แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิตและงาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิตและงาน แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

วันนี้ได้ใช้ M-Flow แบบลงทะเบียนแล้ว



M-Flow
M-Flow

หลังจากที่เมื่อสามสัปดาห์ก่อนผมได้เล่าประสบการณ์หลงเข้าไปใช้ M-Flow แบบไม่ได้ตั้งใจให้อ่านกันไปแล้วในบล็อกนี้ครับ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การใช้ M-Flow แบบลงทะเบียนแล้วให้อ่านกันครับ ก็คือหลังจากวันที่ผมหลงเข้าไปวันรุ่งขึ้นผมก็ตัดสินใจสมัครสมาชิก M-Flow ครับ 

ตอนแรกตั้งใจจะสมัครเต็มรูปแบบ แต่เนื่องจากรถที่ผมใช้ชื่อผู้ครองกรรมสิทธิ์เป็นชื่อคุณภรรยาครับ ซึ่งก็จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมจากบัตรประชาชน ทะเบียนรถ รูปถ่ายด้านหน้ารถ นั่นก็คือหนังสือยินยอมจากภรรยา ผมก็เลยขี้เกียจยุ่งยากครับ เลยตัดสินใจสมัครผ่าน Line @mflowthai ครับ ซึ่งง่ายอย่างไม่น่าเชื่อคือ add Line @mflowthai ก่อนจากนั้นก็สมัครโดยข้อมูลที่ต้องให้เขาก็คือ ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และเลขทะเบียนรถ อ้ออีกอันหนึ่งก็คือเลขที่บัตรเครดิตที่เราจะให้ตัดครับ ใช้เวลาไม่น่าเกินห้านาทีก็เรียบร้อยครับ ไม่ต้องถ่ายรูปอะไรทั้งนั้น แต่สมัครแบบนี้จะไม่ได้สิทธิประโยชน์เหมือนสมัครเต็มรูปแบบนะครับ อย่างได้ลดค่าผ่านทาง 20% ผ่านฟรีสองครั้งแรก แล้วก็ยังเลือกวิธีจ่ายเงินได้หลากหลาย ไม่ใช่ตัดบัตรเครดิตอย่างเดียว แต่ก็สมัครยุ่งกว่า ใช้เอกสารมากกว่า ก็ลองเลือกกันดูนะครับ ถ้าเหมือนผมคือไม่ได้ผ่านบ่อย ๆ ไม่อยากยุ่งยาก และมีบัตรเครดิต จะสมัครแบบ Line ก็สะดวกดีครับ และอีกอย่างครับใน Line เขามีเมนูให้เราแก้ไขข้อมูลทะเบียนรถ และบัตรเครดิตด้วยนะครับ นั่นคือถ้าเราเปลี่ยนรถหรือจะเปลี่ยนบัตรเครดิตก็แค่ไปเปลี่ยนที่เมนูนี้สะดวกมาก  

หลังจากสมัครแล้วผมก็ไม่ได้ใช้บริการหรอกครับจนกระทั่งวันนี้ เมื่อไปถึงด่านธัญบุรี 2 ก็พบว่ามีรถไปคับคั่งอยู่ในด่านแบบจ่ายเงินและแบบ M-Pass ติดกันยาวเหยียดครับ  ซึ่งก็ไม่เข้าใจนะครับว่าทำไมทางกรมทางหลวงถึงยังแก้ปัญหาไม่ได้ คือเหมือนคนก็ยังไม่รู้ว่าเขาสามารถวิ่งผ่าน M-Flow ไปก่อนแบบไม่ลงทะเบียนแล้วไปจ่ายทีหลังได้ และอีกอันก็คือตู้ M-Pass เดิมสองอันขวาสุดก็ปิดไว้เฉย ๆ ไม่ให้เข้าไปใช้ และปัญหาคือการติดจากหน้าด่านตรงนั้นท้ายแถวมันมาขวางทางไป M-Flow ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็มีคนที่ไม่รู้วิ่งเลน M-Flow มาก่อน แล้วพอรู้ตัวว่าวิ่งผิดก็พยายามไปแทรกเข้าช่องจ่ายปกติ ยังไงก็ฝากแก้ปัญหาด้วยนะครับ

เมื่อผมหลุดท้ายแถวที่ขวางมาได้ผมก็มาที่เลน M-Flow ครับ คราวนี้ผมวิ่งใช้ความเร็วปกติครับ ประมาณ 90 (คิดว่าไม่น่าวิ่งเกินนี้ได้นะครับ ตราบใดที่เข้ายังมีด่านที่ต้องเข้า ไม่กล้าวิ่งเร็วเกินนี้) ก็ผ่านมาได้โดยสะดวกครับ และเมื่อมาเช็คบัตรเครดิต ก็พบว่ามีการตัดยอดเข้ามาหลังจากวิ่งผ่านด่านมาประมาณ 10 นาทีครับ อันนี้แปลกใจหน่อย ๆ ครับ เพราะเท่าที่หาข้อมูลมาเขาจะตัดตอนเที่ยงคืนของวันที่ใช้งาน คือสมมติวันนั้นเราวิ่งไป แล้วก็วิ่งกลับ เขาจะตัดเป็นยอดเดียวคือ 60 บาท แต่นี่ผ่านปุ๊ปแทบจะตัดปั๊ป  แต่ก็โอเคครับ แสดงว่าระบบใช้ได้ อ่านเลขทะเบียนถูก ตัดเงินได้ และถ้าไม่ได้วิ่งผ่าน ก็ยังไม่มีการตัดมั่ว ๆ เข้ามา อ้อแล้วเขาก็แจ้งผ่าน Line ด้วยนะครับว่าเขาตัดบัตรเครดิตเราแล้ว  

ก็มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกันอีกครั้งครับ เป็นข้อมูลให้เผื่อใครที่สนใจ อยากสมัครแบบง่าย ๆ และอยากย้ำอีกรอบนะครับ ไม่ลงทะเบียนก็ยังวิ่งผ่านได้ วิ่งไปก่อนจ่ายทีหลัง การจ่ายก็ไม่ยุ่งยากใช้ผ่าน  Mobile Banking เหมือนที่เราใช้กันทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาติดอยู่หน้าด่านครับ...    

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เรื่องวุ่น ๆ กับไฟ TOU

มิเตอร์ TOU


สวัสดีครับ #ศรัณย์วันศุกร์ วันนี้ผมขอนำเสนอเรื่องประสบการณ์กับค่าไฟ TOU ครับ จริง ๆ ว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ศุกร์ที่แล้ว แต่บังเอิญมีเรื่อง M-Flow เข้ามาซะก่อน ซึ่งหลังจากเขียนไปก็เห็นว่ามีคนมีประสบการณ์วิ่งผ่านช่อง M-Flow แล้วถูกปรับกันเยอะแยะ ซึ่งโชคดีที่ตัวเองไม่โดนเพราะมองเห็นวิธีจ่ายพอดี และตอนนี้เท่าที่ตามข่าวมา M-Flow ก็จะคืนค่าปรับให้แล้วนะครับ 

มาเข้าเรื่องวันนี้กันดีกว่าวันนี้จะมาเล่าเรื่องประสบการณ์กับค่าไฟแบบ TOU ครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าค่าไฟแบบ TOU คืออะไร สรุปง่าย ๆ ก็คือการคิดอัตราค่าไฟฟ้าตามเวลาที่ใช้ TOU ย่อมาจาก Time of Use ครับ โดยการไฟฟ้าจะแบ่งการคิดอัตราค่าไฟออกเป็นสองช่วงเวลาคือช่วงเวลา Peak ก็คือช่วงที่มีการใช้ไฟเยอะ ก็คือจันทร์ถึงศุกร์ 9.00-22.00 (รวมวันพืชมงคล และวันแรงงานด้วย) ตรงนี้จะคิดค่าไฟแพง กับช่วง off-peak คือช่วงที่มีการใช้ไฟต่ำ คือจันทร์ถึงศุกร์ 22.00-9.00 เช้า วันเสาร์อาทิตย์ทั้งวัน วันหยุดราชการที่ไม่ใช่วันหยุดชดเชย วันพืชมงคล และวันแรงงานที่ตรงกับเสาร์อาทิตย์ ตรงนี้จะคิดค่าไฟถูก รายละเอียดสามารถดูได้จากที่นี่ครับ  

เอาจริง ๆ ตอนแรกผมก็ไม่รู้จักหรอกนะครับ แต่คุณภรรยาไปเจอมา แล้วก็ตัดสินใจสมัครไป รู้สึกจะมีค่าธรรมเนียมการสมัครด้วยนะครับ ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร และการไฟฟ้าก็มาเปลี่ยนมิเตอร์เป็นแบบ TOU ให้เมื่อประมาณกลางเดือนหรือสัปดาห์ที่สามของเดือนธันวาคมปีที่แล้วนี่แหละครับ พอมาเปลี่ยนปุ๊ปบ้านผมก็เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟกันครับ อย่างผมปกติจะเริ่มเปิดแอร์ตอนประมาณสองทุ่มก็ยืดเป็นสี่ทุ่ม ยอมทนร้อนเพิ่มสองชั่วโมง 

คราวนี้ก็รอดูว่าค่าไฟจะถูกลงเท่าไร  ปรากฏว่าเมื่อบิลค่าไฟเดือนมกราคมมาถึงมันแพงขึ้นกว่าปกติครับ ซึ่งก็ทำให้ผมกับภรรยาประหลาดใจมาก (โดยเฉพาะผมอุตส่าห์ทนร้อนเพิ่ม) ขณะที่กำลังงง ๆ ว่าหรือมันจะคิดแบบเดิมรวมมาด้วยก่อนเปลี่ยน และจะรอดูอีกสักเดือนหนึ่ง ปรากฏว่าวันที่ 24 มกราคม มีรถการไฟฟ้ามาดูที่มิเตอร์ ซึ่งภรรยาผมก็ออกไปถามได้ความว่ามิเตอร์เสียครับ เสียตั้งแต่วันที่เอามาติดคือค่าไฟไม่เดินเลยเป็น 0 หมด และที่มานี่แค่มาดูนะครับ ยังไม่ได้มาเปลี่ยนเพราะยังเบิกของไม่ได้ 

คราวนี้ถ้ามิเตอร์เสียแล้วค่าไฟมาจากไหน คุณภรรยาก็เลยโทรไปการไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าแจ้งว่ามิเตอร์เสีย และคนที่มาจดคิดว่าเป็นบ้านไม่มีคนอยู่ก็เลยจดเป็นศูนย์ไปไม่ได้คิดอะไร คุณภรรยาก็เลยถามว่าแล้วค่าไฟเดือนที่แล้วมายังไง ก็ได้รับคำตอบว่าการไฟฟ้ารู้ครับว่ามันเป็นบ้านมีคนอยู่ และนี่คือสิ่งที่เขาทำครับ เขาบอกว่าเนื่องจากบ้านผมใช้ TOU เป็นเดือนแรก เขาไม่มีข้อมูลเก่า เขาเลยประมาณเลขขึ้นมาเองครับ (จะเรียกว่ามั่วก็น่าจะได้นะครับ) โดยเลขที่ประมาณขึ้นมาแบ่งเป็นช่วง peak 60% และช่วง off-peak 40% เจอคำตอบแบบนี้เข้าไปภรรยาผมถึงกับมึนเลยครับ ทำอย่างนี้ก็ได้หรือ ก็เลยบอกไปว่าอย่างนี้ไม่แฟร์นะ ถ้าเราจะใช้ช่วง peak เยอะ ๆ เราจะไปขอเปลี่ยนเป็น TOU ทำไม เปลี่ยนแล้วค่าไฟดันแพงขึ้น ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าเดี๋ยวถ้ามีข้อมูลแล้วจะเฉลี่ยคืนให้ 

และจากวันที่การไฟฟ้ามาดูว่ามิเตอร์เสีย เมื่อ 24 มกราคม ก็ยังไม่ได้มาเปลี่ยนนะครับ เพิ่งมาเปลี่ยนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งในช่วงนั้นเราก็ใช้ไฟกันตามปกติแบบก่อนจะเปลี่ยนมิเตอร์ครับ เพราะไม่รู้จะพยายามใช้แบบ TOU ไปทำไม ในเมื่อเดี๋ยวเขาก็จะใช้ค่าประมาณของเขาเองอีก แต่ปรากฏว่าเดือนนี้เขาประมาณให้ถูกกว่าปกติครับ (ก็ไม่รู้ว่าถ้าคุณภรรยาไม่โทรไปถามจะคิดแบบไหนนะครับ) และพอมิเตอร์มาติดเราก็ไปเช็คกันปรากฏว่ามันเดินแล้วครับ คราวนี้ก็ได้ใช้กันแบบ TOU ซะที เดี๋ยวเดือนหน้ามาดูกันครับว่าค่าไฟจริง ๆ แบบ TOU มันจะเป็นเท่าไร ถูกลงแค่ไหน  

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เมื่อผมหลงเข้าไปใช้ M-Flow โดยบังเอิญ

สวัสดีครับ หลังจากไม่ได้เขียน #ศรัณย์วันศุกร์ มาซะนาน วันนี้พอจะมีเวลาบ้างและบังเอิญได้รับประสบการณ์การใช้งาน M-Flow เป็นครั้งแรก และเป็นแบบบังเอิญซะด้วย และก็เพิ่งอ่านข่าวว่ารู้สึกจะเมื่อวานหรือเมื่อวานซืนที่รถติดหน้าด่านมาก ๆ อาจมีสาเหตุมาจาก M-Flow ก็เลยจะมาเล่าให้ฟังกัน และมีข้อเสนอแนะบางอย่างเผื่อถ้าคนที่เกี่ยวข้องได้อ่านจะได้พิจารณาดูว่าจะไปปรับใช้ได้ไหมนะครับ

ก่อนอื่นมารู้จัก M-Flow กันก่อนครับ M-Flow เอาง่าย ๆ คือวิธีเก็บค่าผ่านทางพิเศษแบบใหม่ ซึ่งจะไม่มีไม้กันให้เราต้องจอดจ่ายเงิน หรือต้องชะลอรถเพื่อให้มีการอ่านบัตร Easy Pass หรือ M-Pass เพื่อหักเงินเราก่อนจะเปิดไม้กั้นให้เราผ่านไป ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการของกระทรวงคมนาคม ซึ่งตั้งใจจะนำมาใช้กับมอเตอร์เวย์ และทางด่วน ซึ่งเปิดตัวให้ใช้อย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ด่านทับช้าง 1 ทับช้าง 2 ธัญบุรี 1 และธัญบุรี 2 

โดยวิธีการของระบบนี้คือเขาจะมีกล้องจับทะเบียนรถเรา แล้วก็ไปเก็บเงินเราตามวิธีการที่เราระบุไว้ตอนเราลงทะเบียนใช้งานระบบ หรือในตอนนี้เราไม่ลงทะเบียนก็ใช้ได้วิ่งผ่านไปก่อน แล้วเขาจะมีเว็บไซต์ให้เราไปจ่ายเงินทีหลังโดยป้อนทะเบียนรถเราเข้าไป ซึ่งกรณีของผมเป็นแบบหลังนี้ครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ M-Flow สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ของ M-Flow ครับ 

จริง ๆ ผมได้รับอีเมลให้ลงทะเบียนสมัครใช้ M-Flow มาก่อนหน้านี้เป็นเดือนแล้วครับ แต่ไม่ได้สนใจจะสมัคร เพราะเหตุผลสองอย่าง อย่างแรกคือยังไม่ไว้ใจระบบอ่านเลขทะเบียนนี่สักเท่าไหร่ เพราะแค่ Easy Pass ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ แค่แสดงจำนวนเงินในบัตรตอนขับผ่านยังแสดงไม่ตรงเลย คือมันมักจะดีเลย์ไปแสดงของรถคันหน้าเรา อีกอย่างหนึ่งก็คือผมมองว่าวิธีนี้มันผูกติดกับตัวรถ คือถ้าผมเปลี่ยนรถ หรือมีวันหนึ่งสมมติต้องยืมรถภรรยามาขับ ถ้าเป็น Easy Pass ผมก็แค่เอามันไปใช้กับรถที่ผมจะใช้วันนั้น แต่ถ้าเป็นระบบนี้ผมก็ต้องลงทะเบียนรถทุกคัน ซึ่งขั้นตอนการลงทะเบียนถึงแม้จะดูไม่ยาก แต่ก็ดูยุ่ง ๆ และถ้าต้องลงทะเบียนรถหลายคัน ก็น่าจะยุ่งขึ้นไปอีก ก็เลยยังไม่สมัคร และคิดว่าจะใช้  Easy Pass ไปก่อน จนระบบมันลงตัว หรือเขายกเลิก Easy Pass ไปแล้ว หรือตัวเองพร้อมที่จะลงทะเบียน

บังเอิญวันนี้ผมมีธุระต้องไปแถวคลองหลวงตั้งแต่เช้า ก็ขับรถขึ้นมอเตอร์เวย์ไป โดยลืมสนิทเลยว่า M-Flow มันเปิดใช้แล้ว และตามทางที่วิ่งไปก็จะเจอข้อความบนบอร์ดประชาสัมพันธ์ของมอเตอร์เวย์พูดถึง M-Flow ว่ารถที่ไม่ลงทะเบียนห้ามวิงผ่าน M-Flow จะมีโทษนู่นนี่นั่น แอบวิ่งไม่จ่ายเงินเจอค่าปรับ 10 เท่า เห็นป้ายแบบนี้แล้วก็ยังไม่ได้คิดครับว่ามันเปิดใช้แล้ว กับด่านที่ผมจะต้องผ่านนี่แหละคือธัญบุรี น่าจะ 2 นะครับ ขาออกมุ่งหน้าบางปะอิน 

ถ้าใครเคยผ่านด่านธัญบุรีอันนี้คงจะรู้นะครับว่ามันจะมีช่อง Easy Pass อยู่ขวาสุดสองช่อง ผมซึ่งคุ้นเคยกับด่านนี้ดีก็ขับไปตามความเคยชินครับไม่ได้มองป้าย M-Flow อะไร พอขับเข้าไปก็เป็นงงครับเพราะมันว่างมากแทบไม่มีรถวิ่งเข้ามาด้านนี้เลย หนักกว่านั้นมีกรวยมาวางกั้นไม่ให้เข้าไปที่ตู้ Easy Pass คราวนี้ก็เริ่มระลึกได้ครับว่า เฮ้ย หรือนี่มันจะเป็น M-Flow แต่ตอนนั้นก็ตั้งคำถามกับตัวเองนะครับว่าต่อให้เป็น M-Flow แล้วทำไมถึงปิดตู้ Easy Pass แต่คิดอีกทีสุดท้ายเขาคงอยากให้เป็น M-Flow ทั้งหมดรถจะได้ไม่ต้องชะลอ แต่ผมว่าถ้ามีตู้อยู่มันก็ต้องชะลอกันอยู่ดีนะ แต่เอาเถอะครับในตอนนั้นปัญหาเฉพาะหน้าก็คือทำยังไงดี เพราะอ่านป้ายคำขู่ตามทางที่ผ่านมาว่ารถไม่ลงทะเบียนห้ามวิ่งผ่าน M-Flow 

แต่จะให้ถอยกลับก็คงไม่ใช่ ถ้าทำอย่างนั้นสงสัยจะถูกชนแบนอยู่บนมอเตอร์เวย์ ก็เลยชะลอรถเลือกผ่านเข้าไปที่ตู้หนึ่ง ก็เห็นป้ายเล็ก ๆ เขียนไว้ประมาณว่า รถที่ไม่ได้ลงทะเบียนให้ไปจ่ายเงินย้อนหลังได้ที่เว็บไซต์ของ M-Flow เห็นแล้วก็เลยโล่งใจขึ้น แล้วก็นึกในใจว่า ทำไมมันถึงไปโปรโมทแต่เรื่องจะลงโทษรถที่ไม่ลงทะเบียนแล้วใช้ M-Flow ในเมื่อมันก็มีระบบให้จ่ายทีหลังด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว 

จริง ๆ ควรจะโปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้มากกว่า เพราะอาจไม่ใช่ทุกคนที่จะผ่านมาใช้เป็นประจำ เขาอาจจะผ่านมาเป็นครั้งคราว พอผ่านเสร็จก็ไปจ่ายเงินย้อนหลัง ไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายลงทะเบียนอะไร และการโปรโมทแบบนี้ก็อาจเป็นการเชิญชวนให้คนที่ใช้ประจำแต่ไม่ได้ลงทะเบียนมาทดลองใช้ดูว่าระบบการอ่านเลขทะเบียนมันโอเคไหม ให้เขาลองใช้ดูแล้วก็ค่อยโปรโมทต่อว่าถ้าคุณลงทะเบียนคุณจะได้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง นี่เล่นขู่กันอย่างเดียวเลย และนี่อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รถติดหนักหน้าด่านเมื่อวานหรือเมื่อวานซืน เพราะคุณลดด่านที่ต้องจ่ายเงิน กับด่าน Easy Pass กับ M-Pass ลง ทำให้รถซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลงทะเบียนต้องไปแออัดกันหน้าด่าน ทำให้ท้ายแถวติดยาวเหยียดจนคนที่ลงทะเบียน M-Flow ก็เข้าช่อง M-Flow ไม่ได้ ไม่ต่างกับคนที่ใช้ Easy Pass หรือ M-Pass ที่ต้องมาติดท้ายแถวจากคนที่จ่ายเงินสด อันนี้ก็เป็นคำแนะนำนะครับ ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะผมไม่ได้ไปติดอยู่กับเขา แต่คนที่ติดอยู่วันนั้นคงสรรเสริญคนที่คิดแต่เรื่องขู่แบบนี้ไปพอสมควรนะครับ :)

คราวนี้มาถึงเรื่องของผมต่อครับ หลังจากผมผ่านด่านมาแล้ว มาลงที่คลองหลวง ใช้เวลาผ่านจากด่านมาน่าจะประมาณ 20 นาที ผมก็ลองเข้าเว็บไซต์เพื่อเช็คดูว่าผมจะต้องจ่ายเงินยังไง เมื่อเข้าไปที่เว็บไซต์  ก็จะเจอเมนูตามรูปที่ 1 ครับ 

Mflow-pay-menu
รูปที่ 1 เมนูจ่ายเงิน M-Flow

ผมก็เลือกอันล่างสุดนะครับ "วิ่งช่องผ่านทาง M-Flow แต่ไม่ใช่สมาชิก" รู้สึกว่าคำพูดมันประหลาด ๆ ไหมครับ จริง ๆ มันน่าจะเป็น "วิ่งผ่านช่องทาง M-Flow แต่ไม่ใช่สมาชิก" ว่าไหมครับ หลังจากเลือกอันนี้มันจะพาเราไปที่หน้าจอดังรูปที่ 2 ครับ

find-car-by-id-mflow
รูปที่ 2 ค้นหารถยนต์เพื่อชำระเงิน

 
เราก็ป้อนเลขทะเบียนรถเราซึ่งต้องแบ่งเป็นสามส่วนนะครับ คือช่องแรกให้ใส่สามหลักแรก ช่องที่สองก็ให้ใส่เลขสี่หลัก (รถผมมีสี่หลัก แต่ถ้าใครมีกี่หลักก็น่าจะใส่ตามนั้นนะครับ) และช่องสุดท้ายก็คือจังหวัด จากนั้นกดปุ่มค้นหา 

ซึ่งในตอนแรกที่ผมป้อน มันหาไม่เจอนะครับ มันบอกไม่มียอดค้างชำระ ตอนแรกผมก็คิดว่าระบบอ่านเลขทะเบียนมันแย่หรือเปล่านี่ แล้วตอนนี้มันไปอ่านเป็นรถใครแทนหรือเปล่า แต่คิดอีกทีสงสัยมันต้องใช้เวลาบันทึกข้อมูลลงระบบ ก็เลยทำธุระไปก่อน ช่วงบ่ายลองค้นอีกทีคราวนี้มันเจอครับ ก็ขึ้นว่าต้องจ่าย 30 บาท ซึ่งเราสามารถจ่ายผ่านระบบพรอมท์เพย์ (prompt pay) ได้นะครับ มันจะสร้าง QR Code ขึ้นมา เราก็เอาไปสแกนจ่ายผ่านแอปธนาคารได้เลย หลังจากจ่ายไปแล้ว ผมลองทิ้งเวลาไปสักหนึ่งชั่วโมง ลองค้นดูอีกทีก็ปรากฏว่าไม่มีค้างชำระแล้ว 

สรุปก็คือระบบอ่านเลขทะเบียนใช้ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าตอนผมผ่านด่านผมชะลอรถช้า ๆ เพราะเข้ามาแบบงง  ๆ หวังว่าจะเจอเจ้าหน้าที่บ้างแต่ก็ไม่มี เจอแต่ป้ายบอกจ่ายทีหลังได้ ดังนั้นที่เขาตั้งใจว่าให้วิ่งผ่านได้ด้วยความเร็ว 120 ไม่ต้องชะลอรถมันจะโอเคไหม ระบบจ่ายเงินก็ใช้ได้ แต่ไม่รู้ว่าถ้ามีคนใช้เยอะกว่านี้จะเป็นยังไง 

ก็หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านนะครับ ถ้าใครผ่านทับช้าง 1 ทับช้าง 2 ธัญบุรี 1 และธัญบุรี 2 และไม่ได้ลงทะเบียน M-Flow ไว้ก็ใช้ได้นะครับ ไม่ต้องไปติดอยู่ที่ด่านจ่ายเงิน ส่วนคำแนะนำสำหรับเจ้าหน้าที่ก็คือน่าจะโปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้นะครับ แทนที่จะขู่ว่าไม่ลงทะเบียนห้ามผ่าน การโปรโมทแบบนี้ผมว่าจะทำให้คนอยากลองใช้มากขึ้น จะช่วยลดรถติดหน้าด่าน ซึ่งน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของการใช้ระบบนี้ แล้วพอเขาเห็นว่าถ้าสมัครสมาชิกมันทำให้สะดวกสบายกว่าอย่างเช่นมันสามารถหักค่าผ่านทางโดยใช้เงินที่มีใน Easy Pass และ M-Pass ได้ด้วย หักจากบัตรเครดิตได้ หรือจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ เขาก็จะสมัครกันเอง แต่ถ้าไม่โปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้เพราะกลัวระบบจ่ายเงินล่มถ้าคนมาใช้เยอะอันนี้ก็คงไม่มีคำพูดอะไรต่อครับ ส่วนถ้ากลัวคนมาใช้แล้วไม่ยอมจ่ายเพราะไม่ลงทะเบียน จริง ๆ อันนี้น่าจะคิดไว้ก่อนแล้วนะครับ ถ้ายังไม่ได้ทำก็เสนอทำพร้อมกับระบบใบสั่งไปเลย คือให้ขนส่งดูให้ว่าถ้ามีใบสั่งที่ยังไม่จ่าย หรือไม่จ่ายค่าผ่านทางก็ไม่ต่อทะเบียนให้ แก้กฎหมายตรงนี้กันไปเลย  

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

เดือนแรกของปีหนู(ดุ)

สวัสดีครับ หลังจากสร้างนิสัยสรุปข่าวแชร์ข่าวได้แล้วหนึ่งอย่าง ก็เลยคิดว่าจะลองเขียนบล็อกเรื่องอะไรที่อยากเขียน เล่าเรื่องอะไรที่อยากเล่า โดยเล่าให้ฟังทุกวันศุกร์ที่เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของสัปดาห์ก็เลยเป็นที่มาของบล็อกนี้ครับ

วันแรกของบล็อกในหัวข้อนี้ก็บังเอิญเป็นศุกร์สิ้นเดือนของเดือนแรกของปีนี้พอดี จะว่ามันเร็วก็เร็วนะครับ เพราะเหมือนกับเพิ่งฉลองปีใหม่ไปได้แป๊ปเดียว แต่เอาจริง ๆ แล้วมันมีอะไรเกิดขึ้นมากมายและเป็นเรื่องใหญ่ ๆ ทั้งนั้นที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ เริ่มตั้งแต่กรณีอเมริกากับอิหร่าน ไฟป่าที่ออสเตรเลีย ฝุ่น PM  (อย่าไปแปลเป็น Prime Minister นะครับ :) ) จนมาถึงโคโรนาไวรัส บางเรื่องก็ทำท่าว่าอาจจบได้แล้ว   บางเรื่องก็อาจต้องดูผลกระทบต่อไป เพราะมันเริ่มกระจายไปทั่วโลกจน WHO ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และเห็นคุณหมอบางท่านคนออกมาบอกว่าต่อไปมันก็จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ประจำฤดูกาลเหมือนกับโรคอย่างไข้หวัดใหญ่ ต่อไปก็คงต้องฉีดวัคซีนเพิ่มกันอีก (หรือเปล่า) นอกจากนี้เรื่องฝุ่น PM เรื่องไวรัสมันก็ทำให้ได้เห็นถึงความสามารถในการจัดการปัญหาและภาวะผู้นำของผู้นำประเทศได้เหมือนกันนะครับ ยิ่งไปกว่านั้นด้านเศรษฐกิจ ซึ่งหลายคนก็คาดว่าปีนี้จะเป็นปีเผาจริงแล้ว (สาธุขอให้เขาคาดผิดกัน) เจอเหตุการณ์แบบนี้เข้าไป ก็ไม่รู้ว่ามันจะแย่มากขึ้นหรือเปล่า และยังไม่พอยังมีข่าวนักบาสชื่อดังระดับตำนาน ซึ่งเป็นคนที่ผมชื่นชอบคนหนึ่งคือโคบี้ ไบรอัน ยังเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกอีก หรือมันจะเป็นปีหนูดุจริง ๆ

พูดมาเหมือนมีแต่เรืองไม่ดี มาลองดูสิว่ามันมีเรื่องดี ๆ อะไรบ้าง เหมือนจะคิดไม่ออก แต่จริง ๆ ก็มีนะครับ อันแรกก็คือทีมฟุตบอลที่ผมเชียร์มาตั้งแต่เด็กคือลิเวอร์พูล ก็ยังโชว์ฟอร์มดีต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยชนะมาได้ทั้งหมดตลอดเดือนมกราคม และนำห่างที่สองถึง 19 แต้ม ตามปกติเดือนมกราคมจะเป็นเดือนที่ลิเวอร์พูลมักจะทำแต้มหล่นหาย (อันนี้อาจจะดีแค่กองเชียร์ลิเวอร์พูล แต่กองเขียร์ทีมอื่นอาจคิดว่ามันน่าจะจัดกลุ่มอยู่ในย่อหน้าบนก็ได้นะครับ :) ) ตัวเองก็ยังมีงานทำ ยังพอมีเงินใช้ สุขภาพก็ยังพอใช้ได้ ครอบครัวก็ยังอยู่กันพร้อมหน้า

ส่วนหนึ่งก็อยากภาวนาว่าปัญหาร้ายแรงทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นมันจะเป็นของทั้งปี และได้เกิดหมดไปแล้วในเดือนนี้ และตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ (ซึ่งปีนี้มี 29 วันนะครับ :) ) หวังว่าจะมีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาและที่เขาคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจที่มันจะเป็นปีเผาจริงก็ขอให้คาดผิด หรือมีเหตุการณ์อะไรเข้ามาช่วยเรา

แต่คิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราหันมาบริหารจัดการตัวเอง เช่นตอนนี้ผมก็เริ่มบอกตัวเองให้ประหยัดมากขึ้น อะไรที่อยากได้แต่ไม่จำเป็นก็พักไว้ก่อน ช่วงนี้ก็หลีกเลี่ยงการไปในที่ที่มีคนเยอะ ๆ ออกกำลังกายให้มากขึ้น พักผ่อนให้มากขึ้น และพัฒนาตัวเอง ในเมื่อเราไม่สามารถรู้โชคชะตาข้างหน้าได้ และอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาล ซึ่งก็ไม่ได้ดีไปกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาในอดีตเลย (เสียเวลาไปห้าหกปี กับคำพูดหรู ๆ ของนักการเมืองที่หลอกคนออกมาบนถนน บอกว่าจะปฏิรูปประเทศ แต่จริง ๆ ต้องการให้ทหารมายึดอำนาจ) ออกจะแย่กว่าด้วยซ้ำ และจริง ๆ แล้วเราก็ไม่ควรไปหวังพึ่งรัฐบาลไหนอยู่แล้ว (เพียงแต่ถ้ารัฐบาลเก่งและเราดูแลตัวเองผลมันอาจจะดีกว่ารัฐบาลแย่ ๆ )

 ก็ขอส่งท้ายบล็อกนี้ว่า อัตาหิอัตโนนาโถ ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน บริหารจัดการตัวเองกันดี ๆ ไม่ว่าหนูจะดุแค่ไหนเราก็น่าจะผ่านกันไปได้ (อาจจะทุลักทุเลหน่อย ภายใต้รัฐบาลแบบนี้)) และช่วยกันตั้งความหวังว่าสุดท้ายเราจะได้รัฐบาลเก่ง ๆ มีความสามารถมากกว่านี้มาช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤติต่าง ๆ ไปได้ไปอย่างสบายกว่านี้แล้วกันครับ สาธุ

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

เว็บไซต์หลอกลวงเอาบัญชีเงินคริปโต

วันนี้เจอเว็บไซต์ที่น่าจะเป็นเว็บไซต์หลอกลวงเอาบัญชีเงินคริปโตของเราครับ ก็เลยเอามาเขียนเตือนกันไว้ เรืองก็คือผมไปสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่ม Blockchain กลุ่มหนึ่ง คืออันนี้ https://www.facebook.com/Blockchain-Community-101423281418037/ เข้าใจว่าตอนสมัครเพราะมันขึ้นมาจาก Facebook Ad เราสนใจ Blockhain อยู่แล้วก็เลยสมัครเข้าไป จากที่เข้าไปดูกลุ่มนี้เพิ่งถูกสร้างเมื่อ 23 มกราคมปี 2020 นี้เองครับ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จนได้รับข้อความว่ามีการโพสต์ถึงผมในกลุ่ม ผมเข้าไปดูก็เห็นเอารูปรูปหนึ่งจาก Facebook ผมไปโพสต์ในกลุ่ม แล้วก็โพสต์ข้อความนี้

Congratulations!
Get Extra Bonus 100%!
You are one active users who are lucky to get 0.6300 BTC & 35.66 Ethereum (ETH).
Do not miss 0.6300 BTC & 35.66 Ethereum (ETH) are on the way your wallet.
Immediately get your bonus here:
└► 
https://bit.ly/2sWBokm?Blockchain-GiveAway
Description:
* Only for Accounts that already have transactions that can receive BTC, Ethereum (ETH) wallet.
* We will be give to users who have 5 transactions history.
* For security system without cheating.
* For loyal users.
* If not eligible, The invite bonus can't be found
* And Share your friends.
Best Regards,
Thanks for choosing blockchain – Happy trading!
Kind regards
©2020 BLOCKCHAIN ALL RIGHTS RESERVED

จากที่ไล่ไปดูก็มีสมาชิกกลุ่มอีกหลายคนที่ได้รับข้อความนี้
ซึ่งจากการเอาลิงก์ไปเช็คก็มีหลายที่รายงานว่าเป็น Phishing แต่ไม่ได้มีมัลแวร์อะไรผมก็ลองคลิกเข้าไปก็เจอหน้านี้


จะเห็นว่าบอกว่าจะให้ 0.6300 BTC & 35.66 Ethereum (ETH) เหมือนที่โพสต์ไว้ และยังบอกอีกว่า ยิ่งมีเงินในบัญชีเยอะยิ่งได้เยอะ และเมื่อคลิกปุ่ม Claim เข้าไปยิ่งสนุกครับ เพราะมันพาไปที่อีกเว็บหนึ่งซึ่งมีหน้าจอนี้ 


ไม่รู้เห็นชัดไหมนะครับ สรุปให้ครับ มันให้เราใส่ 12-word phrase ครับ ซึ่งแน่นอนครับถ้าเราให้มันไป มันก็ยึดบัญชีเราไปได้เลยนะครับ เฮ้อมันเล่นกันง่ายดีเนอะ 

สำหรับใครที่ไม่รู้ หรือเพิ่งเข้าสู่วงการเงินคริปโต หรือวงการบล็อกเชนนะครับ จำไว้นะครับว่าถ้าใครจะโอนเงินให้คุณ สิ่งที่คุณต้องให้ก็คือเลขบัญชีของคุณเท่านั้นนะครับ ถ้าขอ 12-word phrase หรือ private key อะไร โดยอ้างว่าจะต้องยืนยันว่าเป็นตัวคุณ อย่าไปเชื่อ และอย่าให้ไปเด็ดขาดครับ 




วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2563

ผมสามารถสร้างนิสัยได้หนึ่งนิสัยแล้ว

ขอบันทึกไว้หน่อยว่าปีนี้ผมสร้างนิสัยได้หนึ่งนิสัยแล้ว คือเขียนบล็อกสรุปข่าวด้านไอที ได้ 21 วันติดต่อกัน (จริง ๆ ได้ 21 วันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว) ผมตั้งใจจะสร้างนิสัยให้ได้อย่างหนึ่งเป็นปณิธานของปีใหม่ปีนี้ โดยจากการโพสต์ Face Book ของ อ.ธงชัย รุ่นพี่สมัยมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชา Innovative Thinking ที่โด่งดังมากในจุฬา เป็นวิชาเลือกฮอตฮิตของนิสิตจุฬา ถึงกับต้องมีการคัดเลือกนักศึกษากันแทบทุกเทอม ซึ่งหนึ่งในการบ้านที่อ.ธงชัย ได้มอบหมายให้นักศึกษาทำเพื่อเสริมสร้างนิสัยก็คือหาสิ่งที่ต้องการทำเป็นนิสัย แล้วทำให้ได้ติดต่อกัน 21 วัน

ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จริง ๆ ตั้งใจทำมานานแล้ว แต่ก็อ้างโน่นอ้างนี้กับตัวเองมาตลอด จนปีนี้เห็นว่าต้องเริ่มทำให้ได้แล้ว คราวนี้ก็เลยเลือกว่าจะทำอะไรดี จริง ๆ มีสิ่งที่ผมชอบทำอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ผมชอบแชร์เรื่องที่อ่านมาให้คนอื่นรับรู้ด้วย และจริง ๆ ผมได้เริ่มทำมาหลายปีแล้ว แต่ทำไม่สม่ำเสมอ นั่นคือการเลือกข่าวด้านไอที ที่เน้นไปที่งานวิจัย ที่ไม่ใช่ข่าวที่เขียนไปแล้วในบล็อกข่าวด้านไอทียอดนิยมอย่างใน blognone หรือข่าวไอทีที่เกี่ยวกับผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป หรือข่าวผลิตภัณฑ์ที่มีคนทำมากมาย

โดยตอนแรกผมได้เขียนลงในบล็อกของผมบล็อกนี้แหละครับ เลือกข่าวแล้วก็เอามาเขียน แรก ๆ ก็ทำสองสามวันสักเรื่องหนึ่ง แต่ปรากฏว่าพอมาช่วงหลัง ๆ การโพสต์เริ่มห่างไปเรื่อย ๆ ซึ่งเหตุผลก็อย่างที่หลายคนชอบเอามาอ้างก็คือไม่มีเวลา และกลายเป็นว่าบางปีแทบไม่ได้โพสต์อะไรเลย แม้แต่เรื่องทั่ว ๆ ไป ซึ่งผมมักจะแทรกเขียนเข้ามาบ้างถ้ามีเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ตอนหลังต้องบอกว่าแทบปล่อยร้างเลย ปีหนึ่งเขียนแค่สองสามเรื่องก็ยังมี

ผมได้อ่านโพสต์จากอ.ธงชัยเรื่องอุปสรรคของการสร้างนิสัยใหม่ อ่านเสร็จก็เอามาวิเคราะห์ตัวเองว่าทำไมถึงทำให้สม่ำเสมอไม่ได้ ก็พบว่าผมมักจะอ้างว่าตัวเองเหนื่อยจากการทำงานมาแล้ว และการเขียนบล็อกหนึ่งบล็อกใช้เวลามาก คราวนี้ผมก็เลยถามตัวเองว่า ทำไมมันใช้เวลามาก ผมก็ได้คำตอบว่า เพราะตอนแรกผมพยายามเขียนในแบบกึ่ง ๆ แปลข่าว คือค่อนข้างจะเขียนละเอียด และข่าวที่เลือกมาส่วนใหญ่มันเป็นงานวิจัย ซึ่งในบางเรื่องพอลงไปลึก ๆ เราก็ต้องไปค้นคว้าเพิ่มเติมมาเขียน อธิบายให้ทั้งตัวเองและคนอ่านได้เข้าใจด้วย ดังนั้นนอกจากจะใช้เวลามากแล้ว ยังเขียนได้น้อยเรื่องอีกด้วย คืออ่านมาหลายเรื่อง แต่เขียนได้ไม่กี่เรื่อง ก็เลยเปลี่ยนแนวใหม่เป็นสรุปข่าว แล้วก็พยายามสรุปหลาย ๆ ข่าวมาเขียนในบล็อกเดียวกัน ก็ดีขึ้น แต่ก็ยังใช้เวลามากอยู่ดี และสิ่งที่ทำไม่ได้คือความสม่ำเสมอ เพราะมักจะอ้างว่าต้องทำงานอื่นก่อน พอทำงานอื่นเสร็จก็เหนื่อยแล้ว มีอยู่ช่วงหนึ่งเปลี่ยนแนวมาสรุปสั้น ๆ สั้นกว่าเดิมอีก แล้วโพสต์ลง Facebook กับ Twitter แต่ก็ยังขาดความสม่ำเสมออยู่ดี แล้วก็ยังติดโลภมากคือจะโพสต์ให้ได้วันละหลาย ๆ ข่าว

เมื่อวิเคราะห์ตัวเองได้แล้ว ก็เลยตั้งใจว่าเอาเป็นสรุปข่าวแล้วโพสต์วันละข่าวพอ ทำทีละเล็กละน้อยดีกว่าไม่ทำ ผมก็เลยตั้งต้นทำจริง ๆ ทำตั้งแต่วันปีใหม่เลย โดยโพสต์ลง Facebook กับ Twitter วันละข่าวทำไปได้สองวัน ก็คิดว่าทำไมเราไม่เขียนลงบล็อกของเราไว้ด้วย แล้วค่อยแชร์ข่าวไป เพราะเราตั้งใจเขียนบล็อกแนวนี้อยู่แล้ว บล็อกจะได้มีความเคลื่อนไหว และเวลาจะค้นเรื่องที่สรุปไปแล้วก็ทำได้ง่ายด้วย ก็เลยเปลี่ยนมาเขียนสรุปข่าวในบล็อกก่อน แล้วค่อยแชร์ไป Facebook กับ Twitter ทำให้ได้ทำตามจุดประสงค์ของตัวเองที่ตั้งใจทำบล็อกแต่แรก

การทำให้สำเร็จก็ต้องมีการวางแผน ผมก็พยายามทำตามคำแนะนำของอ.ธงชัย ก็คือพยายามทำเวลาที่ยังสดชื่นอยู่ ผมมักจะใช้เวลาอ่านข่าวตอนเช้าอยู่แล้ว พออ่านแล้วก็เลือกว่าอันไหนน่าสนใจ แล้วก็ใช้เวลาสรุป และเขียนบล็อก โดยวางเวลาว่าจะใช้เวลาสรุปและเขียนไม่เกิน 15-20 นาที ต่อข่าว ถ้าวันไหนมีเวลามาก ก็จะเขียนเผื่อไว้หลายข่าว ทำเหมือนถ่ายสต็อกรายการทีวีเก็บไว้ ถ้าอันไหนเขียนไม่เสร็จมาต่อให้เสร็จตอนจะโพสต์ (ซึ่งที่ผ่านมาก็ยังไม่มีอันไหนเขียนไม่เสร็จ อาจมีมาแก้มาเกลานิดหน่อยก่อนโพสต์) คือผมวางแผนโพสต์ตอนเย็นถึงค่ำ เพราะคิดว่าน่าจะมีคนอ่านช่วงนั้นมากกว่า 

ซึ่งตอนนี้ก็ทำมาแล้ว 22 วันติดกัน ถ้ารวมสองวันแรกที่ไม่ได้เขียนลงบล็อกด้วย ก็เป็น 24 วันติดกันแล้ว อุปสรรคก็มีอยู่บ้างคือบางวันเกือบลืม หรือบางวันมีธุระต้องกลับบ้านดึก ก็เกือบไม่ได้โพสต์ ดังนั้นต่อไปผมก็คงต้องวางแผนให้ดีขึ้น ถ้ารู้ว่าจะมีธุระก็คงโพสต์ไปก่อนเลย  ประโยชน์ของการสร้างนิสัยนี้ก็คือ ผมได้ทำกิจกรรมที่ผมชอบทำคือแบ่งปันความรู้ บล็อกผมได้มีความเคลื่อนไหวไม่ร้าง และที่สำคัญได้ฝึกทักษะในการย่อความสรุปความให้คนอ่านเข้าใจได้

ก็อยากเชิญชวนให้มาอ่านบล็อกผมกันนะครับ อ่านข่าวงานวิจัย ซึ่งบางเรื่องอาจจะอยู่ในช่วงเริ่มต้น และอาจจะใช้ได้จริงในอีกหลายปีถัดไป สำหรับคนที่เคยติดตามบล็อกผมไว้ และผมทิ้งบล็อกร้างไป ตอนนี้ผมกลับมาแล้วนะครับ :)

เมื่อสร้างนิสัยนี้ได้แล้ว ผมก็มีแผนจะสร้างนิสัยอื่นต่อไป เพราะอ.ธงชัยบอกให้ค่อย ๆ เริ่มไปทีละอย่างอย่าโลภมาก ถ้ามีนิสัยอื่นที่สร้างสำเร็จ และเอามาแบ่งปันกันได้อีกก็จะมาเล่าให้ฟังแล้วกันนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ขอพูดถึงเรื่องวิชา Coding กับเขาบ้าง

หลังจากไม่ได้เขียนบล็อกมาซะนานวันนี้รู้สึกอยากเขียน เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว และกำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ เรื่องนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการแถลงนโนบายของรัฐบาลครับ ไม่ใช่เรื่องตัดพี่ตัดน้อง สส.สมุนโจร หรือสว.เลียท้อปบู๊ตทหารนะครับ แต่เป็นเรื่องการที่รัฐบาลจะให้เด็กเรียนโค้ดดิง (coding) โดยรมต.ออกมาพูดว่าเรียนโค้ดดิงไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ แล้วก็เกิดข้อถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย

ก่อนอื่นต้องบอกว่าถ้าเราได้ติดตามข่าวด้านการศึกษาในช่วงสองสามปีมานี้ จะพบว่าทางกระทรวงศึกษาธิการได้มีการปรับปรุงหลักสูตรที่เริ่มใช้ในปีการศึกษา 2561โดยเปลี่ยนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศจากหมวดการงาน มาเป็นวิชาวิทยาการคำนวณในหมวดวิทยาศาสตร์ ซึ่งโค้ดดิงเป็นส่วนหนึ่งของวิทยาการคำนวณ ดังนั้นเรื่องการโค้ดดิงนี้จึงไม่ใช่เรื่องใหม่ที่จะมาคิดริเริ่มจากกระทรวงศึกษาในรัฐบาลนี้ ซึ่งจุดประสงค์ของวิทยาการคำนวณนั้นเท่าที่ติดตามดู ไม่ได้ตั้งใจจะสร้างเด็กออกไปเป็นนักพัฒนาโปรแกรม แต่ต้องการสร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ สามารถใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล และรู้เท่าทันสื่อสมัยใหม่ เพื่อให้มันติดตัวเขาไปไม่ว่าในอนาคตเขาจะไปประกอบอาชีพใด เข้าใจว่าเด็กที่เรียนในปี 2561 จะเป็นเด็ก ป.1 ป.4 ม.1 และ ม.4

ในแง่ที่เกี่ยวข้องกับโค้ดดิง ในเด็กเล็กประถมต้น เขาจะไม่ได้ให้เรียนเขียนโปรแกรมกับคอมพิวเตอร์ แต่จะสร้างการคิดอย่างเป็นระบบผ่านทางเครื่องมืออย่างการ์ดคำสั่ง หรือเกมกระดาน (board game) เป็นต้น เด็กป.4 จะได้เรียนการเขียนโปรแกรมผ่านทางภาษาโปรแกรมประเภท Block Programming คือลักษณะการเขียนโปรแกรมที่นำเอา Block คำสั่งมาเรียงต่อกัน ซึ่งภาษาที่เขาจะให้เรียนคือ Scratch ซึ่งจะให้เรียนในชั้น ป.4  ส่วนเด็กมัธยมก็จะได้เรียนเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Python ซึ่งเป็นภาษาที่เรียนรู้ได้ง่าย เท่าที่ตามข่าวมาและพยายามทำความเข้าใจก็คือเขาน่าจะไม่ได้ให้เด็กไปเน้นที่ตัวไวยากรณ์ของภาษา ดังนั้นภาษาเขียนโปรแกรมที่เลือกใช้จึงเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้เรียนได้เน้นที่กระบวนการคิดแก้ปัญหาอย่างมีตรรกะ และเป็นระบบมากกว่า   

ในส่วนของคำว่าโค้ดดิงผมขออ้างอิงจาก  Facebook ของ อ.ยืน ภู่วรวรรณ ปรมาจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ของประเทศไทยคนหนึ่งที่บอกว่า

"โค้ดดิ้ง (Coding) เป็น Broader term ส่วน คอมพิวเตอร์ โค้ดดิ้ง (Computer coding) หรือ โปรแกรมมิ่ง (Programming) เป็น Narrow term คือมีความหมายที่แคบกว่า หรือเป็น Subset
โค้ด คือรหัส หรือการทำสัญลักษณ์ การโค้ดดิ้งคือ การเขียนสัญลักษณ์ เพื่อการบอกลำดับขั้นตอน ลำดับความคิด เพื่อสื่อสารให้เข้าใจกัน"

ดังนั้นการโค้ดดิงคืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เราเขียนอธิบายเส้นทางเพื่อให้คนส่งของมาส่งของที่บ้านเราถูกมันก็คือการโค้ดดิงแบบหนึ่ง การเขียนหนังสือการเขียนบทความให้อ่านรู้เรื่องก็เป็นการโค้ดดิงแบบหนึ่ง ดังนั้นจะเห็นว่าถ้าเราสามารถคิดและสื่อสารได้อย่างเป็นระบบแล้ว มันก็จะเป็นประโยชน์กับเราไม่ว่าเราจะทำอาชีพอะไร พูดถึงตรงนี้แล้วผมก็อยากบอกอีกครั้งว่า (เข้าใจว่าน่าจะเคยเขียนไปในบล็อกก่อน ๆ บ้างแล้ว) สิ่งที่อยากให้นำกลับมาในระบบการศึกษาระดับประถมมัธยมของเราก็คือวิชาเขียนเรียงความ เพราะจากประสบการณ์ดูแลปริญญานิพนธ์ของนักศึกษาตั้งแต่ป.ตรีถึงป.เอก พบว่าหลายคนเขียนกันไม่ค่อยจะเป็น คือบางครั้งไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เขียนแล้วจับใจความไม่ได้ว่าจะสื่อถึงอะไร

กลับมาที่โค้ดดิงที่เกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม ที่น่าจะเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ตอนนี้ รมต.ช่วยศึกษาธิการจากพรรคประชาธิปัตย์ ชูประเด็นเรื่องโค้ดดิง และพูดถึงคำว่าภาษาที่สาม และบอกว่าโค้ดดิงไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ ในความเห็นส่วนตัวคงต้องจับประเด็นก่อนว่ารมต.จะพูดถึงอะไรกันแน่ ถ้าพูดถึงโค้ดดิงในแบบภาพกว้าง ตามที่อ.ยืนบอก อันนี้ก็ใช่อาจไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ เพราะการแสดงแนวคิดของโปรแกรมนั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ อย่างเช่นการเขียนโฟลว์ชาร์ต (flowchart) หรือรหัสเทียม (pseudo code) ซึ่งอันนี้จะหมายถึงภาษาที่สามของรมต.หรือเปล่า?

แต่ถ้าภาษาที่สามหมายถึงภาษาเขียนโปรแกรม ส่วนตัวเห็นว่าการเรียนเขียนโปรแกรมด้วยภาษาสมัยใหม่ที่เข้าใจง่าย มีไวยากรณ์ไม่ซับซ้อนอย่างภาษา Python หรือ Block Programming แบบ Scratch การนั่งเขียนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะเข้าใจได้ง่ายกว่า ไม่ต้องไปเขียนลงกระดาษก่อนให้เสียเวลา เพราะผู้เรียนสามารถมองเห็นผลการทำงานของตัวโปรแกรมได้ทันที ในโปรแกรมที่ไม่มีความซับซ้อน และใช้ภาษาโปรแกรมสมัยใหม่ (จริง ๆ ถ้าคล่องแล้วแม้แต่ภาษาสมัยเก่าก็ใช้ได้นะ) ผมว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเขียนโฟลว์ชาร์ต หรือรหัสเทียม ก่อนด้วยซ้ำ เพราะตัวภาษาเองก็เข้าใจง่ายพอ ๆ กับเขียนรหัสเทียมอยู่แล้ว  อันนี้ไม่ได้บอกว่าไม่จำเป็นต้องรู้จักการเขียนโฟลว์ชาร์ต หรือการเขียนรหัสเทียมนะครับ เพราะมันยังเป็นประโยชน์อยู่ในการสื่อสารอะไรที่มันซับซ้อน หรือต้องการสื่อสารแนวคิดที่ไม่ผูกติดกับภาษาเขียนโปรแกรมภาษาใดภาษาหนึ่ง อีกประการหนึ่งก็คือ ภาษาเขียนโปรแกรมมีมากมายหลายภาษา แต่ละภาษาก็มีจุดดีจุดด้อย มีความเหมาะสมกับงานต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ถ้าจะให้เด็กรู้จักภาษาเขียนโปรแกรมเป็นภาษาที่สามควรใช้ภาษาอะไรดี

ดังนั้นการโค้ดดิงและภาษาที่สามน่าจะหมายถึงการทำให้เด็กคิดแก้ปัญหาได้อย่างมีตรรกะ และสื่อสารได้อย่างเป็นระบบหรือเปล่า? ซึ่งตรงนี้เท่าที่อ่านจากหลาย ๆ สื่อ มีคนบอกว่าถ้าจะหมายถึงอย่างนี้เปลี่ยนจากคำว่าโค้ดดิงเป็นอย่างอื่นดีไหม เช่นความสามารถในการแก้ปัญหา (problem solving) อย่างเป็นระบบอะไรแบบนี้ ซึ่งตรงนี้ผมว่ามีความสำคัญนะครับ เพราะถ้าไม่สื่อสารชี้แจงกันให้ดี ผมว่าเดี่ยวมันก็จะกลายเป็นเหมือนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเราที่เน้นกันแต่ไวยากรณ์ แต่เอาไปพูดกับฝรั่งไม่ได้ การเรียนโค้ดดิงนี่ก็อาจจะกลายเป็นเน้นอะไรแบบนี้ เธอเขียนสัญญลักษณ์ของโฟลว์ชาร์ตตัวนี้ผิดนะ หรือคำสั่ง "Print()" ของเธอผิดนะ เพราะเธอใช้ P จริง ๆ ต้องใช้ p อะไรแบบนี้ 

สุดท้ายผมขอจบบล็อกนี้ด้วยการยกตัวอย่างให้เห็นว่าการคิดอย่างเป็นระบบนั้นมันอยู่รอบ ๆ ตัวเรา บางครั้งมันก็เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่เรามองข้ามไป

(หมายเหตุเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ มาจากเรื่องจริง แต่อาจมีการดัดแปลงคำพูดบางอย่าง และตัวละครเพื่อให้มีความเหมาะสม :))

หลายปีก่อนนักศึกษาป.ตรีที่เป็นนักศึกษาในที่ปรึกษาผม นำเล่มที่จะต้องใช้ขึ้นสอบหัวข้อมาให้ดูเป็นครั้งแรก นักศึกษาเขียนมาครบสามบทที่ต้องมีในการสอบ แต่นักศึกษาใช้วิธีรันเลขรูปแบบนี้สมมติบทที่ 1 มี 10 รูป ก็รันไปรูปที่ 1 ไปถึงรูปที่ 10 พอขึ้นบทที่ 2 ก็เริ่มตั้งแต่รูปที่ 11
ผม: คุณได้เคยเปิดเล่มของรุ่นพี่ดูบ้างไหมว่าเขารันเลขรูปยังไง
นศ.: ไม่เคยครับ
ผม: (เอาเล่มรุ่นพี่ให้ดู) เขารันยังไง
นศ.: เขารันแบบบทที่ 1 ก็ใช้รูป 1.1 1.2 ไปเรื่อย ๆ พอบทที่ 2 ก็เริ่มรันจาก 2.1 2.2 โอเค ผมเข้าใจแล้วครับ เดี๋ยวกลับไปแก้เลยครับ สวัสดีครับ
ผม: เดี๋ยว รู้ไหมทำไมเขาทำแบบนี้
นศ.: (ทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง) เอ้อ เพื่อความเป็นระเบียบหรือครับ
ผม: อืม มองไม่ออกจริง ๆ หรือ คุณลองคิดสิว่าถ้ารันเลขรูปแบบคุณ สมมติว่าถ้าผมบอกว่าให้คุณไปเพิ่มรูปในบทที่ 1 ไปรูปหนึ่งมันจะเกิดอะไรขึ้น
นศ.: (ทำหน้าแบบเกิดความรู้แจ้งสุดขีด) โอ้วเข้าใจแล้วครับ ผมก็ต้องไปรันเลขรูปใหม่ทั้งหมดในบทที่ 2 และบทที่ 3 ด้วย แต่ถ้าทำแบบพี่การเพิ่มหรือลดรูปในบทที่ 1 ก็จะไม่กระทบส่วนที่เหลือของเล่มครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
ผม: เดี๋ยว
นศ.: (ทำหน้าแบบจะเอายังไงกับตูอีกวะ)
ผม: แล้วรู้ตัวไหมว่ามันน่าอายที่เราซึ่งเป็นนักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่เราไม่สามารถประยุกต์ความรู้ที่เราเรียนและใช้มาตลอดเวลาที่เราทำโปรแกรมมาใช้กับสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้ ไหนลองตอบหน่อยสิว่าสิ่งที่รุ่นพี่ทำนี่มันน่าจะตรงกับอะไรในสิ่งที่เราเรียนและใช้ทำโปรแกรมมา
นศ.: (ทำหน้าแบบ จัดเล่มมันเกี่ยวอะไรกับทำโปรแกรมวะ ผ่านไปสักครู่ ทำหน้าแบบเกิดความรู้แจ้งสุดขีด) ได้แล้วครับ Modular Design ครับอาจารย์ ถ้าเราออกแบบและพัฒนาเป็นโมดูล การแก้ไขใด ๆ ก็จะกระทบเฉพาะในโมดูลนั้น
ผม: เออ ดีแล้ว เข้าใจแล้วนะ ไปได้ อาจารย์จะได้ดู Netflix ต่อ เอ๊ยไม่ใช่ทำงานต่อ




วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ประสบการณ์สนุก ๆ ของผมกับเพลงหนักแผ่นดิน

ตอนนี้กระแสเพลงหนักแผ่นดินกำลังฮืตมาก ๆ นะครับ ทำให้ผมคิดได้ว่าสมัยเด็ก ๆ จนถึงตอนจะมีลูก ผมก็มีประวัติศาสตร์กับเพลงนี้อยู่บ้างเหมือนกัน ต้องบอกว่าตอนผมเป็นเด็กนี่เพลงปลุกใจพวกนี้เปิดกันบ่อยมาก เพราะเป็นสมัยที่เขาบอกว่าเราสู้กับคอมมิวนิสต์ และอีกอย่างสมัยเด็ก ๆ ผมเป็นเด็กไม่แข็งแรงครับ ขาดเรียนบ่อยเวลาขาดเรียนก็ต้องไปอยู่ที่ที่ทำงานกับแม่ แล้วในสมัยนั้นเขาก็เอาข้าราชการไปฟังสัมมนาต่อต้านคอมมิวนิสต์ บางครั้งแม่ก็ต้องพาผมไปด้วย ผมก็ไปนอนหลับเวลาเขาสัมมนากันตื่นมาก็เห็นเขาร้องเพลงปลุกใจกัน ก็มาร้องกับเขาด้วย เรียกว่าร้องเพลงปลุกใจได้ได้แทบทุกเพลง นักร้องเพลงปลุกใจอย่างคุณสันติ ลุนเผ่ นี่ก็ดังมาก เพลงหนักแผ่นดินนี่ก็เป็นเพลงฮิตเพลงหนึ่งร้องกันได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ใครยังไม่เคยฟังก็ร้องฟังกันดูครับ


ฟังกันสนุก ๆ นะครับ อย่าไปอินกับมันมาก สำหรับเนื้อร้องก็ประมาณนี้ครับ

คนใดใช้ชื่อไทยอยู่ กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน
ได้อาศัยโพธิ์ทองแผ่นดินของราชันย์ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย
คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย
แต่ยังฝังทำกิน กอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเป็นทาสของมัน
หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน!)
หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน!)
คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย
ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง
คนใดหลงชมชาติอื่น ชาติเดียวกันเขายืนข่มเหง
ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารไทยกันเอง ทีชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน
คนใดขายตนขายชาติ ได้โอกาสชี้ทางให้ศัตรู
เข้าทลายพลังไทยให้สลายทางสู้ เมื่อศัตรูโจมจู่เสียทีมัน
คนใดคิดร้ายราวี ประเพณีของไทยไม่ต้องการ
เกื้อหนุนอคติ เชื่อลัทธิอันธพาล แพร่นำมันมาบ้านเมืองเรา

สมัยก่อนนี้เวลาเพลงมันดังมาก ๆ ก็จะมีคนนำมาแปลงเล่นกันครับ และเพลงหนักแผ่นดินก็ถูกนำมาแปลงเช่นกัน ซึ่งถูกแปลงเป็นเพลงหนักที่นอน ซึ่งผมก็ไม่รู้นะครับว่าใครเป็นคนแต่ง พอดีได้ยินเพื่อน ๆ ร้องมา เนื้อร้องก็ประมาณนี้นะครับ อาจไม่ตรงร้อยเปอร์เซนต์ เพราะมันนานมากแล้ว เนื้อร้องก็ประมาณนี้ครับ 

คนใดใช้เงินเมียอยู่ กายก็ดูเขาใช่จะพิการ 
ได้อาศัยเมียกิน กอบโกยสินนงคราญ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดนอกใจ
คนใดใช้เมียดังทาส ได้โอกาสหาทางดื่มเมรัย 
ปล่อบเมียไว้เปล่าเปลี่ยว ออกไปเที่ยวคนจัญไร กลับบ้านได้ตีห้าทุก ๆ คืน 
หนักที่นอน หนักที่นอน คนเช่นนี้เป็นผัวหนักที่นอน  (หนักที่นอน!)

ถ้าใครอยากร้องแนะนำว่าให้ฝึกร้องหนักแผ่นดินให้ได้ก่อนนะครับ แล้วก็ลองร้องเพลงนี้ดูถึงจะได้อารมณ์ 

ผมเอาเพลงนี้ไปร้องให้ที่บ้านฟังก็มีแต่คนหัวเราะ หลังจากผ่านยุคนั้นมาก็ไม่ได้ร้องเพลงนี้อีกเลยนะครับ จนกระทั่งถึงปีที่คุณภรรยากำลังท้องลูกคนแรกได้ 6-7 เดือน คุณเธอก็ไปอ่านหนังสือมาบอกว่าลูกได้ยินเสียงแล้ว ควรพูดกับลูกหรือร้องเพลงให้ลูกฟัง แทนที่เธอจะร้องเอง คุณเธอก็ใช้วิธีว่าตอนเธอจะนอนเธอก็ชวนผมให้นอนด้วยครับ (อย่าคิดเรื่องอื่นนะครับ ตอนนั้นเธอท้องอยู่) และให้ผมเป็นคนร้องเพลงให้ลูกฟังครับ ผมก็ร้องเพลงให้ฟังกล่อมลูกกล่อมเมียไป ทุกวันเข้าหลัง ๆ ชักหมดมุกไม่รู้จะร้องอะไรดี ไม่รู้อะไรดลใจก็ร้องหนักแผ่นดินขึ้นมาครับ เธอก็บอกว่าเอาเพลงอะไรมาร้องเนี่ย ผมก็เลยเปลี่ยนเป็นหนักที่นอนแทน ปรากฎเธอหัวเราะไม่ยอมหยุด ผมกลัวจะเป็นอันตรายกับลูกก็เลยรีบหยุดร้องครับ :) จากนั้นก็ไม่เคยร้องหรือนึกถึงเพลงนี้อีกเลยจนถึงวันนี้นี่แหละครับ 

เห็นเพลงนี้กลับมาเป็นกระแสก็เลยเอามาเล่าให้ฟังครับ เรื่องเครียด ๆ จริงจังเห็นโพสต์กันเยอะแล้วบน Facebook มาเขียนเรื่องเบา ๆ กันบ้างดีกว่านะครับ...  


วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2562

เหลียวหลังมองปี 2018

สวัสดีปีใหม่ครับ หวังว่าคงจะยังไม่ช้าเกินไปที่จะสวัสดีปีใหม่กันนะครับ บล็อกแรกของปี และตั้งใจว่าจะเขียนให้มากขึ้นในปีนี้ แต่ก็ไม่อยากตั้งเป้าไว้มาก เพราะปีที่แล้วก็ตั้งเป้าไว้แบบนี้แต่ก็ทำไม่ได้

จริง ๆ ผมไม่เคยคิดที่จะมาเขียนรีวิวปีที่แล้วเลยนะครับ แต่บังเอิญ Google ส่ง Goole Maps Timeline ซึ่งเป็นการสรุปการเดินทางของผมในปีที่แล้วมาให้ ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจคือปีที่แล้วผมใช้เวลาอยู่บนรถ 736 ชั่วโมง เฉลี่ย 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ต่อวัน และเดินทางด้วยรถไปเป็นระยะทาง 23,499 กิโลเมตร ส่วนการเดินทางด้วยการเดินคือ 77 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางด้วยการเดิน 17 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามั่วบ้างหรือเปล่านะครับ เพราะเข้าไปดูรายละเอียดมีการแสดงว่าผมเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ด้วย แต่ปีที่แล้วผมแน่ใจว่าไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์เลยปีที่แล้ว และสถานที่ที่อยู่ก็ไม่น่าจะมีมอเตอร์ไซค์ให้นั่ง ไม่รู้ Google ดูจากอะไรว่าผมนั่งมอเตอร์ไซค์

หลังจากที่ได้ข้อมูลจาก Google ก็เลยทำให้ผมได้มองย้อนกลับไปในปีที่แล้ว และก็ถามตัวเองว่าปีที่แล้วของผมเป็นยังไง ซึ่งคำตอบที่ได้คือเป็นปีที่ทุ่มเทเวลาไปกับการสอนหนังสือ และเตรียมตัวสอนหนังสือ จริง ๆ ผมเป็นคนที่สอนหนังสือด้วยจำนวนชั่วโมงต่อปีมากอยู่แล้ว แต่ปีที่แล้วใช้เวลามากขึ้น เพราะได้รับเชิญให้ไปสอนที่วิทยาลัยนานาชาติ อีก 3 วิชา ซึ่งนอกจากวิชาจะเพิ่มแล้วก็ต้องเตรียมตัวสอนเพิ่มขึ้นอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นผมยังคิดอะไรไม่รู้ไปเปิดวิชาใหม่ขึ้นมาหนึ่งวิชาคือวิชาที่เกี่ยวกับบล็อกเชน ซึ่งต้องเตรียมสอนเยอะมาก ผมไม่ได้สอนวิชาที่ใหม่ ๆ ไม่เคยสอนมาก่อนเลยนี่นานมากแล้วนะครับ ย้อนกลับไปเป็นสิบปีได้ ถึงแม้จะมีความรู้ มีวัตถุดิบอยู่พอสมควรแล้ว แต่การนำมาเรียบเรียงนี่ใช้เวลามากจริง ๆ ครับ ถ้าใครเคยเตรียมสอนวิชาใหม่ ๆ ผมว่าน่าจะเข่้าใจดี วิชาเก่า ๆ ก็ต้องเตรียมสอนนะครับ ปรับปรุงให้ทันสมัย และดูข้อบกพร่องทีทำให้นักศึกษาไม่เข้าใจ ตัดอะไรที่มันล้าสมัยหรือไม่จำเป็นออกไป ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องจัดทำสื่อออนไลน์ เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนในแบบ Active Learning อีกด้วย เรียกว่าปีที่แล้วแทบไม่ได้ทำงานอย่างอื่นเลย สอนเสร็จก็กลับบ้านก็มานั่งเตรียมสอน

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ในปีที่แล้วที่น่าจดจำก็มีอย่างลูกคนเล็กที่สามารถเอาชนะระบบ TCAS เข้ามหาวิทยาลัยได้โดยไม่มีปีญหา คนในครอบครัวทุกคนก็ยังมีสุขภาพดี และมีความสุขกันตามอัตภาพ ทีมฟุตบอลที่เชียร์อย่างลิเวอร์พูลก็ทำให้มีรอยยิ้มได้มากมายตลอดปี (หวังว่าปีนี้จะทำให้ยิ้มได้เต็มที่นะ) สุขภาพตัวเองก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีระดับหนึ่ง (มีเสื่อมไปตามวัยบ้าง)  ถึงแม้จะเอาแต่ทำงานและไม่ได้ดูแลตัวเองมากนัก (ปีนี้ตั้งใจจะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น)

ส่วนปณิธาณที่ตั้งใจจะทำในปีนี้ ก็ขอไม่ตั้งอะไรมาก (เพราะตั้งแล้วทำไม่เคยได้เลย) เอาเป็นว่าก็จะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดทั้งด้านงาน ส่วนตัว ครอบครัว และคนรอบข้าง ซึ่งถ้าทำอย่างดีแล้วก็หวังว่าผลมันก็จะออกมาดีด้วย และก็จะพยายามมาพูดคุยกันผ่านบล็อกนี้กันให้บ่อยขึ้นครับ สวัสดีปีใหม่อีกครั้งครับ

วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

เราต้องดีหรือเก่งแค่ไหนถึงจะวิจารณ์คนอื่นได้

เคยรู้สึกไหมครับว่าหลาย ๆ ครั้งที่เราคุยกับใครแล้วก็มีความเห็นต่างกัน โดยอาจจะเป็นการวิจารณ์อะไรสักอย่างในมุมมองที่ต่างกัน สุดท้ายก็มักจะมีข้อความประเภทว่า ไปวิจารณ์เขาเราดีพร้อมแล้วหรือ หรือไปวิจารณ์เขาทำดีได้เท่าเขาหรือเปล่า ซึ่งถ้ามาถึงตรงนี้ผมก็มักจะเลิกคุย เพราะคุยไปก็ไม่มีประโยชน์ เสียอารมณ์กันเปล่า ๆ

ถ้าคนเราต้องดีให้ครบทุกด้าน แล้วถึงจะมีสิทธิวิจารณ์คนอื่นได้ โลกนี้คงไม่ต้องมีการวิจารณ์กัน อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองนะ แต่หมายถึงคนทุกคนย่อมมีข้อบกพร่องอยู่ในตัวแทบทุกคน เช่นบางคนเป็นคนเคารพกฎหมาย แต่อาจจะหงุดหงิดง่าย ถ้าเขาจะวิจารณ์คนทำผิดกฎหมายก็ไม่น่าจะแปลก แต่ถ้าเขาไปวิจารณ์คนอื่นว่าหงุดหงิดง่ายจัง นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง และก็สมควรถูกว่ากลับว่าดูตัวเองหรือยัง

ถ้าคนเราจะวิจารณ์ใครแล้วจะต้องทำดีให้เท่าเขาให้ได้ก่อน โลกนี้คงไม่ต้องมีการวิจารณ์กันเช่นกัน การวิจารณ์นักฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกสักคนหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเตะบอลให้เก่งระดับพรีเมียร์ลีก แต่การวิจารณ์เหล่านั้นมันจะอยู่บนมาตรฐานหรือสิ่งที่เราคาดหวังว่านักฟุตบอลระดับนั้นน่าจะทำได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือคนที่ประเมินการสอนของอาจารย์ก็คือนักเรียน ถ้าอาจารย์คิดว่านักเรียนพวกนี้เป็นใครถึงมาวิจารณ์เรา มาสอนเองจะสอนได้ไหม มีความรู้เท่าเราไหม ก็คงไม่ต้องมีการประเมิน แต่ถ้าคิดว่าเขาประเมินเราด้วยระดับมาตรฐานที่เขาคิดว่าเราน่าจะทำได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่เราควรจะต้องรับฟัง การวิจารณ์นักการเมือง ทหาร หัวหน้าคสช. หรือผู้บริหารบ้านเมือง โดยประชาชนก็เช่นกัน

อีกอย่างคงต้องแยกการวิจารณ์ออกจากการติเตียน (ด่า) ด้วย เพราะบางคนก็ขอให้ได้แย้ง ขอด่าเอามัน แต่การวิจารณ์ที่ดีก็คือการติเพื่อก่อ ชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง และอาจจะเสนอทางแก้ด้วยหรือไม่ก็ได้ ถ้าเสนอได้ก็ดีมาก จริง ๆ การวิจารณ์บางอย่างมันก็บอกทางแก้อยู่ในตัวแล้ว เช่นถ้าบอกว่าแบบฟอร์มมันไม่เหมาะสม มีส่วนที่ให้ป้อนข้อมูลมากเกินไป ตรงนี้ตรงนั้นไม่น่ามี หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง วิจารณ์ว่าทำไมไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง จะได้ไม่ต้องทำเรื่องขยายเวลาการทำงานพรรคการเมืองออกไป นั่นก็เสนอทางแก้ปัญหาแล้ว แต่ถ้าเสนอไม่ได้ เพราะปัญหาบางอย่างมันอาจเกินความสามารถของคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนั้นจะแก้ปัญหาได้ เพียงแต่เขาเห็นว่ามันเป็นปัญหา ก็เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบที่จะต้องรับฟังและหาทางแก้ หรือไม่ก็ชี้แจง แทนที่จะมาทำฟาดงวงฟาดงาหาว่าบิดเบือน หรือฟ้องเขาบ้าง อย่างที่คนบางคนชอบทำอยู่ในทุกวันนี้

การวิจารณ์อย่างเสรีและสร้างสรรค์เป็นปัจจัยหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสมควรจะเริ่มได้คืนมาก่อนที่เราจะได้เลือกตั้งกันนะ เอ๊ะผมพูดอะไรนี่ พวกเพลงดาบแม่น้ำห้าสายเขาประสานงานกันอย่างเป็นระบบที่จะทำให้การเลือกตั้งมันเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ ดาบนี้ชง ดาบนี้รับลูก คนหนึ่งไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง อีกคนทำเรื่องขยายเวลาอ้างความหวังดีกลัวพรรคการเมืองทำงานไม่ทัน ช่างเป็นกระบวนท่าที่สวยงามจริง ๆ อ้าวทำไมวกมาเรื่องนี้ล่ะนี่ พอก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวบล็อกจะปลิวไปซะ บล็อกต่อไปเขียนเรื่องเมย์-เจ ชวัญ-กอล์ฟท่านลอร์ด อะไรแบบนี้น่าจะถูกใจผู้มีอำนาจมากกว่า...



วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ดราม่าสาวเสื่้อลายดอกกับงานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวง ร.9

วันที่ 26 ตุลาคม 2560 คงเป็นวันที่คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศนี้ต้องจดจำกันไปตลอดชีวิต คนไทยประมาณกว่า 19 ล้านคนในประเทศ  พร้อมใจกันออกไปร่วมวางดอกไม้จันทน์ คนไทยอีกหลายแสนหรืออาจะล้านคนไปทำงานเป็นจิตอาสาเพื่อถวายงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย และพร้อมใจกัน ถึงแม้อาจจะมีปัญหาบ้างผมเชื่อว่าทุกคนก็พร้อมที่จะอภัยให้กัน และรักสามัคคีกันเพื่อพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

ชุมชนชาวไทยในต่างประเทศก็มีการจัดพิธีขึ้นเช่นเดียวกับในประเทศไทย และก็เกิดดราม่าขึ้นที่อเมริกาครับ เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวแบบในคลิปนี้และก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธี


ใครที่ยังไม่ได้ดูก็ขอให้ดูก่อนนะครับว่าผู้หญิงคนนี้แต่งตัวยังไง และมีคนได้เสนอว่าจะให้ยืมเสื้อคลุมเพื่อให้เธอเข้าร่วมพิธีแต่เธอปฏิเสธ และสุดท้ายก็ถูกโห่ไล่ออกไป มีคนไปขุดคุ้ยว่าเธอเป็นเสื้อแดง แต่ผมว่าสีเสื้อไม่เกี่ยวกับประเด็นนี้ คนเสื้อสีอะไรก็เคารพหรือไม่เคารพในหลวงได้

จากนั้นสามีของเธอซึ่งเป็นนักข่าวที่มีชื่อเสียงได้รับเสนอชื่อเข้าชิงพูลิตเซอร์ถึงสองครั้ง ก็ได้ไปเขียนบทความนี้ครับ

https://timesofsandiego.com/opinion/2017/10/27/opinion-an-innocent-color-choice-brings-out-intolerance-in-thai-community/

เรียกชุมชนคนไทยในอเมริกาว่าเป็นนาซี บอกว่าเขาและภรรยาต้องการไปถวายอาลัยในหลวงร.9 เหมือนคนอื่น แต่กลับได้รับความเกลียดชัง บอกว่าภรรยาเขาชื่อ Rose ก็เลยชอบสีแดง และคนไทยไม่ชอบสีแดงเพราะพวกเสื่อแดงถูกมองว่าเป็นพวกไม่ดี และในบทความก็มีคำพูดซึ่งไม่เห็นอยู่ในวีดีโอนี้มากมายเช่น มีคนเรียกเธอว่ากะหรี่ หรือถามเธอว่ามาจากไหน เธอตอบว่ามาจากอเมริกา และมีคนบอกเธอว่านี่คือประเทศไทย  ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงนะครับ และก็ยังบอกว่ามีคนไปขู่เขาและภรรยามากมายทั้งในทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก จนเขาต้องแจ้งความ ซึ่งถ้าอันนี้จริงก็ถือว่าไม่ถูกต้องนะครับ

ผมจะไม่โฟกัสที่ประเด็นอื่น แต่ผมจะโฟกัสที่การแต่งตัวแล้วกันผมเชื่อว่าต่อให้ประเทศที่บอกว่ามีเสรีภาพมาก ๆ อย่างอเมริกา เขาก็มีมารยาทสังคม มีกฏการแต่งกายให้เหมาะสมกับงานต่าง ๆ งานศพเขาก็แต่งขาวดำ (อันนี้ดูจากหนัง) หรือจากประสบการณ์ที่ได้ไปเรียนมาก็เห็นว่าเวลาเรียนเขาอาจแต่งตัวตามสบาย หน้าร้อนบางคนอาจใส่ขาสั้นมาเรียน แต่พอถึงเวลาต้องนำเสนอหน้าชั้นเขาก็แต่งตัวสุภาพกัน มันเป็นการให้เกียรติคนฟังด้วย

วันนี้ผมได้ไลน์จากเพื่อนบอกว่ามีชาวต่างชาติคนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยกับบทความนี้ และได้เขียนคอมเมนต์กลับไป (ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่ได้เห็นคอมเมนต์ตัวจริงนะครับ ดังนั้นจริง ๆ อาจเป็นใครเขียนก็ได้) ผมเห็นว่าเขาเขียนได้ดี มีการด่าแบบสุภาพแต่น่าจะเจ็บไปถึงใจคนอ่าน ก็เลยอยากยกมาให้อ่านกัน ซึ่งเขาคอมเมนต์ไว้ดังนี้ครับ

If you travel to Thailand a lot, then you know that Thais are one of the most tolerant and friendliest people on earth. Every place has " a dress code" even when you want to eat at the restaurant. If you do not follow "the dress code", you will be asked to leave. It's simple.
"Your wife is a Thai and she is not a young teenager who knows little about social etiquette. She knows very well what the dress code for the King's funeral is. Hence, when she turned up dressing like going to a horse racing club, it points out to her only intention - to cause a disruption".
You are a respectable journalist who has a Thai wife and been to Thailand. So, you must have known that during the time of the king's passing, every Thais -red, yellow, multi colour or neutral "set their differences aside" and mourn their beloved king. Everyone dresses appropriately and respectfully. In the clip, your wife was offered a jacket to cover herself so she can still attend the funeral. She refused. Instead, she kept on arguing with the volunteer. Where's the manner?

I am disappointed in your wife for making Thais in America society a bad name. "Living in a free country does not mean you can do whatever you like. Freedom comes with duty, responsibility and more importantly respect for others." Your wife exercised her rights to dress as she pleases. The Thai community also has the rights to ask her to leave when she disrespected them. Nothing to compare to the Nazi here. It is shocking to find the article written by a professional journalist like yourself to be so bias, dramatize and profoundly unethical. Your wife is NOT a victim here. The Thais in America society that you unfairly branded a 'Nazi' is. I see no hope in winning a Pulitzer award for you. However, an Oscar for screenwriting is hopeful.

ถ้าใครขี้เกียจแปล ผมขอแปลด้วยภาษาอังกฤษงู ๆ ปลา ๆ ของผมดังนี้ครับ

ถ้าคุณไปประเทศไทยมาหลายครั้งแล้ว คุณก็จะรู้ว่าคนไทยเป็นชนชาติที่มีความอดกลั้นและเป็นมิตรมากที่สุดชนชาติหนึ่งแล้วในโลกใบนี้ ทุก ๆ ที่ต่างมี "กฎการแต่งตัว" แม้แต่เวลาที่คุณจะไปกินข้าวตามร้านบางร้าน ถ้าคุณไม่ทำตาม "กฎการแต่งตัว" ของเขาคุณก็จะถูกเชิญให้ออกจากร้าน มันเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง "ภรรยาของคุณเป็นคนไทยและก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่รู้มารยาททางสังคม เธอรู้ดีว่ากฎการแต่งตัวเพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นอย่างไร ดังนั้นเมื่อเธอแต่งตัวราวกับว่าจะไปสโมสรม้าแข่ง มันก็ทำให้เห็นได้ชัดเจนถึงความตั้งใจเพียงอย่างเดียวของเธอนั่นคือไปป่วนงาน" คุณเป็นนักสื่อสารมวลชนที่ได้รับความเคารพและมีภรรยาเป็นคนไทย คุณก็ต้องรู้แล้วว่าในช่วงเวลาของการสวรรคตของพระมหากษัตริย์ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะแดง เหลือง หลากสี หรือไม่เป็นพวกไหนเลย พวกเขาได้วางความแตกต่างเหล่านี้ลง และร่วมกันถวายความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา ทุกคนแต่งตัวอย่างเหมาะสมและเต็มไปด้วยความเคารพ ในคลิปมีคนเสนอให้ยืมเสื้อคลุมแก่ภรรยาของคุณเพื่อที่เธอจะได้เข้าร่วมในพิธีได้ แต่เธอปฏิเสธ และยังคงต่อว่าจิตอาสาต่อไป มารยาทมันหายไปไหนหมดล่ะนี่ ผม(ฉัน)ยังผิดหวังที่ภรรยาของคุณทำให้สังคมคนไทยในอเมริกาต้องเสียชื่อไปด้วย "การอาศัยอยู่ในประเทศเสรีไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ เสรีภาพต้องมาพร้อมกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญที่สุดคือความเคารพคนอื่น"  ภรรยาของคุณแสดงสิทธิของเธอในการจะแต่งตัวอย่างที่เธอต้องการ ชุมชนไทยก็มีสิทธิที่จะขอให้เธอออกไปเมื่อเธอไม่แสดงความเคารพต่อพวกเขา ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนาซีเลยสักนิด มันน่าตกใจมากที่ได้พบว่าบทความที่เขียนโดยนักสื่อสารมวลชนมืออาชีพอย่างคุณ จะเต็มไปด้วยความอคติ ดราม่า และไม่มีจรรยาบรรณเอาเสียเลย ภรรยาคุณไม่ใช่เหยื่อในเรื่องนี้หรอก แต่เป็นคนไทยในอเมริกาต่างหากที่ถูกคุณตีตราด้วยคำว่า "นาซี" อย่างไม่เป็นธรรม ผม(ฉัน)ไม่เห็นว่าคุุณจะมีทางได้รับรางวัลพูลิทเซอร์หรอกนะ แต่ถ้าเป็นรางวัลออสการ์ด้านบทภาพยนต์ยอดเยี่ยมอันนั้นอาจจะพอหวังได้ 

ผมจะขอยกส่วนที่ผมชอบใจมานะครับ 

Every place has " a dress code" even when you want to eat at the restaurant. If you do not follow "the dress code", you will be asked to leave. It's simple.

ทุก ๆ ที่ต่างมี "กฎการแต่งตัว" แม้แต่เวลาที่คุณจะไปกินข้าวตามร้านบางร้าน ถ้าคุณไม่ทำตาม "กฎการแต่งตัว" ของเขาคุณก็จะถูกเชิญให้ออกจากร้าน มันเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง 

สรุปง่าย ๆ คือภรรยาคุณไม่รู้จักกาลเทศะ

Your wife is a Thai and she is not a young teenager who knows little about social etiquette
ภรรยาของคุณเป็นคนไทยและก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่รู้มารยาททางสังคม

สรุปคือภรรยาคุณแก่แล้ว และกำลังทำตัวเป็นมนุษย์ป้า

So, you must have known that during the time of the king's passing, every Thais -red, yellow, multi colour or neutral "set their differences aside" and mourn their beloved king.

คุณก็ต้องรู้แล้วว่าในช่วงเวลาของการสวรรคตของพระมหากษัตริย์ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะแดง เหลือง หลากสี หรือไม่เป็นพวกไหนเลย พวกเขาได้วางความแตกต่างเหล่านี้ลง และร่วมกันถวายความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา 

ถูกต้องครับคนไทยไม่ว่าสีไหนหรือไม่มีสีส่วนใหญ่รักในหลวง ร.9 ครับ ดังนั้นสีเสื้อไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้

"Living in a free country does not mean you can do whatever you like. Freedom comes with duty, responsibility and more importantly respect for others."
"การอาศัยอยู่ในประเทศเสรีไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ เสรีภาพต้องมาพร้อมกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญที่สุดคือความเคารพคนอื่น"

อันนี้ชัดมากครับ ดังนั้นใครที่ชอบอ้างแต่สิทธิและเสรีภาพช่วยอ่านและคิดตามนะครับ

และที่ผมอ่านแล้วชอบมากคืออันนี้ครับ (ย้ำอีกรอบนะครับสามีผู้หญิงคนนี้ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงพูลิตเซอร์สองครั้ง)

I see no hope in winning a Pulitzer award for you. However, an Oscar for screenwriting is hopeful.
ผม(ฉัน)ไม่เห็นว่าคุุณจะมีทางได้รับรางวัลพูลิทเซอร์หรอกนะ แต่ถ้าเป็นรางวัลออสการ์ด้านบทภาพยนต์ยอดเยี่ยมอันนั้นอาจจะพอหวังได้ 

แสบเข้าไปถึงทรวงไหมครับ จากวีดีโอกับบทความที่เขียนมันคนละเรื่องกันเลย ดังนั้นไปเปลี่ยนไปเขียนบทภาพยนตร์ อาจจะประสบความสำเร็จมากกว่านะครับ...

วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

9 ชั่วโมงกับการอัปเดต Windows 10

นึกว่าจะมีเวลาว่างเขียนบล็อกให้มากขึ้น สรุปว่าก็ไม่ว่างอยู่ดี แต่วันนี้มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังมาก ๆ ครับ ก็เลยหาเวลามาเขียนซะหน่อย อยากมาเล่าประสบการณ์การใช้ Windows 10 ให้ฟังกัน เพราะผมว่าคนที่ใช้ Windows 10 อยู่อาจเจออะไรแบบผมเข้าสักวันหนึ่งถ้าไมโครซอฟท์ไม่แก้ไข หรือใครอาจเจอไปแล้วก็ได้นะครับ ปัญหานั้นคือปัญหาการอัปเดต Windows ครับ ซึ่งล่าสุดการอัปเดต Windows บนเครื่องผมใช้เวลารวม ๆ ประมาณ 9 ชั่วโมง มาดูกันครับว่าเป็นยังไง

คนที่ใช้ Windows 10 (ไม่เถื่อน) ก็คงได้รับการอัพเดตจากไมโครซอฟท์อยู่เป็นระยะกันใช่ไหมครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องดีนะครับ แล้วมันกลายเป็นปัญหาได้ยังไง ปัญหามันอยู่ที่ว่าในบางครั้งการอัปเดตมันนานมาก บางครั้งนานเป็นหลักชั่วโมง และยกเลิกไม่ได้ และมันก็เตือนว่าอย่าปิดเครื่องนะ และบางครั้งการอัปเดตมันก็เกิดขึ้นอัตโนมัติตอนเราเปิดเครื่องขึ้นมา  ลองนึกดูนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตอนนั้นเราต้องรีบใช้เครื่อง พูดถึงปิดเครื่องตอนมันอัปเดตไม่เสร็จ จริง ๆ ผมก็อยากลองปิดหลายครั้งนะ ดูสิว่ามันจะเป็นยังไง แต่นึกอีกทีถ้ามันเจ๊งไป ต้องมาลง Windows ใหม่ ลงโปรแกรมกันใหม่ก็เลยไม่ปิด

จริง ๆ ผมเคยเจอปัญหาอัปเดตที่ใช้เวลานานมากมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเวลาน่าจะเกือบปีมาแล้ว ครั้งนั้นก็ตั้งใจว่าจะมาเขียนบล็อกเล่าให้ฟัง แต่ไม่มีเวลาก็เลยไม่ได้เขียน งั้นตอนนี้ก็ขอเล่าเลยแล้วกันนะครับ วันนั้นจำได้ว่าไปหาแม่ที่บ้านแม่ เปิดเครื่องทำงานไปคุยกับแม่ไป จนรู้สึกว่าบางโปรแกรมมันเอ๋อ ๆ ก็เลยว่าจะ restart เครื่องสักรอบหนึ่ง ก็เจอเมนู update and shutdown กับ update and restart มีให้เลือกแค่นี้ ก็เลยเลือก update and restart ได้เรื่องเลยครับ แรก ๆ มันก็อัพเดตดี แต่สักพักมันก็ไปติอยู่ที่ประมาณ 30% ผมนั่งคุยกับแม่ไปเรื่อย ๆ ดูหน้าจอไปเรื่อย ๆ มันก็ไม่ขยับ จนผมเกือบตัดสินใจปิดเครื่องแล้ว แต่ก็กลัวต้องไปลง Windows ใหม่ ก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาค้น Google ดู ก็เจอเลยครับ มีคนนึงเจอปัญหาเดียวกันเลย ติดอยู่ประมาณ 30% และเขาบอกว่าหลังจากสามชั่วโมงมันจะเดินหน้าต่อไปเอง ผมก็คิดในใจว่าเฮ้ยจริงหรือ แต่ก็ตัดสินใจลอง ผมก็เสียบชาร์จแบตเครื่องเลย แล้วก็ปล่อยให้มันทำงานไป แล้วก็นั่งคุยกับแม่ไป จนถึงเวลาจะกลับบ้านมันก็ยังอยู่ที่ 30% ก็เอาเครื่องขึ้นรถมาโดยไม่ได้ปิด จนมาถึงบ้าน ซึ่งนับจากเริ่มอัพเดตจนถึงบ้านประมาณสามชั่วโมง เปิดหน้าจอมาดู โอ้ว มันขยับเดินหน้าจริง ๆ ครับ จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสักสองชั่วโมงมันก็ดูเหมือนอัพเดตเสร็จครับ ผมก็ shutdown เครื่อง แล้วก็นอน สรุปวันนั้นเลยไม่ได้ทำงานอะไรต่อ ให้มันอัพเดตไปอย่างเดียว แต่รู้อะไรไหมครับ ตอนเช้าพอผมเปิดเครื่องขึ้นมาจะทำงาน มันอัพเดตต่อครับ และใช้เวลาอีกพอสมควรถึงแม้ไม่ใช่หลักชั่วโมง ก็เป็นหลักสิบกว่านาที โชคดีที่วันนั้นผมไม่มีสอน ลองคิดดูถ้ามีสอนไปเปิดเครื่องในห้อง แล้วก็ต้องภาวนาให้มันอัพเดตเสร็จให้ร็วที่สุด

จากประสบการณ์ครั้งนั้น ผมก็ไม่ค่อยเจอเหตุการณ์อัพเดตที่เลวร้ายแบบนั้นอีก นานสุดก็สักครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังอ่านเห็นคนด่าการอัปเดต Windows อยู่เนือง ๆ  และผมก็ยังได้เรียนรู้ว่า การ update and shutdown ไม่ได้หมายความว่ามันจะอัพเดตให้เสร็จแล้วค่อยชัตดาวน์ แต่มันจะอัพเดตบางส่วนแล้วชัตดาวน์ จากนั้นพอเปิดเครื่องมันก็จะอัพเดตต่อ (ลูกศิษย์ผมมาให้ข้อมูลวันนี้ว่า มันจะอัพเดตก่อนชัตดาวน์ไป 30% จากนั้นที่เหลืออีก 70% มันจะทำเมื่อเราเปิดเครื่อง) โอ้วแม่เจ้า คนไมโครซอฟท์เอาอะไรคิด เวลาคนเขาสั่งชัตดาวน์ มันก็หมายความว่าเขาอาจจะไม่ใช้เครื่องไปสักช่วงหนึ่ง ทำไมมันไม่ทำให้เสร็จหรือทำสัก 80% ก็ยังดี แต่มันดันมาทำงานส่วนใหญ่ตอนเขาเปิดเครื่อง ซึ่งเป็นเวลาที่เขาต้องการใช้เครื่องมากที่สุด

คราวนี้มาถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ผมเจอเมื่อคืนนี้ ผมเอาเครื่องมาเปิดแล้วก็เช็คว่าสิ่งที่ผมจะต้องสอนเช้าวันนี้เรียบร้อยดีไหม จนถึงเวลาสัก 23.30 ผมก็ว่าจะนอนแล้วก็จะชัตดาวน์เครื่อง ก็เจออีกแล้ว update and shutdown กับ update and restart จากประสบการณ์ก็เลือก update and restart มันจะได้เสร็จ ๆ ไป เสร็จแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำแปรงฟัน กลับมาดูมันมันอยู่ที่ 12% ก็เฮ้ยทำไมมันได้แค่นี้ ก็เลยทำโน่นทำนี่ไปอีกแป๊ปหนึ่ง แล้วมาดูใหม่มันก็ยัง 12% คิดในใจว่าเอาอีกแล้วเหรอ ก็เลยตัดสินใจนอน ปล่อยให้มันทำไป ตอนเช้าค่อยลุกมาปิดเครื่องแล้วเอาไปสอนเลย  6.00 เช้าวันนี้ตื่นมาเห็นจอมันดับไปแล้วก็นึกว่าเสร็จแล้ว ก็ไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำล้างหน้าล้างตา กลับมาที่เครื่องเอามือแตะคีย์บอร์ด จอมันติดครับพร้อมทั้งตัวเลข 37% ผมใจหายวาบ ซวยแล้วตู ทำไงดี  ก็เลยตัดสินใจว่าสงสัยต้องเอาเครื่องสำรองมาใช้ ก็ไปหยิบมาขณะหยิบเครื่องมาก็คิดในใจว่าเราไม่ได้เปิดเครื่องนี้มาหลายวันแล้ว หวังว่าเปิดมามันจะไม่อัพเดตอะไรอีกนะ พอเปิดเครื่องสำรองมาปุ๊ปมันอัพเดตปั๊ปครับ ผมคิดเออมันจะซวยอะไรแบบนี่้นี่ แต่โชคดีมันอัปเดตไม่นานครับ ผมก็เลยนั่งเตรียมสิ่งที่จะสอนไป ตาก็คอยมองเครื่องหลักที่อัปเดตตั้งแต่เมื่อคืนไป ซึ่งคราวนี้มันเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ครับ พอผมเซ็ตเครื่องสำรองเสร็จมันก็ขึ้น 100% แล้วก็รีสตาร์ต ผมก็โอเค ถึงจะต้องเสียเวลามาเซ็ตอีกเครื่อง แต่ก็เท่ากับเรามีข้อมูลอัพเดตเอาไปสอนได้ทั้งสองเครื่อง แต่เชื่อไหมครับ พอมันติดขึ้นมามันอัพเดตต่อครับ เริ่มจาก 0 ใหม่ ผมก็กะว่าไม่เอาแล้วไปแล้วทิ้งไอ้เครื่องหลักนี่ไว้ที่บ้านแล้วกัน ก็ไปแต่งตัวสักใกล้ ๆ 8.00 มันได้สัก 80% ผมก็เลยรอ ๆ มีสอน 9.00 บ้านอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานถ้าสัก 8.20 มันไม่เสร็จก็จะไปละ ปรากฏว่ามันเสร็จครับ ก็เลยได้เอาไปสอนรวมเวลาอัปเดตจาก 23.30 เมื่อคืน จน 8.20 วันนี้ เกือบ 9 ชั่วโมงนะครับ

จากที่ดู การอัพเดตนี้เป็นอัพเดตใหญ่ครับคือ Creator update ซึ่งเหมือนการลงวินโดวส์ใหม่ แต่ยังไงมันก็ไม่น่านานขนาดนี้ใช่ไหมครับ ติดตั้งวินโดวส์ใหม่ใช้เวลา 9 ขั่วโมงนี่อ่ะนะครับ จากที่วันนี้โพสต์บ่นในเฟซบุ๊กก็มีลูกศิษย์มาให้ข้อมูลว่าเจอนานเหมือนกัน (แต่จะเท่าผมหรือเปล่าไม่รู้นะ)  ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์จะนานมาก ถ้าเป็น SSD จะเร็วหน่อย เครื่องผม Surface Pro 3 Ram 8GB SSD 256  GB นะนี่ ยังนานขนาดนี้ ซึ่งลูกศิษย์บอกว่าถ้าฮาร์ดดิสก์บางทีเป็นวัน มันใช่หรือครับแบบนี้ ในเคสของผมโชคดีที่มีเครื่องสำรอง และบ้านกับที่ทำงานไม่ไกลกัน ลองคิดว่าถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เครื่องแล้วเจอแบบนี้จะเป็นยังไง ลูกศิษย์ผมบางคนบอกว่าถ้าสั่งชัตดาวน์จากคอมมานด์ไลน์โดยใช้คำสั่ง shutdown -f -s -t 00 อาจจะข้ามการอัพเดตได้ แต่วิธีนี้มันก็ไม่ได้ช่วยผู้ใช้ปกตินะครับ และอย่างกรณีผมนี่ ผมไม่ได้ต้องการจะข้ามการอัพเดต ผมต้องการอัพเดต แต่ผมไม่คิดว่ามันจะอัพเดตจากห้าทุ่มกว่า ๆ จนถึงแปดโมงกว่า ๆ แบบนี้ 

นี่คือสิ่งที่ผมว่าไมโครซอฟท์จะต้องแก้ไขนะครับ เพราะมีเสียงบ่น และผู้ใช้ก็ประสบปัญหาเป็นจำนวนมาก การแก้อันหนึ่งที่ควรทำโดยด่วนก็คือให้มีเมนูข้ามการอัพเดตไปก่อน เมื่อผู้ใช้ยังไม่พร้อม ให้ผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป สามารถเลือกใช้ได้โดยง่าย อาจยกเว้นถ้ามันเป็นอัพเดตด้านความปลอดภัยที่สำคัญ และใช้เวลาไม่นานนัก จากนั้นในช่วงของการอัพเดตจะเป็นไปได้ไหมที่มีการกำหนด Synchronization point จุดปลอดภัยที่ผู้ใช้สามารถจะหยุดการอัพเดตที่มันใช้เวลานานไปไว้ก่อน เมื่อพร้อมก็กลับมาสั่งอัพเดตต่อจากจุดนั้น หรือถ้าจะไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยช่วยเปลี่ยนคำว่า it may take several minutes เป็น it may take several hours ซะเลยก็ดีนะครับ ผู้ใช้จะได้ทำใจไว้ก่อน...

 




วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เสร็จงานเอกสารเสียที

ไม่ได้เขียนบล็อกมานาน วันนี้ขอซะหน่อย เพราะในที่สุดก็ได้จบงานเอกสารสำหรับปีงบประมาณนี้เสียที และจะได้มุ่งหน้าเข้าสู่งานวิชาการไม่ว่าจะเตรียมสอน ทำตำรา เตรียมงานวิจัยของปีหน้า และก็หวังว่าจะมีเวลามาเขียนบล็อกได้มากขึ้นด้วย

งานสุดท้ายที่เพิ่งเสร็จไปก็คือป้อนภาระงานที่ตัวเองทำมาตลอดปีงบประมาณที่แล้วเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ท่านผู้บริหารได้ประเมินผลงาน ( เพื่อจะได้เงินเดือนเพิ่ม 55 นี่คือแรงจูงใจในการทำอันนี้)  หลังจากค่อย ๆ ทำมาสามวันแล้ว  จริง ๆ ต้องโทษตัวเองที่ไม่ค่อย ๆ ป้อนไว้ก่อนทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำ

ข้อดีของระบบนี้ก็คือได้รู้ว่าตลอดปีตัวเองทำอะไรไปบ้าง และก็ได้เห็นการคิดคะแนนที่ดูประหลาดดี เพิ่งสังเกต เพราะระบบนี้เพิ่งมีมาปีที่สอง  (ไม่ต้องถามนะว่าแล้วก่อนหน้าเขาประเมินการขึ้นเงินเดือนยังไง เพราะผมก็ไม่รู้ ก้มหน้าก้มตาทำงานไป เขาให้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น) ปีที่แล้วกรอกอย่างเดียวไม่ได้คิด ในปีนี้มาคิดดูก็เลยเห็นว่าตัวเองต้องอ่านพิจารณาผลงานที่เป็นภาษาต่างประเทศถึง 10 เรื่อง (ตัวเองอ่านไป 14 เรื่องเกิน :) )  หรือต้องอ่านพิจารณาผลงานภาษาไทยถึง 20 เรื่อง (อ่านไป 11 ไม่ถึง :(  ) จึงจะได้คะแนนเท่ากับกรรมการบริหารหลักสูตร ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับคะแนนของกรรมการบริหารหลักสูตรนะ  (เพราะตัวเองก็เป็น และได้คะแนนส่วนนี้ 55) กรรมการบริหารหลักสูตรก็ต้องทำงานหนัก และรู้สึกว่าคะแนนก็เหมาะสมดีแล้ว แต่รู้สึกว่ามันน่าจะเพิ่มคะแนนการอ่านผลงานขึ้นมาหน่อยดีไหม อ่านผลงานนี่ไม่ใช่อ่านมั่ว ๆ นะ ยิ่งถ้าต้อง reject เขานี่ เขียนอธิบายยากนะ ทำยังไงจะให้เขาไม่ด่า เอ๊ย ให้เขารู้จุดที่ต้องปรับปรุง

เอาเถอะยังไงก็จัดการเสร็จแล้วล่ะนะ ตอนนี้จะได้เริ่มงานที่ตัวเองควรทำอย่างจริงจังซะที และก็หวังว่าจะมีเวลามาเขียนบล็อกให้มากขึ้นนะ เพราะจริง ๆ ก็เป็นคนชอบเขียนชอบเล่า แล้วก็หวังว่าจะมีคนอ่านบ้างนะครับ สาธุ...  


วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เมื่อแก็งโทรหลอกลวงบุกถึง(โทรศัพท์) แม่ผม

หลังจากไม่ได้ขียนบล็อกมานานมาก (จริง ๆ ก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง แต่ไม่ว่างจะเขียน) แต่พอมาถึงวันนี้ก็คงต้องหาเวลาเขียนซะหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่เข้ามาถึงคนใกล้ตัว คือแม่ผมเอง ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ถึงแม้จะมีการศึกษาสูง แต่ความที่ไม่ค่อยเก่งเรื่องเทคโนโลยี และถึงแม้จะดูทีวีตามข่าวสาร แต่ก็ยังไม่ทันเหลี่ยมของพวกมิจฉาชีพพวกนี้อยู่ดี ดังนั้นก็อยากจะมาเตือนกันอีกทีหนึ่ง ถึงแม้เรื่องแบบนี้จะมีคนเล่าให้ฟังกันเยอะแล้วก็ตาม

เรื่องก็คือวันนี้หลังจากผมสอนเสร็จ ก็ลงมานั่งวิจารณ์ผู้บริหารการศึกษาของประเทศกับอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเศร้าเกี่ยวกับแวดวงการศึกษาไทย ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ บอกพรุ่งนี้ให้พาแม่ไปธุระแต่เช้า 7.30 ผมก็ถามว่าจะไปไหน ก็บอกจะไปธนาคาร ผมก็บอกว่าต้องไปเช้าขนาดนั้นเลยหรือจะไปทำไม ก็ไม่ยอมบอก บอกว่าบอกไม่ได้ ผมก็ชักประหลาดใจแล้ว มันจะมีเรื่องอะไรนะ (ในใจคิดว่าหรือจะโอนเงินเป็นของขวัญให้ผม 555) ผมก็บอกว่าบอกมาเถอะจะได้วางแผนถูกว่ายังไง จะต้องไปนานไหม แม่ก็ลังเลสุดท้ายก็เล่าว่าได้รับโทรศัพท์จาก DSI คนโทรมาชื่อ รตท. ภานุพงษ์ วงศ์ปรีชา บอกว่าบัญชีของแม่ถูกใช้เป็นบัญชีฟอกเงิน เกี่ยวกับการค้ายาเสพติด แต่เขาเชื่อว่าแม่ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเขาจะให้แม่ไปที่ธนาคารตั้งแต่ 8.30 ที่ธนาคาร เพื่อให้แม่ไปเบิกเงินออกมาให้หมด ก่อนที่ DSI จะอายัดบัญชี โดยเขาจะไปรอที่ธนาคารด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าแม่จะเบิกเงินจากบัญชีได้ และห้ามบอกใคร ห้ามโทรไปเช็คที่ธนาคาร เพราะเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารเกี่ยวข้องด้วย ฟังถึงตรงนี้ผมก็หัวร้อนเลย ไอ้พวกบัดซบนี่บุกมาถึงคนในครอบครัวผม และที่โมโหมาก ๆ คือมันไปพูดสร้างเรื่องขู่อะไรแม่ผม จนกลัวถึงกับเชื่อมันว่าไม่ให้บอกใครแม้แต่ผม มันขู่คนแก่อายุ 80 ทำให้มีความกังวลกับเงินเก็บที่แกหามาทั้งชีวิต อีกส่วนหนึ่งก็โมโหแม่นิดหน่อย เพราะเรื่องแบบนี้ก็เคยเล่าเคยคุยให้ฟัง แต่ทำไมยังให้มันหลอกได้ แต่คิดอีกทีก็คือแกก็คงจะลืมไปแล้ว

แน่นอนครับ สำหรับพวกเราที่ติดตามข่าวสาร หรือเป็นคนนอก ได้ฟังเข้าก็คงเห็นว่ามันแปลก ๆ ใช่ไหมครับ แต่กับคนแก่อายุ 80 ที่ไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยี และมันยังใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้แสดงเบอร์โทรเข้าเป็นเบอร์จริง ๆ ของ DSI คือ 028319888 และมันบอกให้แม่โทรไปถาม 1133 ว่า เบอร์นี้เป็นเบอร์ของ DSI จริงหรือไม่ ซึ่งแม่ก็ทำตาม และแน่นอนก็ต้องได้รับการยืนยันว่าจริง ซึ่งเพราะเหตุนี้แหละครับในตอนแรกที่ผมบอกว่าแม่ถูกหลอกแล้ว แม่ก็ไม่เชื่อผม จนผมต้องไปค้นข่าวในเน็ตแล้วอ่านให้แกฟัง แกถึงจะเริ่มลังเล จนผมต้องบอกอีกว่านี่ถ้ามันเป็นจริงแล้วมันจะอายัดให้มันทำไป ลูกก็มีลูกเลี้ยงได้ ถ้ามันอายัดจริงเราไปฟ้อง DSI กัน เอาให้มันรู้กันไป หลักฐานมันมีอะไร ถึงตอนนี้ขอเสริมนิดหนึ่ง คือพอหลังจากจบเรื่องผมมาเล่าให้ภรรยาฟัง คุณภรรยาบอกว่าทำไมไม่บอกแม่ไปว่ามันไม่ใช่ DSI ตัวจริงหรอก DSI ตัวจริงตอนนี้ไปอยู่ธรรมกายหมดแล้ว เออนะ ตอนนั้นไม่ทันคิดมุกนี้ 555

สุดท้ายผมก็บอกให้แม่ทำแบบนี้ ให้โทรไปที่ DSI ให้ใช้เบอร์บ้าน และมือถืออย่าเพิ่งวาง ให้ผมฟังด้วย โทรไปถามเขาเลยว่ามี รตท. ภานุพงษ์ วงศ์ปรีชา ทำงานอยู่ไหม ถ้ามีให้โอนสายไปคุยด้วยหน่อย แม่ก็โทรไป ซึ่งสุดท้ายผมว่าพวกเราคงเดาได้นะครับว่าทาง DSI ก็บอกว่าถูกหลอก มีเรื่องแบบนี้แจ้งเข้ามาที่ DSI บ่อยมาก และจริง ๆ เขาก็ออกมาเตือนแล้วนะครับ เช่นลิงก์นี้

https://www.thaicert.or.th/newsbite/2016-08-30-01.html

จากลิงก์นี้เขาบอกวิธีการที่พวกแก๊งนี้ปลอมเบอร์โทรเข้าด้วยนะครับ โดยเขาบอกว่าพวกมันโทรผ่าน VoIP

มาถึงจุดนี้แม่ก็สบายใจแล้วครับ แล้วเลยเล่าต่อว่าก่อนหน้านี้เคยได้รับโทรศัพท์จากไปรษณีย์บอกว่ามีคนเอาชื่อแม่เป็นที่อยู่ผู้ส่งยาเสพติด แต่เขาไม่เชื่อและบอกว่าไม่ต้องกังวลนะ พอผมได้ฟังก็เลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวเนื่องกันก็ลองค้นดูก็เจอเลยครับ รูปแบบเดียวกันเลย ไปรษณีย์โทรมาก่อน ตามด้วย DSI ชื่อตำรวจก็ชื่อเดียวกัน

https://pantip.com/topic/35864758

จากเรื่องนี้มีจุดที่ผมใจหายมากอยู่จุดหนึ่ง คือแม่รู้ว่าเทอมนี้ผมไม่มีสอนวันพุธ ดังนั้นแม่จึงจะให้ผมพาไป และแม่บอกว่าถ้าผมไม่ว่างแม่จะนั่งรถ taxi ไปเอง ดังนั้นถ้าเกิดมันโทรมาวันอื่นนี่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะแม่ผมเขาชอบเกรงใจถ้ารู้ว่าผมมีสอนก็ชอบแอบไปไหนไม่ยอมบอก ซึ่งจากเรื่องนี้ทำให้ผมต้องย้ำกับแม่ว่าถ้ามีเรื่องอะไรสำคัญห้ามเกรงใจเด็ดขาด จะมีสอนหรือไม่มีสอนก็ไม่ต้องสนใจ และย้ำเรื่องนี้อีกรอบหนึ่งว่าให้ระวังแก๊งพวกนี้

สรุปก็คือความเป็นส่วนตัวของประเทศเรามันแทบจะไม่ค่อยมี พวกค่ายมือถือก็มักจะเอาข้อมูลเราไปขาย เปิดโอกาสให้ทั้งพวกขายของ และพวกโจรพวกนี้เข้าถึงเราโดยง่าย ดังนั้นพวกเราก็ต้องตั้งสติและระมัดระวังตัวเองให้ดี อย่างกรณีนี้ถ้าคิดดี ๆ ทำไมคนของ DSI คนนี้ถึงหวังดีกับเรานัก รู้จักก็ไม่รู้จัก แต่กรณีนี้ก็เข้าใจแม่นะก็มันสร้างเรื่องสร้างราวได้ซะขนาดนี้ เดี๋ยวจะต้องไปคุยกับแม่ให้ละเอียดอีกทีว่ามันได้ข้อมูลอะไรไปจากแม่บ้าง จะได้ดูว่าต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมจุดไหนไหม...

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หรือกสทช. จะมีปัญหากับการใช้ดุลยพินิจ

เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วนะครับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นที่รักของพวกเราชาวไทยสวรรคต ในขณะที่พวกเราคนไทย และหลาย ๆ ฝ่ายกำลังพยายามช่วยกันเพื่อให้เราได้กลับไปใช้ชีวิตกันเป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งน่าจะเป็นพระประสงค์ของพ่อหลวงของเรา แต่ก็มีหน่วยงานที่ดูเหมือนจะยังทำงานกันแบบล้าหลังอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นในความเห็นของผมก็คือกสทช.

ผมยอมรับว่าผมอาจจะมีอคติกับกสทช.ชุดนี้นะครับ เพราะการทำงานหลาย ๆ อย่างไม่เข้าตาผมสักเท่าไร และเรื่องที่จะเขียนถึงนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องบอกก่อนนะครับว่า ในวันแรกที่พระองค์ท่านสวรรคต นอกจากที่ผมเสียใจมากแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ผมตกใจมากคือ การที่มีการประกาศว่าทั้งทีวี และวิทยุ รวมถึงเคเบิลทีวี จะต้องงดรายการปกติและรับสัญญาณถ่ายทอดจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเท่านั้น เป็นเวลาหนึ่งเดือน ที่ผมตกใจคือในสถาณการณ์โลกตอนนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ มันมีข่าวสารอื่น ๆ ในโลกเช่นกันที่มีความสำคัญที่เราต้องรับทราบ นอกจากนั้นการทำอย่างนี้ยังทำให้ประชาชนที่อยู่ในความโศกเศร้าไม่มีช่องทางที่จะระบายอีกด้วย วันสองวันไม่เป็นไรหรอกครับ แต่คนเราถ้าอยู่กับความเสียใจทุกวัน โดยไม่มีทางออกอื่นเป็นเดือนมีปัญหาแน่ นอกจากนี้คนที่เขาทำอาชีพ ทำธุรกิจทีวีเขาจะทำยังไงกัน เราดูทีวีฟรีกันจนลืมคิดไปหรือเปล่าว่าเขามีค่าใช้จ่าย ยิ่งไปกว่านั้นชาวต่างชาติที่เขาเข้ามาอยู่ในประเทศในช่วงนั้น เขาจะไปเที่ยวก็ไม่สะดวกแล้ว จะพักในโรงแรมยังไม่มีอะไรให้เขาดูอีกหรือ

แต่โชคดีมากที่หลังจากนั้นรัฐบาลคงจะคิดได้ ได้ยกเลิกเรื่องดังกล่าว โดยให้ออกอากาศได้ โดยใช้ดุลยพินิจของแต่ละสถานี และต้องตัดมาถ่ายทอดพระราชพิธี แต่ปัญหาก็คือการใช้ดุลยพินิจนี่แหละครับ เพราะบางหน่วยงานก็ใช้ดุลยพินิจแบบที่ผมไม่เข้าใจเอามาก ๆ และหน่วยงานที่ว่านี้ก็คือ กสทช. ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผมเพิ่งทราบวันนี้เองว่า ช่องรายการทั้งหลายที่เป็นความบันเทิงที่มาจากต่างประเทศจนถึงวันนี้ก็ถูกดุลยพินิจของกสทช. ไม่ให้ออกอากาศ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าใจมาก ๆ เพราะถ้าผมเป็นกสทช. เมื่อได้รับไฟเขียวจากรัฐบาล สิ่งที่ผมจะทำก็คือช่องที่เป็นรายการต่างประเทศผมจะปล่อยให้ออกอากาศได้

ที่เขียนมานี่ไม่ใช่ผมไม่เสียใจหรืออยากดูหนังจนตัวสั่นหรอกนะครับ ผมเพิ่งรู้วันนี้ว่ามันดูไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ผมดูช่องกีฬาเป็นหลัก ซึ่งมันดูได้ (อันนี้ก็ต้องขอบคุณนะ) แต่ที่อยากเขียนวันนี้ก็เพราะผมคิดว่า กสทช.ยังหลงทาง หรือไม่ได้คิดบางประเด็นไปหรือเปล่า ลองคิดในมุมกลับบ้างดีไหมว่า การทำแบบนี้มันทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือกที่จะผ่อนคลายจากความโศกเศร้าหรือเปล่า คนแก่บางคนอยู่บ้านดูซีรีส์ผ่านเคเบิล คนแก่เหล่านี้ส่วนใหญ่รักในหลวง เขาเศร้าโศกอยู่แล้ว ถ้ามีรายการที่เขาเคยได้ดู มันจะช่วยให้เขาได้มีโอกาสผ่อนคลาย และปรับตัวได้ดีขึ้นหรือเปล่า ตกลงคนไทยจะต้องเศร้าโศกตลอดเวลากันเลยใช่ไหม ถ้ากลัวว่ามันไม่เหมาะสมกับบรรยากาศ การดูทีวีเป็นการดูภายในสถานที่ปิดภายในบ้าน มันจะทำให้เสียบรรยากาศยังไง โรงหนังอนุญาตให้ฉายได้ เพราะอยู่ในสถานที่ปิด สถานบันเทิงเปิดได้ ถ้าจัดในสถานที่ปิด แต่ดูทีวีในบ้านตัวเองไม่ได้ มันมีเหตุผลไหมครับ อยากให้ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ก็คืนความปกติให้เขาให้มากที่สุดสิครับ คนส่วนใหญ่ในประเทศเศร้าใจจากการจากไปของพ่อหลวงอยู่แล้ว โดยไม่ต้องยัดเยียดความเศร้าเสียใจมาให้นะครับ แต่ควรเปิดทางออกให้เขาได้คลายเครียด นอกจากนี้อย่างที่บอกไป นอกจากคนไทยแล้ว เรายังมีแขกบ้านแขกเมืองที่เขาบังเอิญเข้ามาในบ้านเมืองเราในช่วงนี้ ซึ่งเขาอาจไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะเจอสถานการณ์นี้ เขาจะไปเที่ยวก็ไม่สะดวก จะอยู่ในโรงแรมก็ไม่มีอะไรให้ดู คิดถึงเขาหน่อยก็ดีนะครับ

นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่อยากเขียนไว้นะครับ หวังว่ามันอาจจะลอยไปถึงกสทช. เพื่อที่จะลองนำไปคิดดูและลองใช้ดุลยพินิจดูใหม่อีกสักครั้งนะครับ

  

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วันแรกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้พระบารมีของรัชกาลที่ 9

วันนี้ขอบันทึกเอาไว้ว่า 14 ตุลาคม 2559 คือวันแรกของชีวิตที่ไม่ได้อยู่ภายใต้แผ่นดินของรัชกาลที่ 9 อีกแล้ว รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เพราะตลอดเวลากว่าครึ่งชีวิตของผม ทุกวันที่ผ่านมาผมตื่นมาภายใต้แผ่นดินของพระองค์ท่าน แต่ไม่ใช่อีกแล้วนับแต่วันนี้

ถึงแม้ผมจะพยายามใช้ชีวิตไปตามปกติโดยออกไปทำงาน (ซึ่งมีประกาศตอนหลังว่าเป็นวันหยุดราชการ) เตรียมสอน อ่านงานวิจัย ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปทำธุระกับภรรยา และกลับมาติดตามการถ่ายทอดพระราชพิธี แต่บรรยากาศที่ผมสัมผัสได้ในวันนี้ก็คือความเงียบ ความโศกเศร้าที่แทรกอยู่ในทุกอณูของอากาศ การพูดคุยกับใคร ๆ ก็ไม่พ้นเรื่องการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงผมก็จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามที่ได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งนานมาแล้วว่าผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ซึ่งต้องขอบคุณที่เมื่อคืนนี้ผมสามารถข่มตาให้หลับลงได้ แม้จะทำได้ยากเพียงใด เพราะการที่ผมหลับลงได้ก็จะทำให้ผมสามารถปฏิบัติงานในวันนี้ได้เป็นอย่างดี และก็จะทำให้ได้ในวันต่อ ๆ ไป เช่นกัน

พ่อหลวงครับถึงพ่อหลวงจะจากไปแล้ว แต่ลูกคนนี้จะรักษาสัญญาที่ได้ให้กับพ่อหลวงไว้ว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อสร้างบุคลากรที่จะออกไปเป็นกำลังของประเทศชาติต่อไป และพ่อหลวงจะอยู่ในใจของลูกคนนี้ตลอดไป    

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชสู่สวรรคาลัย


ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านได้พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด และขอตั้งปณิธานว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดตลอดไปเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระองค์ท่าน 

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

-----------------------------------------------------

วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่ผมต้องบอกว่าเป็นวันที่เสียใจที่สุดในชีวิต และเป็นวันที่เป็นความสูญเสียที่ใหญ่ที่สุดวันหนึ่งของประเทศไทย ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันวันนี้ก็จะมาถึงก็ยังทำใจไม่ค่อยจะได้ แม้ในส่วนหนึ่งของใจหลังจากที่ผมได้อ่านแถลงการณ์เรื่องการรักษาของคณะแพทย์แล้วว่าต้องมีการนำท่อต่าง ๆ เข้าไปในพระวรกาย ผมยังถามตัวเองว่าพระองค์จะทรงเจ็บไหม ถ้าเป็นพ่อแม่เราเราจะเอายังไง แต่ในอีกส่วนของใจก็ยังอยากให้พระองค์อยู่กับเราไปอีกนาน ๆ เมื่อวานนี้ตลอดจนถึงวันนี้ก่อนที่จะมีแถลงการณ์ ในโลกโซเชียลมีการแชร์พระราชประวัติ พระฉายาลักษณ์ของพระองค์ ซึ่งผมบอกตามตรงว่าไม่อยากดูเลย ผมไม่ได้ว่าคนแชร์นะครับ แต่ผมมีความรู้สึกว่าการแชร์อย่างนี้มันน่าจะทำหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ผมเคยโพสต์อะไรแบบนี้ไปครั้งหนึ่งตอนที่เราลุ้นอาการปอ ทฤษฎี แต่คราวนี้ผมไม่กล้าโพสต์อะไร ใช้การไม่กดไลค์ไม่กดแชร์เอา  

ผมรู้สึกว่าชาตินี้เป็นบุญแล้วที่ได้เกิดมาใต้พระบรมโพธิสมภาร และจริง ๆ แอบภาวนาว่าขอให้ผมเป็นคนหนึ่งแผ่นดิน ก็คือขอให้พระองค์ท่านมีพระชนม์มายุยืนนานจนผมได้ตายลงในสมัยของพระองค์ท่าน ตั้งแต่ผมเด็ก ๆ ผมได้มีโอกาสได้รับทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระราชกรณียกิจที่พระองค์ท่านได้ทำให้กับประชาชนชาวไทย และได้เห็นถึงพระบุญญาบารมีที่ทำให้ประเทศไทยได้ผ่านวิกฤติการณ์ต่าง ๆ มาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าเป็นประเทศอื่นเหตุการณ์อาจไม่จบง่าย ๆ แบบนั้น  

ในส่วนตัวผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านถึงสองครั้งคือการรับพระราชทานปริญาบัตรในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท และผมยังได้รับราชการเป็นข้าราชการ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ในแผ่นดินของพระองค์ท่าน ซึ่งผมถือว่าเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตแล้วครับ 

สุดท้ายนี้ถึงแม้พวกเราจะเสียใจ แต่ก็ขอให้คิดว่าพระองค์ท่านได้ทรงพักผ่อนโดยไม่ต้องแบกรับปัญหาของประชาชนชาวไทยเอาไว้อีกต่อไปแล้ว และขอให้พวกเราตั้งปณิธานที่จะทำความดี ทำหน้าที่ของเรา เพื่อถวายพระองค์ท่านกันเถอะครับ...



วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เริ่มต้นประสบการณ์ที่ดี (หรือเปล่า) กับ AIS Fibre

ในที่สุดวันที่ผมรอคอยก็มาถึงครับ คือวันที่หมู่บ้านผมมี FTTH มาถึง ผมเป็นลูกค้า True ADSL มานานหลายปีมากแล้วครับ และก็หวังว่า True จะขยายบริการไม่ต้อง Fibre ก็ได้อย่างน้อย Cable ก็ยังดี มายังหมู่บ้านผมบ้าง แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น จริง ๆ ผมก็ไม่ได้มีปัญหากับความเร็ว ADSL ของ True หรอกนะครับ และผมก็แทบไม่เคยต้องใช้บริการช่างของ True ให้มาดูเน็ตที่บ้านเลย ครั้งหลังสุดที่ช่างต้องมาที่บ้านก็เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตามที่เล่าไปในบล็อกนี้   เรียกว่าระบบโดยรวมใช้ได้

แต่ช่วงหลัง ๆ เน็ต True หลุดบ่อยครับ จะหลุดเป็นช่วง ๆ แล้วก็กลับมาใช้ได้ ซึ่งส่วนตัวผมและท่านผบ.ทบ. (ผู้บัญชาการที่บ้าน) บางทีก็รำคาญ แต่ก็ไม่ได้มากอะไรนัก เพราะมันจะหลุดสักสองสามนาที จากนั้นก็กลับมาใช้ได้ยาวช่วงหนึ่ง นาน ๆ ทีถึงจะหลุดยาวเป็นชั่วโมง แต่คนที่มีปัญหามากก็คือเกมเมอร์สองคนที่บ้าน โดยเฉพาะเกมเมอร์คนเล็ก มักจะได้ยินเสียงโวยวายบ่อย ๆ ประเภทว่าจะชนะอยู่แล้วเน็ตหลุด แล้วก็มาถามว่าพ่อทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ ไม่รู้เป็นการต่อว่าหรือเปล่า ประมาณว่าเป็นอาจารย์สอนคอมพิวเตอร์ทำอะไรไม่ได้เลยหรือไง ผมก็ได้แต่รำพึงในใจว่า เฮ้อลูกเอ๋ยเรื่องบางเรื่องพ่อก็ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ

ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ผมได้พยายามไปสอบถามมาตลอดไม่ว่าจะเป็นของ True เองที่เป็น Cable และ Fibre สอบถาม 3BB และพอ AIS เปิดให้บริการ Fibre ก็สอบถามไป แต่คำตอบที่ได้ก็คือหมู่บ้านผมไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ ผมเลยลงทะเบียนกับ AIS ผ่านเว็บไซต์ เพื่อแสดงความสนใจ และข้อมูลจากทางเว็บไซต์คือเมื่อพื้นที่บริการขยายมาถึงหมู่บ้านผมแล้วจะแจ้งให้ทราบ และผมก็ได้เข้าเช็คที่เว็บ AIS เองอีกหลายครั้งปรากฎว่าหมู่บ้านผมก็ยังไม่อยู่ในพื้นที่ให้บริการ 

จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่านผบ. บอกว่านี่มี AIS Fibre มาติดให้คนในหมู่บ้านแล้วนะ ผมก็เลยเข้าไปเช็คเว็บไซต์ดูปรากฎว่าอะไรรู้ไหมครับ มันก็ยังขึ้นว่าหมู่บ้านผมไม่อยู่ในพื้นที่่บริการอยู่ดี นี่คือความประทับใจแรกเลยครับ ไม่อัปเดตเว็บเลย  

ผมก็เลยโทรไปที่ 1185 บอกว่าสนใจจะติดเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าขอเช็คพื้นที่ให้บริการก่อน ผมก็รอกะว่าถ้าบอกว่ายังไม่อยู่ล่ะก็คงได้โวยวายกันหน่อย ปรากฏว่า "ที่อยู่ของลูกค้าอยู่ในพื้นที่บริการค่ะ" โอเคค่อยประทับใจขึ้นหน่อย แต่ก็บอกเขาไปว่าช่วยอัปเดตเว็บด้วยนะ จากนั้นเขาก็รับเรื่องไว้แล้วบอกว่าจะมีฝ่ายนัดติดตั้งติดต่อมา จากนั้นไม่นานครับ น่าจะไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ฝ่ายนัดติดตั้งก็โทรมา อันนี้ก็ประทับใจทำงานกันเเร็วดี ก็นัดวันติดตั้งเป็นวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม ช่วง 9.00-12.00 แต่แล้ววันที่ 11 สิงหาคมก็โทรมาบอกว่าขอเลื่อนเป็น 16.00 น. เริ่มไม่ประทับใจอีกแล้ว ก็ถามเขาไปว่าติดนานไหม เพราะตัวผมวางแผนจะมานอนบ้านแม่ เขาบอกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็เลยโอเคไป เพราะถ้าเลื่อนไปวันอื่นก็คงไม่ว่าง

วันที่ 12 สิงหาคม ขณะที่ผมกำลังพักผ่อนด้วยการเดินตามจับโปเกมอนในบริเวณบ้าน ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากช่างบอกว่า จะขอเข้ามาติดก่อน 16.00 น. ได้ไหม ผมก็บอกว่ามาเลย โปเกมอนให้โชคจริง ๆ  ช่างมาติดตั้ง โดยรวมก็โอเคนะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แต่มาเสียตอนติดตั้ง Playbox ให้ผม  ช่างคงทำรีโมท Playbox ตกพื้น (ผมไม่เห็นเพราะไปเอาถ่านมาใส่รีโมททีวี แต่ได้ยินเสียงของตก)  ผมกลับมาก็ไม่เห็นช่างบอกอะไร และก็แสดงให้ผมดูการใช้รีโมทควบคุม Playbox ผมเห็นมันใช้ได้ก็ไม่ได้ถามอะไร แต่พอช่างกลับไปแล้วถึงเห็นว่ามันเป็นรอย จริง ๆ ถ้าช่างบอกผมว่าทำตกและเป็นรอย ผมก็ไม่ได้คิดจะโวยวายอะไรนะถ้ามันยังใช้ได้ปกติ เพราะของพวกนี้เรื่องทำตกหล่นมันเป็นเรื่องธรรมดา 

ก่อนช่างจะกลับผมก็ได้สอบถามถึงเรื่อง user name และ password สำหรับเซ็ต router ก็ได้รับคำตอบว่าผมต้องโทรไปถาม 1185 เอง เพราะช่างก็ไม่รู้ ผมก็งงว่าถ้าไม่รู้แล้วเข้าไปเซ็ตค่าให้ผมได้ยังไง ช่างก็บอกว่าใช้ค่า default ที่ เซ็ตมากับ router คือตรง password มันจะขึ้นเป็น..... ดังนั้นช่างก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ มันคืออะไร ตอนแรกผมก็คิดว่านี่คือระบบรักษาความปลอดภัยของ AIS มั้ง ไม่ให้ช่างรู้ แต่คิดอีกทีไม่น่าใช่ AIS จะเสียเวลามาเซ็ตรหัสที่ต่างกันให้กับ router แต่ละตัวทำไม เพราะเดี๋ยวลูกค้า (ที่พอทำเป็น) ก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี และถ้าเซ็ตรหัสกลางมาทำไมไม่บอกช่าง

ตอนแรกกะจะไม่ทำแล้ว เพราะว่าจะต้องออกมาบ้านแม่ แต่เห็นว่ายังเหลือเวลาผมก็เลยโทรไป 1185  ครับ แต่ในขณะที่ผมโทรไป ผมก็ได้รับ user name กับ password จาก AIS ผ่านทาง SMS ครับ บอกเลย (ตอนแรก) ประทับใจมาก ก็เลยวางสายจาก 1185 user name ที่ได้คือ admin ส่วน password คือ system ได้มาก็ลงมือเซ็ตสิครับ แต่ผลออกมาคืออะไรรู้ไหมครับ มันบอกว่า user name/password ไม่ถูกต้องครับ ประทับใจไหมล่ะครับ

ก็เลยต้องโทรไป 1185 อีกครั้ง และลองเดาดูสิครับว่าเกิดอะไรขึ้น ใช่แล้วครับรอนานมาก และก็ไม่ได้พูดกับคน ระบบบอกประโยคที่คุ้นเคย "ขณะนี้พนักงานกำลังให้บริการลูกค้าท่านอื่นอยู่..." และก็ถามว่าจะรอหรือจะทิ้งเบอร์ให้โทรกลับ  ผมรออยู่ห้านาทีได้ครับเลยทิ้งเบอร์ให้โทรกลับ แต่มาคิดอีกทีเรื่องพวกนี้เราไม่ต้องรอก็ได้มั้ง ในสมัยที่ข้อมูลแทบทุกอย่างอยู่ที่ปลายนิ้ว ผมก็ค้น Google เลยครับ และก็ได้ข้อมูลว่า user name คือ admin และ password คือ aisadmin ก็ลองใส่ดู ปรากฏว่าเข้าได้ครับ นี่เรามาถึงยุคที่ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตถูกต้องแม่นยำกว่าข้อมูลที่ส่งมาจากบริษัทโดยตรงกันแล้วนะครับ และเชื่อไหมครับ จนถึงขณะที่ผมกำลังนั่งเขียนบล็อกอยู่นี่ ผมยังไม่ได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่เลยครับ ทิ้งข้อความไว้ประมาณ 17.00 น. ของวันศุกร์จนตอนนี้จะตีหนึ่งแล้ว (คือผมก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะโทรมาตอนตีหนึ่งนะครับ แต่คาดว่าไม่เกินหกโมงเย็นหรือทุ่มหนึ่งน่าจะติดต่อมา)  ประทับใจจริง ๆ ครับ อ้อใครที่ใช้รหัสผ่านแบบ default อยู่นี่รีบเปลี่ยนซะนะครับ ชาวเน็ตเขารู้กันทั่วแล้ว ถึงแม้เจ้าหน้าที่ AIS จะไม่รู้ก็เถอะ :)

สรุปว่าตอนนี้ก็ใช้ได้แล้วนะครับ ความเร็ว 50/10 ในราคาใกล้เคียงกับของ True ที่ช้ากว่ามาก ก็ภาวนาให้รักษาคุณภาพไว้ ไม่หลุด และก็ขอให้เหมือน True คือขอให้ใช้ได้โดยไม่ต้องตามช่างมาบริการ เพราะแค่ติดวันแรกก็เห็นภาพการบริการหลังการขายแล้วว่ามันจะเป็นยังไง

ขออัปเดตนิดครับว่าหลังจากผมติด AIS ไปแล้ว วันนี้ True มาตั้งบูธหน้าหมู่บ้านเลยเรื่องติด Fibre ก็คงต้องบอกว่าช้าไปแล้ว และความเร็วก็ให้ไม่เท่าด้วย แต่อย่างน้อยตอนนี้ผมมีทางเลือกล่ะครับ ถ้า AIS ไม่ดี และหมดสัญญาแล้ว ผมก็มีทางเลือกแล้ว หมู่บ้านเราไม่อยู่หลังเขาแล้วเย้ ... 

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

ฤาคดี Siri จะได้ข้อยุติแล้ว? พร้อมชัยชนะของนักวิจัยไทย

ผมไม่ได้เขียนบล็อกมานานมาก เนื่องจากไม่ว่าง บวกกับไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะเขียน เพราะบรรยากาศในตอนนี้มันไม่อำนวยให้เขียนเรื่องที่อยากจะเขียน แต่เรื่องนี้คงไม่เขียนไม่ได้ครับ เพราะเป็นเรื่องต่อเนื่องที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อสามหรือสี่ปีที่แล้วคือเรื่องนี้ครับ  เบื้องหลัง Siri ของ Apple หรือจะคืองานวิจัยของนักวิจัยไทย? สำหรับคนที่ไม่อยากเข้าไปอ่านก็ขอสรุปให้ตรงนี้นิดหนึ่งครับคือ บริษัท Dynamic Advances ได้ยื่นฟ้องบริษัท Apple เรื่องการละเมิดสิทธิบัตรงานวิจัยที่ชื่อว่า Natural Language Interface โดยบริษัทได้ฟ้อง Apple ว่าได้นำงานวิจัยนี้ไปใช้กับ Siri โปรแกรมผู้ช่วยแสนฉลาดที่ผู้ใช้ iOS ทุกคนคงรู้จักดี ซึ่งสิทธิบัตรตัวนี้ถูกจดโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย Rensselaer Polytechnic Institute (RPI) ที่  New York คือ Professor Cheng Hsu และนักศึกษาปริญญาเอกชาวไทยของเขาในขณะนั้นคือ วีระ บุญจริง ซึ่งปัจจุบันคือ รศ.ดร.วีระ บุญจริง อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พูดง่าย ๆ ว่าสิทธิบัตรนี้เป็นของนักวิจัยชาวไทยโดยตรงเลยครับ

และในวันนี้ดูเหมือนว่าเรื่องราวกำลังจะได้ข้อยุติแล้วครับ โดยข้อมูลจาก timesunion บอกว่า Apple ได้ยอมตกลงที่จะจ่ายเงิน 24.9 ล้านเหรียญ เพื่อที่จะยุติคดีนี้โดยที่ไม่ต้องไปขึ้นศาล ตามข่าวเขาบอกว่าโฆษกของทาง RPI กับ Apple ไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ เพิ่มเติมกับข่าวนี้ ซึ่งถ้าจบแบบนี้ก็หมายความว่าส่วนหนึ่งซึ่งอาจเป็นส่วนสำคัญของ Siri ด้วย เป็นผลงานของนักวิจัยไทยเรานี่เอง  ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของรศ.ดร.วีระ บุญจริง และเคยมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ในงานนี้ ก็อดที่จะภูมิใจด้วยไม่ได้ครับ นับว่าเป็นข่าวดี ๆ ที่น่าเขียนถึงในช่วงนี้จริง ๆ ครับ

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

จตุรัสกล เอ็งโกว และการทบทวนวรรณกรรม

ผมไม่ได้เขียนบล็อกพูดคุยเรื่องอะไรมาซะนานเลยนะครับ หลัง ๆ ก็จะเขียนสรุปข่าวมากกว่า เพราะใช้เวลาน้อยกว่า แต่เอาเข้าจริง ๆ แม้แต่สรุปข่าวหลัง ๆ ก็ไม่ได้เขียน ไม่รู้เวลามันหายไปไหนหมด หรือบริหารไม่ดีไม่รู้ เอาเถอะไหน ๆ วันนี้ก็เขียนแล้ว ก็เลิกบ่นตัวเองดีกว่าเนอะครับ

เห็นหัวข้อวันนี้แล้วก็อาจจะงงนะครับว่าวันนี้ผมจะพูดคุยเรื่องอะไร เรื่องของเรื่องก็คือผมกำลังเตรียมเรื่องที่จะพูดในวันปฐมนิเทศของนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาของมหาวิทยาลัยที่ผมสอนอยู่ ซึ่งหัวข้อที่จะพูดอันหนึ่งก็คือเรื่องความสำคัญของการทบทวนวรรณกรรมในการทำวิจัย ซึ่งความสำคัญของการทบทวนวรรณกรรมประการหนึ่งก็คือเราจะได้รู้ว่าใครทำอะไรไปบ้างแล้ว เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปทำงานซ้ำกับเขาอีก ก็เลยคิดว่าเอามาเขียนลงบล็อกด้วยก็น่าจะดี

นั่งคิดอยู่สักครู่ว่าจะยกตัวอย่างอะไรดีนะให้เข้าใจง่าย ๆ ในหัวมันก็แว่บขึ้นมาถึงฉากหนึ่งในเรื่องมังกรหยก ภาคของก๊วยเจ๋ง (ก๊วยเจ๋งยอดวีรบุรุษ) ไม่ทราบว่าพวกเรายังมีใครอ่านเรื่องนี้กันบ้างไหมครับ หรือคงเคยดูหนัง ดูซีรีย์เรื่องนี้กันมาบ้างมั้งครับ เพราะสร้างมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก (จนตอนนี้เด็กที่ตัวเองมีก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็ยังสร้างอยู่) รู้สึกว่าคนส่วนใหญ่จะประทับใจภาคเอี้ยก้วยมากกว่า แต่ส่วนตัวผมชอบภาคก๊วยเจ๋งที่สุด จริง ๆ ก๊วยเจ๋งนี่เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ไม่ได้ฉลาดเป็นอัจฉริยะ แต่ขยันและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอนะครับ จนในที่สุดก็ก้าวขึ้นมาเป็นยอดฝีมือที่เก่งที่สุด เทียบกับแฟน (ภรรยา) ของเขาคืออึ้งย้ง ซึ่งฉลาดมาก แต่ความพยายามไม่มีเท่า ซึ่งก็อาจเป็นเพราะมีทั้งพ่อทั้งแฟนที่เก่งอยู่แล้ว ก็เลยไม่สนใจที่จะต้องพยายามอะไรมากมาย ดังนั้นนักวิจัยทั้งหลายก็ควรจะเอานิสัยของก๊วยเจ๋งมาใช้นะครับ

ชักนอกเรื่องแล้วกลับมาต่อครับ เอาเป็นว่าก๊วยเจ๋งกับอึ้งย้ง (ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากฝ่ามือเหล็กลอยน้ำ ฮิวโชยยิ่ม) ทำให้ก๊วยเจ๋งต้องแบกอึ้งย้งหลบหนี จนหลบเข้าไปยังที่พักของเอ็งโกว ซึ่งเรียกตัวเองว่าเทพคำนวณ และสร้างค่ายคูประตูกลป้องกันที่พักตัวเองเอาไว้ (รายละเอียดว่าเอ็งโกวทำไมต้องมาเก็บตัวอยู่นี่ ใครสนใจก็คงต้องไปอ่านหนังสือเอานะครับ รับรองสนุกมาก ขืนเล่าหมดบล็อกนี้จะกลายเป็นเล่าเรื่องมังกรหยกไป) ซึ่งค่ายคูประตูกลของเอ็งโกวย่อมไม่สามารถป้องกันความสามารถของอึ้งย้ง ซึ่งศึกษาค่ายคูประตูกลมาตั้งแต่เด็กได้ บวกกับวิชาตัวเบาของก๊วยเจ๋งซึ่งเทพมาก ทำให้ทั้งคู่เข้ามายังที่อยู่ของเอ็งโกวได้ จากนั้นอึ้งย้งยังได้แสดงความสามารถทางคณิตศาสตร์ จนเทพคำนวณหงอยไปเลย คราวนี้เอ็งโกวก็นึกขึ้นได้ว่า มันต้องมีอันนี้แหละที่จะเอาชนะอึ้งย้งได้ ก็ตั้งคำถามท้าทายอึ้งยงดังนี้ครับ

"หากจัดเรียงหนึ่งถึงเก้าเป็นสามแถว ไม่ว่านับทางแนวขวางและแนวทแยง เลขทั้งสามจะต้องรวมกันได้สิบห้า จะจัดเรียงอย่างไร" 1 กะว่าอึ้งย้งเสร็จแน่คราวนี้ ซึ่งคำถามของเอ็งโกวก็คือจตุรัสกล 3X3 นั่นเอง

อึ้งย้งฟังแล้วก็คิดว่ามันยากตรงไหนนี่ เล่นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยร้องออกมาเป็นเพลงว่า "ความหมายของเก้าปราสาท แบบแผนเช่นเต่าวิเศษ สองหกเป็นไหล่ สี่แปดเป็นขา ซ้ายเก้าขวาหนึ่ง ทูนเจ็ดเหยียบสาม ห้าดำรงอยู่กลาง" 1 ซึ่งจากคำร้องของอึ้งย้งจตุรัสกลจะมีหน้าตาดังนี้ครับ
 
2 7 6
9 5 1
4 3 8

เอ็งโกวสตั๊นไปหลายนาที แล้วก็พูดออกมาว่า "เราเข้าใจว่านี่เป็นแนวทางที่เราคิดขึ้น ที่แท้มีบทเพลงเผยแพร่ในโลกกว้างแต่แรก" 1 อึ้งย้งยังตอกย้ำไปอีกนะครับว่า นอกจาก 3X3 แล้วยังมี  4X4 5X5 และขยายไปได้จนถึงเลข 1 ถึง 72 ซึ่งเรียกว่าแผนภาพลกจือ 1 จากคำพูดของเอ็งโกวคงเห็นแล้วนะครับว่าถ้าเราไม่ทำการทบทวนวรรณกรรม เราก็จะไม่ต่างจากเอ็งโกวไม่รู้ว่าในโลกเขามีอะไรบ้าง มัวแต่ไปเสียเวลาคิดอะไรที่โลกเขาคิดไปไกลถึงไหน ๆ แล้ว

ในยุคของเอ็งโกวไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มี Google ถ้ามีเอ็งโกวก็คงไม่ต้องมืดบอดไปถึงขนาดนี้ พวกเราอยู่ในยุคที่ข้อมูลหาได้ด้วยเพียงปลายนิ้ว ดังนั้นก็ใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่นะครับ...  

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1.น.นพรัตน์ (แปล) "ไตรภาคมังกรหยก ชุดที่ 1 ก๊วยเจ๋งยอดวีรบุรุษ เล่ม 3" สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์บุ๊คส์ พ.ศ. 2546