แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคโนโลยี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคโนโลยี แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

สเต็กที่พิมพ์จากเครื่องพิมพ์สามมิติจะเข้าสู่ภัตตาคารในปีนี้

บริษัทในอิสราเอลชื่อ Redefine Meat ได้ออกมาประกาศถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า สเต็กไร้เนิ้อที่พิมพ์จากเครื่องพิมพ์สามมิติอันแรกของโลก ซึ่งทางบริษัทบอกว่าได้จำลองทั้งสภาพเนื้อ กลิ่น และลักษณะที่เหมือนกับสเต็กที่ทำจากเนื้อจริง ๆ โดยบริษัทบอกว่าได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ 2 ปี การพิมพ์สเต็กนี้จะพิมพ์ชั้นต่อชั้น โดยใช้การผสมผสานของถั่วเหลือง โปรตีนถั่ว ไขมันมะพร้าว น้ำมันดอกทานตะวัน สีผสมอาหารและกลิ่น นอกจากนี้ยังมีบริษัทในอิสราเอลอีกสองบริษัทคือ MeaTech และ Aleph Farms ซึ่งวางแผนว่าจะพิมพ์สเต็กจากเนื้อเยื่อของวัว โดยที่ไม่ต้องฆ่าวัว บริษัทบอกว่าการแพร่ระบาดของโรคทำให้เห็นความสำคัญของการผสมผสานนวัตกรรมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างอาหารที่ปลอดภัย ที่ไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก และลดความเสี่ยงการเกิดโรคจากสัตว์สู่คน

อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Jerusalem Post

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ACM เรียกร้องให้รัฐบาลและภาคธุรกิจเลิกการใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้า

คณะกรรมการด้านเทคโนโลยีของ ACM (Association for Computing Machinery) สหรัฐอเมริกา ได้ออกข้อเรียกร้องให้มีการออกกฎหมายให้ภาครัฐและองค์กรธุรกิจหยุดการใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้าทันที ACM ให้เหตุผลว่าเทคโนโลยีนี้ยังไมสมบูรณ์พอ และมีช่องโหว่ด้านความลำเอียงระหว่างเชื้อชาติ เผ่าพันธ์ และเพศ ข้อเรียกร้องของ ACM ยังพูดถึงกฎเกณฑ์การควบคุม ซึ่งรวมไปถึงการไม่ยอมรับอัตราข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากเชื้อชาติ เพศ และปัจจัยด้านประชากรศาสตร์อื่น ๆ และยังมีข้อเสนอแนะให้มีการตรวจสอบโดยองค์กรภายนอก และให้รัฐบาลดูแลอย่างเข้มงวด ต้องบอกประชาชนให้ชัดเจนว่าจะมีการใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้า และต้องระบุกรณีที่จะมีการใช้งานให้ชัดเจนก่อนที่จะเริ่มติดตั้งใช้งาน และบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีนี้จะต้องรับผิดชอบถ้าเทคโนโลยีนี้ทำความเสียหายให้กับบุคคล

อ่านข่าวเต็มได้ที่: VentureBeat

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

เว็บไซต์หลอกลวงเอาบัญชีเงินคริปโต

วันนี้เจอเว็บไซต์ที่น่าจะเป็นเว็บไซต์หลอกลวงเอาบัญชีเงินคริปโตของเราครับ ก็เลยเอามาเขียนเตือนกันไว้ เรืองก็คือผมไปสมัครเป็นสมาชิกของกลุ่ม Blockchain กลุ่มหนึ่ง คืออันนี้ https://www.facebook.com/Blockchain-Community-101423281418037/ เข้าใจว่าตอนสมัครเพราะมันขึ้นมาจาก Facebook Ad เราสนใจ Blockhain อยู่แล้วก็เลยสมัครเข้าไป จากที่เข้าไปดูกลุ่มนี้เพิ่งถูกสร้างเมื่อ 23 มกราคมปี 2020 นี้เองครับ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จนได้รับข้อความว่ามีการโพสต์ถึงผมในกลุ่ม ผมเข้าไปดูก็เห็นเอารูปรูปหนึ่งจาก Facebook ผมไปโพสต์ในกลุ่ม แล้วก็โพสต์ข้อความนี้

Congratulations!
Get Extra Bonus 100%!
You are one active users who are lucky to get 0.6300 BTC & 35.66 Ethereum (ETH).
Do not miss 0.6300 BTC & 35.66 Ethereum (ETH) are on the way your wallet.
Immediately get your bonus here:
└► 
https://bit.ly/2sWBokm?Blockchain-GiveAway
Description:
* Only for Accounts that already have transactions that can receive BTC, Ethereum (ETH) wallet.
* We will be give to users who have 5 transactions history.
* For security system without cheating.
* For loyal users.
* If not eligible, The invite bonus can't be found
* And Share your friends.
Best Regards,
Thanks for choosing blockchain – Happy trading!
Kind regards
©2020 BLOCKCHAIN ALL RIGHTS RESERVED

จากที่ไล่ไปดูก็มีสมาชิกกลุ่มอีกหลายคนที่ได้รับข้อความนี้
ซึ่งจากการเอาลิงก์ไปเช็คก็มีหลายที่รายงานว่าเป็น Phishing แต่ไม่ได้มีมัลแวร์อะไรผมก็ลองคลิกเข้าไปก็เจอหน้านี้


จะเห็นว่าบอกว่าจะให้ 0.6300 BTC & 35.66 Ethereum (ETH) เหมือนที่โพสต์ไว้ และยังบอกอีกว่า ยิ่งมีเงินในบัญชีเยอะยิ่งได้เยอะ และเมื่อคลิกปุ่ม Claim เข้าไปยิ่งสนุกครับ เพราะมันพาไปที่อีกเว็บหนึ่งซึ่งมีหน้าจอนี้ 


ไม่รู้เห็นชัดไหมนะครับ สรุปให้ครับ มันให้เราใส่ 12-word phrase ครับ ซึ่งแน่นอนครับถ้าเราให้มันไป มันก็ยึดบัญชีเราไปได้เลยนะครับ เฮ้อมันเล่นกันง่ายดีเนอะ 

สำหรับใครที่ไม่รู้ หรือเพิ่งเข้าสู่วงการเงินคริปโต หรือวงการบล็อกเชนนะครับ จำไว้นะครับว่าถ้าใครจะโอนเงินให้คุณ สิ่งที่คุณต้องให้ก็คือเลขบัญชีของคุณเท่านั้นนะครับ ถ้าขอ 12-word phrase หรือ private key อะไร โดยอ้างว่าจะต้องยืนยันว่าเป็นตัวคุณ อย่าไปเชื่อ และอย่าให้ไปเด็ดขาดครับ 




วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

ประวัติ PowerPoint

พอดีได้อ่านบทความนี้ The Improbable Origins of PowerPoint  ทำให้ได้รู้ที่มาของโปรแกรมนำเสนอยอดนิยมอย่าง PowerPoint ครับ ก็เลยว่าเอามาแบ่งปันกันสบาย ๆ ในคืนวันศุกร์ก็น่าจะดี ซึ่งผมขอสรุปมาให้ฟังกันแต่เนื้อ ๆ นะครับ เจ้า PowerPoint นี่มันมีประวัติที่น่าสนใจดังนี้ครับ

1. ชื่อเดิมของมันคือ Presenter มีคนสามคนที่ร่วมพัฒนามันคือ Robert Gaskins, Dennis Austin และ Tom Rudkin โดยทำมันในนามบริษัทที่ชื่อ Forethought
2. มันถูกพัฒนาขึ้นมาบนเครื่อง Macintosh ก่อนโดยเวอร์ชันแรกของมันพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้สร้างสไลด์ขึ้นมาแล้วพิมพ์ออกมาทางเครื่องพิมพ์เลเซอร์รุ่นใหม่ (ในขณะนั้น) ของ Apple คือ LaserWriter เมื่อพิมพ์ออกมาแล้วก็เอาไปถ่ายเอกสารลงแผ่นใส เพื่อนำไปฉายบนเครื่องฉาย ซึ่งตรงนี้จะช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างสไลด์สวย ๆ ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปจ้างบริษัททำกราฟิก
3.  ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1987 บริษัท Forethought นำโปรแกรมที่ชื่อว่า PowerPoint 1.0 ออกสู่ตลาด ซึ่งมันก็คือ Presenter แต่เปลี่ยนชื่อ ซึ่งโปรแกรมก็ได้ใจผู้ใช้ Mac ในช่วงข้ามคืน มันทำรายได้หนึ่งล้านเหรียญในเดือนแรกที่เปิดตัว และทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 400,000 เหรียญ
4. สามเดือนหลังจาก PowerPoint เปิดตัวไมโครซอฟท์ก็เข้าซื้อ Forethought ด้วยเงิน 14 ล้านเหรียญ
5. Microsoft PowerPoint ถูกพัฒนาให้ใช้กับเครื่อง Mac ก่อน จากนั้นจึงเป็น Windows
6.  ทีมงานของ Forethought กลายมาเป็น หน่วยธุรกิจกราฟิกส์ของไมโครซอฟท์ (Microsoft’s Graphics Business Unit) ซึ่ง Guskins เป็นหัวหน้าทีมอยู่ 5 ปี ส่วน Austin และ Rudkin ทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนาหลักของโปรแกรม PowerPoint อยู่ 10 ปี
7. ไมโครซอฟท์ตัดสินใจให้หน่วยธุรกิจกราฟิกส์ของไมโครซอฟท์อยู่ที่ Silicon Valley ต่อไป นับเป็นหน่วยงานแรกของไมโครซอฟท์ที่อยู่นอกสำนักงานใหญ่ และ PowerPoint ก็ถูกพัฒนาจากที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้




วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

9 ชั่วโมงกับการอัปเดต Windows 10

นึกว่าจะมีเวลาว่างเขียนบล็อกให้มากขึ้น สรุปว่าก็ไม่ว่างอยู่ดี แต่วันนี้มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังมาก ๆ ครับ ก็เลยหาเวลามาเขียนซะหน่อย อยากมาเล่าประสบการณ์การใช้ Windows 10 ให้ฟังกัน เพราะผมว่าคนที่ใช้ Windows 10 อยู่อาจเจออะไรแบบผมเข้าสักวันหนึ่งถ้าไมโครซอฟท์ไม่แก้ไข หรือใครอาจเจอไปแล้วก็ได้นะครับ ปัญหานั้นคือปัญหาการอัปเดต Windows ครับ ซึ่งล่าสุดการอัปเดต Windows บนเครื่องผมใช้เวลารวม ๆ ประมาณ 9 ชั่วโมง มาดูกันครับว่าเป็นยังไง

คนที่ใช้ Windows 10 (ไม่เถื่อน) ก็คงได้รับการอัพเดตจากไมโครซอฟท์อยู่เป็นระยะกันใช่ไหมครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องดีนะครับ แล้วมันกลายเป็นปัญหาได้ยังไง ปัญหามันอยู่ที่ว่าในบางครั้งการอัปเดตมันนานมาก บางครั้งนานเป็นหลักชั่วโมง และยกเลิกไม่ได้ และมันก็เตือนว่าอย่าปิดเครื่องนะ และบางครั้งการอัปเดตมันก็เกิดขึ้นอัตโนมัติตอนเราเปิดเครื่องขึ้นมา  ลองนึกดูนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตอนนั้นเราต้องรีบใช้เครื่อง พูดถึงปิดเครื่องตอนมันอัปเดตไม่เสร็จ จริง ๆ ผมก็อยากลองปิดหลายครั้งนะ ดูสิว่ามันจะเป็นยังไง แต่นึกอีกทีถ้ามันเจ๊งไป ต้องมาลง Windows ใหม่ ลงโปรแกรมกันใหม่ก็เลยไม่ปิด

จริง ๆ ผมเคยเจอปัญหาอัปเดตที่ใช้เวลานานมากมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเวลาน่าจะเกือบปีมาแล้ว ครั้งนั้นก็ตั้งใจว่าจะมาเขียนบล็อกเล่าให้ฟัง แต่ไม่มีเวลาก็เลยไม่ได้เขียน งั้นตอนนี้ก็ขอเล่าเลยแล้วกันนะครับ วันนั้นจำได้ว่าไปหาแม่ที่บ้านแม่ เปิดเครื่องทำงานไปคุยกับแม่ไป จนรู้สึกว่าบางโปรแกรมมันเอ๋อ ๆ ก็เลยว่าจะ restart เครื่องสักรอบหนึ่ง ก็เจอเมนู update and shutdown กับ update and restart มีให้เลือกแค่นี้ ก็เลยเลือก update and restart ได้เรื่องเลยครับ แรก ๆ มันก็อัพเดตดี แต่สักพักมันก็ไปติอยู่ที่ประมาณ 30% ผมนั่งคุยกับแม่ไปเรื่อย ๆ ดูหน้าจอไปเรื่อย ๆ มันก็ไม่ขยับ จนผมเกือบตัดสินใจปิดเครื่องแล้ว แต่ก็กลัวต้องไปลง Windows ใหม่ ก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาค้น Google ดู ก็เจอเลยครับ มีคนนึงเจอปัญหาเดียวกันเลย ติดอยู่ประมาณ 30% และเขาบอกว่าหลังจากสามชั่วโมงมันจะเดินหน้าต่อไปเอง ผมก็คิดในใจว่าเฮ้ยจริงหรือ แต่ก็ตัดสินใจลอง ผมก็เสียบชาร์จแบตเครื่องเลย แล้วก็ปล่อยให้มันทำงานไป แล้วก็นั่งคุยกับแม่ไป จนถึงเวลาจะกลับบ้านมันก็ยังอยู่ที่ 30% ก็เอาเครื่องขึ้นรถมาโดยไม่ได้ปิด จนมาถึงบ้าน ซึ่งนับจากเริ่มอัพเดตจนถึงบ้านประมาณสามชั่วโมง เปิดหน้าจอมาดู โอ้ว มันขยับเดินหน้าจริง ๆ ครับ จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสักสองชั่วโมงมันก็ดูเหมือนอัพเดตเสร็จครับ ผมก็ shutdown เครื่อง แล้วก็นอน สรุปวันนั้นเลยไม่ได้ทำงานอะไรต่อ ให้มันอัพเดตไปอย่างเดียว แต่รู้อะไรไหมครับ ตอนเช้าพอผมเปิดเครื่องขึ้นมาจะทำงาน มันอัพเดตต่อครับ และใช้เวลาอีกพอสมควรถึงแม้ไม่ใช่หลักชั่วโมง ก็เป็นหลักสิบกว่านาที โชคดีที่วันนั้นผมไม่มีสอน ลองคิดดูถ้ามีสอนไปเปิดเครื่องในห้อง แล้วก็ต้องภาวนาให้มันอัพเดตเสร็จให้ร็วที่สุด

จากประสบการณ์ครั้งนั้น ผมก็ไม่ค่อยเจอเหตุการณ์อัพเดตที่เลวร้ายแบบนั้นอีก นานสุดก็สักครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังอ่านเห็นคนด่าการอัปเดต Windows อยู่เนือง ๆ  และผมก็ยังได้เรียนรู้ว่า การ update and shutdown ไม่ได้หมายความว่ามันจะอัพเดตให้เสร็จแล้วค่อยชัตดาวน์ แต่มันจะอัพเดตบางส่วนแล้วชัตดาวน์ จากนั้นพอเปิดเครื่องมันก็จะอัพเดตต่อ (ลูกศิษย์ผมมาให้ข้อมูลวันนี้ว่า มันจะอัพเดตก่อนชัตดาวน์ไป 30% จากนั้นที่เหลืออีก 70% มันจะทำเมื่อเราเปิดเครื่อง) โอ้วแม่เจ้า คนไมโครซอฟท์เอาอะไรคิด เวลาคนเขาสั่งชัตดาวน์ มันก็หมายความว่าเขาอาจจะไม่ใช้เครื่องไปสักช่วงหนึ่ง ทำไมมันไม่ทำให้เสร็จหรือทำสัก 80% ก็ยังดี แต่มันดันมาทำงานส่วนใหญ่ตอนเขาเปิดเครื่อง ซึ่งเป็นเวลาที่เขาต้องการใช้เครื่องมากที่สุด

คราวนี้มาถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ผมเจอเมื่อคืนนี้ ผมเอาเครื่องมาเปิดแล้วก็เช็คว่าสิ่งที่ผมจะต้องสอนเช้าวันนี้เรียบร้อยดีไหม จนถึงเวลาสัก 23.30 ผมก็ว่าจะนอนแล้วก็จะชัตดาวน์เครื่อง ก็เจออีกแล้ว update and shutdown กับ update and restart จากประสบการณ์ก็เลือก update and restart มันจะได้เสร็จ ๆ ไป เสร็จแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำแปรงฟัน กลับมาดูมันมันอยู่ที่ 12% ก็เฮ้ยทำไมมันได้แค่นี้ ก็เลยทำโน่นทำนี่ไปอีกแป๊ปหนึ่ง แล้วมาดูใหม่มันก็ยัง 12% คิดในใจว่าเอาอีกแล้วเหรอ ก็เลยตัดสินใจนอน ปล่อยให้มันทำไป ตอนเช้าค่อยลุกมาปิดเครื่องแล้วเอาไปสอนเลย  6.00 เช้าวันนี้ตื่นมาเห็นจอมันดับไปแล้วก็นึกว่าเสร็จแล้ว ก็ไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำล้างหน้าล้างตา กลับมาที่เครื่องเอามือแตะคีย์บอร์ด จอมันติดครับพร้อมทั้งตัวเลข 37% ผมใจหายวาบ ซวยแล้วตู ทำไงดี  ก็เลยตัดสินใจว่าสงสัยต้องเอาเครื่องสำรองมาใช้ ก็ไปหยิบมาขณะหยิบเครื่องมาก็คิดในใจว่าเราไม่ได้เปิดเครื่องนี้มาหลายวันแล้ว หวังว่าเปิดมามันจะไม่อัพเดตอะไรอีกนะ พอเปิดเครื่องสำรองมาปุ๊ปมันอัพเดตปั๊ปครับ ผมคิดเออมันจะซวยอะไรแบบนี่้นี่ แต่โชคดีมันอัปเดตไม่นานครับ ผมก็เลยนั่งเตรียมสิ่งที่จะสอนไป ตาก็คอยมองเครื่องหลักที่อัปเดตตั้งแต่เมื่อคืนไป ซึ่งคราวนี้มันเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ครับ พอผมเซ็ตเครื่องสำรองเสร็จมันก็ขึ้น 100% แล้วก็รีสตาร์ต ผมก็โอเค ถึงจะต้องเสียเวลามาเซ็ตอีกเครื่อง แต่ก็เท่ากับเรามีข้อมูลอัพเดตเอาไปสอนได้ทั้งสองเครื่อง แต่เชื่อไหมครับ พอมันติดขึ้นมามันอัพเดตต่อครับ เริ่มจาก 0 ใหม่ ผมก็กะว่าไม่เอาแล้วไปแล้วทิ้งไอ้เครื่องหลักนี่ไว้ที่บ้านแล้วกัน ก็ไปแต่งตัวสักใกล้ ๆ 8.00 มันได้สัก 80% ผมก็เลยรอ ๆ มีสอน 9.00 บ้านอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานถ้าสัก 8.20 มันไม่เสร็จก็จะไปละ ปรากฏว่ามันเสร็จครับ ก็เลยได้เอาไปสอนรวมเวลาอัปเดตจาก 23.30 เมื่อคืน จน 8.20 วันนี้ เกือบ 9 ชั่วโมงนะครับ

จากที่ดู การอัพเดตนี้เป็นอัพเดตใหญ่ครับคือ Creator update ซึ่งเหมือนการลงวินโดวส์ใหม่ แต่ยังไงมันก็ไม่น่านานขนาดนี้ใช่ไหมครับ ติดตั้งวินโดวส์ใหม่ใช้เวลา 9 ขั่วโมงนี่อ่ะนะครับ จากที่วันนี้โพสต์บ่นในเฟซบุ๊กก็มีลูกศิษย์มาให้ข้อมูลว่าเจอนานเหมือนกัน (แต่จะเท่าผมหรือเปล่าไม่รู้นะ)  ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์จะนานมาก ถ้าเป็น SSD จะเร็วหน่อย เครื่องผม Surface Pro 3 Ram 8GB SSD 256  GB นะนี่ ยังนานขนาดนี้ ซึ่งลูกศิษย์บอกว่าถ้าฮาร์ดดิสก์บางทีเป็นวัน มันใช่หรือครับแบบนี้ ในเคสของผมโชคดีที่มีเครื่องสำรอง และบ้านกับที่ทำงานไม่ไกลกัน ลองคิดว่าถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เครื่องแล้วเจอแบบนี้จะเป็นยังไง ลูกศิษย์ผมบางคนบอกว่าถ้าสั่งชัตดาวน์จากคอมมานด์ไลน์โดยใช้คำสั่ง shutdown -f -s -t 00 อาจจะข้ามการอัพเดตได้ แต่วิธีนี้มันก็ไม่ได้ช่วยผู้ใช้ปกตินะครับ และอย่างกรณีผมนี่ ผมไม่ได้ต้องการจะข้ามการอัพเดต ผมต้องการอัพเดต แต่ผมไม่คิดว่ามันจะอัพเดตจากห้าทุ่มกว่า ๆ จนถึงแปดโมงกว่า ๆ แบบนี้ 

นี่คือสิ่งที่ผมว่าไมโครซอฟท์จะต้องแก้ไขนะครับ เพราะมีเสียงบ่น และผู้ใช้ก็ประสบปัญหาเป็นจำนวนมาก การแก้อันหนึ่งที่ควรทำโดยด่วนก็คือให้มีเมนูข้ามการอัพเดตไปก่อน เมื่อผู้ใช้ยังไม่พร้อม ให้ผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป สามารถเลือกใช้ได้โดยง่าย อาจยกเว้นถ้ามันเป็นอัพเดตด้านความปลอดภัยที่สำคัญ และใช้เวลาไม่นานนัก จากนั้นในช่วงของการอัพเดตจะเป็นไปได้ไหมที่มีการกำหนด Synchronization point จุดปลอดภัยที่ผู้ใช้สามารถจะหยุดการอัพเดตที่มันใช้เวลานานไปไว้ก่อน เมื่อพร้อมก็กลับมาสั่งอัพเดตต่อจากจุดนั้น หรือถ้าจะไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยช่วยเปลี่ยนคำว่า it may take several minutes เป็น it may take several hours ซะเลยก็ดีนะครับ ผู้ใช้จะได้ทำใจไว้ก่อน...

 




วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

ฤาคดี Siri จะได้ข้อยุติแล้ว? พร้อมชัยชนะของนักวิจัยไทย

ผมไม่ได้เขียนบล็อกมานานมาก เนื่องจากไม่ว่าง บวกกับไม่ค่อยมีอารมณ์อยากจะเขียน เพราะบรรยากาศในตอนนี้มันไม่อำนวยให้เขียนเรื่องที่อยากจะเขียน แต่เรื่องนี้คงไม่เขียนไม่ได้ครับ เพราะเป็นเรื่องต่อเนื่องที่ผมเคยเขียนไว้เมื่อสามหรือสี่ปีที่แล้วคือเรื่องนี้ครับ  เบื้องหลัง Siri ของ Apple หรือจะคืองานวิจัยของนักวิจัยไทย? สำหรับคนที่ไม่อยากเข้าไปอ่านก็ขอสรุปให้ตรงนี้นิดหนึ่งครับคือ บริษัท Dynamic Advances ได้ยื่นฟ้องบริษัท Apple เรื่องการละเมิดสิทธิบัตรงานวิจัยที่ชื่อว่า Natural Language Interface โดยบริษัทได้ฟ้อง Apple ว่าได้นำงานวิจัยนี้ไปใช้กับ Siri โปรแกรมผู้ช่วยแสนฉลาดที่ผู้ใช้ iOS ทุกคนคงรู้จักดี ซึ่งสิทธิบัตรตัวนี้ถูกจดโดยอาจารย์มหาวิทยาลัย Rensselaer Polytechnic Institute (RPI) ที่  New York คือ Professor Cheng Hsu และนักศึกษาปริญญาเอกชาวไทยของเขาในขณะนั้นคือ วีระ บุญจริง ซึ่งปัจจุบันคือ รศ.ดร.วีระ บุญจริง อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พูดง่าย ๆ ว่าสิทธิบัตรนี้เป็นของนักวิจัยชาวไทยโดยตรงเลยครับ

และในวันนี้ดูเหมือนว่าเรื่องราวกำลังจะได้ข้อยุติแล้วครับ โดยข้อมูลจาก timesunion บอกว่า Apple ได้ยอมตกลงที่จะจ่ายเงิน 24.9 ล้านเหรียญ เพื่อที่จะยุติคดีนี้โดยที่ไม่ต้องไปขึ้นศาล ตามข่าวเขาบอกว่าโฆษกของทาง RPI กับ Apple ไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ เพิ่มเติมกับข่าวนี้ ซึ่งถ้าจบแบบนี้ก็หมายความว่าส่วนหนึ่งซึ่งอาจเป็นส่วนสำคัญของ Siri ด้วย เป็นผลงานของนักวิจัยไทยเรานี่เอง  ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งของรศ.ดร.วีระ บุญจริง และเคยมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ในงานนี้ ก็อดที่จะภูมิใจด้วยไม่ได้ครับ นับว่าเป็นข่าวดี ๆ ที่น่าเขียนถึงในช่วงนี้จริง ๆ ครับ

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เทคโนโลยี 8 อย่างที่จะหายไปและอีกหนึ่งที่จะคงอยู่ตลอดไป

ไม่ได้เขียนบล็อกมาซะนาน จริง ๆ ก็มีหลายเรื่องที่อยากเขียนนะครับ แต่ดูจากบรรยากาศแล้วไม่ค่อยน่าเขียนสักเท่าไหร่ หรือบางครั้งอ่านเรื่องที่น่าสนใจว่าจะเขียนแต่ก็ไม่ว่างซะอีกจนลืมไปเลย พอดีวันนี้อ่่านบทความจาก Computer World  ซึ่งเขียนขึ้นมาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา เห็นว่าน่าสนใจดีประกอบกับรอดูบอลอยู่ ก็เลยถือโอกาสเขียนหน่อยแล้วกันครับ

บทความที่ผมอ่านนี้ได้กล่าวถึงเทคโนโลยีในปัจจุบัน 8 อย่าง ที่ทางผู้เขียนคาดว่าจะถูกแทนที่ในช่วงอีก 5 ถึง 20 ปีข้างหน้า และอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ไม่มีอะไรจะแทนได้ อยากรู้แล้วใช่ไหมครับว่ามีอะไรบ้างลองไปดูกันครับ เริ่มจากอุปกรณ์พวกมือถือแท็บเล็ตที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ทางผู้เขียนคาดว่าจะถูกแทนที่ด้วยอุปกรณ์ประเภทสวมใส่ (wearable device) ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า อันนี้ผมคิดว่าพวกเราที่อยู่ในแวดวงเทคโนโลยีก็คงจะเห็นด้วยนะครับว่าแนวโน้มมันน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างตอนนี้เราก็มีอุปกรณ์อย่าง Google  Glass ออกมาให้เห็นกันแล้ว ซึ่งใน 5-10 ปีนี้ เทคโนโลยีน่าจะลงตัวมากขึ้น ประกอบกับราคาก็น่าจะลดลงจนผู้บริโภคทั่วไปสามารถซื้อหามาใช้ได้

เทคโนโลยีอันต่อมาที่เขาคาดว่าจะหายไปคือสิ่งที่เราเพิ่งพูดถึงไปในย่อหน้าที่แล้วครับ ใช่แล้วครับเขาบอกว่าเจ้าเทคโนโลยีของอุปกรณ์สวมใส่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีประเภทฝังตัว ถูกแล้วครับฝังเข้าไปในตัวเรานี่แหละ เขาบอกว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นใน 20 ปี ครับ สำหรับอันนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้หรือเปล่านะครับ เพราะผมคนหนึ่งหละที่จะไม่ยอมให้เอาอะไรแปลกปลอมมาใส่ในตัวผมแน่ แต่ไม่แน่ในอีก 20 ปี ข้างหน้ามันอาจกลายเป็นแฟชั่นสำหรับคนยุคนั้นก็ได้ ก็ไม่รู้ว่าผมจะอยู่จนได้เห็นหรือเปล่า แต่คิดอีกทีไม่อยู่ก็ดีนะครับ เพราะไม่อยากฟังหลานมาขอ "ปู่ครับขอเงินไปซื้อชิปคุกกี้นางฟ้ามาใส่ตัวผมหน่อยครับ" :(

แบตเตอรีแบบที่เราใช้ในปัจจุบันก็จะหายไปครับ โดยจะถูกแทนด้วยสุดยอดตัวเก็บประจุ (super capacitor) ซึ่งสุดยอดตัวเก็บประจุนี้จะชาร์จได้เร็ว และจะสามารถชาร์ซ้ำได้เป็นล้าน ๆ ครั้ง เขาบอกว่าเทคโนโลยีนี้จะเริ่มเข้ามาภายใน 5 ปี และจะมาแทนที่แบตเตอรีอย่างสมบูรณ์ใน 10 ปีครับ ซึ่งแนวโน้มก็ควรเป็นอย่างนั้นนะครับ เพราะเราคงต้องการเทคโนโลยีที่ดีกว่าแบตเตอรีที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน ที่เห็นได้ชัดก็คือรถยนต์ซึ่งในอนาคตแหล่งพลังงานหลักก็น่าจะมาจากไฟฟ้า ซึ่งถ้าต้องมารอชาร์จแบตกันทีเป็นชั่วโมงแล้วค่อยขับต่อไปก็คงไม่ไหวนะครับ

อีกเทคโนโลยีที่เขาคาดว่าจะหายไปคือเมาส์และแป้นพิมพ์ครับ โดยจะถูกแทนที่ด้วยการสั่งงานด้วยเสียงและท่าทางครับ จริง ๆ ตอนนี้เราก็เริ่มใช้เทคโนโลยีนี้กันแล้วนะครับ การสั่งงานด้วยเสียงอย่าง Siri (ซึ่งเบื้องหลังอาจเกิดจากงานวิจัยระดับป.เอกของอ.วีระ) หรือ Google Now โทรทัศน์หลายรุ่นก็สามารถใช้การสั่งงานด้วยท่าทางได้ และการใช้งานในลักษณะนี้ก็น่าจะสอดรับกับพวกอุปกรณ์สวมใส่ที่ได้พูดถึงไปแล้วนะครับ เขาประมาณการไว้ว่าประมาณ 10 ปีครับท่ี่เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาแทนที่เมาส์และแป้นพิมพ์ได้ แต่เขาบอกว่าอาจใช้เวลาถึง 20 ปีก็ได้ เพราะคนเราบางคนมักจะยึดติดกับความเคยชินเก่า ๆ ไม่ค่อยอยากจะเรียนรู้วิธีการใหม่ ๆ ผมว่าถ้าถึงยุคนั้นจริง ๆ ก็คงสนุกดีนะครับ นึกภาพดูในห้องเรียนอีก 10 ปีข้างหน้า ทั้งครูและนักเรียนโบกมือหรือโยกตัวไปมา เพื่อสั่งงานคอมพิวเตอร์แบบสวมใส่ของตัวเอง แล้วเราซึ่งมาจากยุคนี้ไปเห็นเข้าอาจนึกว่าเขากำลังเต้นแอโรบิคกันอยู่ก็ได้นะครับ

อุปกรณ์ที่มีปุ่มมีสวิทช์ก็จะหายไปครับ ต่อไปอุปกรณ์จะเชื่อมต่อกันและถูกควบคุมได้จากระยะไกล ซึ่งจริง ๆ ในปัจจุบันเราก็เริ่มใช้กันแล้วนะครับอย่างพวกลำโพงไร้สายซึ่งสามารถเล่นเพลงจากมือถือของเราได้  แต่เขาบอกว่าในอนาคตมันจะล้ำไปกว่านี้อีกครับ คือการวิเคราะห์หรือซ่อมแซมอุปกรณ์สามารถทำได้จากระยะไกลเลยครับ คือช่างอาจจะซ่อมเครื่องได้โดยไม่ต้องแตะเครื่องด้วยซ้ำ เขาคาดการณ์ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 10-20 ปีครับ แต่ผมว่าน่าจะเร็วกว่านั้นนะ

เทคโนโลยีที่จะมีการเปลี่ยนแปลงคือเทคโนโลยีด้านความมั่นคง (security) ครับ คือในปัจจุบันเราต้องรอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนแล้วจึงจะมีการแจ้งเตือน เช่นโจรต้องบุกเข้ามาในบ้านเราก่อนสัญญาณกันโขมยถึงจะดัง แต่ในอนาคตภายใน 5 ปี เขาคาดว่าระบบความมั่นคงจะเปลี่ยนไปเป็นแบบการทำนายล่วงหน้าก่อนเหตุการณ์จะเกิดขึ้นครับ โดยเทคนิคที่อยู่เบื้องหลังการทำงานนี้ก็คือเรื่องของการทำเหมืองข้อมูล (data mining) นั่นเองครับ ซึ่งจริง ๆ ในปัจจุบันเราก็ใช้เทคโนโลยีนี้อยู่บ้างแล้ว โดยเฉพาะในระบบเครือข่ายเราใช้แนวคิดนี้ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกส่งเข้ามายังเครือข่ายของเราว่าเป็นข้อมูลที่มีอันตรายแอบแฝงมาหรือไม่

เทคโนโลยีถัดมายังอยู่ในหมวดความมั่นคงครับ คือในปัจจุบันเราใช้ระบบความมั่นคงที่เรียกว่าความมั่นคงตามหน้าที่ (role-based security) คือเราจะดูว่าคนคนนี้มีหน้าที่อะไร แน่นอนว่าคนหนึ่งคนก็มักจะมีหลายหน้าที่อยู่แล้วใช่ไหมครับ เช่นหน้าที่เป็นประชาชน หน้าที่เป็นนักเรียน หน้าที่เป็นอาจารย์ ซึ่งในระบบที่เราใช้ในปัจจุบันเราก็จะมีบัตรประจำตัวตามหน้าที่ที่เรามีใช่ไหมครับ เรามีบัตรประจำตัวประชาชนและถ้าเราเป็นนักเรียนเราก็จะมีบัตรประจำตัวนักเรียน ถ้าเราไปเรียนกวดวิชาก็จะมีบัตรประจำตัวโรงเรียนกวดวิชาอีกใบด้วย แต่ภายใน 5-10 ปี เราจะเปลี่ยนเป็นความมั่นคงแบบปรับตัวหรือแบบอิงบริบท (adaptive, contextual security) เราจะมีเลขประจำตัวเพียงชุดเดียว แต่สิทธิของเราอาจจะดูจากหลาย ๆ อย่าง เช่นอุปกรณ์ที่เราใช้ สถานที่ที่เราอยู่ และรูปแบบการทำงานของเรา ซึ่งถ้าเรามีการทำงานที่ผิดรูปแบบไป ระบบก็จะสามารถตรวจจับได้ว่ามีการละเมิดความมั่นคงเกิดขึ้นแล้ว แนวคิดคือคนจะมีเพียงตัวตน (identity) เดียว แต่จะมีสิทธิที่ต่างกันในเครือข่ายต่าง ๆ  เช่นผมเป็นอาจารย์ประจำในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งและได้รับเชิญไปเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยอีกแห่งหนึ่ง ผู้ดูแลระบบของมหาวิทยาลัยนั้นก็ไม่จำเป็นต้องสร้างหรือให้เลขประจำตัวใหม่กับผม เพียงแต่กำหนดสิทธิให้ผมสามารถเข้าใช้ทรัพยากรในมหาวิทยาลัยแห่งนั้นในฐานะอาจารย์พิเศษ ดู ๆ มันก็สะดวกดีนะครับ แต่ผมมองว่าเราจะต้องรักษาความเป็นตัวตนของเราให้ดีมาก ๆ เลยครับ เพราะถ้าโดนโขมยไปเมื่อไหร่แย่แน่ ๆ ครับ

อีกเทคโนโลยีหนึ่งซึ่งผมในฐานะอาจารย์ที่สอนทางด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์รอจะเห็นอยู่ก็คือ การที่การพัฒนาซอฟต์แวร์จะเปลี่ยนจากการที่นักพัฒนาใช้โค้ดที่ตัวเองพัฒนาขึ้นมาเป็นหลัก มาเป็นการนำโค้ดที่มีการพัฒนาไว้แล้วจากนักพัฒนาคนอื่นมาประกอบกันเพื่อสร้างเป็นแอพพลิเคชันใหม่ ซึ่งจริง ๆ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่นะครับ ในปัจจุบันเราก็มีเทคโนโลยีการพัฒนาที่รองรับการทำงานแบบนี้อยู่แล้วเช่นการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบอิงคอมโพเนนต์ (component-based) แบบอิงบริการ (service-based) ซึ่งก็เป็นวิชาที่ผมสอนอยู่ (ขอโฆษณาหน่อย :) ) ปัจจุบันเราสร้างแอพพลิเคชันท่ี่ใช้ส่วนต่อประสานการเขียนโปรแกรม (programming interface) ที่ผู้ให้บริการอย่าง Google หรือ Facebook เตรียมไว้ให้กันอยู่แล้ว แต่เขาคาดการณ์ว่าภายใน 5 ปี มันอาจจะเข้ามาเป็นวิธีการหลัก ซึ่งผมคิดว่าเครื่องมือในการพัฒนาโปรแกรมก็น่าจะดีขึ้นด้วย อาจดีขนาดที่ว่าผู้ใช้ที่เป็นผู้ใช้เก่ง ๆ หน่อย ที่เรียกกันว่า power user อาจสามารถพัฒนาโปรแกรมที่ไม่ซับซ้อนนักได้ด้วยตัวเอง

และนั่นคือเทคโนโลยีแปดอย่างท่ี่จะถูกแทนที่ครับ คราวนี้เหลือเทคโนโลยีที่เขาคาดว่าจะไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ครับ ลองเดาดูไหมครับว่าคืออะไร... หลายคนอาจคิดไม่ถึงว่ามันคืออีเมลครับ เขาบอกว่าอีเมลมีคุณสมบัติหลัก ๆ ที่ไม่สามารถจะหาอะไรมาแทนได้ นั่นคือการแนบไฟล์ การส่งถึงผู้รับหลายคนพร้อม ๆ กัน และการเก็บอีเมลที่ต้องการไว้อย่างถาวร ซึ่งคิด ๆ แล้วผมก็ค่อนข้างเห็นด้วยนะครับ อย่างน้อยในตอนนี้ผมก็ยังไม่เห็นว่าจะมีเทคโนโลยีอะไรที่จะแพร่หลาย ใช้งานได้สะดวกในการทำงานดังกล่าวมากกว่าอีเมล

ก็รอดูนะครับว่าจะแม่นหรือเปล่า สำหรับผมอีก 20 ปีข้างหน้า ไม่รู้ว่าจะได้อยู่เห็นไหม คนที่ยังอยู่ฝากส่งอีเมลไปนรกเอ๊ยไม่ใช่ต้องสวรรค์สิไปบอกด้วยนะครับ...

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

หลักการสำคัญ 9 ประการที่นำไปสู่นวัตกรรมของ Google

สวัสดีปีใหม่ 2557 ครับ ขอถือโอกาสนี้เขียนบล็อกแรกของปีให้อ่านกันเลยก็แล้วกันครับ ตอนแรกก็ยังไม่รู้จะเขียนอะไรดีเพราะผมว่าช่วงปลายปีที่แล้วพวกเราหลายคนคงจะเครียดและสนใจเรื่องการเมืองเป็นหลัก แม้แต่ผมเองยังจัดซะสามบล็อกติดกัน แต่บล็อกแรกของปีนี้ผมไม่อยากจะเขียนอะไรที่มันเครียด ๆ กันก่อนตั้งแต่ต้นปีครับ ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีคนแบ่งปันลิงก์เกี่ยวกับแนวทางที่ทำให้ Google เป็นบริษัทที่สร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ มากมาย ก็เลยคิดว่าเรื่องนี้แหละที่น่าจะนำมาเขียน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกคนที่มีโอกาสได้อ่าน เผื่อจะสามารถนำไปประยุกต์กับการทำงานของเราในปีนี้ได้บ้าง

สำหรับต้นฉบับของเรื่องนี้ก็คือ GOOGLE REVEALS ITS 9 PRINCIPLES OF INNOVATION โดยคุณ Kathy Chin Leong ในบทความนี้ได้สรุปสิ่งที่คุณ Gopi Kallayil ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการสังคม (ไม่รู้จะใช่ไหมนะครับในภาษาอังกฤษใช้คำว่า chief social evangelist ) ได้พูดถึงหลักสำคัญ 9 ข้อที่ทำให้ Google เป็นบริษัทที่มีการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างมากมายออกมาให้เราใช้กัน ลองมาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง

1. นวัตกรรมมาได้จากทุกที่ทุกทาง ไม่ว่าจะมองจากบนลงล่าง ล่างขึ้นบนหรือแม้แต่ในจุดที่ไม่ได้คาดคิดไว้ ในบทความได้ยกตัวอย่างของคุณหมอซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของ Google ได้พยายามผลักดันให้การค้นหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย (ในสหรัฐ) มีการแสดงเบอร์โทรฟรีสำหรับศููนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายอยู่ทางด้านบนของจอ

2.  มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ เรื่องเงินเอาไว้ทีหลัง ตัวอย่างก็คือการค้นหาทันใจ (instant search) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นแต่อาจทำให้ผู้ใช้ไม่ได้ดูโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งที่มาของรายได้หลักของ Google ซึ่ง Google ก็ยอมที่จะเสี่ยงในส่วนนี้ โดยแนวคิดก็คือให้ผู้ใช้ได้ประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมไปแล้วรายได้ก็จะตามมาเอง

3. ตั้งเป้าว่าจะดีขึ่นสิบเท่า การตั้งเป้าว่าจะทำให้ดีขึ้นแค่สิบเปอร์เซนต์เราก็จะทำได้แค่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถ้าต้องการจะเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการจะต้องตั้งเป้าว่าจะทำให้ดีขึ้นสิบเท่า และนั่นจะทำให้เราต้องคิดนอกกรอบ ตัวอย่างของข้อนี้ก็คือโครงการ Google Books ซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งตั้งเป้าว่าจะสแกนหนังสือทั้งหมดเพื่อทำให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดย Lary Page ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Google ถึงกับลงมือสร้างเครื่องสแกนหนังสือขึ้นมาเองเลย สำหรับหนังสือตอนนี้ก็สแกนไปได้แล้วกว่า 30 ล้านเล่ม

4.  ใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคให้เป็นประโยชน์ เขายกตัวอย่างถึงแนวคิดของรถไร้คนขับ ซึ่งจริง ๆ แล้ว Google เองไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ Google มีเทคโนโลยีที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานอย่าง Google Maps Google Earth และ รถที่ใช้ทำ Street View โดยการร่วมมือกับทีมปัญญาประดิษฐ์ที่มหาวิทยาลัย Stanford ก็ทำให้ Google สามารถสร้างรถที่ไม่ต้องมีคนขับซึ่งสามารถเดินทางไปกลับเป็นระยะทางไกลได้จริง

5. ปล่อยออกมาก่อนแล้วค่อยปรับปรุง แนวคิดนี้คือไม่ต้องรอให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์ ส่งไปให้ผู้ใช้ใช้ก่อน แล้วให้ผู้ใช้นั่นแหละเป็นผู้ช่วยปรับปรุง ตัวอย่างของโครงการที่ใช้วิธีนี้ก็เช่น Google Chrome ซึ่งเปิดตัวมาในปี 2008 และ Google ปล่อยตัวปรับปรุงออกมาทุกหกสัปดาห์

6. ให้เวลาร้อยละยี่สิบแก่พนักงาน แนวคิดนี้คือให้พนักงานได้ใช้เวลาในการทำโครงการที่ตัวเองอยากทำที่ไม่ใช่งานประจำที่ตัวเองทำอยู่ โดยจะให้เวลาร้อยละยี่สิบแก่พนักงานในการทำโครงการดังกล่าว พูดง่าย ๆ ก็คือในเวลางานห้าวัน ก็ให้เวลาวันหนึ่งที่พนักงานจะได้ทดลองทำสิ่งที่เป็นแนวคิดของตัวเอง สิ่งที่ได้จากการทำแบบนี้ก็คืออาจจะได้ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ หรืออาจได้เทคนิคหรือแนวคิดที่จะนำไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม

7. ให้กระบวนการทำงานเป็นแบบเปิด คือเปิดโอกาสให้ทั้งนักพัฒนาภายนอก หรือแม้แต่ผู้ใช้เองมีส่วนร่วมในโครงการ ตัวอย่างเช่นการเปิดให้นักพัฒนามาช่วยกันพัฒนาแอพต่าง ๆ ให้กับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

8. ล้มให้เป็น ไม่ควรตำหนิความล้มเหลว แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ดีสุด ๆ ก็ต้องถูกยกเลิกไป แต่สิ่งที่สามารถดึงมาใช้ได้ก็คือส่วนดีที่สุดของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เขาบอกว่าความล้มเหลวคือเครื่องหมายของเกียรติยศ ความล้มเหลวคือหนทางที่จะนำไปสู่นวัตกรรมและความสำเร็จ ดังนั้นจงล้มเหลวด้วยความภาคภูมิใจเถอะ

9. ภารกิจที่ทำมีความสำคัญ เขาบอกว่านี่คือข้อที่สำคัญที่สุดใน 9 ข้อนี้ เขาบอกว่าคนที่ Google ทุกคนมีความตั้งใจแรงกล้าที่จะทำตามภารกิจและจุดประสงค์ให้สำเร็จ เพราะพวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะมีผลในทางบวกกับผู้คนเป็นล้าน ๆ คน

ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ สวัสดีปีใหม่อีกครั้งครับ ...

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มารู้จักปุ่มไปรษณีย์และปุ่มบทวิจารณ์กันดีกว่า

สุดสัปดาห์นี้มีเรื่องเบา ๆ ที่ตัวเองได้เจอมาเล่าให้ฟังกันครับ จริง ๆ มันเกิดขึ้นประมาณเกือบเดือนมาแล้วตั้งใจจะเขียนเล่าให้ฟังกันแต่พอดีไม่ค่อยว่าง ประกอบกับมีเรื่องอื่นแทรกเข้ามาเลยเขียนก่อน สำหรับวันนี้เป็นเรื่องนี้เกี่ยวกับการแปลส่วนติดต่อกับผู้ใช้ของโปรแกรมมาเป็นภาษาท้องถิ่นหรือที่พวกเราอาจรู้จักกันในชื่อ localization ครับ

ปัญหาที่เกิดกับ localization นี้ผมว่าพวกเราทุกคนน่าจะเจอกันมามากบ้างน้อยบ้างนะครับคือประเภทเปิดเมนูภาษาไทยขึ้นมาแล้วต้องนั่งคิดกลับว่าภาษาอังกฤษของมันคืออะไรหว่า จนบางคนเลือกใช้เมนูภาษาอังกฤษไปเลย แต่ผมว่าปัญหานี้เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากนะครับ และผมก็เข้าใจว่าทำไมสมัยก่อนบางครั้งการแปลออกมามันดูเพี้ยน ๆ เพราะตัวเองเคยมีประสบการณ์การทำ localization ให้กับไมโครซอฟท์เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว โดยโปรแกรมที่ผมมีส่วนทำก็คือโปรแกรมที่ชื่อว่า Microsoft Work ไม่ทราบว่ามีใครรู้จักบ้างไหมครับ... เงียบ สงสัยจะ(ไม่) ช้อต เจ้าโปรแกรมนี้พูดง่าย ๆ คือโปรแกรม Microsoft Office ชุดเล็ก คือมันจะมีโปรแกรมพวก Word Processor และ Spread Sheet อะไรเหล่านี้ แต่แน่นอนครับความสามารถของมันสู้ Microsoft Office ไม่ได้แน่ ซึ่งเข้าใจว่าโปรแกรมนี้มันไม่ประสบความสำเร็จนะครับ เพราะผมว่ามันทับซ้อนกับ Microsoft Office (หวังว่ามันคงไม่ได้เจ๊งเพราะผมไปทำ localization ให้นะ) และจากการทำ localization โปรแกรมนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมการแปลมันถึงเพี้ยน เพราะจากประสบการณ์ที่ผมทำมาก็คือ ผมจะได้รายการคำศัพท์มาแล้วก็นั่งแปลไป โดยบางครั้งก็ไม่รู้ว่าไอ้คำศัพท์นี้มันจะอยู่ในเมนูไหนหรือโปรแกรมอะไร ซึ่งการทำอย่างนี้มีโอกาสผิดพลาดสูงนะครับ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ต้องใช้ความหมายไม่ใช่คำแปล คือมันต้องรู้บริบทรอบข้างของคำศัพท์นั้นด้วยถึงจะใช้คำได้ถูกต้อง แต่คิดว่าปัจจุบันนี้ไมโครซอฟท์คงเข้าใจปัญหานี้มากขึ้นแล้วแหละครับ เพราะเท่าที่ลองใช้เมนูภาษาไทยดูก็รู้สึกว่าดีขึ้นมาก 

กลับมาเรื่องที่ผมเจอดีกว่า คือเมื่อเดือนก่อนผมได้ใช้โปรแกรมเช็คอินยอดนิยมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่โปรแกรมหนึ่ง คือโปรแกรม Foursquare ปกติผมจะใช้แค่เช็คอินตำแหน่งที่ผมอยู่เท่านั้น แต่วันนั้นผมพาลูกไปเรียนฟุตบอลและก็ถ่ายรูปเขาก็เลยเช็คอินแล้วก็แนบรูปของเขาไปด้วย แต่บังเอิญตอนเช็คอินผมลืมให้มันส่งข้อมูลไปที่ Facebook และ Twitter ด้วยก็เลยต้องมาทำตอนหลัง และเมื่อผมเข้ามาผมก็เจอหน้าจอนี้ครับ  

เห็นปุ่มไปรษณีย์ไหมครับ พวกเราคิดว่ามันคือปุ่มอะไรครับ .... ใช่แล้วครับมันคือปุ่ม Post บอกตามตรงว่าตอนแรกที่ผมเห็นปุ่มนี้ผมนั่งอี้งอยู่พักหนึ่ง เพราะนึกไม่ออกว่าปุ่มนี้มันคืออะไร เกือบไม่กล้ากดแล้วครับ เพราะกลัวมันจะเอาข้อความผมไปส่งตู้ไปรษณีย์ :) ถึงแม้ผมจะมีความเข้าใจเรื่อง localization อยู่บ้าง แต่พอเห็นอันนี้เข้าแล้วก็อดขำและประหลาดใจไม่ได้ คือประการแรกผมมองว่าโปรแกรมอย่าง Foursquare นี่ ไม่ใช่โปรแกรมใหญ่นะครับ ดูมันมีหน้าจอหลัก ๆ ไม่กี่หน้าจอเอง ดังนั้นไม่น่าพลาด และคำว่า Post ในภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับโปรแกรมนี้ มันก็ไม่น่าจะสื่อถึงอะไรได้อย่างอื่นนอกจากการโพสต์ข้อมูล แต่คนแปลกลับเลือกใช้คำว่าไปรษณีย์ ซึ่งในการใช้งานของคนไทยเรามักจะนึกถึงแต่การส่งจดหมายหรือพัสดุ จะว่าใช้ Google Translate แปลแทนจ้างคนแปลก็ไม่น่าใช่ เพราะผมลองใช้ Google Translate ลองแปลคำว่า Post ดูมันก็ใช้คำว่าโพสต์

ยังไม่พอครับคราวนี้กับ Apple บ้าง อันนี้เพิ่งเจอเมื่อสักสัปดาห์ก่อน คือผมสอนลูกสมัคร Apple ID อันนี้เสียดายไม่ได้จับหน้าจอไว้ และพยายามเข้าไปที่หน้าจอนั้นอีกก็เข้าไม่ได้ รู้สึกว่ามันจะขึ้นมาเฉพาะตอนเราสมัคร Apple ID ใหม่ เอาเป็นว่าเราให้ฟังแบบแห้ง ๆ แล้วกันนะครับ คือหลังจากเราป้อนข้อมูลไปมันจะมีปุ่มขึ้นมาปุ่มหนึ่งครับปุ่มนั้นมีคำว่าบทวิจารณ์ ซึ่งพอเรา (ผมกับลูก) เจอปุ่มนี้เข้าก็มองหน้ากันไปมาว่ามันคืออะไร มันจะให้เราวิจารณ์อะไร สุดท้ายก็นึกออกว่ามันหมายถึงปุ่ม Review ซึ่งตรงนี้คำว่า Review ควรจะหมายถึงการตรวจทานมากกว่านะครับ เจอแบบนี้สงสัยคงต้องใช้เมนูภาษาอังกฤษไปตลอดครับ แต่คิดอีกทีก็เป็นการฝึกสมองดีเหมือนกันนะครับ

ผมว่าหลายคนมีความเข้าใจผิดว่าคำศัพท์ในภาษาอังกฤษนี่เราจะแปลได้แบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น  แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่นะครับ ศัพท์ในภาษาอังกฤษนี่มันมีลักษณะเป็นความหมายมากกว่า คำ ๆ หนึ่งอยู่ในบริบทหนึ่งมันจะหมายถึงอย่างหนึ่ง อีกบริบทหนึ่งอาจจะหมายถึงอีกอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้แปลก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะแปลในระดับหนึ่งด้วย ผมมีประสบการณ์การอ่านบทความภาษาไทยบทความหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว และยังติดใจมาจนถึงทุกวันนี้ บทความนั้นเป็นบทความทางคณิตศาสตร์ และคนแปลได้ใช้คำหนึ่งครับคำนั้นคือ ผลิตภัณฑ์คาร์ทีเชียน เดาได้ไหมครับว่าเขาแปลมาจากคำว่าอะไร ใครที่จบคณิตศาสตร์มาอาจตอบได้ ครับใช่แล้ว Cartesian Product ซึ่งในทางคณิตศาสตร์คำที่ใช้กันคือผลคูณคาร์ทีเชียน แต่จริง ๆ ก็คงโทษคนแปลไม่ได้นะครับ เพราะเมื่อสิบกว่าปีก่อนคนที่ทำงานด้านแปลเก่ง ๆ ในประเทศเราอาจยังมีน้อย ยิ่งไปกว่านั้นผมลองใช้ Google Translate ดู มันก็แปลว่า ผลิตภัณฑ์ Cartesian ครับ

ที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี่ก็ไม่มีเจตนาจะไปตำหนิหรือติเตียนใครนะครับ แค่อยากจะเล่าให้ฟังแล้วก็ให้ระมัดระวังกันเวลาจะแปลหรือเขียนบทความอะไร แต่สุดท้้ายแล้วไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะย้อนมาเข้าตัวหรือเปล่า เพราะตัวผมเองมักจะจู้จี้กับนักศึกษา (ที่หลงผิดมาทำงานด้วย) ในที่ปรึกษา หรือนักศึกษา (ที่โชคร้าย) ได้ผมเป็นกรรมการสอบ ให้ระมัดระวังเรื่องการเขียน และการใช้คำ พอเขามาอ่านเรื่องนี้เข้าอาจย้อนว่าโห.... อาจารย์จะเอาอะไรกับพวกผม (หนู) นักหนา ดูอย่างโปรแกรมที่คนใช้กันเกือบทั้งโลกอย่าง Foursquare หรือ Apple สิ เขายังทำแบบนี้เลย....

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เบื้องหลัง Siri ของ Apple หรือจะคืองานวิจัยของนักวิจัยไทย?

ไม่ได้เขียนบล็อกมานานมาก คำแก้ตัวเดิม ๆ คือไม่ว่าง แต่วันนี้ยังไงก็ขอเขียนเสียหน่อย เพราะเป็นข่าวเกี่ยวกับนักวิจัยไทยของเราที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทระดับโลกอย่าง Apple เจ้าของ iDevice ทั้งหลายที่พวกเราหลายคนใช้กันอยู่นั่นแหละครับ ยิ่งไปกว่านั้นนักวิจัยคนดังกล่าวก็เป็นคนที่ผมรู้จักดีเสียด้วย

 ก่อนจะมารู้จักกันว่าเขาเป็นใครเรามาดูข่าวที่เป็นต้นเรื่องของบล็อกวันนี้กันก่อน ถ้าใครอยากอ่านข่าวต้นฉบับก็เชิญอ่านจาก ฺBloomberg ได้เลยครับ แต่ถ้าไม่อยากอ่านผมจะสรุปให้ฟังครับ เนื้อหาก็คือบริษัทใน Texas ชื่อ Dynamic Advances กำลังจะฟ้อง Apple ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรม Siri ซึ่งเป็นโปรแกรมเลขาส่วนตัวที่มีความชาญฉลาดในการโต้ตอบและทำตามคำสั่งจากผู้ใช้ที่ใช้ภาษาพูดปกติ คือผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องใช้คำสั่งเฉพาะในการบอกให้ Siri ทำงานให้ เจ้า Siri  ที่ว่านี่ Apple เริ่มนำมาใช้งานใน  iPhone 4s และต่อมาก็นำมาใช้กับ iDevice รุ่นใหม่ ๆ  อีกด้วย

แล้วมันเกี่ยวกับงานวิจัยคนไทยยังไง ประเด็นก็คือบริษัท Dynamic Advances ที่ว่านี่ได้รับใบอนุญาตในการใช้สิทธิบัตรที่เกี่ยวกับงานวิจัยที่เรีกว่า natural language interface ซึ่งเป็นการทำให้ระบบสามารถตอบคำถามที่คนพูดเข้ามาตามปกติได้ โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อนในการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล งานวิจัยนี้ได้ถูกคิดค้นและจดสิทธิบัตรไว้กว่าสิบปีแล้ว โดย Professor Cheng Hsu ที่เป็นอาจารย์อยู่ที่ Rensselaer Polytechnic Institute (RPI) ที่ New York และนักศึกษาปริญญาเอกของเขาในขณะนั้นคือ วีระ บุญจริง (Veera Boonjing) ซึ่งปัจจุบันคือ รศ.ดร.วีระ บุญจริง แห่งสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง  นักศึกษาที่ทำวิทยานิพนธ์ไม่ว่าระดับไหนคงทราบดีนะครับว่างานที่ออกมา จะออกมาจากตัวนักศึกษาเป็นหลักโดยอ.ที่ปรึกษาจะให้คำแนะนำในแง่มุมต่าง ๆ  ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าระบบดังกล่าวนี้รศ.ดร.วีระ น่าจะมีส่วนไม่ต่ำกว่า 80 % และระบบนี้แหละครับที่ทาง Dynamic Advances ฟ้องว่าโปรแกรม Siri ละเมิดสิทธิบัตร โดยสรุปตอนนี้ทาง Apple ยังไม่มีความเห็นใด ๆ นะครับ รวมทั้ง Professor Hsu ด้วย โดย Professor บอกว่าตัวแกก็ไม่รู้ว่าสิทธิบัตรนี้จะมีมูลค่าเท่าไร แต่ก็ได้กล่าวทิ้งท้ายในข่าวไว้ด้วยว่า เสียใจด้วย (นะ Apple) แต่เราทำมันก่อน 

นั่นคือเนื้อข่าวและที่มาที่ไปคร่าว ๆ นะครับ มาดูในส่วนอ.วีระกันบ้าง ผมในฐานะที่เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย และเป็นเพื่อนร่วมงานกับอ.วีระเกือบ 20 ปี แล้ว (ขอเกาะกระแสคนดังหน่อยนะ :) ) ก็ได้คุยกับอ.ในเรื่องนี้ โดยตัวอ.ก็บอกว่าเรื่องการฟ้องนี่จริง ๆ เริ่มมาได้พักหนึ่งแล้วไม่ได้มาเริ่มตอนนี้หรอก แต่แกก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงออกมาตอนนี้ตอนที่ Apple ออกผลิตภัณฑ์ใหม่พอดี ตอนนี้ก็รอผลลัพธ์ต่อไปว่าจะเป็นยังไง โดยการฟ้องร้องนี้อ.วีระไม่ได้ทำเองนะครับเป็นเรื่องของทาง RPI และ บริษัท Dynamic Advances

ท้ายนี้ผมก็ขอเล่าถึงเบื้องหลังงานวิจัยของอ.วีระชิ้นนี้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตัวผมเองเท่าที่พอจำได้นะครับ ก็คือในตอนที่งานวิจัยของอ.ใกล้จะเสร็จแล้วมีวันหนึ่งผมก็ได้รับเมลจากอ.ว่าขอให้ช่วยคิดคำถามเอาแบบที่เป็นภาษาพูดหน่อยจะเอาไปทดสอบกับระบบที่สร้างขึ้น ซึ่งอ.วีระก็คงขอให้เพื่อน ๆ ของแกหลายคนช่วยกันคิด จะได้มีข้อมูลที่หลากหลายไปทดสอบ ซึ่งผมก็ช่วยคิดไปจำนวนหนึ่งจำไม่ได้ว่ากี่ประโยค และก็ไม่เคยถามด้วยว่าแกเอาของผมไปใช้บ้างหรือเปล่า ส่งเสร็จก็ลบทิ้งไป ถ้ารู้ว่ามันจะดังอย่างนี้จะเก็บไว้ฟ้องร้อง... เอ๊ยไม่ใช่... เป็นที่ระลึกว่าเราก็มีส่วนร่วมในระบบนี้เหมือนกันก็คงจะดี ไม่แน่เหมือนกันนะครับว่าการที่ Apple รีบออกผลิตภัณฑ์อย่าง iPad รุ่นสี่ หรือ iPad Mini นี่อาจทำไปเพื่อระดมทุนมาจ่ายค่าสิทธิบัตรนี่ก็ได้...  :) 


หมายเหตุ
ใครที่อยากดูตัวสิทธิบัตรว่าหน้าตาอย่างไรดูได้จากลิงก์ต่อไปนี้ครับ http://www.google.com/patents/US7177798

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

iPhone 5 ไม่ว้าว แต่ iPod touch รุ่น 5 นี่โดนใจจริง ๆ

ผมไม่ได้เขียนบล็อกนี้มาเสียนานครับ จริง ๆ มีเรื่องอยากเขียนเยอะแต่ไม่ว่าง และพอว่างจะเขียนเรื่องมันก็ตกจากความสนใจไปแล้ว แต่วันนี้พอจะว่างและเรื่องที่จะเขียนนี้ก็คิดว่าไม่ตกกระแสแน่เพราะ Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone 5 ไปเมื่อวาน และจากกระแสที่ผมอ่าน ๆ มาและความรู้สึกของตัวเองสรุปว่ามันไม่ว้าวแฮะ แต่ที่เขียนอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะขายไม่ออกนะครับ ผมว่าถึงเวลามันวางขายจริงก็คงจะมีผู้คนมากมายไปต่อแถวรอซื้อมันเหมือนเดิมนั่นแหละ

คราวนี้ทำไมมันถึงไม่ว้าว ที่ไม่ว้าวเพราะว่าคุณสมบัติของมันที่แทบจะไม่แตกต่างจาก iPhone 4s สักเท่าไร ที่เปลี่ยนไปก็คือ ใช้ซีพียูที่รุ่นใหม่ที่ทาง Apple บอกว่าเร็วขึ้นสองเท่า (มั้ง) มีความยาวมากขึ้นจาก 4.5 นิ้วใน iPhone 4s เป็น 4.87 นิ้ว ที่เป็นอย่างนี้เพราะจอภาพใหญ่ขึ้นจากเดิม 3.5 นิ้วเป็น 4 นิ้ว และจอภาพมีความละเอียดมากขึ้น ใช้ซิมเป็น nano-sim กล้องหน้าดีขึ้นเพิ่มเป็น 1.2 ล้านพิกเซล ส่วนที่เหลือก็แทบเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีอย่าง NFC ซึ่งคู่แข่งอย่างซัมซุงมีมานานแล้ว ถ้าใครอยากเปรียบเทียบคุณสมบัติของ iPhone 5 กับ iPhone 4s ลองดูได้จาก เว็บของ Apple ครับ ส่วนเหตุผลที่ Apple ไม่ใส่เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปดูได้จาก ARIP ครับ

แต่ที่ผมว่าน่าสนใจและโดนมาก ๆ คือเจ้า iPod Touch รุ่น 5 นี่แหละครับ หลังจากที่ Apple ดูเหมือนจะทิ้งเจ้า iPod Touch ไปแล้วหลังจากที่ออกรุ่น 4 มาแล้วก็ไม่ได้ปรับปรุงมาแล้วสักปีหนึ่งเห็นจะได้ แต่มาคราวนี้เหมือนจะให้มาเต็มเลย คุณสมบัติของจอภาพและกล้องหน้ามาเท่ากับ iPhone 5 เลย นอกจากนี้ยังบางกว่า iPhone 5 มีสีให้เลือกห้าสี และราคาที่ถูกกว่า iPhone 5 มาก ที่ด้อยกว่าคือกล้องหลังที่ให้มา 5 ล้านพิกเซล และ CPU ซึ่งเท่ากับ iPhone 4S ผมว่าแทบอาจพูดได้เต็มปากว่า iPod Touch ตัวนี้คือ iPhone 5 ที่โทรไม่ได้ แต่เสียดายที่ไม่มีรุ่นที่ใส่ซิมเพือใช้เข้าอินเทอร์เน็ตได้ คงกลัวว่ามันจะใกล้เคียงกับ iPhone มากเกินไป สำหรับคุณสมบัติของ iPod Touch รุ่น 5 ดูได้จาก เว็บของ Apple ครับ

สุดท้ายขอให้ความเห็นส่วนตัวหน่อยว่าควรจะซื้อเจ้า iPhone 5 ไหม อันแรกถ้าใครอยากได้และไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทองก็เชิญครับ ส่วนคนที่มี iPhone 4 และใช้มาคุ้มค่าแล้วอยากอัพเกรดแต่ลังเล ผมว่าอัพเกรดได้ครับเพราะซีพียูของ iPhone 5 นี่ดีกว่า iPhone 4 พอสมควร และยังมีคุณสมบัติอย่าง Siri ซึ่งใช้ไม่ได้ใน iPhone 4 ถึงตอนนี้ Siri จะยังพูดไทยไม่ได้แต่อนาคตผมว่ามันน่าจะใช้ได้ ดังนั้นอัพเกรดรอไว้ก็ไม่น่าเสียหาย ส่วนคนที่มี iPhone 4S และรู้สึกว่าจอมันเล็กไปอยากใช้จอใหญ่และละเอียดขึ้นจะอัพเกรดก็ได้ แต่ผมว่าถ้าเป็นแค่เหตุผลนี้ก็ซื้อ iPod Touch มาใช้คู่กับเจ้า 4S ดีกว่า ประหยัดเงินได้เป็นหมื่น และไม่ต้องถูกกดราคาขายต่อเจ้า 4S ด้วย เพราะผมว่าหลายคนก็ยังซื้อมาได้ไม่ถึงปี แต่ประเด็นคืออาจต้องพกสองเครื่องซึ่งผมว่าไม่น่าเป็นปัญหาเพราะ iPod Touch บางมาก เวลาโทรศัพท์ก็ใช้เจ้า 4S ไป อยากดูหนังฟังเพลงจอใหญ่ก็ดูจาก iPod Touch ถ้าอยากท่องเว็บผ่าน iPod Touch ก็แชร์เน็ตจาก iPhone ส่วนคนที่ใช้ระบบปฏิบัติการอื่นอยู่แต่อยากลอง iOS ผมว่า iPod Touch เป็นทางเลือกที่ดีครับ

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

จะทำยังไงเมื่อ Facebook คิดว่าเราตายไปแล้ว

บล็อกนี้เขียนขึ้นด้วยความประหลาดใจสองข้อครับ ข้อแรกคือผมเพิ่งจะรู้ว่า Facebook มีฟังก์ชันให้เราแจ้งว่าเพื่อนของเราตายไปแล้ว ข้อสองคือ Facebook จะเชื่อทันทีโดยไม่ตรวจสอบและเปลี่ยนสถานะบัญชีของคนที่ถูกแจ้งว่าตายแล้วเป็นสถานะอยู่ในความทรงจำ ซึ่งเจ้าของบัญชีที่อยู่ในสถานะนี้เมื่อล็อกอินเข้ามาแล้วจะเจอข้อความว่า

Account Inaccessible This account is in a special memorial state. If you have any questions or concerns, please visit the Help Center for further information.

 ถ้าแปลเป็นไทยก็จะได้ความประมาณว่า บัญชีนี้อยู่ในสถานะอยู่ในความทรงจำ ถ้ามีคำถามหรือข้อสงสัยใด ๆ ให้ติดต่อศูนย์ช่วยเหลือ นั่นหมายความว่าเจ้าของบัญชีจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากต้องติดต่อศูนย์ช่วยเหลือนี่เท่านั้น ซึ่งถ้าใครตอนนี้อยู่ในสถานะนี้ (และแน่นอนยังไม่ได้ตายจริง) นี่คือลิงก์ของศูนย์ช่วยเหลือเรื่องนี้ครับ แจ้งเรื่องสถานะอยู่ในความทรงจำ

ประเด็นที่ผมอยากจะเพิ่มเติมก็คือหนึ่งผมว่าคุณสมบัตินี้มีประโยชน์นะครับ ลองนึกว่าจะดีแค่ไหนถ้าเพื่อนเราตายไปแล้วแต่เวลาเราคิดถึงเขาเราก็ยังเข้าไปดูสิ่งที่เขาเคยโพสต์ได้ แต่ Facebook น่าจะทำอะไรได้ดีกว่าพอมีคนแจ้งปุ๊บก็เชื่อปั๊บและเปลี่ยนสถานะให้เขาตายทันที อย่างนี้ก็แกล้งกันได้ง่ายสิครับ และแน่นอนมีคนถูกแกล้งมาแล้ว สิ่งที่ Facebook ทำตอนนี้คือแค่มีคำเตือนอย่างนี้ครับ

IMPORTANT: Under penalty of perjury, this form is solely for the reporting of a deceased person to memorialize.

แปลเป็นไทยแบบสรุป ๆ ก็คือคุณอาจโดนข้อหาแจ้งความเท็จได้ ประเด็นคือต้องไปฟ้องร้องเอา แล้วกฎหมายนี้มันจะครอบคลุมทุกประเทศไหม อย่างประเทศไทยนี่มันเข้าข่ายพรบ.คอมพิวเตอร์ข้อไหนไหมแค่คิดก็ปวดหัวแล้ว ซึ่งจริง ๆ ผมว่ามันมีวิธีป้องกันง่าย ๆ ที่ Facebook น่าจะคิดและทำได้ เช่นพอมีคนแจ้งก็ส่งอีเมลไปให้เจ้าของบัญชีก่อนเพื่อการยืนยัน โดยข้อความในจดหมายที่ผมคิดเล่น ๆ อาจเป็นประมาณนี้ (เอาแบบสนุก ๆ นะครับ)

  เรียนคุณ .... 

 เราได้รับแจ้งว่าคุณได้เสียชีวิตไปแล้ว ถ้าเป็นจริงเราเสียใจด้วย และคุณไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เราเข้าใจดีว่าการติดต่อสื่อสารจากอีกโลกหนึ่งมายังอีกโลกหนึ่งอาจมีความไม่สะดวก เราจะดำเนินการทุกอย่างให้คุณเอง ขอให้พักผ่อนอย่างสงบ 

แต่ถ้าคุณยังไม่ตาย เราขอแสดงความยินดีด้วย และเรายินดีที่จะได้บริการคุณต่อไป เราขอให้คุณคลิกที่ลิงก์ข้างล่างนี้ภายใน 30 วัน เพื่อยืนยันว่าคุณยังไม่ตาย และเราขอแนะนำเพิ่มเติมอีกว่าให้คุณเลิกคบกับคุณ ... ซึ่งเป็นคนแจ้งว่าคุณตายไปแล้ว แต่กรุณาอย่าแก้แค้นเขาด้วยการแจ้งว่าเขาตายไปแล้วเช่นกัน นั่นจะเป็นการเพิ่มงานให้กับเรา 

ด้วยความนับถืออย่างสูง 

 มาร์ค และทีมงาน Facebook 

หรือเวลาคนที่ถูกแจ้งตายล็อกอินเข้ามาก็มีข้อความแจ้งเตือน และให้เขายืนยันตัวตนด้วยการส่งลิงก์ไปให้คลิกจากอีเมล นี่คือวิธีง่าย ๆ ที่น่าจะทำได้ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ เออแต่นึกอีกทีไอ้เรื่องง่ายกว่านี้เขายังปล่อยปละละเลยมาตั้งนานเช่นเรื่องไม่ให้แก้คอมเมนต์เวลาพิมพ์ผิด ถ้าอยากแก้ก็ต้องลบคอมเมนต์แล้วพิมพ์ใหม่ นี่เพิ่งจะนึกได้ว่าควรจะให้แก้ได้ แต่เขาก็ทยอยเปิดคุณสมบัตินี้ให้ผู้ใช้นะครับ ไม่ได้ให้ใช้พร้อมกัน เหมือนตอนทยอยเปิดไทม์ไลน์นั่นแหละครับ ไม่แน่ใจว่าพวกเราจะได้ใช้เมื่อไหร่ (ตอนนี้อาจมีบางคนได้ใช้แล้วก็ได้)

ผมไม่ค่อยอยากคิดว่านี่เป็นบั๊กของโปรแกรมหรอกนะครับ เพราะขี้เกียจได้ยินประโยคที่มักจะได้ยินบ่อย ๆ ว่า

It's not a bug. It's a feature (มันไม่ใช่บั๊กนะเฟ้ย มันเป็นคุณสมบัติของโปรแกรมต่างหาก)

สุดท้ายก็หวังว่าคงจะไม่มีใครเอาเรื่องนี้ไปแกล้งกันนะครับ...

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เครื่องมือไม่ใช่ปัญหาคนต่างหากที่เป็นปัญหา

วันนี้พอดีได้อ่านข่าวจาก blognone เรื่องนี้ครับ นิวยอร์คซิตี้ออกกฎใหม่ห้ามอาจารย์-นักเรียนเป็นเพื่อนกันบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค เหตุผลที่เขาออกกฎนี้ออกมาก็เพราะในปีที่แล้วมีกรณีไม่เหมาะสมระหว่างครูกับนักเรียนเกิดขึ้นผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คหลายกรณีด้วยกัน พออ่านแล้วก็รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีจะมีผู้คนที่ใช้วิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ต่างจากประเทศสารขัณฑ์ที่นึกอะไรไม่ออกก็บล็อกเว็บไซต์ไว้ก่อนแบบนี้  ผมไม่คิดว่าการแก้ปัญหาแบบนี้มันจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดนะครับ กรณีระหว่างครูกับนักเรียนนี่ถ้ามันจะมีไม่ต้องมีโซเชียลเน็ตเวิร์คมันก็มีได้ และจริง ๆ ไอ้เรื่องแบบนี้มันก็มีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะมีโซเชียลเน็ตเวิร์คแล้ว

การที่นักเรียนกับอาจารย์เป็นเพื่อนกันบนโซเชียลเน็ตเวิร์คมันก็มีประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ การติดตามดูแลการโพสต์ของนักศึกษาไม่ให้เกินเลยไปรวมถึงการโพสต์ข้อความของตัวอาจารย์เองด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการที่อาจารย์กับนักเรียนเป็นเพื่อนกันบนเฟซบุ๊คก็จะทำให้นักเรียนไม่รู้สึกกลัวเวลาที่จะต้องไปพบอาจารย์เพื่อปรึกษาเรื่องต่าง ๆ หรือถ้ายังกลัวอยู่ก็ยังสามารถขอคำปรึกษาผ่านเฟซบุ๊คได้ ซึ่งในยุคสมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนอยู่นี่เวลาต้องเข้าไปปรึกษาอาจารย์ก็รู้สึกเกร็ง ๆ แทบทุกครั้ง ขนาดไม่ได้ทำความผิดอะไรนะครับ และไม่มีเฟซบุ๊คให้ไปโพสต์ถามด้วยต้องเข้าไปเผชิญหน้ากันอย่างเดียว เทียบกับลูกผมตอนนี้เป็นเพื่อนกับครูบนเฟซบุ๊คอยากถามอะไรก็ถามได้ง่าย หรือบางครั้งก็มีการคุยเล่นสนุก ๆ กับครูของเขาบ้าง  หรือแม้แต่ตัวผมเองต้องบอกว่าเพื่อนของผมกว่าครึ่งบนเฟซบุ๊คตอนนี้ก็คือลูกศิษย์ของผม และผมก็ถูกแซวบ้างเวลาที่ลิเวอร์พูลแพ้ (แต่ก็อย่าแซวมากนักนะ เดี๋ยวมีเคือง) ซึ่งผมว่าตรงนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนใกล้ชิดกันมากขึ้น

สรุปก็คือผมว่าทั้งหลายทั้งปวงมันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนไม่ว่าจะมีอาชีพใดก็ตาม ถ้าคนคนนั้นไม่มีจิตสำนึกที่ดี ต่อให้ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรคนคนนั้นก็ทำเรื่องไม่ดีได้ การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่น่าจะใช่การไปควบคุมการใช้เครื่องมือที่คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนดีใช้ประโยชน์อยู่ แต่ควรจะกลับมาเน้นเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่เด็ก ๆ ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า และช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องผู้ใหญ่ไม่ดีในวันนี้ไม่ให้ทำเรื่องชั่วร้ายและควรจะลงโทษสถานหนักสำหรับคนที่ทำผิดมากกว่า 


วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

ต้องจ้างเท่าไรให้หยุดใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งปี

เวลาผ่านไปเร็วมากเผลอแป๊บเดียวเดือนที่สามของปีกำลังจะผ่านไปแล้ว ที่ตั้งใจไว้วางแผนไว้ก็ยังไม่ได้ทำตามเป้าหมายสักเท่าไรเลยครับ เรื่องบล็อกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยังทำไม่ได้ จริง ๆ ตั้งใจจะเขียนอย่างน้อยสัปดาห์ละเรื่องแต่ตอนนี้ก็เว้นไปจะสามเดือนแล้วครับ เอาน่าคราวนี้ขอตั้งมาตั้งใจใหม่รับปีใหม่ไทยที่กำลังจะมาถึงแล้วกันครับ

สำหรับวันนี้้ผมอยากจะตั้งคำถามตามชื่อบทความวันนี้ให้คิดกันครับว่า จะต้องจ้างเราสักเท่าไรดีเพื่อให้เราหยุดใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งปี ซึ่งคำถามนี้ผมได้มาจากการอ่านบทความชื่อ How Much Money Would It Take For You to Give Up The Internet For a Year?   ซึ่งผู้เขียนบทความได้นำผลสำรวจจาก Boston Consulting Group (BCG) ซึ่งได้สอบถามคำถามนี้กับประชาชนในกลุ่มประเทศ G-20 ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นดังนี้ครับ ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ $1,430 หรือประมาณ 44,330 บาท ถ้าแยกเป็นประเทศก็มีตัวอย่างดังนี้ครับ $323 ในตุรกี $1,215 ในแอฟริกาใต้ $1,287 ในบราซิล $4,453 ในฝรั่งเศส $3,450 ในอังกฤษ และ $2,500 ในสหรัฐอเมริกา

เห็นข้อมูลนี้แล้วคิดยังไงกันบ้างครับมากไปหรือน้อยไป สำหรับผมกับเจ้าของบทความคิดตรงกันครับว่ามันค่อนข้างจะน้อยเกินไป และที่น่าประหลาดใจก็คือที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศแห่งเทคโนโลยี ค่าเฉลี่ยต่ำมากครับคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 77,500 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ามาจ้างผมเท่านี้ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลยครับ

คราวนี้มาดูว่าทำไมผมถึงคิดว่ามันต่ำครับ ก่อนอื่นต้องแยกประเด็นก่อนนะครับว่ากรณีนี้ไม่ใช่กรณีที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ แต่เป็นกรณีที่มีให้ใช้ คนอื่นใช้แต่เราไม่ได้ใช้ ถ้าเป็นกรณีที่ไม่มีใช้นี่ผมอยู่ในยุคนั้นมาแล้ว ยุคที่การหาข้อมูลยังต้องพึ่งพาอาศัยห้องสมุดเป็นหลัก ต้องสั่งหนังสือผ่านร้านหนังสือรอกันทีเป็นเดือน ยุคที่ต้องถ่ายเอกสารรูปจากหนังสือมาลงแผ่นใสเพื่อสอน ดังนั้นผมเชื่อว่าผมอยู่ได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่คนอื่นเขาใช้และเราไม่ได้ใช้ผมคิดว่ามันทำให้เราเสียประสิทธิภาพในการทำงานและการดำเนินชีวิตไปเลยนะครับ ในขณะที่คนอื่นเขาสามารถค้นข้อมูลที่ต้องการได้ภายในไม่กี่นาที สามารถสั่งอีบุ๊คมาอ่านได้ทันที สามารถติดต่อสื่อสารได้ตามต้องการ เราต้องขับรถ ขึ้นรถไฟฟ้า ปั่นจักรยานหรือเดินไปห้องสมุด ซึ่งข้อมูลที่ได้จากห้องสมุดก็อาจไม่ทันสมัย เราต้องรอหนังสือที่สั่งไปประมาณอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์  เราต้องติดต่อธุรกิจกับคนอื่นผ่านทางไปรษณีย์แบบด่วนทันใจ (ems) :) ซึ่งคงไม่ทันใจเท่าไรแล้วในยุคนี้ แค่คิดก็เหนื่อยแล้วครับ :(

ถ้าถามว่าเท่าไรถึงจะจ้างผมได้  ผมยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดครับแต่คิดว่าไม่น่าต่ำกว่าเจ็ดหลัก (มากไปเปล่าเพ่...) และมันขึ้นอยู่กับอีกคำถามหนึ่งซึ่งเจ้าของบทความเขาก็ถามทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า "แล้วจะทำได้หรือ?" นั่นสิแล้วผมจะทำได้หรือ ผมจะทนพลาดดราม่าต่าง ๆ บน twitter และ facebook ได้ยังไงกัน!

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อดีของการที่ Apple ออก iPhone 4S ไม่ใช่ iPhone 5

วันนี้ขอเกาะกระแส iPhone กับเขาสักวัน ก็คงทราบกันไปแล้วนะครับว่า iPhone ตัวใหม่ของ Apple คือ iPhone 4S ไม่ใช่ iPhone 5 สรุปก็คือมีรูปทรงเดียวกับ iPhone 4 แต่คุณสมบัติการทำงานดีขึ้น ใครที่อยากทราบรายละเอียดก็เชิญที่บล็อกของ @ipattt ได้เลยครับ ซึ่งงานนี้ก็น่าจะสร้างความผิดหวังกับให้ผู้ที่รอคอย iPhone 5 บางส่วนไปไม่น้อยทีเดียว แต่ในวันนี้ผมจะมาลองสรุปมุมมองของผมเองต่อการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ในส่วนที่จะเป็นข้อดีให้กับผู้บริโภคอย่างเราให้ฟังกันครับ
  1. ผู้ใช้ที่ต้องการซื้อ iPhone 4S จะซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้ผมมมองว่าจะเหมือนตอนที่ Apple ออก iPhone 3GS ซึ่งซิ้อได้ง่ายมาก เมื่อเทียบกับ iPhone 3G ซึ่งต้องไปเข้าคิวต่อแถวซื้อกัน
  2.  ราคาของ iPhone 4 จะถูกลงอย่างแน่นอน ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการคุณสมบัติที่เพิ่มเติมขึ้นมาและตราบใดที่เจ้า iPhone 4 ยังสามารถอัพเกรดระบบปฏิบัติการต่อไปได้ ผมว่าทางเลือกนี้อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ในส่วนตัวผมคิดว่าถ้า Apple กล้าลดราคา iPhone 4 ลงมาเหลือประมาณหมื่นกลาง ๆ โดยตามข่าวรู้สึกว่าจะมี  iPhone 4 ซึ่งมีหน่วยความจำ 8 GB มันน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับมือถือราคาหมื่นกลางที่มีอยู่ตอนนี้เลยทีเดียว
  3.  อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ สามารถใช้ร่วมกันได้
  4. คนที่เพิ่งซื้อ iPhone 4 ไป (โดยที่ไม่ได้ไปแหกคอกแหกกฏระเบียบที่ผู้จัดงานเขาจัดไว้) ก็ยังสามารถใช้งาน iPhone 4 ต่อไปได้ โดยไม่ต้องรู้สึกว่าซื้อมาปุ๊บก็ตกรุ่นปั๊บ
  5. คนที่ยังเก็บเงินได้ไม่ถึงก็มีเวลาเก็บเงินเพิ่มสำหรับ iPhone 5 
  6. เราก็มีเรื่องให้มานั่งเดานั่งลุ้นกันต่อไปว่า iPhone 5 จะเป็นอย่างไร 
สำหรับผมตอนนี้เท่าที่คิดออกก็มีแค่นี้ ใครที่เห็นข้อดีอื่น ๆ และอยากจะร่วมแสดงความเห็นก็เชิญได้ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

แอปแท้... แอปเถื่อนกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์


สวัสดีครับ ไม่ได้เขียนบล็อกมานานมากทั้งที่มีเรื่องมากมายอยากพูดคุยอยากเล่าให้ฟังกัน วันนี้พอจะหาเวลาได้สักเล็กน้อยก็ขอเขียนเสียหน่อยแล้วกัน เรื่องที่อยากจะคุยกันวันนี้เกี่ยวกับการหาซื้อซอฟต์แวร์มาใช้งานครับ ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้คิดที่จะมาเป็นตัวแทนอะไรให้บริษัทซอฟต์แวร์นะครับ แต่ที่เขียนวันนี้เพราะอยากจะให้พวกเราคนไทยมีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดหาซอฟต์แวร์มาใช้งาน

ย้อนกลับไปหลายปีก่อนที่ซอฟต์แวร์มีราคาแพงมาก เช่นไมโครซอฟท์เวิร์ด 1 ชุดมีราคาเป็นหลักหมื่นบาท  สูงกว่าเงินเดือนของข้าราชการระดับปริญญาโทของไทยที่ระดับหกพันกว่าบาท (ผมรู้ครับเพราะผมเริ่มเข้าทำงานด้วยเงินเดือนเท่านี้จริง ๆ นะจะบอกให้) และซอฟต์แวร์ที่เป็นโอเพนซอร์ซก็ยังไม่ได้มีให้ใช้กันแพร่หลายอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นทางเลือกของเราก็คือซอฟต์แวร์จากพันทิพที่ทำให้เราได้ทดลองใช้งานซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ผมเคยมีประสบการณ์เดินไปถามราคาไมโครซอฟท์เวิร์ดที่ร้านที่ขายซอฟต์แวร์แท้ที่ขายอยู่บนห้างพันทิพ พอคนขายบอกราคามาเป็นหลักหมื่น ผมก็เผลอตัวอุทานออกมา ซึ่งคนขายก็มองผมอย่างสมเพชแล้วก็ทำท่าบุ้ยใบ้เหมือนกับบอกว่า "เอ็งก็ไปซื้อข้างนอกเอาซิแผ่นละไม่กี่ร้อยมีโปรแกรมเป็นโหล"

ผมเคยคุยกับลูกศิษย์ลูกหาของผมในรุ่นแรก ๆ ของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมบอกว่าปัญหาก็คือราคาซอฟต์แวร์แพงเกินไป คือมันอาจจะไม่แพงถ้าเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนในสหรัฐอเมริกา แต่มันอาจจะแพงสำหรับคนในประเทศอื่น ตอนนั้นผมบอกว่าโมเดลการขายซอฟต์แวร์พื้นฐานทั่วไปที่ดีก็คืออย่าตั้งราคาให้สูงนักเช่นสัก 10 เหรียญ แต่ถ้าขายทั่วโลกได้ล้านชุดก็ 10 ล้านเหรียญแล้ว ซึ่งผมมองว่าสำหรับซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งนี่ก็น่าจะคุ้มหรือเกินคุ้มแล้ว แต่ยังไงก็ตามผมก็บอกลูกศิษย์ผมว่าถ้าเราไปซื้อซอฟต์แวร์พันทิพมาเพื่อการศึกษาก็ทำไปนะ แต่ถ้าเมื่อไรที่เรานำไปหารายได้ก็น่าจะซื้อของลิขสิทธิ์มาใช้

เวลาผ่านไปราคาซอฟต์แวร์ก็ถูกลง มีโอเพนซอร์ซซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ดาวน์โหลดมาใช้ฟรี ๆ และยังมีโมเดลแบบ App Store ของ Apple และ Android Market ของ Google ซึ่งก็เปิดโอกาสให้เราซื้อซอฟต์แวร์ในระดับที่ถูกกว่าที่ผมเคยคิดไว้เสียอีก บางตัวราคาไม่ถึง 30 บาท ซึ่งผมก็คาดหวังว่าการใช้ซอฟต์แวร์น่าจะถูกลิขสิทธิ์มากขึ้น ในส่วนตัวผมเองตอนนี้บอกเลยว่าบนเครื่องที่ผมใช้งานตอนนี้ไม่มีซอฟต์แวร์ละเมิดอยู่เลย บางตัวที่ดีแล้วเขาขายราคาไม่แพงมากผมก็ซื้อ ถ้ามันแพงมากผมก็ไปหาตัวที่ฟรีที่ใกล้เคียงกันมาใช้ ยิ่งในพวก App Store นี่ผมก็ว่าเขายิ่งใจกว้างซื้อหนึ่งครั้งราคาอาจไม่ถึง 30 บาท แต่เอาไปติดตั้งลงได้หลายเครื่อง แต่กลับเป็นว่ามีคนเอาความใจกว้างนี่มาทำมาหากินโดยใช้คำว่า App แท้ ซึ่งตามความหมายของคนขายคือเป็นโปรแกรมที่เขาอาจลงทุนไปซื้อมา แต่ใช้ความใจกว้างของบริษัทซอฟต์แวร์เอามาขายต่อโดยติดตั้งให้ลูกค้าไปอีกเป็นไม่รู้กี่ร้อยคน ส่วน App เถื่อนคืออะไร ก็คือซอฟต์แวร์ที่เขาขายนี่แหละ แต่ว่าเราไปโหลดมาใช้แบบฟรี ๆ โดยการจะทำอย่างนี้ได้เครื่องที่ใช้ iOS (ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครื่้อง iPhone, iPod, iPad) ของเราจะต้องสิ่งที่เรียกว่าการ Jail Break ก่อน จากนั้นมันจึงจะมีช่องทางให้เราเข้าไปหาซอฟต์แวร์มาใช้แบบฟรี ๆ   ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้ต่อต้านการ Jail Break เพราะการ Jail Break ทำให้เราสามารถใช้โปรแกรมหลาย ๆ ตัวที่มีประโยชน์แต่ Apple ไม่อนุณาตให้นำไปขายใน App Store หรือบางคนก็บอกว่า Jail Break เพื่อลองไปโหลดโปรแกรมมาลองใช้ดูก่อน ถ้าดีแล้วค่อยซื้ออันนี้ถ้าทำอย่างนั้นจริงผมก็ว่าโอเคนะครับ แต่ก็มีร้านค้าใช้ความไม่ค่อยรู้ของคนนี่แหละเอามาหากินเช่นกัน โดยรับ Jail Break เครื่องแล้วก็ติดตั้งโปรแกรมให้ลูกค้าแล้วก็เก็บเงินลูกค้าไป

ผลเสียของทั้งสองวิธีนี้ก็คือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่เขาลงทุนลงแรงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ประโยชน์กลับตกไปเป็นของร้านค้าเหล่านี้  บางคนอาจถามว่าแล้วผมมาเดือดร้อนอะไรด้วย คำตอบก็คือผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวงการนี้ ถึงผมในตอนนี้จะไม่ได้เป็นคนหนึ่งที่พัฒนาโปรแกรมขึ้นสู่ App Store แต่ผมก็เป็นคนสอนเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรม และผมก็คาดหวังว่าลูกศิษย์ของผมหลาย ๆ คนอาจจะเป็นคนที่พัฒนาโปรแกรมออกมาขายบ้างก็ได้ ซึ่งถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ผมว่าตลาดของไทยคงเติบโตยาก

ผมเข้าใจว่าคนใช้ iPhone, iPod, หรือ iPad หลายคนไม่ได้มีความคิดที่จะใช้ซอฟต์แวร์แบบไม่ถูกต้องเหล่านี้ แต่เพราะความไม่รู้และอาจจะถูกทำให้เข้าใจผิดด้วยคำว่า App แท้ ก็หวังว่าบล็อกนี้จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น ส่วนบางคนอาจบอกว่าทำไม่เป็นพวกติดตั้งโปรแกรมอะไรนี่ ครั้นจะซื้อโทรศัพท์ราคาสองหมื่นกว่าบาทมาโทรอย่างเดียวก็กลัวจะไม่คุ้ม ผมอยากบอกครับว่าลองศึกษาดูครับ มีเว็บไซต์และหนังสือดี ๆ ที่สอนการใช้งานเรื่องพวกนี้อยู่มากมาย และจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องยากนะครับ และผมคิดว่าเราจะสนุกสนานกับการใช้อุปกรณ์ของเรามากขึ้นด้วย  ส่วนคนที่บอกว่าแหมจ่าย 500 บาท เขาลงโปรแกรมมาให้ตั้งหกหน้าแปดหน้า ถ้ามัวมาหามาลงเอง จะใช้เวลาเท่าไร และต้องจ่ายเงินเท่าไร ลองถามตัวเองครับว่าโปรแกรมที่เราใช้จริง ๆ จัง มีสักกี่ตัวกัน ไอ้ที่เขาลงมาให้หกหน้าแปดหน้านี่ได้ใช้จริงหรือเปล่า

สุดท้ายผมก็อยากมาเชิญชวนพวกเราให้มาใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกลิขสิทธิ์กันครับ สบายใจภูมิใจเวลาใช้ สร้างสำนึกที่ดีในการเคารพทรัพย์สินทางปัญญาให้กับสังคมเรา และยังช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทยเราอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ครึ่งคืนกับครึ่งวันกับการล็อกอินเน็ตทรู

สวัสดีครับวันนี้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการที่ต้องใช้บริการฝ่ายสนับสนุนเน็ตทรูมาเล่าให้ฟังกันครับ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อคืนวันที่ 4 พ.ค. ขณะที่ผมนั่งดูเรยาอยู่อย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งต้องอ่านตัววิ่งคอยย้ำเตือนตัวเองให้รู้ว่าสิ่งที่เห็นในจอภาพคือการแสดงอยู่นั้น (ผมว่าคนชาติอื่นถ้าเขาอ่านภาษาไทยออกคงประหลาดใจนะครับว่าคนไทยไม่รู้หรือไงว่าที่อยู่ในทีวีคือการแสดง ถึงต้องมีตัววิ่งบอก) ลูกชายก็มาบอกให้ช่วยดูหน่อยว่าเน็ตเป็นอะไร ผมก็ขึ้นมาดูปรากฏว่าที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มันขึ้นข้อความว่าชื่อล็อกอินผิดพลาด ถึงตรงนี้คงต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปทำเรื่องย้ายอินเทอร์เน็ตจากเบอร์หนึ่งมาอีกเบอร์หนึ่ง ผมตัดสินใจไม่เอาเราต์เตอร์ที่ทรูจะให้ เพราะไม่อยากที่จะต้องผูกพันว่าจะต้องใช้ทรูไปอีกปีครึ่ง (จริง ๆ จะเอามาก็ได้ เพราะตอนนี้แถวบ้านผมมันแทบไม่มีตัวเลือกอื่น แต่รู้สึกว่าที่เราเตอร์ที่เรามีอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว) ทรูก็ให้บัตรมาใบหนึ่งซึ่งต้องขูดเพื่อดูรหัส และบอกว่าประมาณ 4 วัน (นับจากวันที่ผมไปขอ) จึงจะใช้ได้ โดยทรูไม่คิดที่จะโทรมาหรือ SMS มาบอกเลยว่าใช้ได้แล้ว เอาเป็นว่าผมก็นับเอาว่า 4 วันแล้วก็ย้ายเราเตอร์มาต่อกับเบอร์ใหม่และก็ต่อเข้าไป ก็พบข้อความว่าให้ลงทะเบียนชื่อล็อกอินและรหัสผ่าน ขูดบัตรมาดูปรากฏว่าเป็นเลขอะไรไม่รู้ชุดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ล็อกอินและรหัสผ่าน ก็เลยโทรไปถามทาง call center ของทรูเบอร์ 1686 ได้รับคำชี้แจงว่า ไม่ต้องใช้รหัสผ่านอะไรแล้ว ตอนนี้ทรูจะเช็คจากเบอร์โทรศัพท์ ผมก็ถามว่าที่เราเตอร์ผมมีล็อกอินและรหัสผ่านของเบอร์เก่าอยู่ต้องไปลบทิ้งหรือทำอะไรไหม ทางทรูก็บอกว่าไม่ต้อง จากนั้นก็เซ็ตค่าให้ผมใช้อินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งผมก็ใช้ได้มาปกติจนถึงคืนวันที่ 4 พ.ค. อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นนั่นแหละครับ

เมื่อเกิดปัญหาผมก็โทรไปหา call center จากการโทรครั้งนี้ทำให้ผมได้รับทราบว่ามีคนที่มีปัญหาการใช้งานอินเทอร์เน็ตของทรูมากมาย เพราะมีข้อความบอกประมาณว่า "เนื่องจากมีลูกค้าแจ้งปัญหาการใช้บริการเข้ามาเป็นจำนวนมากดังนั้นท่านอาจต้องคอยนานหน่อย" ซึ่งผมก็คิดว่าสงสัยเน็ตทรูจะล่ม ลูกค้าที่โทรเข้าไปอาจเป็นอาการเดียวกับผม แต่ก็ตัดสินใจรอคุยดูให้รู้แน่ คิดว่ารออยู่สักประมาณเกือบสิบนาทีได้ครับ ก็มีพนักงานมารับสายผมก็แจ้งอาการให้ทราบ พนักงานก็เช็คให้และบอกว่ายังไม่เห็นมีการติดต่อเข้ามาในระบบ (ตอนนั้นผมเปิดเราเตอร์ไว้) อาจเป็นปัญหาที่เราเตอร์ของผม บอกว่าให้ผมเซ็ตค่าเราเตอร์ใหม่ พร้อมทั้งถามว่าผมจำชื่อล็อกอินและรหัสผ่านของทรูได้ไหม อ้าวไหนตอนเปิดใช้ก็บอกว่าไม่ต้องใช้แล้ว ตอนนี้จะมาถามอะไรถึงถามผมก็ไม่มีให้ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรไปปรากฏว่าสายหลุดครับ ซึ่งผมก็คาดว่าเดี๋ยวเขาคงจะโทรกลับมา ก็เลยไปจัดเตรียมเครื่องและอุปกรณ์เพื่อเตรียมเซ็ตเราเตอร์ เตรียมอุปกรณ์เสร็จ ดูเรยาจบไปอีกตอนก็ไม่มีใครโทรมา ก็เลยโทรกลับไปอีกครั้ง เหมือนเดิมครับรอไปประมาณสิบนาที ก็มีพนักงานน่าจะอีกคนนะครับมารับเรื่องต่อให้ คนนี้ไม่ถามล็อกอินรหัสผ่านครับแต่จัดการเซ็ตให้เลย ให้ผมใส่ค่าไปตามที่เธอบอก ผมก็เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่า "ไม่ต้องใช้แล้วไม่ใช่หรือครับ" เธอก็บอกว่าต้องใช้ (โอเคใช้ก็ใช้) เมื่อใส่เสร็จผมก็รีบูตเราเตอร์ปรากฏว่ายังมีอาการเดิมครับคือเข้าเน็ตไม่ได้ พนักงานก็บอกว่าแปลกตอนนี้ก็เห็นข้อมูลต่อเข้ามาแล้วนี่ ผมก็เลยลองเช็คสถานะเราเตอร์ดูก็ปรากฏว่าได้รับหมายเลข IP และ ค่า Gateway กับ DNS มาเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็บอกผมอีกว่าให้ลองเช็คค่า IP ของเครื่องดู (ขอให้ความรู้นิดหนึ่งครับตรงนี้จะเป็นการเช็คครับว่าตัวเราเตอร์จ่าย IP ให้กับเครื่องหรือไม่) ซึ่งผมก็เช็คดูก็ปรากฏว่าตัวเราเตอร์จ่าย IP ปกติดี สักครู่หนึ่งพนักงานก็บอกว่า "เอ๊ะทำไมดูเหมือนว่าล็อกอินจะหลุดไปอีกแล้ว สงสัยเราเตอร์ของคุณจะมีปัญหา" ผมก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น (ตอนนั้นยังไม่รู้ แต่ตอนหลังมานั่งคิดดูสงสัยขาเก้าอี้ที่ผมนั่งมันอาจจะเลื่อนไปชนปลั๊กเราเตอร์ ทำให้ไฟมันดับไปแป๊บหนึ่ง) พนักงานก็ถามว่าผมมีเราเตอร์ตัวอื่นไหม จริง ๆ ตอนนั้นผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเราเตอร์แต่จะให้ลองดูก็ได้ ผมก็บอกว่างั้นเดี๋ยวผมจะไปเอาเราเตอร์ที่ทรูให้มาตอนสมัครเบอร์เก่ามาลองเซ็ตดูตามค่าที่ให้มา แล้วถ้าไม่ได้ยังไงจะโทรกลับไปอีกทีหนึ่ง

หลังจากเซ็ตเราเตอร์เสร็จลองต่อใหม่ก็อาการเดิมครับ ถึงตอนนี้ผมมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซนต์ว่าปัญหาอยู่ที่ระบบตรวจสอบผู้ใช้ของทรูนั่นแหละ เพราะทุกอย่างก็ได้รับมาถูกต้อง เราเตอร์ก็ทำงานปกติ ก็เลยตั้งใจว่าโทรไปคราวนี้จะขอให้ลองทำขั้นตอนแอ็กติเวตผู้ใช้ใหม่อีกครั้ง โทรไปรอประมาณสิบนาทีเหมือนเดิม ก็ได้พูดกับพนักงาน(น่าจะ) อีกคนหนึ่ง ก็แจ้งอาการให้ทราบ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร เธอก็บอกประมาณว่าผมโทรมาหลายครั้งแล้วด้วยอาการเดิม สงสัยอาจเป็นปัญหาที่ชุมสายหรือที่บ้านยังไงให้ทิ้งเรื่องไว้แล้วจะให้ช่างไปดูให้ภายใน 24 ชั่วโมง ผมก็เลยชวนคุยเกริ่นนำไปว่าก่อนหน้านั้นไม่นานก็ยังปกติดีอยู่เลยไม่น่าจะเกี่ยวกับชุมสายนะ แต่คำตอบที่ผมได้รับทำให้ผมตัดสินใจที่จะไม่เดินเรื่องต่อในคืนนั้นครับ เพราะเธอพูดประมาณว่าตอนกลางคืนมีความชื้นสูงกว่าตอนกลางวันอาจทำให้มีปัญหาได้ บอกตามตรงผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำชี้แจงแบบนี้ นี่ระบบของทรูอ่อนไหวขนาดนี้เลยหรือครับ อย่างนี้
ถ้าฝนตกก็คงไม่ต้องใช้กันเลยสิ ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นคำตอบที่เธอได้รับการอบรมมา เธอเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ หรือเธอคิดว่าผมนี่อาจจะเซ็ตอะไรไม่เป็นก็เลยพูดปัด ๆ ไปผมจะได้รอช่าง เอาเป็นว่าผมก็ตัดสินใจว่าเดี๋ยวตอนเช้าค่อยโทรใหม่ อาจจะได้พูดกับเจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่แก้ปัญหาได้เก่งกว่านี้ อีกอย่างหนึ่งตอนนั้น ดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืนข้ามคืนนี้ก็เป็นเวลาของปีใหม่ เอ๊ยไม่ใช่ ลูก ๆ ก็หลับหมดแล้ว ส่วนผมถ้าอยากใช้เน็ตจริง ๆ ก็ยังมีช่องทางอื่น แล้วผมก็เข้านอนครับ

แต่สรุปว่าผมไม่ได้โทรหา call center หรอกครับในวันรุ่งขึ้น เพราะทางฝ่ายช่างของทรูต้องขอชมว่าทำงานเร็วมาก เพราะโทรมาปลุกผมตั้งแต่ 8.00 น. ถามว่าใช้เน็ตได้หรือยังผมก็ไปเช็คดูปรากฏว่ายังไม่ได้ เขาก็บอกว่างั้นอีก 15 นาทีถึงบ้านผม เมื่อมาถึงเขาก็มาเช็คเราเตอร์ต่าง ๆ ตามที่ผมเซ็ตไว้เมื่อวาน ก็ปรากฏว่าทุกอย่างถูกต้อง และเขาก็สรุปตรงกับผมว่าปัญหาน่าจะอยูที่ระบบล็อกอินนั่นแหละ และเขาจะโทรไปให้ทางทรูจัดการเรื่องนี้  ผมก็สบายใจแล้วช่างมายืนยันเองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฮาร์ดแวร์หรือการตั้งค่าไม่ถูก และผมก็ไม่ต้องโทรเข้า call center เอง เพราะตอนกลางวันนี่ไม่รู้ต้องรอกี่นาที แต่แล้วช่างก็ทำให้ผมประหลาดใจครับ คือเขาใช้โทรศัพท์ของเขาโทรเข้า call center แล้วก็รอสายเหมือนลูกค้าทั่วไป ผมก็ถามว่านี่ทรูไม่มีเบอร์พิเศษสำหรับช่างหรือเขาบอกว่าไม่มี ต้องบอกว่าตอนกลางวันรอนานกว่ากลางคืนมากครับ และปัญหาคือเมื่อรอไปพักหนึ่ง ประมาณเกือบ 20 นาทีได้สายก็หลุดครับ หลุดก็โทรใหม่เป็นอย่างนี้ไปสองสามครั้งก็ล่อไปเกือบชั่วโมงแล้วครับ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดช่างก็โทรไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าของเขาเพื่อขอเบอร์ตรงของวิศวกรที่ดูแลเรื่องนี้ และก็ขอให้จัดการเรื่องรหัสผ่านให้ใหม่ ซึ่งก็ได้ผลครับเรียบร้อยผมใช้เน็ตได้เหมือนเดิมหลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน

นี่แหละครับประสบการณ์ที่ได้รับ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นครั้งแรก (และขอให้เป็นครั้งสุดท้าย) ครับที่มีปัญหาอินเทอร์เน็ตหลังจากใช้งานทรูมาได้หลายปีแล้ว ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะครับ และก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเขาถึงได้ต่อว่าต่อขานเรื่องบริการหลังการขายของทรูกันนัก หวังว่าผมคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกนะครับ หมดไปครึ่งวันกับครึ่งคืนแค่ไอ้เรื่องล็อกอิน ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังงอยู่นะครับว่าตอนแรกก็ไม่ต้องใช้แล้วทำไมตอนหลังถึงกลับมาต้องใช้อีกจะเอายังไงกันแน่ ปวดหัวยิ่งกว่าดูเรยาหันมาไล่จับคุณเล็กอีก

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

ประสบการณ์การใช้ GPS

สวัสดีครับ หลังจากไม่ได้เขียนบล็อกมาเสียนาน วันนี้ก็ได้โอกาสมาเขียนเสียที วันนี้ผมเขียนบล็อกมาจากบุรีรัมย์ครับ มางานพระราชทานเพลิงศพของพ่อของเพื่อนร่วมงานที่ผมเคารพท่านหนึ่ง แล้วก็ไม่อยากขับรถกลับตอนกลางคืน บอกตรงๆว่ารู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยครับ โดยเฉพาะพวกปาหิน ถึงตอนนี้จะเงียบไปแล้วก็ตาม ผมได้พักโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่มาได้แค่สองเดือนครับ และโซนที่พักก็เพิ่งเปิดเรียกว่าห้องพักที่ผมพักนี้ผมได้ประเดิมเป็นคนแรกเลยครับ แต่ก็ตามธรรมดาของโรงแรมเปิดใหม่ก็ยังมีอะไรไม่เรียบร้อยอยู่บ้าง

สำหรับวันนี้ก็ขอไม่มีสาระอะไรสักวันแล้วกันนะครับ จะเล่าประสบการณ์ใชั GPS ให้ฟัง การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้ใช้ GPS นำทางจริง ๆ จัง ๆ ครับ ซึ่งมันก็ทั้งช่วยและบางทีก็ทำให้งงได้เหมือนกันครับ ผมเริ่มใช้มันตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยครับ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้วปรากฏว่ามันทำให้ผมประทับใจมากครับ คือบอกตำแหน่งรถย้อนหลังไปเจ็ดร้อยเมตร คือผมอยู่บนรามอินทราแล้วมันยังบอกว่าผมยังอยู่บนสุวินทวงศ์เป็นต้น ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าเฮ้ยมันจะพาเราไปหลงที่ไหนไหมนี่ แต่สักพักมันก็จับตำแหน่งถูกต้องครับ คือพอขึ้นวงแหวนตะวันออกได้มันก็โอเคครับ และเพราะทางช่วงนั้นเป็นทางตรงไปตลอดมันก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งผมก็เข้าใจว่าถ้าขึ้นทางหลักถูกต้องและเป็นทางตรงแล้วมันก็จะไม่เตือนอะไร แต่จริง ๆ ผมก็อยากให้มันพูดบ้างนะครับ คือผมขับมาคนเดียวบางทีมันเหงาน่ะครับ :)

เอาล่ะครับคราวนี้พอลงจากวงแหวนเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งพอขึ้นไปแล้วมันก็เป็นทางตรงเหมือนกันแต่คราวนี้มันไม่เงียบครับ มันจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอีก ... เมตรชิดขวาเข้าทางหลวงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมงงว่าเอ๊ะเราอยู่ที่ไหนกันแน่ เช็คจากป้ายและจากหน้าจอของมันเราก็อยู่ถูกที่แล้ว และบางทีเราก็อยู่เลนขวาสุดอยู่แล้ว มันจะเอายังไงกันแน่ หรือมันจะให้เราข้ามไปขับอีกฝั่งหนึ่ง :) เอาเถอะครับสุดท้ายผมก็เริ่มชินกับมัน เฮ้อรู้งี้ไม่น่าอยากให้มันพูดเลย ถ้ารู้ว่ามันจะพูดไม่หยุดอย่างนี้ จนมันนำผมเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ไปแล้วมันก็ยังพูดต่อไปว่าอีก .... คงอยู่ทางขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ซึ่งปัญหาแค่นี้ผมก็คิดว่าทนรำคาญเอานะครับ แต่จริงๆ มันมีมากกว่านี้ครับเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป

คราวนี้มาดูความดีของมันบ้างครับ วัดที่ผมไปร่วมงานนี้เป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ ปราสาทเมืองต่ำและปราสาทพนมรุ้ง มันก็นำทางผมไปเรื่อย ๆ แต่ช่วงนี้เขาพนมรุ้งมีงานครับ เขาก็เลยปิดเส้นทางหลัก ให้เบี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมันก็เก่งมากครับ สามารถนำทางผมไปได้ และยังบอกให้ระวังทางโค้งต่าง ๆ อีกต่างหาก ในที่สุดมันก็นำผมมาถึงวัดครับ

ตอนขากลับผมไม่อยากกลับทางเดิมเพราะมันต้องขึ้นเขาผ่านทางโค้งซึ่งค่อนข้างอันตราย และฝนก็ตกถนนลื่น ก็เลยถามเพื่อนว่าจะกลับทางที่ไม่ต้องขึ้นเขาได้ไหม เพื่อนก็แนะนำให้ว่าต้องไปทางไหน ผมก็มุ่งหน้าไปพร้อมให้ GPS นำทางต่อ ซึ่งตอนแรกมันก็ดีนะครับ จนมาถึงจุดหนึ่งครับมันบอกว่า ... เมตรเลี้ยวซ้าย ซึ่งความหมายของมันก็เหมือนกับที่ผ่านมาก็คืออยู่บนเส้นเดิมนั่นแหละ แต่บังเอิญตรงนั้นมันมีทางเลี้ยวซ้ายพอดี ผมก็เลยเลี้ยวไปตามที่มันบอก แทนที่มันจะบอกว่าผิดมันกลับบอกให้ไปต่อครับ สงสัยมันจะคำนวณเส้นทางใหม่ จากนั้นมันก็บอกให้ผมเลี้ยวขวาผมก็ตามมันไป มันพาผมไปเข้าหมู่บ้านอะไรไม่รู้ครับ ผมก็คิดไปถึงหนังสยองขวัญของฝรั่งที่นักท่องเที่ยวหลงเข้าไปในหมู่บ้านอะไรไม่รู้ในยามสนธยา สภาพผมตอนนั้นเป็นอย่างนั้นเลยครับ คือไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนบรรยากาศก็ดูวังเวงมีฝนตกพรำ ๆ  ยิ่งไปกว่านั้นสักพัก  GPS  มันเงียบครับไม่พูดอะไรอีกเลย ผมเห็นท่าไม่ได้การก็เลยกลับรถออกมา และขับกลับมาทางเดิม ซึ่งพอถึงแยกที่เป็นปัญหามันก็บอกให้ผมเลี้ยวซ้ายซึ่งก็คือเข้าเส้นเดิมที่เลี้ยวแยกลงมานั่นแหละ จากนั้นก็โอเคครับเข้าทางหลักและมาถึงโรงแรมได้

ก็เป็นประสบการณ์ผจญภัยกับ GPS ที่ได้ประสบมาครับ ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง ตอนเดินทางกลับก็ว่าจะใช้มันอีกสักครั้ง หวังว่าคราวนี้เราจะเข้าใจกันมากกว่านี้

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ความเห็นเกี่ยวกับข่าวฮอตประจำสัปดาห์

สำหรับสัปดาห์นี้ข่าวร้อนแรงที่สุดก็คงมีอยู่ 3 เรื่องนะครับ คือเรื่องที่การประมูลใบอนุญาต 3G ถูกระงับ เรื่องฟิล์ม และเรื่องเปิดตัวไอโฟน 4 อย่างเป็นทางการในไทย ก็ขออนุญาตเกาะกระแสเขียนถึงทั้ง 3 เรื่องนี้บ้างแล้วกันนะครับ

เริ่มจากเรื่อง 3G ก่อน จริง ๆ เรื่องนี้ผมเขียนถึงไปสองครั้งแล้ว คงต้องบอกว่าผิดหวังเหมือนกับหลาย ๆ คนในประเทศนี้ แต่คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ายังไงศาลก็คงไม่ยอมให้เดินหน้าต่อเพราะมีปัญหาเรื่องข้อกฏหมายจริง ๆ แต่ถ้าถามว่าปัญหาน่าจะเกิดจากอะไร ผมคิดว่าเป็นปัญหาด้านการบริหารจัดการของรัฐบาล รัฐบาลไม่รู้ว่าองค์กรใดมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง ไม่รู้ว่าเคยปรึกษากับกฤษฎีกาหรือเปล่า (จริง ๆ ถ้ายังไม่แน่ใจนี่น่าจะรีบดันเรื่อง กสทช.ออกมาให้เร็วที่สุด มาเร่งทำตอนนี้ก็ค่อนข้างสายแล้วครับ) อีกอย่างหนึ่งยังไม่สามารถควบคุมองค์กรที่อยู่ในสังกัดของตัวเองให้ทำตามนโยบายของรัฐบาลได้ อ้อแต่รับฟังมาอีกกระแสหนึ่งเห็นเขาบอกว่าจริง ๆ รัฐบาลไม่อยากให้การประมูล 3G สำเร็จโดยกทช. ครับ เพราะมีข้อไม่เห็นด้วยกับ กทช. (ทำนองว่า กทช. มีความไม่โปร่งใสอะไรบางอย่าง) แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะกทช. เป็นองค์กรอิสระ อันนี้แค่ฟังมานะครับไม่รู้จริงหรือเปล่าเอามาเล่าให้ฟังไว้เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง สรุปเรื่องนี้ก็คือตอนนี้ TOT กับ กสท. ก็สมหวังแล้วในการที่ยับยั้งไม่ให้มี 3G รายอื่นเกิดขึ้นมาในประเทศ ก็ช่วยพัฒนาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์กับประเทศชาติสูงสุดด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องฟิล์มนี่ผมจะไม่แตะเลยครับ ถ้าคุณระเบียบรัตน์ไม่ออกมาให้สัมภาษณ์อะไรซึ่งในส่วนตัวผมฟังแล้วรู้สึกแย่มาก ผมไม่ใช่แฟนของฟิล์ม และติดตามผลงานของฟิล์มน้อยมาก และผมไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ที่เขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะคุณระเบียบรัตน์จริง ๆ ก่อนอื่นผมบอกเลยนะครับว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนสองคน เขารู้ดีที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร เราเป็นบุคคลนอกไม่มีสิทธิที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เขาในทางที่เหมือนต่อว่าคนที่เราไม่เห็นด้วยอย่างเสีย ๆ หาย ๆ สิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือยกเอามาเป็นตัวอย่างในการสั่งสอนลูกหลานของเราให้ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิต ในการให้สัมภาษณ์คุณระเบียบรัตน์ได้ต่อว่าคุณพจน์ อานนท์ที่มาพูดให้ข่าวเหมือนเชิงแก้ตัวแทนฟิล์มว่าไม่ควรพูดเพราะเป็นคนนอก แต่ตัวเองกลับทำเสียเอง ไปพูดเป็นเชิงว่าฟิล์มไม่สนใจไม่ดูแลไม่รับผิดชอบ แถมยังมาพูดเป็นเชิงประชดประชันแดกดันว่าไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ ให้บอกว่าเด็กเป็นลูกฟิล์ม ให้จำไว้จนวันตายอะไรประมาณนี้ (การให้สัมภาษณ์เต็ม ๆ ฟังได้จากจากคลิปนี้ครับ) คำถามคือคุณระเบียบรัตน์ถือสิทธิอะไรในการไปพูดจาว่ากล่าวคนอื่นแบบนี้ ทั้งที่ความจริงตัวเองก็ไม่น่าจะรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไง ปัญหาของประเทศเราส่วนหนึ่งก็มาจากวิธีคิดและการกระทำแบบนี้แหละครับ เที่ยวไปตัดสินคนอื่นโดยรับฟังข้อมูลข้างเดียว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่คิดไตร่ตรองว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด

ส่วนเรื่องไอโฟน 4 กระแสแรงจริง ๆ ครับ แสดงว่าคนไทยหลายคนก็อดทนรอที่จะได้ใช้เจ้าโทรศัพท์ตัวนี้ ส่วนคนที่รอไม่ได้นี่ได้ข่าวว่ายอมซื้อเครื่องหิ้วที่เข้ามาตอนแรก ๆ ถึงสี่-ห้าหมื่น สำหรับตอนนี้ก็เปิดขายแล้วโดยทั้งสามค่ายใหญ่ เครื่องเปล่าราคาเท่ากันหมด เริ่มต้นที่สองหมื่นกว่า รายละเอียดดูได้ที่บล็อกของคุณพัชร แว่ว ๆ ว่าขายดีเหมือนแจกฟรี ถ้าจะใช้ครอบคลุมจริง ๆ คือได้ใช้ทั้ง 3G และ Wifi นี่ตอนนี้ก็คงไม่มีใครสู้ True ได้ ดังนั้นผมคิดว่า AIS และ DTAC ก็คงต้องเปิด 3G ให้ได้บนเครือข่ายเดิมที่ตัวเองมีอยู่เพื่อจะให้การใช้งานเครื่องให้ได้คุ้มค่าที่สุด เห็นว่ารัฐบาลอาจจะผลักดัน 3G ตามแนวนี้ด้วยเหมือนกันครับ แต่ก็แปลกดีนะครับบริษัทที่มี 3G อยู่แล้วอย่าง TOT กลับไม่กระตือรือร้นที่จะนำไอโฟนเข้ามาขาย บริษัทที่นำมาขายกลับยังไม่มี 3G

สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้นะครับ ขอให้มีความสุขในวันศุกร์ครับ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ความจริงที่ผมได้รู้จากการที่ศาลสั่งระงับการประมูลใบอนุญาต 3G

ขอเขียนถึงเรื่อง 3G นี้อีกสักวันแล้วกันนะครับในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่รออยู่แล้วก็ต้องผิดหวังไม่รู้ว่าจะต้องรอต่อไปอีกนานเท่าไร จริง ๆ แล้วถ้าพูดถึงเรื่อง 3G ประเทศเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใช้นะครับ เพียงแต่ว่าคุณภาพบริการมันยังไม่ดี สัญญาณมา ๆ หาย ๆ และไม่สามารถตอบสนองต่อประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ ดังนั้นถ้าการประมูลนี้สำเร็จจะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติในหลาย ๆ ด้าน ความไม่เท่าเทียมกันด้านข้อมูลข่าวสารระหว่างคนเมืองกับคนชนบทจะน้อยลง แต่เมื่อมีอันต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่รู้อนาคตอย่างนี้ ก็ทำให้ประเทศเราเสียโอกาสไปหลาย ๆ อย่าง น่าอิจฉาประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าเราอย่างลาวหรือกัมพูชา ประเทศเหล่านี้มี 3G ใช้กันแล้ว

คราวนี้มาดูว่าผมพบความจริงอะไรบ้างจากเรื่องที่เกิดขึ้น ความจริงที่ผมพบประการแรกเป็นความจริงที่น่ากลัวมากครับ คือประเทศของเรานี้ทำงานและบริหารงานกันโดยไม่มีใครรู้อะไรจริง ๆ เลย หน่วยงานที่ทำหน้าที่ประมูลคือ กทช. ก็ไม่ได้รู้จริงว่าตัวเองมีอำนาจหรือเปล่า รัฐบาลก็ไม่รู้เพราะถ้ารู้ก็คงไม่ปล่อยให้ กทช. ดำเนินงานมาถึงขนาดนี้ ปัญหาคือมันมีองค์กรต่าง ๆ ถูกตั้งขึ้นมาเต็มไปหมด อย่าง กทช. และกสทช. ซึ่งก็มีชื่อคล้ายกันมาก ผมยังเข้าใจผิดเลยว่า กทช. ก็คือ กสทช. แต่เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง แต่ประเด็นคือรัฐบาลต้องรู้สิครับ เพราะเท่าที่ผมติดตามข่าวมาอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่มันเป็นของ กสทช. รัฐบาลจะต้องรู้และควรจะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น โดยรีบสรรหากรรมการ กสทช. เพื่อมาดำเนินการ ส่วนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ICT ก็ออกมาทำได้แค่ขอโทษและยังให้ข้อมูลผิด ๆ อีก เช่นผู้ให้บริการอย่าง AIS หรือ DTAC ได้ให้บริการ 3G กับคนในกรุงเทพทั่ว ๆ ไปแล้ว ทั้งที่จริง ๆ มันไม่ใช่ ถ้าผมเป็นนายกผมคงต้องขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ลาออก หรือถ้าผมเป็นรัฐมนตรีเองผมจะขอลาออกครับ

ความจริงประการที่สองก็คือรัฐวิสาหกิจที่ชอบออกมาโวยวายตอนที่มีรัฐบาลหนึ่งจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ บอกว่าประเทศชาติและประชาชนจะเสียประโยชน์อย่างนู้นอย่างนี้ ตอนนี้พวกเราคงเห็นนะครับว่าเขาเห็นกับประโยชน์ของใครมากกว่า จริง ๆ ถ้าออกมาคัดค้านเพราะรู้เรื่องว่า กทช. ไม่มีอำนาจ ถ้าตัวเองไม่คัดค้านจะกลายเป็นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่อ้างมา ก็น่าจะทำแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่ กทช. เขาเริ่มดำเนินการ ป่านนี้รัฐบาลก็คงจะรู้ตัวและรีบเริ่มดำเนินการสรรหา กสทช.ไปแล้ว นี่จนเขาจะทำเสร็จอยู่แล้วเพิ่งจะออกมาคัดค้าน ประเทศชาติต้องเสียงบประมาณไปเปล่า ๆ ไม่รู้เท่าไร แถมยังบอกด้วยว่าการดำเนินการนี้ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์จึงต้องออกมาคัดค้าน

ขอฝากรัฐวิสาหกิจหน่วยงานที่มี 3G ของตัวเองอยู่ตอนนี้เมื่อออกมาคัดค้านเขาแล้วก็ช่วยคิดถึงประเทศชาติโดยปรับปรุงระบบของตัวเองที่มีอยู่ให้ดี และให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ใช้ด้วยนะครับ

จริง ๆ วันศุกร์แล้วไม่อยากเขียนเรื่องเครียด แต่ก็ขอเขียนบอกเล่าความรู้สึกหน่อยแล้วกันครับ เพราะรู้สึกแย่จริง ๆ กับเรื่องนี้

ป.ล. ขอเพิ่มเติมลิงก์ไปยังบล็อกนี้ นะครับเพราะมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับหลาย ๆ เรื่องที่ผมคิดว่าหลายคน(รวมถึงผมด้วยยังเข้าใจผิดอยู่) และจะทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหานี้มากขึ้น