครับ และเป็นการหกล้มในบ้าน ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะแม่ก็เดินจากห้องนอน ห้องน้ำ ห้องพระ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันไม่เกิน 3 เมตร มาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว พื้นก็ไม่ลื่น ไม่มีอะไรขวางให้สะดุดได้ แต่วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม น่าจะประมาณเที่ยง แม่ก็ล้มลงแถว  ๆ ห้องพระ ปกติแม่จะถือของมือหนึ่ง อีกมือจะถือไม้เท้า หรือไม่ก็เอาไว้คอยจับ แต่วันนั้นแม่บอกว่าไม่รู้นึกอะไร จึงถือของเต็มทั้งสองมือ และแม่ก็ล้มครับ ซึ่งในตอนแรกก็นึกว่าน่าจะแค่ช้ำ เพราะเป็นการล้มในบ้าน พืนก็เป็นพื้นไม้ แต่แม่ปวดมากขยับไม่ได้ เลยเรียกรถพยาบาลมารับไปโรงพยาบาล ปรากฏว่ากระดูกสะโพกหักสามท่อน หมอถามหลายรอบมากว่าไม่ใช่ล้มนอกบ้านนะ สุดท้ายก็ต้องผ่าตัดครับ และนอนโรงพยาบาลสิบกว่าวัน จึงออกมาพักฟื้นที่บ้านได้ ดูเอาเถอะครับ เรื่องไม่น่าเกิดก็เกิด และไม่น่าหนักก็หนัก แต่คิดในแง่ดีคือการผ่าตัดออกมาปลอดภัย เพราะการผ่าตัดแบบนี้ในคนสูงอายุ มีความเสี่ยงมากมาย แต่สุขภาพโดยรวมของแม่ค่อนข้างดี ไม่เป็นเบาหวานอะไรพวกนี้ ก็เลยไม่เป็นอะไรมากนอกจากเจ็บแผลผ่าตัด 

ก็หวังว่าจากนี้ไปจะไม่มีอะไรแล้วนะครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายเรื่องก็เกิดจากปัจจัยภายนอกตัวที่ตัวเราเองคุมไม่ได้ อย่างการระบาดของ COVID แต่หลายเรื่องก็เกิดจากตัวเราเอง อย่างการเกิดอุบัติเหตุของรถผม หรือการล้มของแม่ ถ้าเราตั้งสติดี ๆ เหตุการณ์นี้ก็คงไม่เกิด 

สรุปปีนี้สิ่งที่เหมือนเดิมอย่างหนึ่งก็คือเวลายังคงผ่านไปเร็วมาก ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายใด ๆ เวลาก็เดินหน้าของมันต่อไป และผมก็ยังมีหลายอย่างที่ตั้งใจว่าจะทำก็ยังทำไม่เสร็จ บางอันยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำเหมือนเดิม :( แต่เราก็คงต้องมองต่อไปข้างหน้าครับ อะไรที่มันผ่านไปแล้ว เราก็ดูก็จำเก็บไว้เป็นบทเรียนเหมือนที่ผ่าน ๆ มา และก็ตั้งเป้าหมายของเราต่อไป และก็หวังว่าปีหน้าเหตุการณ์โดยรวมของโลก และของประเทศจะดีขึ้น หวังว่าเราจะมีวัคซีนป้องกัน COVID ที่ได้ผล และมีปริมาณเพียงพอให้ทุกคนได้ฉีดกัน หวังว่าปีหน้าประเทศของเราจะมีรัฐบาลที่ดีกว่านี้ หรือต่อให้เป็นชุดนี้ ก็ขอให้เขามีปัญญาที่จะนำพาประเทศผ่านวิกฤติต่าง ๆ ไปได้โดยไม่ตกต่ำจนคนที่จะเข้ามากอบกู้ต้องใช้เวลานานเป็นหลายปี เหมือนลิเวอร์พูลที่ต้องรอถึง 30 ปี ก่อนจะกลับมาถึงจุดที่ตัวเองเคยเป็นได้ 

สุดท้าย สุขสันต์วันคริสมาต์และสวัสดีปีใหม่ 2564, 2021 ขอให้เป็นปีที่ดีครับ

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

สาวเผาจุดสำคัญของแฟนหนุ่มเนื่องจากมันไม่สู้

ผู้หญิงชาวฮ่องกงคนถูกพิพากษาให้จำคุก 3 ปี 5 เดือน ในข้อหาทำร้ายร่างกายแฟนหนุ่มของตัวเอง ตามข่าวบอกว่าสาวคนนี้อายุ 39ปี ใช้ไดร์เป่าผมเผาจุดสำคัญของแฟนตัวเองหลังจากที่เขาทำให้มันแข็งตัวไม่ได้ ตามข่าวบอกว่าผู้ญิงคนนี้ใช้ไดร์เป่าผมเผาจุดนั้นจนเป็นแผลพุพองไปหมด ยิ้งไปกว่านั้นเธอยังกระแทกหัวเขากับกำแพง และเอาน้ำร้อนลวกต้นขาด้วย ตามคำกล่าวของหมดที่รักษาผู้ชายบอกว่า ทั้งคู่มาพบเขาและบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ตัวผู้หญิงยังถามด้วยว่าแฟนของเธอจะมีเซ็กส์ได้อีกเมื่อไหร่ 

ในการให้การกับศาลผู้หญิงคนนี้บอกว่าเธอต้องพบจิตแพทย์หลังจากได้อ่านข่าวของตัวเอง และเมื่อปลายปีที่แล้วเธอถึงกับคิดจะฆ่าตัวตาย ส่วนในคำตัดสินของศาลบอกว่าถึงแม้ผู้ต้องหาจะมีแนวโน้มที่จะฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่มีรายงานความผิดปกติทางจิตอื่น ๆ อย่างไรก็ตามเธอกำลังเข้ารับการปรึกษาเพื่อกำจัดความเครียด 

ตามข่าวบอกว่าแฟนของเธอได้ขอเธอแต่งงานในปี 2018 แต่พ่อของเธอไม่อนุญาตให้สองคนคบกัน อย่างไรก็ตามข่าวบอกว่าเธอให้สัมภาษณ์ว่าเธอไม่มีความสุขในเรื่องเพศ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะแฟนของเธอไม่ค่อยแข็งตัว โดยจะแข็งตัวได้เพียงไม่กี่วินาที แต่เธอก็ยังบอกว่าเธอรักเขามาก 

ใครอยากเห็นหน้าตาของเธอดูได้จากข่าวเลยครับ 

อ่านแล้วก็ยังสงสัยนะครับ ว่าจริง ๆ มันยังไงกัน ทำไมผู้ชายยอมให้เผาอยู่ได้โดยไม่ทำอะไร และยังถูกจับเอาหัวกระแทกกำแพงอีก ดูจากรูปผู้หญิงก็ไม่ได้ตัวใหญ่อะไร และผู้ชายก็ไม่ได้ตัวเล็ก 

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563

If we burn you burn with us

 ไม่ได้เขียน #ศรัณย์วันศุกร์มาหลายศุกร์เพราะไม่ว่าง ศุกร์นี้ก็ยังไม่ว่าง แต่รู้สึกอยากเขียน มันมีอะไรหลายอย่างที่ประดังประเดเข้ามาในสถานการณ์ตอนนี้ แต่พอจะลงมือเขียนจริง เรื่องต่าง ๆ มันเยอะซะจนถ้าเขียนอาจต้องนั่งเขียนและเรียบเรียงเป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งไม่มีเวลามากขนาดนั้น พอดีนึกถึงฉากนี้ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งการชูสามนิ้วก็มาจากหนังเรื่องนี้แหละครับ คิดว่ามันน่าจะพูดแทนใจคนหลาย ๆ คนได้ 

Katniss Everdeen:

I have a message for President Snow: You can torture us, and bomb us, or burn our districts to the ground. But do you see that? Fire Is Catching... If we burn... you burn with us!.

ฉันมีข้อความจะฝากถึง ประยุทธ์ เอ๊ยไม่ใช่ ประธานาธิบดี Snow แกอาจฉีดน้ำผสมสาร เอ๊ยไม่ใช่ ทรมานเรา ยิงแก๊สน้ำตา เอาอีกแล้วไม่ใช่ ทิ้งระเบิดหรือเผาเขตของเราจนราบเป็นหน้ากลอง แต่แกเห็นนั่นไหม เปลวไฟได้ถูกจุดขึ้นแล้ว ถ้าเราต้องมอดไหม้ แกก็ต้องมอดไหม้ไปกับเราด้วย

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563

การสรุปความที่น่าจะเก่งมาก ๆ จากวรณคดีไทย

เมื่อหลายวันก่อน ช่วยภรรยาขนของ คุณภรรยาก็ทวนว่าครบเจ็ดชิ้นแล้วใช่ไหม ก็มีอาขยานบทที่เคยท่องมาตั้งแต่เด็กแว่บขึ้นมาในหัว ก็เลยตอบไปว่า "เป็นเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรทัย" จำได้ไหมครับว่ามาจากเรื่องอะไร  หรือไม่เคยเรียนกันแล้ว แต่สงสัยเด็กรุ่นหลัง ๆ จะไม่ได้เรียนกันจริง ๆ เพราะลูก ๆ ตอนเรียนอยู่ก็ไม่เคยมาท่องให้ฟัง บทอาขยานนี้มาจากเรื่องสังข์ทองครับ ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 2 

พอนึกถึงอาขยานนี้ได้ก็เลยทำให้นึกถึงสิ่งที่น่าจะเป็นความสามารถหนึ่งที่นักวิจัยน่าจะมีกันก็คือความสามารถในการสรุปความครับ การเขียนบทคัดย่อในการวิจัย การเขียนบทการทบทวนวรรณกรรมก็ต้องใช้ความสามาถในการสรุปความ หรือการเขียนบทสรุปในงานวิจัยก็เช่นกัน 

สำหรับคนที่ไม่เคยท่องบทอาขยานนี้มาก่อนนะครับ มาดูกันครับ 

ชิ้นหนึ่งทรงครรภ์กัลยา

คลอดลูกออกมาเป็นหอยสังข์

ชิ้นสองต้องขับเที่ยวเซซัง

อุ้มลูกไปยังพนาลัย

ชิ้นสามเมื่ออยู่ด้วยยายตา

ลูกยาออกช่วยขับไก่

ชิ้นสี่กัลยามาแต่ไพร

ทุบสังข์ป่นไปกับนอกชาน

ชิ้นห้าบิตรุงค์ทรงศักดิ์

ให้จับตัวลูกรักมาจากบ้าน

ชิ้นหกจองจำทำประจาน

ให้ประหารฆ่าฟันไม่บรรลัย

ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา

ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล

เป็นเจ็ดชิ้นสิ้นเรื่องอรไท

ใครใครไม่ทันจะสงกา

ซึ่งเหตุการณนี้เป็นตอนที่พระนางจันเทวีแม่ของพระสังข์ ซึ่งทำงานเป็นแม่ครัวอยู่ในวังของท้าวสามล (พ่อตาพระสังข์) สลักชิ้นฟักทำอาหารให้พระสังข์ เพื่อให้รู้ว่าแม่อยู่ที่นี่ 

ซึ่งจะเห็นนะครับว่าเป็นการสรุปความช่วงชีวิตของพระสังข์ได้ชัดเจนและกระชับที่สุด และสำหรับคนอ่านอย่างเรา ๆ ต่อให้ไม่ได้อ่านเรื่องพระสังข์มาตั้งแต่ต้น มาอ่านแค่ตรงนี้ก็แทบจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว จริงไหมครับ นอกจากนี้ผู้ประพันธ์ยังคงแสดงความประชดประชันของเมียหลวง ที่ต่อว่าพ่อกลาย ๆ ให้ลูกฟังด้วยนะครับ อย่าง 

"ชิ้นห้าบิตรุงค์ทรงศักดิ์ 

ให้จับตัวลูกรักมาจากบ้าน

ชิ้นหกจองจำทำประจาน

ให้ประหารฆ่าฟันไม่บรรลัย

ชิ้นเจ็ดเพชฌฆาตเอาลูกยา

ไปถ่วงลงคงคาน้ำไหล" 


ซึ่งถ้าจะพูดภาษาชาวบ้าน ๆ ก็คือ ดูพ่อผู้ยิ่งใหญ่ของลูกสิ และดูเขาทำกับลูกสิ 

ถ้าจะว่าไปพระเอกอย่างพระสังข์นี่เอาจริง ๆ ก็ชอบซุกตัวอยู่ในเปลือกเพื่อหนีปัญหานะครับ ตอนเด็กก็แอบอยู่ในหอยสังข์ ทั้ง ๆ ที่ควรจะออกมาแสดงตัวกับแม่ จนสุดท้ายแม่ต้องมาทุบหอยสังข์ทิ้งไป และสุดท้ายก็ยังมาซุกตัวอยู่ในชุดเจ้าเงาะอีก จนเดือดร้อนไปถึงพระอินทร์ต้องแปลงกายมาทำท่าจะยึดเมืองท้าวสามล ถึงยอมถอดรูปเงาะออกมา 

แต่จะว่าไปก็ยังดีกว่าคนที่แอบย่องเข้าหาผู้หญิงทั้งที่ยังอยู่ในผ้าเหลือง เจ้าชู้ไปทั่ว แล้วยังผ่าท้องเมียเอาลูกมาทำกุมารทองอีก 

อ้าวว่าจะพูดเรื่องความสามารถในการสรุปความ ทำไมกลายเป็นวิจารณ์พระเอกในวรณคดีไทยได้ จบดีกว่า ขอให้มีความสุขในวันหยุดยาวนี้ครับ 

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563

การจะปฏิรูปองค์กรใด ๆ จำเป็นที่จะต้องด้อยค่าองค์กรด้วยหรือ

วันศุกร์นี้ขอพูดเรื่องหนัก ๆ สักวันแล้วกันนะครับ ต้องบอกก่อนว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ สิ่งที่ผมเห็นและก็รู้สึกดีส่วนหนึ่งก็คือการที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ออกมาแสดงพลังให้เห็นว่ามีความอึดอัดคับข้องกับการบริหารงานของรัฐบาลและผู้หลักผู้ใหญ่บางคนที่กดพวกเขาไว้ ด้วยกฎระเบียบที่ล้าสมัย  และความไม่ยุติธรรมหลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นที่เขามองเห็นจากมุมมองของเขา และการชุมนุมประท้วงก็ไม่ได้ยืดเยื้อ ปิดบ้านปิดเมือง แค่ต้องการแสดงพลังให้รัฐบาลนี้เห็นว่าเขาไม่พอใจ 

ตรงนี้ผมคิดว่าการแก้รัฐธรรมนูญน่าจะมีความเป็นไปได้ เพราะถ้าไม่มีพลังนี้ผมว่าพวก สว. จะไม่มีทางยอมให้มีการแก้รัฐธรรมนูญแน่ แต่ตอนนี้ผมว่ามีความหวังมากขึ้น ถ้ารัฐบาลเลิกไล่จับคน เลิกพูดว่ามีคนอยู่เบื้องหลังสักทีจะดีมาก รับฟังไป ถ้ามีโอกาสก็ชี้แจง และแสดงฝีมือให้เห็นซะทีว่าแก้ปัญหาได้ อยู่มาจะ 6-7 ปีแล้ว ผมถึงจะไม่ชอบยังไงก็ยังแอบเชียร์นะ เพราะบอกจริง ๆ ว่าถ้ามันตกลงไปมากกว่านี้ มันจะขึ้นมาได้ยากมาก อย่างเช่นคนเก่ง ๆ อย่างคลอปป์ก็ต้องใช้เวลาถึง 4 ปี กว่าจะพาลิเวอร์พูลกลับสู่ระดับที่เคยเป็นได้ (อ้าวเลี้ยวไปทีมรักจนได้ :) ) 

แต่ก็อยากฝากบอกว่าอย่ายกระดับการประท้วงจนไปถึงปิดบ้านปิดเมืองเลย ถ้าเขาหน้าด้านอยู่ต่อไปจริง ๆ โดยไม่สนใจ อีก 2 ปีกว่า ๆ ก็ได้เลือกตั้งกันแล้ว ลองทำตัวเคารพระบบ ตบหน้าพวกผู้ใหญ่บางคนที่ออกมาด่า ๆ อยู่ตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองปิดบ้านปิดเมือง เขาให้เลือกตั้งก็ไม่เลือกเพราะกลัวแพ้ จนทหารมายึดอำนาจ  และลากยาวมาถึงตอนนี้ จนพวกเด็ก ๆ อึดอัดต้องออกมาแสดงพลัง 

เขียนมาสามย่อหน้ายังไม่เข้าประเด็นที่จะเขียนวันนี้เลย ประเด็นของวันนี้คือ ถ้าเราต้องการปฏิรูปองค์กรใด ๆ จำเป็นไหมที่เราจะต้องด้อยค่าองค์กร ต้องเกลียดคนในองค์กร และปฏิเสธสิ่งดี ๆ ที่เป็นความจริงมีหลักฐานประจักษ์ที่องค์กรเคยทำมา องค์กรที่ยืนยาวมาเป็นร้อยปี มันจะไม่มีสิ่งดี ๆ ที่ทำให้กับประเทศบ้างเลยหรือ  และจำเป็นไหมที่เราจะต้องไปโจมตีคนที่แสดงความรักความเคารพคนในองค์กร โดยไปตีตราว่าเขาเป็นพวกล้าหลัง ไม่อยากปฏิรูปองค์กร ไม่แน่ว่าเขาอาจจะคิดว่าควรให้มีการปฏิรูปก็ได้ แต่เขารักคนคนนี้ เขาก็แสดงความรัก เหมือนที่เขาทำในทุก ๆ ปี การทำแบบนี้ ดีไม่ดีมันจะเป็นการผลักคนที่อาจเห็นด้วยให้กลายเป็นอีกฝั่งหนึ่ง ผมเคยพูดมาหลายครั้งแล้วว่าคนเราไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่โลกของมันมีแต่ 0 กับ 1 แต่คนเรานั้นมีหลากหลาย บางคนอาจอยากปฏิรูป แต่อาจเป็นคนละประเด็นกับที่มีคนเรียกร้อง บางคนอาจยังรักคนในองค์กร ยังระลึกถึงอดีตที่ดี ๆ (ในสายตาเขา) แต่ก็อาจเห็นด้วยว่ามันถึงเวลาต้องเปลี่ยนอะไรบางอย่างก็ได้

ส่วนตัวผมผมมองว่าทุกองค์กรถ้าถึงยุคปัจจุบันแล้วมีคนรู้สึกว่าไม่ตอบโจทย์ คนเหล่านั้นก็มีสิทธิที่จะพูดได้ แต่ก็ควรจะพูดถึงเฉพาะประเด็นที่คิดว่าเป็นปัญหา ไม่จำเป็นต้องไปทำให้องค์กรดูเลวร้าย อะไรที่เขาทำดีไว้ก็ไม่จำเป็นต้องไปปฏิเสธ เพราะผมมองว่าการที่ต้องปฏิรูปมันไม่เกี่ยวกับสิ่งดี ๆ ที่ทำมา ยกตัวอย่างเช่น ผู้จัดการทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ในยุคหนึ่งเคยทำทีมได้แชมป์ แต่หลัง ๆ ระบบการเล่นล้าสมัย ทีมเริ่มตกต่ำ มันก็ไม่ผิดที่จะมีการพูดถึงการเปลี่ยนผู้จัดการทีม แต่การเปลี่ยนมีความจำเป็นไหมที่จะต้องไปพูดว่า ที่ทำทีมได้แชมป์ตอนนั้นมันฟลุ๊ก และคนที่ไม่อยากให้เปลี่ยนตัว ก็ไม่ควรจะอ้างแต่ว่าเขาเคยทำทีมได้แชมป์ ทั้งสองฝ่ายควรจะพูดคุยกันถกกันด้วยเหตุผล ไม่ไปก้าวล่วงอีกฝ่ายหนึ่ง และสุดท้ายแล้วมันอาจได้ข้อตกลงที่เห็นด้วยทั้งสองฝ่าย ดีต่อทีม และดีต่อตัวผู้จัดการทีมด้วย เช่นการดันผู้จัดการทีมขึ้นไปเป็นบอร์ดบริหารอาวุโส 

ขอปิดท้ายว่าสังคมประชาธิปไตยคือสังคมที่ยอมรับความเห็นต่าง และควรที่จะสามารถพูดคุยกันได้อย่างสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ พูดคุยกันด้วยความเคารพต่อกัน ไม่ใช่เอะอะก็ "ไม่พอใจก็ออกจากประเทศไปสิ" "ออกจากมหาวิทยาลัยไปสิ" "อย่ามาแบมือขอเงินนะถ้าไปประท้วง" "พ่อแม่น่ะเป็นสลิ่ม เป็นไดโนเสาร์ ไม่เข้าใจอะไรหรอก" อะไรแบบนี้ ถ้าจะปฏิรูปอะไรก็ปฏิรูปเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน ผมว่ามันสำคัญที่สุด ถ้าตรงนี้ปฏิรูปไม่ได้ ก็อย่าไปหวังเรื่องอื่น 

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2563

กุ้มใจ

ไม่ได้ฟังเพลงวันศุกร์กันมานานแล้วนะครับ อาการเดิมกลับมาอีกแล้วครับ เพลงวนเวียนอยู่ในหัว คราวนี้เป็นเพลงไทยจังหวะสนุก ๆ ของอัสนี-วสันต์ครับ ไม่รู้ว่าทันกันไหมนะครับ เพลงจังหวะสนุก ๆ แต่ต้องสารภาพว่าจนป่านนี้ผมยังไม่รู้ว่าเพลงนี้เขาอยากสื่ออะไร เดาเอาว่าให้สะกดภาษาไทยให้ถูก ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นในยุคนี้น่าจะมีเพลง นะคะ นะค่ะ น่าจะดีนะครับ ไปฟังเพลงกันครับ ขอให้มีความศุกร์กันในวันศุกร์ กับ #ศรัณย์วันศุกร์ ครับ


วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

โชคมักจะมากับความมุ่งมั่น

วันศุกร์นี้ขอเขียนเรื่องทีมรักอย่างลิเวอร์พูลอีกสักวันแล้วกันครับ เพราะมีประเด็นที่คิดว่าน่าสนใจที่จะเอาแบ่งปันกันได้ อย่างที่รู้กันนะครับว่าลิเวอร์พูลสามารถกลับมาคว้าแชมป์ในลีกสูงสุดของอังกฤษอีกครั้งหลังจากที่คว้าแชมป์นี้ได้ล่าสุดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว โดยก่อนหน้าที่โควิดจะระบาดลิเวอร์พูลมีแต้มนำทีมแชมป์ปีที่แล้ว และรองแชมป์ปีนี้อย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้อยู่ภึง 25 คะแนน ในณะที่เหลือการแข่งขันอยู่อีก 9 นัด และหลังจากกลับมาแข่งขันใหม่ ลิเวอร์พูลสามารถทำคะแนนทิ้งห่างจากแมนเชสเตอร์ซิตี้จนแต้มขาดไปในนัดที่ 31 และเพิ่งจะได้ชูถ้วยอย่างเป็นทางการไปในเช้าตรู่วันพฤหัสที่ 23 กรกฎาคม 2563 ตามเวลาประเทศไทย 



ในฤดูกาลนี้มีช่วงหนึ่งที่ลิเวอร์พูลชนะติดกันมาถึง 18 นัด และในหลาย ๆ นัดก็ทำท่าว่าจะเสมอ หรือบางนัดจะแพ้ด้วยซ้ำ แต่ก็กลับมาชนะได้หมด จนหลายคนโดยเฉพาะที่ไม่ใช่แฟนลิเวอร์พูล บอกว่าลิเวอร์พูลนั้นก็แค่โชคดีมากในฤดูกาลนี้ ถ้าไม่มีโชคแบบนี้ ก็คงไม่ทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ซิตี้แบบนี้ 

แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปก็คือ ในช่วงที่ผลการแข่งขันดีมาก ๆ นั้น นักฟุตบอลของลิเวอร์พูล มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเอาชนะ เพื่อที่จะพยายามทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ออกไปให้มากที่สุด เพราะยังคงเจ็บใจจากฤดูกาลที่แล้วที่แพ้ไปแค่แต้มเดียว โดยมาโดนแมนเชสเตอร์ซิตี้แซงในช่วงท้าย ดังนั้นเมื่อนกหวีดหมดเวลายังไม่ดัง ทุกคนจึงทุ่มเทอย่างไม่หยุดยั้ง และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งถ้านักเตะลิเวอร์พูลไม่ทุ่มเทแบบนั้นสิ่งที่จะเรียกว่าโชคหรืออะไรก็แล้วแต่มันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 
 


แต่หลังจากกลับมาเล่นกันใหม่จากการที่ต้องหยุดยาวจากโควิด โดยเฉพาะหลังจากคว้าแชมป์แน่นอนแล้ว จะเห็นว่าลิเวอร์พูลมีผลการแข่งขันที่ไม่ดีเหมือนเดิม เสียแต้มไปเยอะมาก สองนัดก่อนหน้านัดล่าสุดก็เสมอและแพ้ ทั้งที่ออกนำไปก่อนด้วยรูปเกมที่ในช่วง 20 นาทีแรกเหนือกว่าคู่แข่งอย่างมาก ประเด็นที่เห็นได้ชัดคือนักฟุตบอลหลายคนไม่ได้มุ่งมั่นเหมือนเดิม คือยังคงเล่นเต็มที่ แต่ถ้าพลาดไปแล้วมักจะกลับมาไม่ได้ ลูกยิงที่น่าจะเข้า หรือเคยเข้าในช่วงที่ชนะติดกันยาว ๆ ก็ไม่เข้า ชนเสาบ้าง ถูกเซฟบ้าง ยิงไม่ดีเองบ้าง ซึ่งถ้าจะพูดในเรื่องโชค ก็อาจพูดได้ว่าโชคหายไปแล้ว แต่ถ้าดูดี ๆ ก็คือมันหายไปพร้อมกับความมุ่งมั่นที่ลดลงนั่นเอง แต่ในนัดล่าสุดถึงแม้จะยังมีฟอร์มที่ไม่ดีเหมือนเดิม แต่เท่าที่เห็นคือมีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม เพราะเป็นนัดสุดท้ายในบ้านในฤดูกาลนี้ และเป็นนัดที่จะได้รับถ้วยด้วย จึงเอาชนะไปได้ 

ซึ่งผมว่าตรงนี้มันน่าจะให้ข้อคิดกับพวกเราหลาย ๆ คนนะครับว่า การที่เราคิดว่าหลาย ๆ คนนั้นโชคดี แต่เบื่้องหลังของความโชคดีส่วนใหญ่ มักจะเกิดจากความพยายามมุ่งมั่นทำอะไรบางอย่างมาก่อน จนเมื่อโชคหรือโอกาสหรืออะไรก็ตามมาถึง เขาก็สามารถคว้ามันไว้ได้ น้อยมากที่นอน ๆ อยู่แล้วก็จะได้โชค ต่อให้ถูกล็อตเตอรีรางวัลที่หนึ่ง หลายคนอย่างน้อยสุดก็ต้องออกไปซื้อใช่ไหมครับ และหลายคนก็อาจมุ่งมั่นซื้อมาเรื่อย ๆ ด้วย :)



ดังนั้นใครที่มีความฝันอะไร ก็มุ่งมั่นทำต่อไปนะครับ เมื่อโอกาสมาถึง หรือจะเรียกว่าโชคมาถึงก็ได้ เราจะได้คว้ามันเอาไว้ได้ และอีกจุดหนึ่งที่ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นในฤดูกาลนี้ก็คือ ถ้าเร่งเดินหน้าทำเต็มที่ตั้งแต่ต้น เราก็สามารถสบายได้ในตอนท้าย ขณะที่หลาย ๆ ทีมยังคงต้องเครียดเพื่อที่ 3  ที่ 4 หรือที่ 5 บางทีมก็หนีการตกขั้น แต่ลิเวอร์พูลนั้นไม่ต้องมาเครียดอะไรอีกแล้ว 

เขียนไปเขียนมาชักจะกลายเป็นไลฟ์โค้ชแล้ว แค่แสดงความเห็นส่วนตัวนะครับ จบดีกว่า...    ก่อนจบก็ขอแชร์บรรยากาศชูถ้วยของลิเวอร์พูลซะหน่อยแล้วกันนะครับ