แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิตและงาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิตและงาน แสดงบทความทั้งหมด
วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ทำไมผมถึงรักในหลวง
ในวาระที่วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านได้เวียนมาครบอีกวาระหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพร ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปชั่วกาลนาน และข้าพระพุทธเจ้าขอปฏิญาณว่าข้าพระพุทธเจ้าจะทำความดีถวายแด่พระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองที่ดีเคารพกฏหมายของบ้านเมือง และจะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าให้ดีที่สุด ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ไม่ได้เขียนบล็อกมานาน วันนี้ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องเขียนบล็อกให้ได้เพราะเมื่อปีที่แล้วไม่ได้เขียน และที่อยากเขียนถึงเรื่องนี้มากเพราะปีนี้มีบางกระแสบอกว่าคนไทยถูกยัดเยียดให้รักในหลวง ก่อนอื่นต้องบอกว่าผมไม่ได้เป้นพวกคลั่งเจ้า และผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการแก้กม.มาตรา 112 เพราะผมคิดว่าในหลวงของเราท่านไม่ทรงกังวลกับการวิพากษ์วิจารณ์ จากการที่ได้ติดตามพระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสในหลายโอกาส พระองค์ท่านรับสั่งอยู่เสมอว่าพระองค์ท่านยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ยิ่งไปกว่านั้นผมยังค่อนข้างเห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรานี้เสียด้วยซ้ำ เพราะมีการนำเอากฏหมายมาตรานี้เอามาทำลายล้างกันทางการเมือง และบางครั้งการบังคับใช้กฏหมายยังทำอย่างไม่เหมาะสม แต่ผมขอไม่พูดเรื่องนี้วันนี้นะครับ
กลับมาเข้าเรื่องครับ คือผมได้ข่าวมาบางกระแสเหมือนกับมีการพูดว่า การที่คนไทยรักในหลวงเป็นเพราะเราได้รับการปลูกฝังมาจากการป้อนข้อมูล เช่นจากโรงเรียน จากพ่อแม่ จากสื่อ ฯลฯ ผมก็เลยลองกลับมานั่งนึกทบทวนดูว่าผมรักในหลวงเพราะเรื่องพวกนี้หรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ ผมเกิดในครอบครัวข้าราชการ พ่อกับแม่ผมเป็นข้าราชการ ผมกับน้องสาวพอโตขึ้นก็เป็นข้าราชการ เพราะเรื่องนี้หรือเปล่าผมถึงรักในหลวง คำตอบก็ยังคงเป็นคือไม่ใช่
ใช่ครับในวัยเด็กผมก็ได้รับข้อมูลจากพ่อแม่ แต่ถ้าเรื่องที่ในหลวงทรงทำให้ประชาชนเป็นเรื่องไม่จริง พ่อกับแม่ผมจะมาโกหกผมทำไม ท่านจะได้ประโยชน์อะไรจากการมาโกหกผม หรือว่าแบบเรียนที่เราเรียนหลอกลวงเรา ในเรื่องพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน แต่มันก็ไม่ใช่ โครงการพระราชดำริที่เป็นคุณูปการกับประเทศอยู่ทุกวันนี้ก็ยังปรากฏเป็นหลักฐาน การที่พระองค์ท่านเสด็จออกเยี่ยมประชาชนทั้งที่ไม่มีความจำเป็น พระองค์ท่านจะอยู่เฉย ๆ ก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลอาจต้องการอยู่แล้ว แต่พระองค์ท่านเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น พระองค์ท่านเลือกที่จะใช้สถานะของพระองค์ท่านในการทำให้ประชาชนของพระองค์ท่านได้รับความสะดวกสบายตามสิทธิที่เขาควรจะได้รับ ลองคิดดูนะครับข้าราชการในสมัยก่อนนี้หลายคนทำตัวเป็นเจ้านายประชาชนนะครับ ยิ่งอยู่ไกลออกไปยิ่งมีปัญหา (จริง ๆ ไม่ต้องสมัยก่อนหรอก สมัยนี้ก็ยังมี) แต่เมื่อพระองค์ท่านเสด็จไป พระองค์ก็ได้เห็นความยากลำบากของประชาชน จึงได้เกิดมีโครงการพระราชดำริต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ซึ่งจริง ๆ ด้วยโครงการพระราชดำริของพระองค์ท่าน ถ้าภาครัฐนำมาทำนำมาสานต่ออย่างจริงจัง ผมว่าประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากกว่านี้ (เห็นง่าย ๆ เรื่องน้ำ พระองค์ท่านรับสั่งไว้ตั้งแต่ปี 2538 แต่ไม่มีใครทำอย่างจริงจัง จนมาเกิดปัญหาในปีนี้) ไม่ต้องมานั่งรอให้นักการเมือง นักเลือกตั้งเข้ามาฉวยโอกาสจากความเดือดร้อนของพวกเขา
ดังนั้นผมเชื่อว่าตัวเองไม่ได้รักในหลวงเพราะถูกยัดเยียด และผมเชื่อว่าประชาชนอื่น ๆ อีกหลายคนที่รักในหลวงก็ไม่ได้เพราะถูกยัดเยียด แต่เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านมีให้แก่ปวงชนชาวไทย ผมไม่คิดว่าจะมีใครยัดเยียดให้ประชาชนกว่าค่อนประเทศเอารูปในหลวงไปไว้บูชาในบ้าน ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขารักและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน มีคำกล่าวว่าคนเราต่อให้ทำดีแค่ไหนก็อาจมีคนไม่ชอบอยู่ดี ดังนั้นอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนไม่รักพระองค์ท่าน ใครที่จะไม่รักในหลวงก็ไม่รักไปผมไม่ได้ต่อต้านหรือว่าอะไร และถ้ามีเหตุผลผมก็ยินดีที่จะคุยแลกเปลี่ยนความเห็นด้วยได้ แต่ถ้าจะมากล่าวหาผมและคนอีกมากมายหลายคนในประเทศนี้ว่ารักพระองค์ท่านเพราะถูกยัดเยียดผมก็คงยอมไม่ได้เช่นกัน
วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554
มาร่วมฝ่าวิกฤตน้ำท่วมไปด้วยกันครับ
วันนี้ขอเขียนบล็อกเกี่ยวกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 สักวันนะครับ ถึงผมจะมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความผิดพลาดของผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้หลายประการแต่ผมจะขอไม่เขียนถึงตอนนี้แล้วกันนะครับ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปต่อว่าคนที่ทำหน้าที่อยู่ตอนนี้ เวลานี้ควรจะเป็นเวลาที่เราร่วมมือร่วมใจและเสนอข้อเสนอแนะ ดีกว่าจะไปด่าผู้คนด้วยถ้อยคำที่มันแย่ ๆ เช่นโง่บ้าง จะพาเราไปตายบ้าง กาลกิณีบ้าง ประชดประชันหรือด่าซ้ำเวลาเขาทำงานพลาด ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความคิดอะไรดี ๆ มาเสนอ ยิ่งไปกว่านั้นบางคนออกมาพูดเหมือนกับว่าผู้ที่มีเกี่ยวข้องไม่ได้พยายามทำอะไรเลยปล่อยปละละเลยให้น้ำท่วม การด่ามันง่ายครับแค่พูดหรือพิมพ์มันก็เสร็จแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ช่วยหยุดโพสต์เรื่องที่มันไม่จริง เรื่องที่ได้ฟัง ๆ เขามาโดยไม่ได้การพิสูจน์ การเอารูปสมัยไหนก็ไม่รู้เอามาโยงให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ยกย่องฝ่ายที่ตัวเองชอบโดยมองข้ามความบกพร่องที่มี แต่หาช่องทุกช่องที่จะจ้องทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากความสะใจที่ได้ด่าคนที่เราไม่ชอบ และมันยังทำลายภาพดี ๆ ที่ประชาชนที่มีจิตอาสาออกมาร่วมมือกันโดยไม่แบ่งว่าเป็นฝ่ายใด
สำหรับผมวันนี้ผมอยากจะบอกว่าทั้งรัฐบาลและกทม.จะต้องทำงานประสานงานกันมากกว่านี้ เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.) รัฐบาลก็ได้เสนอวิธีผันน้ำซึ่งผมมองว่าเป็นรูปธรรมและเป็นเชิงรุกมากที่สุดจากการสู้รบกับน้ำมาแล้วหลายเดือนซึ่งเอาแต่ตั้งรับมาตลอด คือการผันน้ำออกไปทางตะวันออกของกทม. แต่ผมกังวลว่ามันอาจจะช้าเกินไปถ้าเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้ ดังนั้นมันอาจต้องการแผนสองซึ่งอาจต้องให้น้ำไหลผ่านพื้นที่กทม.ออกไปให้เร็วที่สุด ผมเข้าใจที่ผู้ว่ากทม.ต้องการจะป้องกันพื้นที่ไว้ แต่ผมว่าการป้องกันพื้นที่ไว้โดยมีน้ำล้อมรอบอยู่ตลอดเวลานี้มันมีความเสี่ยงมาก มันเหมือนต้องลุ้นตลอด และจากตัวอย่างที่ผ่าน ๆ มาเราก็เห็นแล้วว่าปริมาณน้ำมันมากจนเราไม่สามารถที่จะกั้นมันไว้ได้ และถ้ามันบ่าเข้ามาเองเราอาจไม่สามารถควบคุมมันได้ บางทีถ้าเรายอมให้มันผ่านเข้ามาตามช่องทางที่เรากำหนดไว้แล้วระบายมันออกไปให้เร็วที่สุด เราอาจกำหนดพื้นที่ความเสียหายได้ ประชาชนจะรู้ว่าตรงไหนเสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อยแค่ไหน ปัญหาที่ผู้คนแห่เอารถออกมาจอดในที่สูงและตามถนนหนทางมันก็อาจจะหมดไป ผมว่าตอนนี้คนกรุงเทพหลายคนยอมรับได้นะว่ามันจะท่วม แต่อยากจะรู้ว่ามันจะท่วมตรงไหน ถ้าบ้านตัวเองจะเป็นส่วนที่โดนก็จะได้เตรียมตัวและหาทางมีชีวิตอยู่กับมันให้ได้ ผมไม่ต้องการให้มีคำว่าผู้เสียสละ นั่นหมายความว่าถ้ารัฐบาลกับกทม.เลือกแล้วว่าพื้นที่ตรงไหนที่จะยอมให้เสียหาย ก็ต้องเตรียมการเพื่อป้องกันให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดก่อน และต้องกำหนดว่าจะชดเชยให้เขาอย่างไรที่จะเหมาะสม
วันนี้ก็ขอเสนอแนะไว้เท่านี้ครับ และเราจะฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกันครับ ...
วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554
แอปแท้... แอปเถื่อนกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์
สวัสดีครับ ไม่ได้เขียนบล็อกมานานมากทั้งที่มีเรื่องมากมายอยากพูดคุยอยากเล่าให้ฟังกัน วันนี้พอจะหาเวลาได้สักเล็กน้อยก็ขอเขียนเสียหน่อยแล้วกัน เรื่องที่อยากจะคุยกันวันนี้เกี่ยวกับการหาซื้อซอฟต์แวร์มาใช้งานครับ ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้คิดที่จะมาเป็นตัวแทนอะไรให้บริษัทซอฟต์แวร์นะครับ แต่ที่เขียนวันนี้เพราะอยากจะให้พวกเราคนไทยมีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดหาซอฟต์แวร์มาใช้งาน
ย้อนกลับไปหลายปีก่อนที่ซอฟต์แวร์มีราคาแพงมาก เช่นไมโครซอฟท์เวิร์ด 1 ชุดมีราคาเป็นหลักหมื่นบาท สูงกว่าเงินเดือนของข้าราชการระดับปริญญาโทของไทยที่ระดับหกพันกว่าบาท (ผมรู้ครับเพราะผมเริ่มเข้าทำงานด้วยเงินเดือนเท่านี้จริง ๆ นะจะบอกให้) และซอฟต์แวร์ที่เป็นโอเพนซอร์ซก็ยังไม่ได้มีให้ใช้กันแพร่หลายอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นทางเลือกของเราก็คือซอฟต์แวร์จากพันทิพที่ทำให้เราได้ทดลองใช้งานซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ผมเคยมีประสบการณ์เดินไปถามราคาไมโครซอฟท์เวิร์ดที่ร้านที่ขายซอฟต์แวร์แท้ที่ขายอยู่บนห้างพันทิพ พอคนขายบอกราคามาเป็นหลักหมื่น ผมก็เผลอตัวอุทานออกมา ซึ่งคนขายก็มองผมอย่างสมเพชแล้วก็ทำท่าบุ้ยใบ้เหมือนกับบอกว่า "เอ็งก็ไปซื้อข้างนอกเอาซิแผ่นละไม่กี่ร้อยมีโปรแกรมเป็นโหล"
ผมเคยคุยกับลูกศิษย์ลูกหาของผมในรุ่นแรก ๆ ของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมบอกว่าปัญหาก็คือราคาซอฟต์แวร์แพงเกินไป คือมันอาจจะไม่แพงถ้าเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนในสหรัฐอเมริกา แต่มันอาจจะแพงสำหรับคนในประเทศอื่น ตอนนั้นผมบอกว่าโมเดลการขายซอฟต์แวร์พื้นฐานทั่วไปที่ดีก็คืออย่าตั้งราคาให้สูงนักเช่นสัก 10 เหรียญ แต่ถ้าขายทั่วโลกได้ล้านชุดก็ 10 ล้านเหรียญแล้ว ซึ่งผมมองว่าสำหรับซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งนี่ก็น่าจะคุ้มหรือเกินคุ้มแล้ว แต่ยังไงก็ตามผมก็บอกลูกศิษย์ผมว่าถ้าเราไปซื้อซอฟต์แวร์พันทิพมาเพื่อการศึกษาก็ทำไปนะ แต่ถ้าเมื่อไรที่เรานำไปหารายได้ก็น่าจะซื้อของลิขสิทธิ์มาใช้
เวลาผ่านไปราคาซอฟต์แวร์ก็ถูกลง มีโอเพนซอร์ซซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ดาวน์โหลดมาใช้ฟรี ๆ และยังมีโมเดลแบบ App Store ของ Apple และ Android Market ของ Google ซึ่งก็เปิดโอกาสให้เราซื้อซอฟต์แวร์ในระดับที่ถูกกว่าที่ผมเคยคิดไว้เสียอีก บางตัวราคาไม่ถึง 30 บาท ซึ่งผมก็คาดหวังว่าการใช้ซอฟต์แวร์น่าจะถูกลิขสิทธิ์มากขึ้น ในส่วนตัวผมเองตอนนี้บอกเลยว่าบนเครื่องที่ผมใช้งานตอนนี้ไม่มีซอฟต์แวร์ละเมิดอยู่เลย บางตัวที่ดีแล้วเขาขายราคาไม่แพงมากผมก็ซื้อ ถ้ามันแพงมากผมก็ไปหาตัวที่ฟรีที่ใกล้เคียงกันมาใช้ ยิ่งในพวก App Store นี่ผมก็ว่าเขายิ่งใจกว้างซื้อหนึ่งครั้งราคาอาจไม่ถึง 30 บาท แต่เอาไปติดตั้งลงได้หลายเครื่อง แต่กลับเป็นว่ามีคนเอาความใจกว้างนี่มาทำมาหากินโดยใช้คำว่า App แท้ ซึ่งตามความหมายของคนขายคือเป็นโปรแกรมที่เขาอาจลงทุนไปซื้อมา แต่ใช้ความใจกว้างของบริษัทซอฟต์แวร์เอามาขายต่อโดยติดตั้งให้ลูกค้าไปอีกเป็นไม่รู้กี่ร้อยคน ส่วน App เถื่อนคืออะไร ก็คือซอฟต์แวร์ที่เขาขายนี่แหละ แต่ว่าเราไปโหลดมาใช้แบบฟรี ๆ โดยการจะทำอย่างนี้ได้เครื่องที่ใช้ iOS (ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครื่้อง iPhone, iPod, iPad) ของเราจะต้องสิ่งที่เรียกว่าการ Jail Break ก่อน จากนั้นมันจึงจะมีช่องทางให้เราเข้าไปหาซอฟต์แวร์มาใช้แบบฟรี ๆ ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้ต่อต้านการ Jail Break เพราะการ Jail Break ทำให้เราสามารถใช้โปรแกรมหลาย ๆ ตัวที่มีประโยชน์แต่ Apple ไม่อนุณาตให้นำไปขายใน App Store หรือบางคนก็บอกว่า Jail Break เพื่อลองไปโหลดโปรแกรมมาลองใช้ดูก่อน ถ้าดีแล้วค่อยซื้ออันนี้ถ้าทำอย่างนั้นจริงผมก็ว่าโอเคนะครับ แต่ก็มีร้านค้าใช้ความไม่ค่อยรู้ของคนนี่แหละเอามาหากินเช่นกัน โดยรับ Jail Break เครื่องแล้วก็ติดตั้งโปรแกรมให้ลูกค้าแล้วก็เก็บเงินลูกค้าไป
ผลเสียของทั้งสองวิธีนี้ก็คือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่เขาลงทุนลงแรงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ประโยชน์กลับตกไปเป็นของร้านค้าเหล่านี้ บางคนอาจถามว่าแล้วผมมาเดือดร้อนอะไรด้วย คำตอบก็คือผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวงการนี้ ถึงผมในตอนนี้จะไม่ได้เป็นคนหนึ่งที่พัฒนาโปรแกรมขึ้นสู่ App Store แต่ผมก็เป็นคนสอนเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรม และผมก็คาดหวังว่าลูกศิษย์ของผมหลาย ๆ คนอาจจะเป็นคนที่พัฒนาโปรแกรมออกมาขายบ้างก็ได้ ซึ่งถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ผมว่าตลาดของไทยคงเติบโตยาก
ผมเข้าใจว่าคนใช้ iPhone, iPod, หรือ iPad หลายคนไม่ได้มีความคิดที่จะใช้ซอฟต์แวร์แบบไม่ถูกต้องเหล่านี้ แต่เพราะความไม่รู้และอาจจะถูกทำให้เข้าใจผิดด้วยคำว่า App แท้ ก็หวังว่าบล็อกนี้จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น ส่วนบางคนอาจบอกว่าทำไม่เป็นพวกติดตั้งโปรแกรมอะไรนี่ ครั้นจะซื้อโทรศัพท์ราคาสองหมื่นกว่าบาทมาโทรอย่างเดียวก็กลัวจะไม่คุ้ม ผมอยากบอกครับว่าลองศึกษาดูครับ มีเว็บไซต์และหนังสือดี ๆ ที่สอนการใช้งานเรื่องพวกนี้อยู่มากมาย และจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องยากนะครับ และผมคิดว่าเราจะสนุกสนานกับการใช้อุปกรณ์ของเรามากขึ้นด้วย ส่วนคนที่บอกว่าแหมจ่าย 500 บาท เขาลงโปรแกรมมาให้ตั้งหกหน้าแปดหน้า ถ้ามัวมาหามาลงเอง จะใช้เวลาเท่าไร และต้องจ่ายเงินเท่าไร ลองถามตัวเองครับว่าโปรแกรมที่เราใช้จริง ๆ จัง มีสักกี่ตัวกัน ไอ้ที่เขาลงมาให้หกหน้าแปดหน้านี่ได้ใช้จริงหรือเปล่า
สุดท้ายผมก็อยากมาเชิญชวนพวกเราให้มาใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกลิขสิทธิ์กันครับ สบายใจภูมิใจเวลาใช้ สร้างสำนึกที่ดีในการเคารพทรัพย์สินทางปัญญาให้กับสังคมเรา และยังช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทยเราอีกด้วย
วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554
น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้พบในสัปดาห์ที่ผ่านมา
สวัสดีครับไม่ได้เขียนบล็อกมาเสียนาน วันนี้ขอเขียนเสียหน่อยเพราะอยากจะบันทึกเรื่องดี ๆ ที่ได้เจอในสัปดาห์นี้ไว้ก่อนที่จะเริ่มสัปดาห์ใหม่ ตอนนี้ต้องบอกว่าผมกำลังเริ่มเข้าสู่โหมดการเปิดเทอมเกือบเต็มรูปแบบ ที่ผมเรียกอย่างนี้ก็เพราะว่าผมเริ่มโหมดการเปิดเทอมตั้งแต่เมื่อกลางเดือนที่แล้วคือลูกเริ่มเปิดเทอมก่อนและผมก็ต้องเริ่มขับรถเข้าเมืองเพื่อรับส่งลูก จากนั้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามหาวิทยาลัยที่เป็นอาจารย์ประจำก็เริ่มเปิดเทอม และอีกสักสองอาทิตย์จากนี้เมื่อมหาวิทยาลัยที่ผมได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษอยู่เปิดทั้งหมดก็เท่ากับผมเข้าสู่โหมดเปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบครับ
ขนาดที่ยังไม่ได้เปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบผมก็เริ่มเหนื่อยแล้วครับ เพราะเดี๋ยวนี้รถติดเหลือเกินและฝนยังตกอีกทำให้เพิ่มความติดมากขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมได้ประสบมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ทำให้มีความรู้สึกดีขึ้นครับ สิ่งนั้นก็คือผมพบว่าน้ำใจของคนไทยในเมืองหลวงยังมีอยู่ครับ เรื่องแรกเป็นน้ำใจของร้านขายอาหารครับ เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาลูกชายคนโตของผมมาบอกว่าเขาต้องใช้ใบกะเพราเพื่อทดลองวิทยาศาสตร์ จริง ๆ ในบ้านผมก็ปลูกกะเพราไว้เหมือนกัน ผมก็เลยดุเขาไปว่าทำไมไม่บอกตั้งแต่เย็นตอนนี้มันดึกแล้ว แล้วผมก็บอกลูกว่าให้เขียนกระดาษไปแปะไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ตอนเช้าจะได้ไม่ลืมไปเก็บก่อนไปโรงเรียน ปรากฏว่าคุณลูกชายไม่ได้เขียนครับ ผลลัพธ์ก็คือ ... ใช่แล้วครับเราลืมครับ พอไปถึงโรงเรียนท่านลูกก็นึกขึ้นมาได้ครับ ทำยังไงดีล่ะครับทีนี้ ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ยุ่งแล้วเพราะจะปล่อยให้เขาได้รับผลจากการไม่รับผิดชอบของเขา แต่พอดีมันเป็นงานกลุ่มและเขารับปากว่าจะเอากะเพราไป ผมก็เลยพาเขาไปที่โรงอาหาร และก็ตั้งใจว่าจะไปขอซื้อใบกะเพราจากร้านอาหารตามสั่ง เมื่อไปถึงร้านผมก็ถามว่ามีใบกะเพราไหมจะขอซื้อให้นักเรียนไปทดลองวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่าแม่ค้าก็เดินไปหยิบมาให้สองกิ่งใหญ่ครับและไม่คิดเงินด้วย ถึงแม้จะดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ผมคิดว่านี่คือน้ำใจของคนไทยครับ
เรื่องที่สองเป็นน้ำใจของร้านขายมือถือครับ คือผมเห็นว่าแผ่นกันรอยมือถือที่ผมใช้อยู่มันเริ่มเป็นรอยมากแล้ว และบังเอิญผมมีแผ่นกันรอยมือถืออยู่อีกแผ่นหนึ่ง ไอ้ครั้นจะติดเองผมก็เป็นคนมีฝีมือดีเกินไปจนโอเวอร์โฟลว์กลับไปอีกข้างหนึ่ง ก็เลยไปที่ร้านมือถือให้เขาช่วยติดให้และผมกะว่าจะให้ค่าเสียเวลาตามสมควร ต้องบอกว่าผมไม่เคยเป็นลูกค้าของร้านนี้มาก่อนนะครับ ปรากฏว่าเมื่อไปถามทางร้านก็บอกว่าเอามาเถอะเดี๋ยวติดให้ไม่คิดเงิน ซึ่งก็ใช้เวลาติดอยู่นานเหมือนกันนะครับ เสียดายที่ผมจำชื่อร้านไม่ได้ ถ้ายังไงเดี๋ยววันหลังผ่านไปจะเอาชื่อร้านมาฝากครับ
เรื่องที่สามอันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องอะไรมากมาย เรื่องก็คือรถผมติดไฟแดงอยู่ที่แยกร่มเกล้าตัดกับรามคำแหง ซึ่งผมกำลังจะรอเลี้ยวขวาซึ่งไฟแดงมันนานมากจนหางแถวจนถึงคันที่ผมอยู่นี่มันก็เริ่มจะขวางทำให้รถที่ต้องการกลับรถไม่สามารถเข้าไปในช่องทางกลับรถได้ ซึ่งผมสังเกตุเห็นคันข้างหลังผมเขาต้องการจะกลับรถ ผมก็เลยพยายามขยับรถให้ติดไปที่คันหน้ามากที่สุดเพื่อเปิดช่องทาง ซึ่งคันหน้าผมพอเห็นอย่างนั้นก็ขยับเดินหน้าไปมากขึ้นผมก็ขยับตาม จนในที่สุดรถคันหลังผมก็สามารถเข้าช่องทางกลับรถได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ปรากฏว่ารถคันนั้นมาจอดข้างรถผมลดกระจกลงและกล่าวขอบคุณผม
จากเรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดดูเหมือนเหตุการณ์จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ซึ่งคนที่ทำให้อาจไม่ได้นึกอะไร แต่คนที่ได้รับนั้นเขาได้รับรู้ถึงน้ำใจที่แฝงอยู่ในการกระทำนั้น ดังนั้นผมอยากจะเชิญชวนให้พวกเราลองหันไปมองรอบ ๆ ตัวและลองแสดงน้ำใจเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคนรอบข้าง ผมว่าสังคมเราจะน่าอยู่ขึ้นมากครับ
ขนาดที่ยังไม่ได้เปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบผมก็เริ่มเหนื่อยแล้วครับ เพราะเดี๋ยวนี้รถติดเหลือเกินและฝนยังตกอีกทำให้เพิ่มความติดมากขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมได้ประสบมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ทำให้มีความรู้สึกดีขึ้นครับ สิ่งนั้นก็คือผมพบว่าน้ำใจของคนไทยในเมืองหลวงยังมีอยู่ครับ เรื่องแรกเป็นน้ำใจของร้านขายอาหารครับ เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาลูกชายคนโตของผมมาบอกว่าเขาต้องใช้ใบกะเพราเพื่อทดลองวิทยาศาสตร์ จริง ๆ ในบ้านผมก็ปลูกกะเพราไว้เหมือนกัน ผมก็เลยดุเขาไปว่าทำไมไม่บอกตั้งแต่เย็นตอนนี้มันดึกแล้ว แล้วผมก็บอกลูกว่าให้เขียนกระดาษไปแปะไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ตอนเช้าจะได้ไม่ลืมไปเก็บก่อนไปโรงเรียน ปรากฏว่าคุณลูกชายไม่ได้เขียนครับ ผลลัพธ์ก็คือ ... ใช่แล้วครับเราลืมครับ พอไปถึงโรงเรียนท่านลูกก็นึกขึ้นมาได้ครับ ทำยังไงดีล่ะครับทีนี้ ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ยุ่งแล้วเพราะจะปล่อยให้เขาได้รับผลจากการไม่รับผิดชอบของเขา แต่พอดีมันเป็นงานกลุ่มและเขารับปากว่าจะเอากะเพราไป ผมก็เลยพาเขาไปที่โรงอาหาร และก็ตั้งใจว่าจะไปขอซื้อใบกะเพราจากร้านอาหารตามสั่ง เมื่อไปถึงร้านผมก็ถามว่ามีใบกะเพราไหมจะขอซื้อให้นักเรียนไปทดลองวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่าแม่ค้าก็เดินไปหยิบมาให้สองกิ่งใหญ่ครับและไม่คิดเงินด้วย ถึงแม้จะดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ผมคิดว่านี่คือน้ำใจของคนไทยครับ
เรื่องที่สองเป็นน้ำใจของร้านขายมือถือครับ คือผมเห็นว่าแผ่นกันรอยมือถือที่ผมใช้อยู่มันเริ่มเป็นรอยมากแล้ว และบังเอิญผมมีแผ่นกันรอยมือถืออยู่อีกแผ่นหนึ่ง ไอ้ครั้นจะติดเองผมก็เป็นคนมีฝีมือดีเกินไปจนโอเวอร์โฟลว์กลับไปอีกข้างหนึ่ง ก็เลยไปที่ร้านมือถือให้เขาช่วยติดให้และผมกะว่าจะให้ค่าเสียเวลาตามสมควร ต้องบอกว่าผมไม่เคยเป็นลูกค้าของร้านนี้มาก่อนนะครับ ปรากฏว่าเมื่อไปถามทางร้านก็บอกว่าเอามาเถอะเดี๋ยวติดให้ไม่คิดเงิน ซึ่งก็ใช้เวลาติดอยู่นานเหมือนกันนะครับ เสียดายที่ผมจำชื่อร้านไม่ได้ ถ้ายังไงเดี๋ยววันหลังผ่านไปจะเอาชื่อร้านมาฝากครับ
เรื่องที่สามอันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องอะไรมากมาย เรื่องก็คือรถผมติดไฟแดงอยู่ที่แยกร่มเกล้าตัดกับรามคำแหง ซึ่งผมกำลังจะรอเลี้ยวขวาซึ่งไฟแดงมันนานมากจนหางแถวจนถึงคันที่ผมอยู่นี่มันก็เริ่มจะขวางทำให้รถที่ต้องการกลับรถไม่สามารถเข้าไปในช่องทางกลับรถได้ ซึ่งผมสังเกตุเห็นคันข้างหลังผมเขาต้องการจะกลับรถ ผมก็เลยพยายามขยับรถให้ติดไปที่คันหน้ามากที่สุดเพื่อเปิดช่องทาง ซึ่งคันหน้าผมพอเห็นอย่างนั้นก็ขยับเดินหน้าไปมากขึ้นผมก็ขยับตาม จนในที่สุดรถคันหลังผมก็สามารถเข้าช่องทางกลับรถได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ปรากฏว่ารถคันนั้นมาจอดข้างรถผมลดกระจกลงและกล่าวขอบคุณผม
จากเรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดดูเหมือนเหตุการณ์จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ซึ่งคนที่ทำให้อาจไม่ได้นึกอะไร แต่คนที่ได้รับนั้นเขาได้รับรู้ถึงน้ำใจที่แฝงอยู่ในการกระทำนั้น ดังนั้นผมอยากจะเชิญชวนให้พวกเราลองหันไปมองรอบ ๆ ตัวและลองแสดงน้ำใจเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคนรอบข้าง ผมว่าสังคมเราจะน่าอยู่ขึ้นมากครับ
วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ส่งท้ายกับเรยา
ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับละครดอกส้มสีทอง ก็คงเป็นละครเรื่องแรก(หรือเปล่าไม่รู้นะครับ)ที่ต้องมีพระมาเทศน์ให้ฟังตอนจบของละคร ตรงนี้ผมว่ามันสะท้อนอะไรในด้านสังคมของเราหลายอย่างซึ่งผมจะพูดต่อไป ละครเรื่องนี้ได้รับการกล่าวถึงในด้านเนื้อหาและพฤติกรรมของตัวละครมากที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปีมานี้ อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในบล็อก เรยาในมุมมองของผม แล้วว่านี่คือละครที่ผมติดตามมากทีสุดในรอบหลายปี เหตุผลหลักไม่ใช่ภาพรวมของเนื้อเรื่องนะครับ เพราะผมว่าละครเรื่องนี้ถ้าดูเฉพาะภาพรวมแล้วมันก็คือเรื่องตบตีแย่งผัวแย่งเมียซึ่งก็พบได้ทั่วไปตามละครไทยอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้ตัวละครเรื่องนี้น่าสนใจน่าจะเป็นนักแสดงที่แสดงได้สมบทบาท และการเขียนบทที่ปรับให้เข้ากับการดำเนินชีวิตของคนในปัจจุบัน อีกจุดหนึ่งที่ส่งให้ละครเรื่องนี้ดังขึ้นไปอีกก็คือการที่มีผู้คนให้ความเห็นในเชิงลบต่อพฤติกรรมของตัวละคร และผู้บริหารบ้านเมืองบางคนของเราตอบสนองด้วยสิ่งที่ผมเห็นว่าเกินเหตุ เช่นเรื่องการที่คิดจะแบนละครเรื่องนี้เลยเถิดไปจนถึงการที่จะพิจารณาสัมปทานกับทางช่องสามใหม่อะไรอย่างนี้ สุดท้ายก็ยังดีที่ยังหาข้อยุติที่พอจะยอมรับได้ ถึงแม้มันจะดูประหลาด ๆ เช่นต้องมีตัววิ่งบอกว่านี่เป็นการแสดงตามบทประพันธ์ที่ผู้เขียนเขียนไว้ ไม่ใช่เรื่องจริง และจบด้วยการเอาพระมาเทศน์สอน ผมขอออกความเห็นเพิ่มเติมเรื่องตัววิ่งหน่อยแล้วกันครับ จริง ๆ แทนที่จะขึ้นบอกว่ามันเป็นการแสดงไม่ใช่เรื่องจริง ผมว่าถ้าใช้คำเตือนเหมือนกับรายการประเภทเล่าเรื่องผีซึ่งมักจะบอกว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม ละครเรื่องนี้ก็อาจจะขึ้นว่าพฤติกรรมของตัวละครเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำกับบุตรหลาน อะไรประมาณนี้ ผมว่าน่าจะดีกว่านะ
จริง ๆ เหตุผลที่ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับละครเรื่องนี้อีกครั้งเป็นเพราะสิ่งที่ผมได้เห็นจากไทม์ไลน์บนทวิตเตอร์ของตัวเอง มีทั้งที่บอกว่าแหมเรยากับคุณนายที่สองทำชั่วมาตั้งเยอะได้รับผลกรรมแค่ต้องอยู่คนเดียวไม่มีใครคบ บางคนบอกว่ามาได้รับกรรมตอนท้ายเรื่องแต่เกือบทั้งเรื่องมีความสุขงั้นคนไม่ดูตอนจบก็ไม่รู้สิ บางคนก็บอกว่าการที่ต้องมีพระมาเทศน์สรุปสอนคนนี่ก็คือการที่ชนชั้นปกครองของเราไม่เชื่อว่าประชาชนจะมีความสามารถในการคิดหรือเรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง และก็มีที่บอกว่าต่อไปเดี๋ยวก็ทำละครมีเนื้อหาเลวร้ายออกมาอีกแล้วก็อ้างว่าทำมาให้ข้อคิดเอามาสอนคน และยังบอกว่าถ้าจะให้แง่คิดสอนคนน่ะเอาโดเรม่อนมาฉายก็ได้ (อันนี้ชอบมาก)เรามาดูกันทีละประเด็นแล้วกันนะครับ สำหรับเรื่องผลที่ตัวละครได้รับ ตอนแรกผมก็นึกว่ามันจะเป็นรูปธรรมกว่านี้ แต่ในส่วนตัวผมก็ว่าใช้ได้นะครับเพราะตัวละครได้รับความทุกข์ใจจากการกระทำของตัวเอง ผมมองว่าการลงโทษที่แรงที่สุดก็คือการที่เราถูกลงโทษด้วยจิตใจของตัวเราเองนี่แหละครับ ลองคิดดูครับว่าถ้าคนเราต้องอยู่กับความเสียใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำมาไปตลอดชีวิตก็เปรียบได้กับการตกนรกทั้งเป็นนั่นเอง ส่วนคนที่บอกว่ามาลงโทษตอนจบใครไม่ได้ดูก็ไม่รู้น่ะสิอันนี้ต้องขอเถียงหน่อยครับ ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของละครเรื่องนี้ ที่บอกว่าติดตามมากที่สุดก็คือเป็นเรื่องที่ดูมากที่สุด เพราะผมบางทีกว่าจะกลับถึงบ้านบางทีก็สามทุ่มกว่าละครผ่านไปครึ่งเรื่องแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผมได้ดูผมก็พบว่าตัวละครที่ทำความผิดในเรื่องไม่ใช่แค่เรยา รวมถึงคุณใหญ่ และคนอื่น ๆ ด้วย ไม่ได้มีความสุขครับ ละครเกือบทุกตอนแสดงให้เห็นเลยว่าทุกคนได้รับผลได้รับความทุกข์ใจจากการกระทำของตัวเอง ตอนจบเป็นเพียงการขมวดปมของเรื่องเท่านั้น
ส่วนกรณีที่บอกว่าผู้ปกครองบ้านเมืองไม่เชื่อว่าคนเราจะมีความคิดได้ด้วยตัวเอง อันนี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยครับ เพราะจากการกระทำหลาย ๆ อย่าง สื่อให้เห็นไปในทางนั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำเบลอฉากที่มีเหล้าหรือบุหรี่ในละครหรือหนังโดยมีความคิดว่าถ้าไม่เห็นซะก็คงไม่สูบหรือไม่ดื่ม ตรงนี้ผมไม่ได้บอกว่าอยากจะให้มีฉากเหล้าหรือบุหรี่ในหนังนะครับ คือถ้าผู้สร้างหนังหรือละครใหม่ ๆ สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ก็จะดี เพราะถ้าเห็นการกระทำบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดความเคยชินได้ แต่ไอ้การไปทำภาพเบลอกับสิ่งที่เด็กดูก็รู้ว่าตัวละครทำอะไรอยู่ผมว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งตอนนี้เรามีการจัดเรตละครแล้ว ถ้ามีฉากเหล้าบุหรี่ก็จัดเรตหนัก ๆ ไปเลย ถ้าไม่อยากให้มีเอามาก ๆ ก็อาจจะกำหนดไปว่าถ้ามีเหล้าบุหรี่ต้องฉายดึก ๆ นะจะให้เรต ฉ. อะไรก็ว่าไป คนสร้างเขาจะได้หลีกเลี่ยง แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการอบรมจากบ้านและโรงเรียนมีผลมากกว่าครับ ผมไม่เชื่อว่าถ้าเราอบรมเลี้ยงดูลูกหลานเราเป็นอย่างดี แล้วเขาจะเสียคนเพราะไปดูหนังหรือดูละคร ถ้าเราสอนพื้นฐานให้เขาว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี เขาก็จะสามารถแยกแยะได้ด้วยตัวเอง คุณเคยเห็นพ่อแม่จูงลูกตัวเล็ก ๆ เดินข้ามถนนใต้สะพานลอยคนข้ามไหมครับผมว่านั่นคือสิ่งที่แย่กว่าอีกครับ เพราะมันคือการเพาะนิสัยที่ไม่มีวินัยลงไปในตัวลูก เรามารณรงค์ในเรื่องนี้กันดีกว่าไหมครับ ครอบครัวมีส่วนสำคัญครับเมื่อละครมีการจัดเรตแล้ว ถ้าด้วยเหตุใดก็ตามที่เราจะต้องให้ลูกที่ยังเล็กกว่าที่เรตกำหนดดูละครด้วย เราก็มีหน้าที่ในการให้คำแนะนำกับลูกครับ พูดถึงเหล้าบุหรี่ก็อดจะพูดถึงเรื่องกีฬาไม่ได้ มีรายการกีฬาหลายรายการนะครับ(ไม่ใช่ถ่ายทอดสด) ที่มักจะเบลอป้ายโฆษณาเหล้าและบุหรี่ที่ติดอยู่ข้างสนาม เบลอจนดูภาพการแข่งขันไม่รู้เรื่อง อันนี้ช่วยเลิกเถอะครับ ผมถามจริง ๆ เถอะครับว่า เวลาคนเขาดูกีฬากันนี่ มีใครสักกี่คนครับที่จะไปสังเกตป้ายโฆษณา ทำยังกับว่าถ้าเห็นโฆษณาปุ๊บก็จะเกิดอยากขึ้นมาจนต้องรีบไปซื้ออย่างนั้นแหละ อ้าวชักนอกเรื่องแฮะ กลับมาที่เรยา สิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือสังคมของเรามีสิ่งที่เรียกว่า moral panic (ซึ่งบางครั้งอาจไม่ดีก็ได้) มีการช่วยกันเฝ้าระวังดูแลสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม แต่ผู้บริหารประเทศจะต้องตอบสนองอย่างมีสติ ไม่ใช่โหนกระแสหรือทำเพื่อหวังผลทางการเมือง ผมว่าส่วนหนึ่งที่ละครเรื่องนี้ดังขึ้นมาอย่างมากก็เพราะการตอบรับในลักษณะที่จะแบนละคร คนที่ไม่เคยดูละครเรื่องนี้เลยก็อาจจะเกิดความสนใจและหันกลับมาดู ดังนั้นผมว่าผู้บริหารบ้านเมืองอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่ครับ ลองกำกับดูแลอย่างที่ให้ประชาชนได้คิดหรือมีวิจารณญาณด้วยตัวเองบ้าง ไม่ต้องคิดเผื่อเขาหมดทุกอย่าง ขอโยงเข้าการเมืองสักหน่อยแล้วกัน โดยผมอยากจะตั้งคำถามทิ้งไว้ว่าการที่เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองทุกวันนี้ ส่วนหนึงมันมาจากการที่คนบางกลุ่มไม่เชื่อในความคิดของคนบางกลุ่ม และคนบางกลุ่มคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนบางกลุ่มใช่ไหมครับ
มาดูที่ประเด็นสุดท้ายครับว่าต่อไปก็จะมีการสร้างละครทีมีเนื้อหาไม่ดีออกมาแล้วก็จะบอกว่ามาสอน อันนี้น่าสนใจมากครับ เพราะผมว่าอาจมีผู้สร้างละครหลายคนกำลังคิดอย่างนี้อยู่ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่าไม่ใช่ ถ้ามีคนมาถามผมว่ายังอยากจะดูละครแนวนี้อีกไหมโดยมาบอกว่ามันเป็นคติสอนใจนะ ผมก็จะตอบว่าผมดูละครเพื่อการผ่อนคลาย ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องจากละครซึ่งก็รู้ว่ามันแต่งขึ้นเอามาสอนตัวเองหรือใครอย่างจริงจัง และถ้าจะให้เลือกละครอย่างดอกส้มสีทอง กับละครอะไรสักเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงการสู้ชีวิตของตัวละครที่มีความมานะบุกบั่นฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ ผมก็คงเลือกเรื่องหลัง เพราะมันให้แง่คิดที่ดีและเราสามารถวางใจให้ลูกเราดูได้โดยไม่ต้องมาคอยนั่งชี้แนะ ถ้าละครสามารถสอนคนได้จริงเราก็คงสร้างละครขึ้นมาให้พระเอกนางเอกเป็นคนดีมาก ๆ แล้วทุกคนก็เรียนรู้จากละครแล้วทำตามบ้านเมืองคงสงบสุขไปแล้ว แต่ในชีวิตจริงมันไม่ใช่ พฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงส่วนใหญ่ของเราได้มาจากกการเรียนรู้การอบรมจากครอบครัวโรงเรียนและสังคมรอบตัว ละครทุกเรื่องที่เราได้ดูมีทั้งดีและร้าย การศึกษาอบรมที่เราได้รับจะทำให้เราแยกแยะว่าอะไรดีหรือไม่ดี ซึ่งแต่ละคนก็อาจมีมุมมองไม่เหมือนกันก็ได้ ยกตัวอย่างการ์ตูนโดเรม่อน ถ้าจะให้จัดเรตผมอาจจะให้จัดเรต น.13 ก็ได้ :) เพราะตัวละครอย่างไจแอนท์มีพฤติกรรมเป็นอันธพาลชอบใช้กำลังรังแกคน หรือซูเนโอะเป็นคนปลิ้นปล้อน แต่ถ้าเราดูไปจนจบเราก็จะพบสิ่งดี ๆ ที่อยู่ในตัวของคนทั้งสอง ซึ่งมีความรักเพื่อนถ้าเพื่อนตกอยู่ในอันตรายทั้งสองก็พร้อมที่จะไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ สำหรับละครเรื่องดอกส้มสีทองอย่างที่บอกไปแล้วผมบอกแล้วว่าโดยภาพรวมเนื้อหาของละครเรื่องนี้ก็คือละครแย่งผัวแย่งเมียนั่นแหละ แต่มันมาปรับเนื้อหาให้เข้มข้นขึ้น จริง ๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากละครที่ฉายกันอยู่เต็มจอทุกวันนี้
สุดท้ายก็คือละครจบแล้วครับถ้าเราคิดว่าเราจะได้อะไรดี ๆ ไปใช้ในชีวิตได้ก็นำไปใช้ ถ้าคิดว่าไม่ได้อะไรก็ดูมันเป็นละครเรื่องหนึ่ง จบแล้วเราก็หาเรื่องอื่นที่เราชอบดูต่อไป
จริง ๆ เหตุผลที่ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับละครเรื่องนี้อีกครั้งเป็นเพราะสิ่งที่ผมได้เห็นจากไทม์ไลน์บนทวิตเตอร์ของตัวเอง มีทั้งที่บอกว่าแหมเรยากับคุณนายที่สองทำชั่วมาตั้งเยอะได้รับผลกรรมแค่ต้องอยู่คนเดียวไม่มีใครคบ บางคนบอกว่ามาได้รับกรรมตอนท้ายเรื่องแต่เกือบทั้งเรื่องมีความสุขงั้นคนไม่ดูตอนจบก็ไม่รู้สิ บางคนก็บอกว่าการที่ต้องมีพระมาเทศน์สรุปสอนคนนี่ก็คือการที่ชนชั้นปกครองของเราไม่เชื่อว่าประชาชนจะมีความสามารถในการคิดหรือเรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง และก็มีที่บอกว่าต่อไปเดี๋ยวก็ทำละครมีเนื้อหาเลวร้ายออกมาอีกแล้วก็อ้างว่าทำมาให้ข้อคิดเอามาสอนคน และยังบอกว่าถ้าจะให้แง่คิดสอนคนน่ะเอาโดเรม่อนมาฉายก็ได้ (อันนี้ชอบมาก)เรามาดูกันทีละประเด็นแล้วกันนะครับ สำหรับเรื่องผลที่ตัวละครได้รับ ตอนแรกผมก็นึกว่ามันจะเป็นรูปธรรมกว่านี้ แต่ในส่วนตัวผมก็ว่าใช้ได้นะครับเพราะตัวละครได้รับความทุกข์ใจจากการกระทำของตัวเอง ผมมองว่าการลงโทษที่แรงที่สุดก็คือการที่เราถูกลงโทษด้วยจิตใจของตัวเราเองนี่แหละครับ ลองคิดดูครับว่าถ้าคนเราต้องอยู่กับความเสียใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำมาไปตลอดชีวิตก็เปรียบได้กับการตกนรกทั้งเป็นนั่นเอง ส่วนคนที่บอกว่ามาลงโทษตอนจบใครไม่ได้ดูก็ไม่รู้น่ะสิอันนี้ต้องขอเถียงหน่อยครับ ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของละครเรื่องนี้ ที่บอกว่าติดตามมากที่สุดก็คือเป็นเรื่องที่ดูมากที่สุด เพราะผมบางทีกว่าจะกลับถึงบ้านบางทีก็สามทุ่มกว่าละครผ่านไปครึ่งเรื่องแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผมได้ดูผมก็พบว่าตัวละครที่ทำความผิดในเรื่องไม่ใช่แค่เรยา รวมถึงคุณใหญ่ และคนอื่น ๆ ด้วย ไม่ได้มีความสุขครับ ละครเกือบทุกตอนแสดงให้เห็นเลยว่าทุกคนได้รับผลได้รับความทุกข์ใจจากการกระทำของตัวเอง ตอนจบเป็นเพียงการขมวดปมของเรื่องเท่านั้น
ส่วนกรณีที่บอกว่าผู้ปกครองบ้านเมืองไม่เชื่อว่าคนเราจะมีความคิดได้ด้วยตัวเอง อันนี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยครับ เพราะจากการกระทำหลาย ๆ อย่าง สื่อให้เห็นไปในทางนั้นจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำเบลอฉากที่มีเหล้าหรือบุหรี่ในละครหรือหนังโดยมีความคิดว่าถ้าไม่เห็นซะก็คงไม่สูบหรือไม่ดื่ม ตรงนี้ผมไม่ได้บอกว่าอยากจะให้มีฉากเหล้าหรือบุหรี่ในหนังนะครับ คือถ้าผู้สร้างหนังหรือละครใหม่ ๆ สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ก็จะดี เพราะถ้าเห็นการกระทำบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดความเคยชินได้ แต่ไอ้การไปทำภาพเบลอกับสิ่งที่เด็กดูก็รู้ว่าตัวละครทำอะไรอยู่ผมว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งตอนนี้เรามีการจัดเรตละครแล้ว ถ้ามีฉากเหล้าบุหรี่ก็จัดเรตหนัก ๆ ไปเลย ถ้าไม่อยากให้มีเอามาก ๆ ก็อาจจะกำหนดไปว่าถ้ามีเหล้าบุหรี่ต้องฉายดึก ๆ นะจะให้เรต ฉ. อะไรก็ว่าไป คนสร้างเขาจะได้หลีกเลี่ยง แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการอบรมจากบ้านและโรงเรียนมีผลมากกว่าครับ ผมไม่เชื่อว่าถ้าเราอบรมเลี้ยงดูลูกหลานเราเป็นอย่างดี แล้วเขาจะเสียคนเพราะไปดูหนังหรือดูละคร ถ้าเราสอนพื้นฐานให้เขาว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี เขาก็จะสามารถแยกแยะได้ด้วยตัวเอง คุณเคยเห็นพ่อแม่จูงลูกตัวเล็ก ๆ เดินข้ามถนนใต้สะพานลอยคนข้ามไหมครับผมว่านั่นคือสิ่งที่แย่กว่าอีกครับ เพราะมันคือการเพาะนิสัยที่ไม่มีวินัยลงไปในตัวลูก เรามารณรงค์ในเรื่องนี้กันดีกว่าไหมครับ ครอบครัวมีส่วนสำคัญครับเมื่อละครมีการจัดเรตแล้ว ถ้าด้วยเหตุใดก็ตามที่เราจะต้องให้ลูกที่ยังเล็กกว่าที่เรตกำหนดดูละครด้วย เราก็มีหน้าที่ในการให้คำแนะนำกับลูกครับ พูดถึงเหล้าบุหรี่ก็อดจะพูดถึงเรื่องกีฬาไม่ได้ มีรายการกีฬาหลายรายการนะครับ(ไม่ใช่ถ่ายทอดสด) ที่มักจะเบลอป้ายโฆษณาเหล้าและบุหรี่ที่ติดอยู่ข้างสนาม เบลอจนดูภาพการแข่งขันไม่รู้เรื่อง อันนี้ช่วยเลิกเถอะครับ ผมถามจริง ๆ เถอะครับว่า เวลาคนเขาดูกีฬากันนี่ มีใครสักกี่คนครับที่จะไปสังเกตป้ายโฆษณา ทำยังกับว่าถ้าเห็นโฆษณาปุ๊บก็จะเกิดอยากขึ้นมาจนต้องรีบไปซื้ออย่างนั้นแหละ อ้าวชักนอกเรื่องแฮะ กลับมาที่เรยา สิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือสังคมของเรามีสิ่งที่เรียกว่า moral panic (ซึ่งบางครั้งอาจไม่ดีก็ได้) มีการช่วยกันเฝ้าระวังดูแลสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม แต่ผู้บริหารประเทศจะต้องตอบสนองอย่างมีสติ ไม่ใช่โหนกระแสหรือทำเพื่อหวังผลทางการเมือง ผมว่าส่วนหนึ่งที่ละครเรื่องนี้ดังขึ้นมาอย่างมากก็เพราะการตอบรับในลักษณะที่จะแบนละคร คนที่ไม่เคยดูละครเรื่องนี้เลยก็อาจจะเกิดความสนใจและหันกลับมาดู ดังนั้นผมว่าผู้บริหารบ้านเมืองอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่ครับ ลองกำกับดูแลอย่างที่ให้ประชาชนได้คิดหรือมีวิจารณญาณด้วยตัวเองบ้าง ไม่ต้องคิดเผื่อเขาหมดทุกอย่าง ขอโยงเข้าการเมืองสักหน่อยแล้วกัน โดยผมอยากจะตั้งคำถามทิ้งไว้ว่าการที่เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองทุกวันนี้ ส่วนหนึงมันมาจากการที่คนบางกลุ่มไม่เชื่อในความคิดของคนบางกลุ่ม และคนบางกลุ่มคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนบางกลุ่มใช่ไหมครับ
มาดูที่ประเด็นสุดท้ายครับว่าต่อไปก็จะมีการสร้างละครทีมีเนื้อหาไม่ดีออกมาแล้วก็จะบอกว่ามาสอน อันนี้น่าสนใจมากครับ เพราะผมว่าอาจมีผู้สร้างละครหลายคนกำลังคิดอย่างนี้อยู่ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่าไม่ใช่ ถ้ามีคนมาถามผมว่ายังอยากจะดูละครแนวนี้อีกไหมโดยมาบอกว่ามันเป็นคติสอนใจนะ ผมก็จะตอบว่าผมดูละครเพื่อการผ่อนคลาย ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องจากละครซึ่งก็รู้ว่ามันแต่งขึ้นเอามาสอนตัวเองหรือใครอย่างจริงจัง และถ้าจะให้เลือกละครอย่างดอกส้มสีทอง กับละครอะไรสักเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงการสู้ชีวิตของตัวละครที่มีความมานะบุกบั่นฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ ผมก็คงเลือกเรื่องหลัง เพราะมันให้แง่คิดที่ดีและเราสามารถวางใจให้ลูกเราดูได้โดยไม่ต้องมาคอยนั่งชี้แนะ ถ้าละครสามารถสอนคนได้จริงเราก็คงสร้างละครขึ้นมาให้พระเอกนางเอกเป็นคนดีมาก ๆ แล้วทุกคนก็เรียนรู้จากละครแล้วทำตามบ้านเมืองคงสงบสุขไปแล้ว แต่ในชีวิตจริงมันไม่ใช่ พฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงส่วนใหญ่ของเราได้มาจากกการเรียนรู้การอบรมจากครอบครัวโรงเรียนและสังคมรอบตัว ละครทุกเรื่องที่เราได้ดูมีทั้งดีและร้าย การศึกษาอบรมที่เราได้รับจะทำให้เราแยกแยะว่าอะไรดีหรือไม่ดี ซึ่งแต่ละคนก็อาจมีมุมมองไม่เหมือนกันก็ได้ ยกตัวอย่างการ์ตูนโดเรม่อน ถ้าจะให้จัดเรตผมอาจจะให้จัดเรต น.13 ก็ได้ :) เพราะตัวละครอย่างไจแอนท์มีพฤติกรรมเป็นอันธพาลชอบใช้กำลังรังแกคน หรือซูเนโอะเป็นคนปลิ้นปล้อน แต่ถ้าเราดูไปจนจบเราก็จะพบสิ่งดี ๆ ที่อยู่ในตัวของคนทั้งสอง ซึ่งมีความรักเพื่อนถ้าเพื่อนตกอยู่ในอันตรายทั้งสองก็พร้อมที่จะไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ สำหรับละครเรื่องดอกส้มสีทองอย่างที่บอกไปแล้วผมบอกแล้วว่าโดยภาพรวมเนื้อหาของละครเรื่องนี้ก็คือละครแย่งผัวแย่งเมียนั่นแหละ แต่มันมาปรับเนื้อหาให้เข้มข้นขึ้น จริง ๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากละครที่ฉายกันอยู่เต็มจอทุกวันนี้
สุดท้ายก็คือละครจบแล้วครับถ้าเราคิดว่าเราจะได้อะไรดี ๆ ไปใช้ในชีวิตได้ก็นำไปใช้ ถ้าคิดว่าไม่ได้อะไรก็ดูมันเป็นละครเรื่องหนึ่ง จบแล้วเราก็หาเรื่องอื่นที่เราชอบดูต่อไป
วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
ครึ่งคืนกับครึ่งวันกับการล็อกอินเน็ตทรู
สวัสดีครับวันนี้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการที่ต้องใช้บริการฝ่ายสนับสนุนเน็ตทรูมาเล่าให้ฟังกันครับ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อคืนวันที่ 4 พ.ค. ขณะที่ผมนั่งดูเรยาอยู่อย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งต้องอ่านตัววิ่งคอยย้ำเตือนตัวเองให้รู้ว่าสิ่งที่เห็นในจอภาพคือการแสดงอยู่นั้น (ผมว่าคนชาติอื่นถ้าเขาอ่านภาษาไทยออกคงประหลาดใจนะครับว่าคนไทยไม่รู้หรือไงว่าที่อยู่ในทีวีคือการแสดง ถึงต้องมีตัววิ่งบอก) ลูกชายก็มาบอกให้ช่วยดูหน่อยว่าเน็ตเป็นอะไร ผมก็ขึ้นมาดูปรากฏว่าที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มันขึ้นข้อความว่าชื่อล็อกอินผิดพลาด ถึงตรงนี้คงต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปทำเรื่องย้ายอินเทอร์เน็ตจากเบอร์หนึ่งมาอีกเบอร์หนึ่ง ผมตัดสินใจไม่เอาเราต์เตอร์ที่ทรูจะให้ เพราะไม่อยากที่จะต้องผูกพันว่าจะต้องใช้ทรูไปอีกปีครึ่ง (จริง ๆ จะเอามาก็ได้ เพราะตอนนี้แถวบ้านผมมันแทบไม่มีตัวเลือกอื่น แต่รู้สึกว่าที่เราเตอร์ที่เรามีอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว) ทรูก็ให้บัตรมาใบหนึ่งซึ่งต้องขูดเพื่อดูรหัส และบอกว่าประมาณ 4 วัน (นับจากวันที่ผมไปขอ) จึงจะใช้ได้ โดยทรูไม่คิดที่จะโทรมาหรือ SMS มาบอกเลยว่าใช้ได้แล้ว เอาเป็นว่าผมก็นับเอาว่า 4 วันแล้วก็ย้ายเราเตอร์มาต่อกับเบอร์ใหม่และก็ต่อเข้าไป ก็พบข้อความว่าให้ลงทะเบียนชื่อล็อกอินและรหัสผ่าน ขูดบัตรมาดูปรากฏว่าเป็นเลขอะไรไม่รู้ชุดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ล็อกอินและรหัสผ่าน ก็เลยโทรไปถามทาง call center ของทรูเบอร์ 1686 ได้รับคำชี้แจงว่า ไม่ต้องใช้รหัสผ่านอะไรแล้ว ตอนนี้ทรูจะเช็คจากเบอร์โทรศัพท์ ผมก็ถามว่าที่เราเตอร์ผมมีล็อกอินและรหัสผ่านของเบอร์เก่าอยู่ต้องไปลบทิ้งหรือทำอะไรไหม ทางทรูก็บอกว่าไม่ต้อง จากนั้นก็เซ็ตค่าให้ผมใช้อินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งผมก็ใช้ได้มาปกติจนถึงคืนวันที่ 4 พ.ค. อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นนั่นแหละครับ
เมื่อเกิดปัญหาผมก็โทรไปหา call center จากการโทรครั้งนี้ทำให้ผมได้รับทราบว่ามีคนที่มีปัญหาการใช้งานอินเทอร์เน็ตของทรูมากมาย เพราะมีข้อความบอกประมาณว่า "เนื่องจากมีลูกค้าแจ้งปัญหาการใช้บริการเข้ามาเป็นจำนวนมากดังนั้นท่านอาจต้องคอยนานหน่อย" ซึ่งผมก็คิดว่าสงสัยเน็ตทรูจะล่ม ลูกค้าที่โทรเข้าไปอาจเป็นอาการเดียวกับผม แต่ก็ตัดสินใจรอคุยดูให้รู้แน่ คิดว่ารออยู่สักประมาณเกือบสิบนาทีได้ครับ ก็มีพนักงานมารับสายผมก็แจ้งอาการให้ทราบ พนักงานก็เช็คให้และบอกว่ายังไม่เห็นมีการติดต่อเข้ามาในระบบ (ตอนนั้นผมเปิดเราเตอร์ไว้) อาจเป็นปัญหาที่เราเตอร์ของผม บอกว่าให้ผมเซ็ตค่าเราเตอร์ใหม่ พร้อมทั้งถามว่าผมจำชื่อล็อกอินและรหัสผ่านของทรูได้ไหม อ้าวไหนตอนเปิดใช้ก็บอกว่าไม่ต้องใช้แล้ว ตอนนี้จะมาถามอะไรถึงถามผมก็ไม่มีให้ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรไปปรากฏว่าสายหลุดครับ ซึ่งผมก็คาดว่าเดี๋ยวเขาคงจะโทรกลับมา ก็เลยไปจัดเตรียมเครื่องและอุปกรณ์เพื่อเตรียมเซ็ตเราเตอร์ เตรียมอุปกรณ์เสร็จ ดูเรยาจบไปอีกตอนก็ไม่มีใครโทรมา ก็เลยโทรกลับไปอีกครั้ง เหมือนเดิมครับรอไปประมาณสิบนาที ก็มีพนักงานน่าจะอีกคนนะครับมารับเรื่องต่อให้ คนนี้ไม่ถามล็อกอินรหัสผ่านครับแต่จัดการเซ็ตให้เลย ให้ผมใส่ค่าไปตามที่เธอบอก ผมก็เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่า "ไม่ต้องใช้แล้วไม่ใช่หรือครับ" เธอก็บอกว่าต้องใช้ (โอเคใช้ก็ใช้) เมื่อใส่เสร็จผมก็รีบูตเราเตอร์ปรากฏว่ายังมีอาการเดิมครับคือเข้าเน็ตไม่ได้ พนักงานก็บอกว่าแปลกตอนนี้ก็เห็นข้อมูลต่อเข้ามาแล้วนี่ ผมก็เลยลองเช็คสถานะเราเตอร์ดูก็ปรากฏว่าได้รับหมายเลข IP และ ค่า Gateway กับ DNS มาเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็บอกผมอีกว่าให้ลองเช็คค่า IP ของเครื่องดู (ขอให้ความรู้นิดหนึ่งครับตรงนี้จะเป็นการเช็คครับว่าตัวเราเตอร์จ่าย IP ให้กับเครื่องหรือไม่) ซึ่งผมก็เช็คดูก็ปรากฏว่าตัวเราเตอร์จ่าย IP ปกติดี สักครู่หนึ่งพนักงานก็บอกว่า "เอ๊ะทำไมดูเหมือนว่าล็อกอินจะหลุดไปอีกแล้ว สงสัยเราเตอร์ของคุณจะมีปัญหา" ผมก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น (ตอนนั้นยังไม่รู้ แต่ตอนหลังมานั่งคิดดูสงสัยขาเก้าอี้ที่ผมนั่งมันอาจจะเลื่อนไปชนปลั๊กเราเตอร์ ทำให้ไฟมันดับไปแป๊บหนึ่ง) พนักงานก็ถามว่าผมมีเราเตอร์ตัวอื่นไหม จริง ๆ ตอนนั้นผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเราเตอร์แต่จะให้ลองดูก็ได้ ผมก็บอกว่างั้นเดี๋ยวผมจะไปเอาเราเตอร์ที่ทรูให้มาตอนสมัครเบอร์เก่ามาลองเซ็ตดูตามค่าที่ให้มา แล้วถ้าไม่ได้ยังไงจะโทรกลับไปอีกทีหนึ่ง
หลังจากเซ็ตเราเตอร์เสร็จลองต่อใหม่ก็อาการเดิมครับ ถึงตอนนี้ผมมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซนต์ว่าปัญหาอยู่ที่ระบบตรวจสอบผู้ใช้ของทรูนั่นแหละ เพราะทุกอย่างก็ได้รับมาถูกต้อง เราเตอร์ก็ทำงานปกติ ก็เลยตั้งใจว่าโทรไปคราวนี้จะขอให้ลองทำขั้นตอนแอ็กติเวตผู้ใช้ใหม่อีกครั้ง โทรไปรอประมาณสิบนาทีเหมือนเดิม ก็ได้พูดกับพนักงาน(น่าจะ) อีกคนหนึ่ง ก็แจ้งอาการให้ทราบ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร เธอก็บอกประมาณว่าผมโทรมาหลายครั้งแล้วด้วยอาการเดิม สงสัยอาจเป็นปัญหาที่ชุมสายหรือที่บ้านยังไงให้ทิ้งเรื่องไว้แล้วจะให้ช่างไปดูให้ภายใน 24 ชั่วโมง ผมก็เลยชวนคุยเกริ่นนำไปว่าก่อนหน้านั้นไม่นานก็ยังปกติดีอยู่เลยไม่น่าจะเกี่ยวกับชุมสายนะ แต่คำตอบที่ผมได้รับทำให้ผมตัดสินใจที่จะไม่เดินเรื่องต่อในคืนนั้นครับ เพราะเธอพูดประมาณว่าตอนกลางคืนมีความชื้นสูงกว่าตอนกลางวันอาจทำให้มีปัญหาได้ บอกตามตรงผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำชี้แจงแบบนี้ นี่ระบบของทรูอ่อนไหวขนาดนี้เลยหรือครับ อย่างนี้
ถ้าฝนตกก็คงไม่ต้องใช้กันเลยสิ ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นคำตอบที่เธอได้รับการอบรมมา เธอเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ หรือเธอคิดว่าผมนี่อาจจะเซ็ตอะไรไม่เป็นก็เลยพูดปัด ๆ ไปผมจะได้รอช่าง เอาเป็นว่าผมก็ตัดสินใจว่าเดี๋ยวตอนเช้าค่อยโทรใหม่ อาจจะได้พูดกับเจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่แก้ปัญหาได้เก่งกว่านี้ อีกอย่างหนึ่งตอนนั้น ดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืนข้ามคืนนี้ก็เป็นเวลาของปีใหม่ เอ๊ยไม่ใช่ ลูก ๆ ก็หลับหมดแล้ว ส่วนผมถ้าอยากใช้เน็ตจริง ๆ ก็ยังมีช่องทางอื่น แล้วผมก็เข้านอนครับ
แต่สรุปว่าผมไม่ได้โทรหา call center หรอกครับในวันรุ่งขึ้น เพราะทางฝ่ายช่างของทรูต้องขอชมว่าทำงานเร็วมาก เพราะโทรมาปลุกผมตั้งแต่ 8.00 น. ถามว่าใช้เน็ตได้หรือยังผมก็ไปเช็คดูปรากฏว่ายังไม่ได้ เขาก็บอกว่างั้นอีก 15 นาทีถึงบ้านผม เมื่อมาถึงเขาก็มาเช็คเราเตอร์ต่าง ๆ ตามที่ผมเซ็ตไว้เมื่อวาน ก็ปรากฏว่าทุกอย่างถูกต้อง และเขาก็สรุปตรงกับผมว่าปัญหาน่าจะอยูที่ระบบล็อกอินนั่นแหละ และเขาจะโทรไปให้ทางทรูจัดการเรื่องนี้ ผมก็สบายใจแล้วช่างมายืนยันเองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฮาร์ดแวร์หรือการตั้งค่าไม่ถูก และผมก็ไม่ต้องโทรเข้า call center เอง เพราะตอนกลางวันนี่ไม่รู้ต้องรอกี่นาที แต่แล้วช่างก็ทำให้ผมประหลาดใจครับ คือเขาใช้โทรศัพท์ของเขาโทรเข้า call center แล้วก็รอสายเหมือนลูกค้าทั่วไป ผมก็ถามว่านี่ทรูไม่มีเบอร์พิเศษสำหรับช่างหรือเขาบอกว่าไม่มี ต้องบอกว่าตอนกลางวันรอนานกว่ากลางคืนมากครับ และปัญหาคือเมื่อรอไปพักหนึ่ง ประมาณเกือบ 20 นาทีได้สายก็หลุดครับ หลุดก็โทรใหม่เป็นอย่างนี้ไปสองสามครั้งก็ล่อไปเกือบชั่วโมงแล้วครับ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดช่างก็โทรไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าของเขาเพื่อขอเบอร์ตรงของวิศวกรที่ดูแลเรื่องนี้ และก็ขอให้จัดการเรื่องรหัสผ่านให้ใหม่ ซึ่งก็ได้ผลครับเรียบร้อยผมใช้เน็ตได้เหมือนเดิมหลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน
นี่แหละครับประสบการณ์ที่ได้รับ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นครั้งแรก (และขอให้เป็นครั้งสุดท้าย) ครับที่มีปัญหาอินเทอร์เน็ตหลังจากใช้งานทรูมาได้หลายปีแล้ว ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะครับ และก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเขาถึงได้ต่อว่าต่อขานเรื่องบริการหลังการขายของทรูกันนัก หวังว่าผมคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกนะครับ หมดไปครึ่งวันกับครึ่งคืนแค่ไอ้เรื่องล็อกอิน ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังงอยู่นะครับว่าตอนแรกก็ไม่ต้องใช้แล้วทำไมตอนหลังถึงกลับมาต้องใช้อีกจะเอายังไงกันแน่ ปวดหัวยิ่งกว่าดูเรยาหันมาไล่จับคุณเล็กอีก
เมื่อเกิดปัญหาผมก็โทรไปหา call center จากการโทรครั้งนี้ทำให้ผมได้รับทราบว่ามีคนที่มีปัญหาการใช้งานอินเทอร์เน็ตของทรูมากมาย เพราะมีข้อความบอกประมาณว่า "เนื่องจากมีลูกค้าแจ้งปัญหาการใช้บริการเข้ามาเป็นจำนวนมากดังนั้นท่านอาจต้องคอยนานหน่อย" ซึ่งผมก็คิดว่าสงสัยเน็ตทรูจะล่ม ลูกค้าที่โทรเข้าไปอาจเป็นอาการเดียวกับผม แต่ก็ตัดสินใจรอคุยดูให้รู้แน่ คิดว่ารออยู่สักประมาณเกือบสิบนาทีได้ครับ ก็มีพนักงานมารับสายผมก็แจ้งอาการให้ทราบ พนักงานก็เช็คให้และบอกว่ายังไม่เห็นมีการติดต่อเข้ามาในระบบ (ตอนนั้นผมเปิดเราเตอร์ไว้) อาจเป็นปัญหาที่เราเตอร์ของผม บอกว่าให้ผมเซ็ตค่าเราเตอร์ใหม่ พร้อมทั้งถามว่าผมจำชื่อล็อกอินและรหัสผ่านของทรูได้ไหม อ้าวไหนตอนเปิดใช้ก็บอกว่าไม่ต้องใช้แล้ว ตอนนี้จะมาถามอะไรถึงถามผมก็ไม่มีให้ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรไปปรากฏว่าสายหลุดครับ ซึ่งผมก็คาดว่าเดี๋ยวเขาคงจะโทรกลับมา ก็เลยไปจัดเตรียมเครื่องและอุปกรณ์เพื่อเตรียมเซ็ตเราเตอร์ เตรียมอุปกรณ์เสร็จ ดูเรยาจบไปอีกตอนก็ไม่มีใครโทรมา ก็เลยโทรกลับไปอีกครั้ง เหมือนเดิมครับรอไปประมาณสิบนาที ก็มีพนักงานน่าจะอีกคนนะครับมารับเรื่องต่อให้ คนนี้ไม่ถามล็อกอินรหัสผ่านครับแต่จัดการเซ็ตให้เลย ให้ผมใส่ค่าไปตามที่เธอบอก ผมก็เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่า "ไม่ต้องใช้แล้วไม่ใช่หรือครับ" เธอก็บอกว่าต้องใช้ (โอเคใช้ก็ใช้) เมื่อใส่เสร็จผมก็รีบูตเราเตอร์ปรากฏว่ายังมีอาการเดิมครับคือเข้าเน็ตไม่ได้ พนักงานก็บอกว่าแปลกตอนนี้ก็เห็นข้อมูลต่อเข้ามาแล้วนี่ ผมก็เลยลองเช็คสถานะเราเตอร์ดูก็ปรากฏว่าได้รับหมายเลข IP และ ค่า Gateway กับ DNS มาเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็บอกผมอีกว่าให้ลองเช็คค่า IP ของเครื่องดู (ขอให้ความรู้นิดหนึ่งครับตรงนี้จะเป็นการเช็คครับว่าตัวเราเตอร์จ่าย IP ให้กับเครื่องหรือไม่) ซึ่งผมก็เช็คดูก็ปรากฏว่าตัวเราเตอร์จ่าย IP ปกติดี สักครู่หนึ่งพนักงานก็บอกว่า "เอ๊ะทำไมดูเหมือนว่าล็อกอินจะหลุดไปอีกแล้ว สงสัยเราเตอร์ของคุณจะมีปัญหา" ผมก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น (ตอนนั้นยังไม่รู้ แต่ตอนหลังมานั่งคิดดูสงสัยขาเก้าอี้ที่ผมนั่งมันอาจจะเลื่อนไปชนปลั๊กเราเตอร์ ทำให้ไฟมันดับไปแป๊บหนึ่ง) พนักงานก็ถามว่าผมมีเราเตอร์ตัวอื่นไหม จริง ๆ ตอนนั้นผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเราเตอร์แต่จะให้ลองดูก็ได้ ผมก็บอกว่างั้นเดี๋ยวผมจะไปเอาเราเตอร์ที่ทรูให้มาตอนสมัครเบอร์เก่ามาลองเซ็ตดูตามค่าที่ให้มา แล้วถ้าไม่ได้ยังไงจะโทรกลับไปอีกทีหนึ่ง
หลังจากเซ็ตเราเตอร์เสร็จลองต่อใหม่ก็อาการเดิมครับ ถึงตอนนี้ผมมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซนต์ว่าปัญหาอยู่ที่ระบบตรวจสอบผู้ใช้ของทรูนั่นแหละ เพราะทุกอย่างก็ได้รับมาถูกต้อง เราเตอร์ก็ทำงานปกติ ก็เลยตั้งใจว่าโทรไปคราวนี้จะขอให้ลองทำขั้นตอนแอ็กติเวตผู้ใช้ใหม่อีกครั้ง โทรไปรอประมาณสิบนาทีเหมือนเดิม ก็ได้พูดกับพนักงาน(น่าจะ) อีกคนหนึ่ง ก็แจ้งอาการให้ทราบ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร เธอก็บอกประมาณว่าผมโทรมาหลายครั้งแล้วด้วยอาการเดิม สงสัยอาจเป็นปัญหาที่ชุมสายหรือที่บ้านยังไงให้ทิ้งเรื่องไว้แล้วจะให้ช่างไปดูให้ภายใน 24 ชั่วโมง ผมก็เลยชวนคุยเกริ่นนำไปว่าก่อนหน้านั้นไม่นานก็ยังปกติดีอยู่เลยไม่น่าจะเกี่ยวกับชุมสายนะ แต่คำตอบที่ผมได้รับทำให้ผมตัดสินใจที่จะไม่เดินเรื่องต่อในคืนนั้นครับ เพราะเธอพูดประมาณว่าตอนกลางคืนมีความชื้นสูงกว่าตอนกลางวันอาจทำให้มีปัญหาได้ บอกตามตรงผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำชี้แจงแบบนี้ นี่ระบบของทรูอ่อนไหวขนาดนี้เลยหรือครับ อย่างนี้
ถ้าฝนตกก็คงไม่ต้องใช้กันเลยสิ ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นคำตอบที่เธอได้รับการอบรมมา เธอเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ หรือเธอคิดว่าผมนี่อาจจะเซ็ตอะไรไม่เป็นก็เลยพูดปัด ๆ ไปผมจะได้รอช่าง เอาเป็นว่าผมก็ตัดสินใจว่าเดี๋ยวตอนเช้าค่อยโทรใหม่ อาจจะได้พูดกับเจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่แก้ปัญหาได้เก่งกว่านี้ อีกอย่างหนึ่งตอนนั้น ดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืนข้ามคืนนี้ก็เป็นเวลาของปีใหม่ เอ๊ยไม่ใช่ ลูก ๆ ก็หลับหมดแล้ว ส่วนผมถ้าอยากใช้เน็ตจริง ๆ ก็ยังมีช่องทางอื่น แล้วผมก็เข้านอนครับ
แต่สรุปว่าผมไม่ได้โทรหา call center หรอกครับในวันรุ่งขึ้น เพราะทางฝ่ายช่างของทรูต้องขอชมว่าทำงานเร็วมาก เพราะโทรมาปลุกผมตั้งแต่ 8.00 น. ถามว่าใช้เน็ตได้หรือยังผมก็ไปเช็คดูปรากฏว่ายังไม่ได้ เขาก็บอกว่างั้นอีก 15 นาทีถึงบ้านผม เมื่อมาถึงเขาก็มาเช็คเราเตอร์ต่าง ๆ ตามที่ผมเซ็ตไว้เมื่อวาน ก็ปรากฏว่าทุกอย่างถูกต้อง และเขาก็สรุปตรงกับผมว่าปัญหาน่าจะอยูที่ระบบล็อกอินนั่นแหละ และเขาจะโทรไปให้ทางทรูจัดการเรื่องนี้ ผมก็สบายใจแล้วช่างมายืนยันเองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฮาร์ดแวร์หรือการตั้งค่าไม่ถูก และผมก็ไม่ต้องโทรเข้า call center เอง เพราะตอนกลางวันนี่ไม่รู้ต้องรอกี่นาที แต่แล้วช่างก็ทำให้ผมประหลาดใจครับ คือเขาใช้โทรศัพท์ของเขาโทรเข้า call center แล้วก็รอสายเหมือนลูกค้าทั่วไป ผมก็ถามว่านี่ทรูไม่มีเบอร์พิเศษสำหรับช่างหรือเขาบอกว่าไม่มี ต้องบอกว่าตอนกลางวันรอนานกว่ากลางคืนมากครับ และปัญหาคือเมื่อรอไปพักหนึ่ง ประมาณเกือบ 20 นาทีได้สายก็หลุดครับ หลุดก็โทรใหม่เป็นอย่างนี้ไปสองสามครั้งก็ล่อไปเกือบชั่วโมงแล้วครับ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดช่างก็โทรไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าของเขาเพื่อขอเบอร์ตรงของวิศวกรที่ดูแลเรื่องนี้ และก็ขอให้จัดการเรื่องรหัสผ่านให้ใหม่ ซึ่งก็ได้ผลครับเรียบร้อยผมใช้เน็ตได้เหมือนเดิมหลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน
นี่แหละครับประสบการณ์ที่ได้รับ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นครั้งแรก (และขอให้เป็นครั้งสุดท้าย) ครับที่มีปัญหาอินเทอร์เน็ตหลังจากใช้งานทรูมาได้หลายปีแล้ว ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะครับ และก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเขาถึงได้ต่อว่าต่อขานเรื่องบริการหลังการขายของทรูกันนัก หวังว่าผมคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกนะครับ หมดไปครึ่งวันกับครึ่งคืนแค่ไอ้เรื่องล็อกอิน ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังงอยู่นะครับว่าตอนแรกก็ไม่ต้องใช้แล้วทำไมตอนหลังถึงกลับมาต้องใช้อีกจะเอายังไงกันแน่ ปวดหัวยิ่งกว่าดูเรยาหันมาไล่จับคุณเล็กอีก
วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เรยา ในมุมมองของผม
สวัสดีครับ ไม่ได้เขียนบล็อกนี้มาเสียนาน จริง ๆ ก็มีหลายเรื่องที่อยากจะเขียนถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เรื่องการทำงานของรัฐบาลหรือการยุบสภา แต่ก็ไม่คิดอยากจะเขียนเพราะมันค่อนข้างจะเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ซึ่งผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะได้เคยพูดไปแล้วบ้างในบล็อก เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม เอาไว้ถ้ารู้สึกอึดอัดคับข้องมากกว่านี้ก็อาจจะมาเขียนระบายให้ฟังเพิ่มเติมอีก แต่ตอนนี้ขอรอไปลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ก็แล้วกัน (หวังว่าจะมีการเลือกตั้งนะ ถ้าใครทำให้มันไม่มีขอให้มีอันเป็นไปไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด)
เรื่องที่อยากเขียนในวันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะฮอตฮิตที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือเรื่องละครดอกส้มสีทอง โดยเฉพาะตัวละครเรยา ต้องบอกว่าละครเรื่องนี้เป็นละครที่ผมค่อนข้างจะติดตามมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เพราะความเข้มข้นของเนื้อหา และผู้แสดงเกือบทุกคนแสดงได้สมบทบาทมาก และอาจจะเพราะความสมบทบาทนี้ทำให้เกิดกระแสที่พูดถึงละครเรื่องนี้อย่างมากมายทั้งทางที่ดีและไม่ดี ผมก็เลยอยากจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้าง เน้นนะครับว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัว และผมไม่ได้คิดว่าคนที่คิดตรงข้ามกับผมจะเป็นฝ่ายที่ผิด สังคมที่ดีควรจะมีความคิดเห็นที่หลากหลายแตกต่างและนำมาแลกเปลี่ยนกันอย่างสร้างสรรค์ เราควรจะคิดต่างและอยู่ร่วมกันได้ อย่าให้เหมือนการเมืองซึ่งตอนนี้ถ้าใครคิดไม่เหมือนฉันนั่นคือศัตรูที่จะต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง อ้าวว่าจะไม่พูดถึงการเมืองไหงลากเข้าไปจนได้ มาเข้าเรื่องดีกว่า
ในส่วนตัวผมบอกได้เลยว่าผมไม่เห็นด้วยเลยกับเสียงที่ออกมาให้แบนละครเรื่องดังกล่าวหรือจะไปตัดฉากที่เป็นการแสดงออกที่ไม่ดีของเรยาออกไป แต่ก็มีฉากอย่างเลิฟซีนบางฉากก็มากเกินไปเหมือนกัน ซึ่งผมว่าฉากแบบนี้อาจทำให้เบาลงพอที่ผู้ชมเข้าใจก็น่าจะพอแล้ว นอกจากฉากเลิฟซีนที่กล่าวถึงไปแล้วผมว่าโดยภาพรวมเนื้อหาถึงจะแรงแต่มันก็มีเหตุผลของมันอยู่ และเราต้องยอมรับว่าในสังคมของเราคนอย่างเรยาอาจจะมีอยู่จริง รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงทางช่องสามที่ผมได้ดูเมื่อเช้านี้ก็ได้นำบทสัมภาษณ์จากหนังสือพิมพ์มติชน (ถ้าจำไม่ผิด) ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยทำตัวเหมือนเรยามาเล่าให้ฟัง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้ แต่เราต้องยอมรับกันว่าสังคมทุกสังคมมีด้านมืดอยู่มีคนไม่ดีปะปนอยู่ในสังคมของเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าลูกหลานเราหรือแม้แต่ตัวเราจะไปเจอะเจอคนแบบนี้เมื่อไร ดังนั้นเมื่อมีละครนำมานำเสนอเราก็น่าจะนำมาคิดและวิเคราะห์ และก็หยิบยกมาคุยกับลูกหลานว่าถ้าเราเจอคนแบบนี้เราควรจะทำอย่างไร และเราก็สามารถชี้ให้เห็นตัวอย่างจริง ๆ ของการทำตัวไม่ดีให้กับลูกหลานเราได้เห็นได้ ซึ่งผมได้ใช้มาแล้วกับลูกชายของผมเอง ลูกผมเขาไม่ได้ติดตามละครเรื่องนี้นะครับเพราะเขายังเด็กและเนื้อหามันค่อนข้างหนักสำหรับเขา แต่มีวันหนึ่งเขาเดินผ่านทีวีมาเห็นฉากที่เรยากำลังพูดจาระเบิดอารมณ์ใส่แม่ของตัวเอง ซึ่งเขาดูแล้วเขาก็รู้โดยผมไม่ต้องสอนเลยว่ามันไม่ดี เพราะเขาถามว่าทำไมเรยาพูดกับแม่อย่างนั้น ผมก็เลยได้โอกาสสอนเขาไปว่าเวลาเขาโมโหเขาก็ลืมตัว และบางทีก็พูดจาไม่ดีกับแม่ของเขาเหมือนกัน ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนเรยาก็ให้ระวังตัวเองด้วย
ส่วนที่มีคนออกมาบอกว่าถ้าปล่อยให้เด็กหรือเยาวชนดูละครเรื่องนี้แล้วจะนำไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีเหมือนที่เรยาทำ ผมคิดว่าเราอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่นะครับ ทำไมเราถึงคิดว่าละครเรื่องเดียวจะทำให้ลูกหลานที่เราเลี้ยงมาอย่างดีเป็นปี ๆ กลายเป็นคนไม่ดีไปได้ ผมว่าเด็กจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไรมันมาจากการอบรมเลี้ยงดูจากทางบ้านและโรงเรียนมากกว่า ถ้าเราสั่งสอนลูกหลานกันมาดีเด็กที่เห็นเรยาทำตัวไม่ดีกับแม่ ก็อาจจะถามเหมือนกับที่ลูกผมถามว่าทำไมเรยาทำกับแม่แบบนั้น ผมมองว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่ยอมให้ลูกตัวเล็ก ๆ ไปเต้นท่ายั่วยวนบนหลังคารถจากข่าวที่เห็นในช่วงสงกรานต์ ผมว่าอันนั้นน่ากลัวกว่านะครับ การที่เรามีความคิดแบบปิดกั้นนี้ไงครับ ทำให้เราคิดวิธีการป้องกันอะไรแบบประหลาด ๆ เช่นฉากเบลอขวดเหล้าหรือบุหรี่ในละคร หรือหนักกว่านั้นไปเบลอป้ายโฆษณาบุหรี่หรือเหล้าที่อยู่ในสนามกีฬาจนดูไม่รู้เรื่อง
มีคำกล่าวว่าดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ละครหลายเรื่องเป็นละครเบา ๆ สนุกสนานดูได้อย่างมีความสุขทั้งครอบครัว บางเรื่องก็มีแต่เรื่องความฟุ้งเฟ้อ บางเรื่องตื่นเต้นสืบสวนหรือบู๊ดุเดือดเลือดพล่าน หรือบางเรื่องก็หนักสะท้อนสังคม ดังนั้นละครนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้วก็อาจให้ข้อคิดในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ อย่างละครเรื่องดอกส้มสีทองนี้ ผมมองว่ามันได้สะท้อนด้านมืดของสังคม ซึ่งแทนที่จะเราจะปิดกั้นลูกหลานของเราโดยไม่ให้เขารับรู้ว่าในสังคมมีสิ่งนี้อยู่ แล้วปล่อยให้เขาไปเผชิญกับสิ่งนี้โดยเขาอาจไม่มีภูมิคุ้มกันอยู่เลย ทำไมเราไม่นำสิ่งละครนำเสนออกมานำมาสอนให้เขาระมัดระวังในการใช้ชีวิต และถ้าใครได้ติดตามดูละครเรื่องนี้มาโดยตลอดจะพบว่าเรยาไม่เคยมีความสุขที่ยั่งยืนจากการกระทำของตัวเองเลย และในตอนจบเท่าที่ทราบมาก็จะมีบทสรุปว่าผลที่เรยาจะได้รับจากการกระทำนี้คืออะไร หลายคนให้ความเห็นว่าแหมเลวมาตั้งนานมาสรุปแค่ตรงท้ายเรื่องว่าผลกรรมเป็นอย่างไรมันน้อยไป แต่ผมถามจริง ๆ เถอะครับ ละครหรือหนังส่วนใหญ่มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ ที่ตัวร้ายก็กลั่นแกล้งพระเอกหรือนางเอกมาค่อนเรื่องแล้วก็มาแพ้หรือตายตอนเรื่องจบ ดังนั้นผมว่านี่มันก็คือละครธรรมดาเรื่องหนึ่ง
สำหรับบทสรุปของการแก้ปัญหาของละครเรื่องนี้เมื่อสักครู่ที่ดูจากข่าวช่องสามก็คือ จะมีการขึ้นข้อความว่าเป็นการแสดง และอาจมีการตัดฉากบางฉากซึ่งไม่เหมาะสมออก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นฉากอะไรเหมือนกันนะครับ ก็อาจจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้วก็ได้ครับ...
เรื่องที่อยากเขียนในวันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะฮอตฮิตที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือเรื่องละครดอกส้มสีทอง โดยเฉพาะตัวละครเรยา ต้องบอกว่าละครเรื่องนี้เป็นละครที่ผมค่อนข้างจะติดตามมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เพราะความเข้มข้นของเนื้อหา และผู้แสดงเกือบทุกคนแสดงได้สมบทบาทมาก และอาจจะเพราะความสมบทบาทนี้ทำให้เกิดกระแสที่พูดถึงละครเรื่องนี้อย่างมากมายทั้งทางที่ดีและไม่ดี ผมก็เลยอยากจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้าง เน้นนะครับว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัว และผมไม่ได้คิดว่าคนที่คิดตรงข้ามกับผมจะเป็นฝ่ายที่ผิด สังคมที่ดีควรจะมีความคิดเห็นที่หลากหลายแตกต่างและนำมาแลกเปลี่ยนกันอย่างสร้างสรรค์ เราควรจะคิดต่างและอยู่ร่วมกันได้ อย่าให้เหมือนการเมืองซึ่งตอนนี้ถ้าใครคิดไม่เหมือนฉันนั่นคือศัตรูที่จะต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง อ้าวว่าจะไม่พูดถึงการเมืองไหงลากเข้าไปจนได้ มาเข้าเรื่องดีกว่า
ในส่วนตัวผมบอกได้เลยว่าผมไม่เห็นด้วยเลยกับเสียงที่ออกมาให้แบนละครเรื่องดังกล่าวหรือจะไปตัดฉากที่เป็นการแสดงออกที่ไม่ดีของเรยาออกไป แต่ก็มีฉากอย่างเลิฟซีนบางฉากก็มากเกินไปเหมือนกัน ซึ่งผมว่าฉากแบบนี้อาจทำให้เบาลงพอที่ผู้ชมเข้าใจก็น่าจะพอแล้ว นอกจากฉากเลิฟซีนที่กล่าวถึงไปแล้วผมว่าโดยภาพรวมเนื้อหาถึงจะแรงแต่มันก็มีเหตุผลของมันอยู่ และเราต้องยอมรับว่าในสังคมของเราคนอย่างเรยาอาจจะมีอยู่จริง รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงทางช่องสามที่ผมได้ดูเมื่อเช้านี้ก็ได้นำบทสัมภาษณ์จากหนังสือพิมพ์มติชน (ถ้าจำไม่ผิด) ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยทำตัวเหมือนเรยามาเล่าให้ฟัง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้ แต่เราต้องยอมรับกันว่าสังคมทุกสังคมมีด้านมืดอยู่มีคนไม่ดีปะปนอยู่ในสังคมของเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าลูกหลานเราหรือแม้แต่ตัวเราจะไปเจอะเจอคนแบบนี้เมื่อไร ดังนั้นเมื่อมีละครนำมานำเสนอเราก็น่าจะนำมาคิดและวิเคราะห์ และก็หยิบยกมาคุยกับลูกหลานว่าถ้าเราเจอคนแบบนี้เราควรจะทำอย่างไร และเราก็สามารถชี้ให้เห็นตัวอย่างจริง ๆ ของการทำตัวไม่ดีให้กับลูกหลานเราได้เห็นได้ ซึ่งผมได้ใช้มาแล้วกับลูกชายของผมเอง ลูกผมเขาไม่ได้ติดตามละครเรื่องนี้นะครับเพราะเขายังเด็กและเนื้อหามันค่อนข้างหนักสำหรับเขา แต่มีวันหนึ่งเขาเดินผ่านทีวีมาเห็นฉากที่เรยากำลังพูดจาระเบิดอารมณ์ใส่แม่ของตัวเอง ซึ่งเขาดูแล้วเขาก็รู้โดยผมไม่ต้องสอนเลยว่ามันไม่ดี เพราะเขาถามว่าทำไมเรยาพูดกับแม่อย่างนั้น ผมก็เลยได้โอกาสสอนเขาไปว่าเวลาเขาโมโหเขาก็ลืมตัว และบางทีก็พูดจาไม่ดีกับแม่ของเขาเหมือนกัน ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนเรยาก็ให้ระวังตัวเองด้วย
ส่วนที่มีคนออกมาบอกว่าถ้าปล่อยให้เด็กหรือเยาวชนดูละครเรื่องนี้แล้วจะนำไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีเหมือนที่เรยาทำ ผมคิดว่าเราอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่นะครับ ทำไมเราถึงคิดว่าละครเรื่องเดียวจะทำให้ลูกหลานที่เราเลี้ยงมาอย่างดีเป็นปี ๆ กลายเป็นคนไม่ดีไปได้ ผมว่าเด็กจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไรมันมาจากการอบรมเลี้ยงดูจากทางบ้านและโรงเรียนมากกว่า ถ้าเราสั่งสอนลูกหลานกันมาดีเด็กที่เห็นเรยาทำตัวไม่ดีกับแม่ ก็อาจจะถามเหมือนกับที่ลูกผมถามว่าทำไมเรยาทำกับแม่แบบนั้น ผมมองว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่ยอมให้ลูกตัวเล็ก ๆ ไปเต้นท่ายั่วยวนบนหลังคารถจากข่าวที่เห็นในช่วงสงกรานต์ ผมว่าอันนั้นน่ากลัวกว่านะครับ การที่เรามีความคิดแบบปิดกั้นนี้ไงครับ ทำให้เราคิดวิธีการป้องกันอะไรแบบประหลาด ๆ เช่นฉากเบลอขวดเหล้าหรือบุหรี่ในละคร หรือหนักกว่านั้นไปเบลอป้ายโฆษณาบุหรี่หรือเหล้าที่อยู่ในสนามกีฬาจนดูไม่รู้เรื่อง
มีคำกล่าวว่าดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ละครหลายเรื่องเป็นละครเบา ๆ สนุกสนานดูได้อย่างมีความสุขทั้งครอบครัว บางเรื่องก็มีแต่เรื่องความฟุ้งเฟ้อ บางเรื่องตื่นเต้นสืบสวนหรือบู๊ดุเดือดเลือดพล่าน หรือบางเรื่องก็หนักสะท้อนสังคม ดังนั้นละครนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้วก็อาจให้ข้อคิดในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ อย่างละครเรื่องดอกส้มสีทองนี้ ผมมองว่ามันได้สะท้อนด้านมืดของสังคม ซึ่งแทนที่จะเราจะปิดกั้นลูกหลานของเราโดยไม่ให้เขารับรู้ว่าในสังคมมีสิ่งนี้อยู่ แล้วปล่อยให้เขาไปเผชิญกับสิ่งนี้โดยเขาอาจไม่มีภูมิคุ้มกันอยู่เลย ทำไมเราไม่นำสิ่งละครนำเสนออกมานำมาสอนให้เขาระมัดระวังในการใช้ชีวิต และถ้าใครได้ติดตามดูละครเรื่องนี้มาโดยตลอดจะพบว่าเรยาไม่เคยมีความสุขที่ยั่งยืนจากการกระทำของตัวเองเลย และในตอนจบเท่าที่ทราบมาก็จะมีบทสรุปว่าผลที่เรยาจะได้รับจากการกระทำนี้คืออะไร หลายคนให้ความเห็นว่าแหมเลวมาตั้งนานมาสรุปแค่ตรงท้ายเรื่องว่าผลกรรมเป็นอย่างไรมันน้อยไป แต่ผมถามจริง ๆ เถอะครับ ละครหรือหนังส่วนใหญ่มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ ที่ตัวร้ายก็กลั่นแกล้งพระเอกหรือนางเอกมาค่อนเรื่องแล้วก็มาแพ้หรือตายตอนเรื่องจบ ดังนั้นผมว่านี่มันก็คือละครธรรมดาเรื่องหนึ่ง
สำหรับบทสรุปของการแก้ปัญหาของละครเรื่องนี้เมื่อสักครู่ที่ดูจากข่าวช่องสามก็คือ จะมีการขึ้นข้อความว่าเป็นการแสดง และอาจมีการตัดฉากบางฉากซึ่งไม่เหมาะสมออก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นฉากอะไรเหมือนกันนะครับ ก็อาจจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้วก็ได้ครับ...
วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554
ประสบการณ์การใช้ GPS
สวัสดีครับ หลังจากไม่ได้เขียนบล็อกมาเสียนาน วันนี้ก็ได้โอกาสมาเขียนเสียที วันนี้ผมเขียนบล็อกมาจากบุรีรัมย์ครับ มางานพระราชทานเพลิงศพของพ่อของเพื่อนร่วมงานที่ผมเคารพท่านหนึ่ง แล้วก็ไม่อยากขับรถกลับตอนกลางคืน บอกตรงๆว่ารู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยครับ โดยเฉพาะพวกปาหิน ถึงตอนนี้จะเงียบไปแล้วก็ตาม ผมได้พักโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่มาได้แค่สองเดือนครับ และโซนที่พักก็เพิ่งเปิดเรียกว่าห้องพักที่ผมพักนี้ผมได้ประเดิมเป็นคนแรกเลยครับ แต่ก็ตามธรรมดาของโรงแรมเปิดใหม่ก็ยังมีอะไรไม่เรียบร้อยอยู่บ้าง
สำหรับวันนี้ก็ขอไม่มีสาระอะไรสักวันแล้วกันนะครับ จะเล่าประสบการณ์ใชั GPS ให้ฟัง การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้ใช้ GPS นำทางจริง ๆ จัง ๆ ครับ ซึ่งมันก็ทั้งช่วยและบางทีก็ทำให้งงได้เหมือนกันครับ ผมเริ่มใช้มันตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยครับ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้วปรากฏว่ามันทำให้ผมประทับใจมากครับ คือบอกตำแหน่งรถย้อนหลังไปเจ็ดร้อยเมตร คือผมอยู่บนรามอินทราแล้วมันยังบอกว่าผมยังอยู่บนสุวินทวงศ์เป็นต้น ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าเฮ้ยมันจะพาเราไปหลงที่ไหนไหมนี่ แต่สักพักมันก็จับตำแหน่งถูกต้องครับ คือพอขึ้นวงแหวนตะวันออกได้มันก็โอเคครับ และเพราะทางช่วงนั้นเป็นทางตรงไปตลอดมันก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งผมก็เข้าใจว่าถ้าขึ้นทางหลักถูกต้องและเป็นทางตรงแล้วมันก็จะไม่เตือนอะไร แต่จริง ๆ ผมก็อยากให้มันพูดบ้างนะครับ คือผมขับมาคนเดียวบางทีมันเหงาน่ะครับ :)
เอาล่ะครับคราวนี้พอลงจากวงแหวนเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งพอขึ้นไปแล้วมันก็เป็นทางตรงเหมือนกันแต่คราวนี้มันไม่เงียบครับ มันจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอีก ... เมตรชิดขวาเข้าทางหลวงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมงงว่าเอ๊ะเราอยู่ที่ไหนกันแน่ เช็คจากป้ายและจากหน้าจอของมันเราก็อยู่ถูกที่แล้ว และบางทีเราก็อยู่เลนขวาสุดอยู่แล้ว มันจะเอายังไงกันแน่ หรือมันจะให้เราข้ามไปขับอีกฝั่งหนึ่ง :) เอาเถอะครับสุดท้ายผมก็เริ่มชินกับมัน เฮ้อรู้งี้ไม่น่าอยากให้มันพูดเลย ถ้ารู้ว่ามันจะพูดไม่หยุดอย่างนี้ จนมันนำผมเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ไปแล้วมันก็ยังพูดต่อไปว่าอีก .... คงอยู่ทางขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ซึ่งปัญหาแค่นี้ผมก็คิดว่าทนรำคาญเอานะครับ แต่จริงๆ มันมีมากกว่านี้ครับเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป
คราวนี้มาดูความดีของมันบ้างครับ วัดที่ผมไปร่วมงานนี้เป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ ปราสาทเมืองต่ำและปราสาทพนมรุ้ง มันก็นำทางผมไปเรื่อย ๆ แต่ช่วงนี้เขาพนมรุ้งมีงานครับ เขาก็เลยปิดเส้นทางหลัก ให้เบี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมันก็เก่งมากครับ สามารถนำทางผมไปได้ และยังบอกให้ระวังทางโค้งต่าง ๆ อีกต่างหาก ในที่สุดมันก็นำผมมาถึงวัดครับ
ตอนขากลับผมไม่อยากกลับทางเดิมเพราะมันต้องขึ้นเขาผ่านทางโค้งซึ่งค่อนข้างอันตราย และฝนก็ตกถนนลื่น ก็เลยถามเพื่อนว่าจะกลับทางที่ไม่ต้องขึ้นเขาได้ไหม เพื่อนก็แนะนำให้ว่าต้องไปทางไหน ผมก็มุ่งหน้าไปพร้อมให้ GPS นำทางต่อ ซึ่งตอนแรกมันก็ดีนะครับ จนมาถึงจุดหนึ่งครับมันบอกว่า ... เมตรเลี้ยวซ้าย ซึ่งความหมายของมันก็เหมือนกับที่ผ่านมาก็คืออยู่บนเส้นเดิมนั่นแหละ แต่บังเอิญตรงนั้นมันมีทางเลี้ยวซ้ายพอดี ผมก็เลยเลี้ยวไปตามที่มันบอก แทนที่มันจะบอกว่าผิดมันกลับบอกให้ไปต่อครับ สงสัยมันจะคำนวณเส้นทางใหม่ จากนั้นมันก็บอกให้ผมเลี้ยวขวาผมก็ตามมันไป มันพาผมไปเข้าหมู่บ้านอะไรไม่รู้ครับ ผมก็คิดไปถึงหนังสยองขวัญของฝรั่งที่นักท่องเที่ยวหลงเข้าไปในหมู่บ้านอะไรไม่รู้ในยามสนธยา สภาพผมตอนนั้นเป็นอย่างนั้นเลยครับ คือไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนบรรยากาศก็ดูวังเวงมีฝนตกพรำ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นสักพัก GPS มันเงียบครับไม่พูดอะไรอีกเลย ผมเห็นท่าไม่ได้การก็เลยกลับรถออกมา และขับกลับมาทางเดิม ซึ่งพอถึงแยกที่เป็นปัญหามันก็บอกให้ผมเลี้ยวซ้ายซึ่งก็คือเข้าเส้นเดิมที่เลี้ยวแยกลงมานั่นแหละ จากนั้นก็โอเคครับเข้าทางหลักและมาถึงโรงแรมได้
ก็เป็นประสบการณ์ผจญภัยกับ GPS ที่ได้ประสบมาครับ ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง ตอนเดินทางกลับก็ว่าจะใช้มันอีกสักครั้ง หวังว่าคราวนี้เราจะเข้าใจกันมากกว่านี้
สำหรับวันนี้ก็ขอไม่มีสาระอะไรสักวันแล้วกันนะครับ จะเล่าประสบการณ์ใชั GPS ให้ฟัง การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้ใช้ GPS นำทางจริง ๆ จัง ๆ ครับ ซึ่งมันก็ทั้งช่วยและบางทีก็ทำให้งงได้เหมือนกันครับ ผมเริ่มใช้มันตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยครับ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้วปรากฏว่ามันทำให้ผมประทับใจมากครับ คือบอกตำแหน่งรถย้อนหลังไปเจ็ดร้อยเมตร คือผมอยู่บนรามอินทราแล้วมันยังบอกว่าผมยังอยู่บนสุวินทวงศ์เป็นต้น ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าเฮ้ยมันจะพาเราไปหลงที่ไหนไหมนี่ แต่สักพักมันก็จับตำแหน่งถูกต้องครับ คือพอขึ้นวงแหวนตะวันออกได้มันก็โอเคครับ และเพราะทางช่วงนั้นเป็นทางตรงไปตลอดมันก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งผมก็เข้าใจว่าถ้าขึ้นทางหลักถูกต้องและเป็นทางตรงแล้วมันก็จะไม่เตือนอะไร แต่จริง ๆ ผมก็อยากให้มันพูดบ้างนะครับ คือผมขับมาคนเดียวบางทีมันเหงาน่ะครับ :)
เอาล่ะครับคราวนี้พอลงจากวงแหวนเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งพอขึ้นไปแล้วมันก็เป็นทางตรงเหมือนกันแต่คราวนี้มันไม่เงียบครับ มันจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอีก ... เมตรชิดขวาเข้าทางหลวงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมงงว่าเอ๊ะเราอยู่ที่ไหนกันแน่ เช็คจากป้ายและจากหน้าจอของมันเราก็อยู่ถูกที่แล้ว และบางทีเราก็อยู่เลนขวาสุดอยู่แล้ว มันจะเอายังไงกันแน่ หรือมันจะให้เราข้ามไปขับอีกฝั่งหนึ่ง :) เอาเถอะครับสุดท้ายผมก็เริ่มชินกับมัน เฮ้อรู้งี้ไม่น่าอยากให้มันพูดเลย ถ้ารู้ว่ามันจะพูดไม่หยุดอย่างนี้ จนมันนำผมเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ไปแล้วมันก็ยังพูดต่อไปว่าอีก .... คงอยู่ทางขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ซึ่งปัญหาแค่นี้ผมก็คิดว่าทนรำคาญเอานะครับ แต่จริงๆ มันมีมากกว่านี้ครับเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป
คราวนี้มาดูความดีของมันบ้างครับ วัดที่ผมไปร่วมงานนี้เป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ ปราสาทเมืองต่ำและปราสาทพนมรุ้ง มันก็นำทางผมไปเรื่อย ๆ แต่ช่วงนี้เขาพนมรุ้งมีงานครับ เขาก็เลยปิดเส้นทางหลัก ให้เบี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมันก็เก่งมากครับ สามารถนำทางผมไปได้ และยังบอกให้ระวังทางโค้งต่าง ๆ อีกต่างหาก ในที่สุดมันก็นำผมมาถึงวัดครับ
ตอนขากลับผมไม่อยากกลับทางเดิมเพราะมันต้องขึ้นเขาผ่านทางโค้งซึ่งค่อนข้างอันตราย และฝนก็ตกถนนลื่น ก็เลยถามเพื่อนว่าจะกลับทางที่ไม่ต้องขึ้นเขาได้ไหม เพื่อนก็แนะนำให้ว่าต้องไปทางไหน ผมก็มุ่งหน้าไปพร้อมให้ GPS นำทางต่อ ซึ่งตอนแรกมันก็ดีนะครับ จนมาถึงจุดหนึ่งครับมันบอกว่า ... เมตรเลี้ยวซ้าย ซึ่งความหมายของมันก็เหมือนกับที่ผ่านมาก็คืออยู่บนเส้นเดิมนั่นแหละ แต่บังเอิญตรงนั้นมันมีทางเลี้ยวซ้ายพอดี ผมก็เลยเลี้ยวไปตามที่มันบอก แทนที่มันจะบอกว่าผิดมันกลับบอกให้ไปต่อครับ สงสัยมันจะคำนวณเส้นทางใหม่ จากนั้นมันก็บอกให้ผมเลี้ยวขวาผมก็ตามมันไป มันพาผมไปเข้าหมู่บ้านอะไรไม่รู้ครับ ผมก็คิดไปถึงหนังสยองขวัญของฝรั่งที่นักท่องเที่ยวหลงเข้าไปในหมู่บ้านอะไรไม่รู้ในยามสนธยา สภาพผมตอนนั้นเป็นอย่างนั้นเลยครับ คือไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนบรรยากาศก็ดูวังเวงมีฝนตกพรำ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นสักพัก GPS มันเงียบครับไม่พูดอะไรอีกเลย ผมเห็นท่าไม่ได้การก็เลยกลับรถออกมา และขับกลับมาทางเดิม ซึ่งพอถึงแยกที่เป็นปัญหามันก็บอกให้ผมเลี้ยวซ้ายซึ่งก็คือเข้าเส้นเดิมที่เลี้ยวแยกลงมานั่นแหละ จากนั้นก็โอเคครับเข้าทางหลักและมาถึงโรงแรมได้
ก็เป็นประสบการณ์ผจญภัยกับ GPS ที่ได้ประสบมาครับ ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง ตอนเดินทางกลับก็ว่าจะใช้มันอีกสักครั้ง หวังว่าคราวนี้เราจะเข้าใจกันมากกว่านี้
วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554
ข้อคิดที่ได้จากรายการ Thailand's Got Talent เทปแรก
สวัสดีครับผมไม่ได้มาเขียนบล็อกซะนานเพราะยุ่งอยู่กับการตรวจข้อสอบ และตรวจโครงงานนักศึกษา จนตอนนี้ตรวจเสร็จไปหลายส่วนแล้ว ก็เลยขอมาเขียนหน่อยแล้วกันเพราะถ้าไม่เขียนก็อาจจะไม่ได้เขียนอีกนาน ในขณะที่เขียนนี้ก็มีข่าวเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่ญี่ปุ่น และเกิดสึนามิด้วย ก็ขอภาวนาให้อย่าให้มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บมากมายและอย่าให้มีผลกระทบเป็นวงกว้างเลยครับ
สำหรับเรื่องที่จะเขียนวันนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เขียนตามกระแสนะครับ คือจริง ๆ ผมตั้งใจจะเขียนตั้งแต่ดูรายการ Thailand's Got Talent เทปแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2554 แล้ว แต่ด้วยความที่ยุ่ง ๆ ก็เลยไม่ได้เขียน จนตอนนี้หัวข้อที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ก็กลายเป็น talk of the town ไปแล้ว แต่ถึงมันจะช้าไปหน่อยผมก็ขอเขียนแล้วกัน เพราะอย่างน้อยสุดก็ขอบันทึกเรื่องนี้ไว้ และเมื่อไรที่ผมรู้สึกท้อแท้ถ้ากลับมาอ่านบล็อกนี้แล้วก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น และผมก็หวังว่าคนที่มาอ่านบล็อกของผมก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน
สำหรับภาพรวมของรายการก็คิดว่าทำได้ดีนะครับ คณะกรรมการโดยส่วนตัวผมชอบคุณเบนซ์ พรชิตา ผมว่าเธอดูสวยมากและมีความเห็นดี ๆ หลายครั้งจากเธอ ส่วนตัวผู้เข้าแข่งขันผมก็คิดว่าหลายคนก็คงจะประทับใจคุณสมศักดิ์ เหมรัญ ที่ประสบอุบัติเหตุ จนแขนซ้ายพิการ และต้องมาหัดเล่นกีต้าร์ด้วยมือเดียว ถ้าใครยังไม่ได้ดู ก็ดูได้จากวีดีโอนี้เลยครับ
สิ่งที่ผมอยากจะพูดในเรื่องนี้คือว่าเราอย่าเพียงแต่ประทับใจหรือชื่นชมกับความสามารถของคุณสมศักดิ์เท่านั้น แต่ผมอยากจะให้มองไปถึงเบื้องหลังก่อนที่คุณสมศักดิ์จะมาเล่นกีต้าร์ได้ขนาดนี้เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ลองคิดดูครับจากคนที่เคยใช้ได้สองแขน แต่จู่ ๆ กลับมาเหลือแขนที่ใช้ได้ข้างเดียว แค่ทำใจหรือฝึกให้มีชีวิตไปตามปกติก็น่าจะยากอยู่แล้ว แต่นี่คุณสมศักดิ์สามารถทุ่มเทความพยายามฝึกจนกลับมาเล่นดนตรีที่เขารักได้อีกครั้ง ดังนั้นพวกเราหลายคน (รวมทั้งตัวผมด้วย) ที่ชอบบ่นว่าไอ้โน่นก็ยากไอ้นี่ก็ยาก ไอ้โน่นก็ทำไม่ได้ไอ้นี่ก็ทำไม่ได้ มีอุปสรรคอย่างโน้นอย่างนี้คงต้องลองย้อนกลับมาดูตัวเองแล้วละ่ครับว่าเราได้ทุ่มเทความพยายามของเราลงไปเต็มที่หรือยัง เราสู้ชีวิต เราได้พยายามดึงศักยภาพในตัวของเราออกมาเต็มที่แล้วหรือไม่ ต้องบอกว่าคุณสมศักดิ์เข้าใจเลือกเพลงด้วยจริง ๆ เพราะเนื้อหาของเพลงมันก็มีความหมายของการที่เราจะลุกขึ้นมาสู้ชีวิตต่อไปหรือไม่ ซึ่งแน่นอนคุณสมศักดิ์เลือกที่จะสู้กับมัน และไม่ว่าเขาจะชนะได้เงินรางวัลจากรายการนี้หรือไม่ ผมว่าเขาชนะในเกมชีวิตของตัวเองไปแล้วครับ
อีกจุดหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือ ความรักความผูกพันระว่างคุณสมศักดิ์และพี่ชายครับ จากคำพูดของคุณสมศักดิ์จะเห็นว่าพี่ชายของคุณสมศักดิ์นั้นมีบทบาทสำคัญที่ทำให้คุณสมศักดิ์กลับมาสู้ชีวิตต่อไปได้ และความรักความผูกพันของทั้งสองคนก็ได้แสดงให้เห็นในวีดีโอข้างบน ความรักความเข้าใจและกำลังใจที่มีให้แก่กันนั้นมันมีพลังที่ยิ่งใหญ่มากครับ ดังนั้นก็ขอให้เราใส่ใจและให้กำลังใจคนในครอบครัวของเรา และคนรอบข้างเราด้วยนะครับ
ข้อคิดอีกประการหนึ่งที่ผมได้จากกาีรดูรายการนี้อันนี้ไม่ได้มาจากคนที่ประสบความสำเร็จครับ แต่มาจากคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือก มีหลายคนครับที่ตอนผมดูตอนแรกผมก็คิดว่าอะไรนี่มีความสามารถแค่นี้ก็กล้ามาออกรายการแล้วสงสัยแค่ขอให้ได้ออกทีวี แต่พอมานั่งคิดดูอีกทีผมกลับเห็นว่ามีหลายคนครับที่เขากล้าที่จะทำตามความฝันของเขา ซึ่งไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว ดังนั้นถ้่าเรารักในสิ่งนั้นจริงและสิ่งที่เราจะทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีก็ิอาจจะไม่ผิดที่จะลองกับมันดูสักตั้ง
สุดท้ายก็ขอเอาวีดีโอของคุณสมศักดิ์ซึ่งเล่นได้จบเพลงในรายการของคุณสรยุทธมาเป็นการจบบล็อกวันนี้แล้วกันนะครับ
สำหรับเรื่องที่จะเขียนวันนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เขียนตามกระแสนะครับ คือจริง ๆ ผมตั้งใจจะเขียนตั้งแต่ดูรายการ Thailand's Got Talent เทปแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2554 แล้ว แต่ด้วยความที่ยุ่ง ๆ ก็เลยไม่ได้เขียน จนตอนนี้หัวข้อที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ก็กลายเป็น talk of the town ไปแล้ว แต่ถึงมันจะช้าไปหน่อยผมก็ขอเขียนแล้วกัน เพราะอย่างน้อยสุดก็ขอบันทึกเรื่องนี้ไว้ และเมื่อไรที่ผมรู้สึกท้อแท้ถ้ากลับมาอ่านบล็อกนี้แล้วก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น และผมก็หวังว่าคนที่มาอ่านบล็อกของผมก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน
สำหรับภาพรวมของรายการก็คิดว่าทำได้ดีนะครับ คณะกรรมการโดยส่วนตัวผมชอบคุณเบนซ์ พรชิตา ผมว่าเธอดูสวยมากและมีความเห็นดี ๆ หลายครั้งจากเธอ ส่วนตัวผู้เข้าแข่งขันผมก็คิดว่าหลายคนก็คงจะประทับใจคุณสมศักดิ์ เหมรัญ ที่ประสบอุบัติเหตุ จนแขนซ้ายพิการ และต้องมาหัดเล่นกีต้าร์ด้วยมือเดียว ถ้าใครยังไม่ได้ดู ก็ดูได้จากวีดีโอนี้เลยครับ
สิ่งที่ผมอยากจะพูดในเรื่องนี้คือว่าเราอย่าเพียงแต่ประทับใจหรือชื่นชมกับความสามารถของคุณสมศักดิ์เท่านั้น แต่ผมอยากจะให้มองไปถึงเบื้องหลังก่อนที่คุณสมศักดิ์จะมาเล่นกีต้าร์ได้ขนาดนี้เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ลองคิดดูครับจากคนที่เคยใช้ได้สองแขน แต่จู่ ๆ กลับมาเหลือแขนที่ใช้ได้ข้างเดียว แค่ทำใจหรือฝึกให้มีชีวิตไปตามปกติก็น่าจะยากอยู่แล้ว แต่นี่คุณสมศักดิ์สามารถทุ่มเทความพยายามฝึกจนกลับมาเล่นดนตรีที่เขารักได้อีกครั้ง ดังนั้นพวกเราหลายคน (รวมทั้งตัวผมด้วย) ที่ชอบบ่นว่าไอ้โน่นก็ยากไอ้นี่ก็ยาก ไอ้โน่นก็ทำไม่ได้ไอ้นี่ก็ทำไม่ได้ มีอุปสรรคอย่างโน้นอย่างนี้คงต้องลองย้อนกลับมาดูตัวเองแล้วละ่ครับว่าเราได้ทุ่มเทความพยายามของเราลงไปเต็มที่หรือยัง เราสู้ชีวิต เราได้พยายามดึงศักยภาพในตัวของเราออกมาเต็มที่แล้วหรือไม่ ต้องบอกว่าคุณสมศักดิ์เข้าใจเลือกเพลงด้วยจริง ๆ เพราะเนื้อหาของเพลงมันก็มีความหมายของการที่เราจะลุกขึ้นมาสู้ชีวิตต่อไปหรือไม่ ซึ่งแน่นอนคุณสมศักดิ์เลือกที่จะสู้กับมัน และไม่ว่าเขาจะชนะได้เงินรางวัลจากรายการนี้หรือไม่ ผมว่าเขาชนะในเกมชีวิตของตัวเองไปแล้วครับ
อีกจุดหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือ ความรักความผูกพันระว่างคุณสมศักดิ์และพี่ชายครับ จากคำพูดของคุณสมศักดิ์จะเห็นว่าพี่ชายของคุณสมศักดิ์นั้นมีบทบาทสำคัญที่ทำให้คุณสมศักดิ์กลับมาสู้ชีวิตต่อไปได้ และความรักความผูกพันของทั้งสองคนก็ได้แสดงให้เห็นในวีดีโอข้างบน ความรักความเข้าใจและกำลังใจที่มีให้แก่กันนั้นมันมีพลังที่ยิ่งใหญ่มากครับ ดังนั้นก็ขอให้เราใส่ใจและให้กำลังใจคนในครอบครัวของเรา และคนรอบข้างเราด้วยนะครับ
ข้อคิดอีกประการหนึ่งที่ผมได้จากกาีรดูรายการนี้อันนี้ไม่ได้มาจากคนที่ประสบความสำเร็จครับ แต่มาจากคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือก มีหลายคนครับที่ตอนผมดูตอนแรกผมก็คิดว่าอะไรนี่มีความสามารถแค่นี้ก็กล้ามาออกรายการแล้วสงสัยแค่ขอให้ได้ออกทีวี แต่พอมานั่งคิดดูอีกทีผมกลับเห็นว่ามีหลายคนครับที่เขากล้าที่จะทำตามความฝันของเขา ซึ่งไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว ดังนั้นถ้่าเรารักในสิ่งนั้นจริงและสิ่งที่เราจะทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีก็ิอาจจะไม่ผิดที่จะลองกับมันดูสักตั้ง
สุดท้ายก็ขอเอาวีดีโอของคุณสมศักดิ์ซึ่งเล่นได้จบเพลงในรายการของคุณสรยุทธมาเป็นการจบบล็อกวันนี้แล้วกันนะครับ
วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554
คำศัพท์ใหม่น่ารู้
วันนี้เขียนเรื่องสั้น ๆ เบา ๆ แล้วกันนะครับ เพราะกว่าจะได้เริ่มเขียนบล็อกก็เข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว สำหรับวันนี้จะมาแนะนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ครับ คือผมได้อ่านรีดเดอร์ไดเจสท์ฉบับภาษาไทยเขาบอกว่า Oxford Dictionary ได้เพิ่มคำศัพท์ใหม่เข้าไป 2000 คำ และได้ยกตัวอย่างมาจำนวนหนึ่ง ผมก็เลยลองไปหาเพิ่มเติมดูและเลือกคำที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตหรือน่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันครับ
- social media เว็บไซต์และแอพพลิเคชันที่ใช้สำหรับเครือข่ายสังคม
- staycation ใช้เวลาวันหยุดในประเทศของตัวเอง
- overthink คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากหรือนานเกินไป
- frenemy คนที่เราทำดีด้วยแม้จริง ๆ จะไม่ชอบ (ผมคิดว่าคำนี้น่าจะมาจาก friendly enemy)
- tweetup การประชุมที่ทำด้วยการโพสต์ข้อความบน twitter
- defriend เหมือนกับคำว่า unfriend คือการลบชื่อออกจากรายชื่อเพื่อนหรือผู้ติดต่อบนไซต์เครือข่ายสังคม
- Interweb อินเทอร์เน็ต
ดูแล้วเป็นยังไงกันบ้างครับ ในส่วนตัวผมว่านี่คือวิวัฒนาการของภาษา และจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะในยุคก่อน ๆ ก็มีการเพิ่มคำที่เกิดขึ้นจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างเช่น shareware เข้าไปในพจนานุกรมอยู่แล้ว ดังนั้นก็คงไม่ต้องแปลกใจอะไรนะครับ ถ้าคำอย่างชิมิ อะนะ หรืออิอิ จะได้เข้าไปอยู่ในพจนานุกรมของไทยบ้าง
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554
ขอวิพากษ์สื่อสักวันแล้วกันครับ
สวัสดีครับ วันนี้อยากจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชน ไม่ใช่สิผมไม่รู้ว่าจะเรียกคนคนนี้ (ขอไม่ออกชื่อแล้วกันนะครับ) ว่าเป็นอะไรดี จะเป็นนักวิชาการก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นสื่อมวลชนก็ไม่น่าจะใช่อีก คนที่ผมจะพูดถึงนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงทางด้านการพูดจาหรือวิเคราะห์เรื่องเศรษฐกิจให้ฟังเข้าใจง่าย หลายคนเรียกว่าอาจารย์แต่ไม่ได้มีอาชีพเป็นอาจารย์ประจำ เคยเป็นพิธีกรร่วมกับคุณสัญญา คุณากร ในรายการที่เคยออกอากาศทางช่อง 9 ผมคิดว่าหลายคนคงเดาได้ว่าเป็นใคร ที่ผมจะมาเขียนนี้บอกก่อนนะครับว่าไม่ได้มีอคติส่วนตัวแต่ประการใดกับคนคนนี้จริง ๆ ตอนเขาออกรายการช่อง 9 ผมยังรู้สึกว่าก็ทำหน้าที่ได้สนุกดีด้วยซ้ำไป แต่พอได้มาฟังเขาจัดรายการวิทยุแล้วรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ เลย ก็เลยขอเขียนบันทึกความเห็นส่วนตัวไว้สักหน่อย และก็อยากจะแบ่งปันหรือเป็นข้อคิดให้กับใครที่ได้เข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย
ปกติผมไม่เคยได้ฟังรายการที่คนคนนี้จัดเลย แต่บังเอิญเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาขับรถอยู่แล้วมีโอกาสได้เหลือบดูทวิตเตอร์เห็นมีคนพูดถึงว่าคนคนนี้จัดรายการได้มันมากก็เลยลองหมุนคลื่นวิทยุไปฟังดู ก็เป็นช่วงที่เขาเปิดโอกาสให้คนฟังโทรเข้าไปถามไปคุย พอฟังเขาคุยกับคยที่โทรเข้าไปถามแล้วก็ประหลาดใจมากว่าทำไมยังมีคนฟังรายการหรือโทรเข้าไปถามไปพูดคุยอยู่ได้ เพราะคนคนนี้ไม่ให้เกียรติคนฟังเลยมีการต่อว่าเหน็บแนมทำเหมือนว่าคนฟังโง่ แล้วจริง ๆ ตัวเองก็ให้ข้อมูลผิด ๆ ผมฟังอยู่สองคน แล้วก็ทนฟังต่อไม่ไหวต้องเลิกฟัง
มาดูคนแรกที่ผมฟังนะครับ คนที่โทรเข้าไปถามว่าในรัฐธรรมนูญมีการกำหนดไหมว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นได้ติดต่อกันกี่ปีใช่แปดปีไหม ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไร ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ หรือถ้ารู้(หรือคิดว่ารู้)ก็ตอบไป แต่สิ่งที่คนคนนี้ตอบไป(ซึ่งผิด)และยังมีการเหน็บแนมกลับไปด้วย โดยบอกว่าไม่มีหรอกจะเป็นนานเท่าไรก็ได้ถ้าพรรคที่สังกัดอยู่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาและได้รับโหวต และยังมีการยกตัวอย่างนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียให้ฟังด้วย และก็เริ่มเหน็บแนมคนที่โทรเข้ามาถามว่าไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญเลยใช่ไหม แล้วก็พูดย้ำอยู่หลายครั้งว่าคนที่โทรเข้ามานี่เป็นพวกหลังเขาเพราะไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมฟังตอนแรกก็นึกว่าแซวกันเล่น แต่พอฟังไปฟังไปนี่ไม่ใช่แซวเล่นแล้วเพราะย้ำอยู่หลายครั้งมากและน้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่ใช่การแซว จนในที่สุดคนที่โทรมาเท่าที่ผมฟังเสียงดูก็รู้สึกไม่พอใจและวางสายไป ผมนั่งฟังไปก็นึกสงสัยไปว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนที่ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญอย่างละเอียดนี่เป็นพวกหลังเขา ผมว่าคนอาจจะเกือบค่อนประเทศรวมถึงผมด้วยนี่ก็คงเป็นพวกหลังเขา แต่คนหลังเขาอย่างผมนี่แหละก็เพิ่งจะได้อ่านมาจากที่ไหนไม่แน่ใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้เขามีข้อกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นติดกันได้ไม่เกินแปดปี วันนี้ก็เลยมาลองค้นดูซึ่งก็จริงครับรัฐธรรมนูญกำหนดไว้จริง ๆ ดูได้จากลิงก์นี้เลยครับมาตรา 171 ซึ่งประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึงไม่ใช่ที่เขาผิดพลาดเรื่องข้อมูลเพราะคนเราผิดพลาดกันได้ แต่ประเด็นคือทำไมเขาถึงได้พูดกับคนที่เป็นแฟนรายการเขาอย่างนั้น
มาดูคนที่สอง(ที่ผมได้ฟังบ้าง) คนนี้โทรมาถามว่าเขาเห็นด้วยไหมเกี่ยวกับที่ตำรวจจะจับเด็กที่ออกจากบ้านหลัง 22.00 น. สิ่งที่เขาตอบกลับไปก็คือจะมาถกกันทำไมเรื่องเห็นด้วยหรือเปล่าก็กฏหมายมันไม่มีรองรับแล้วจะมาเห็นด้วยได้อย่างไร ถ้าตอบอย่างนี้เฉยๆ ก็ยังพอฟังได้ แต่ก็เหมือนเดิมเหน็บแนมคนฟังอีกตามเคยว่าก่อนจะถามจะถกอะไรก็ให้คิดก่อนไม่ใช่ออกมาพูดไปเรื่อย แต่ถ้าถามผมนะผมว่าถ้าพวกเรามีตรรกกะการคิดแบบคนคนนี้เราคงไม่ต้องมาพูดมาคุยอะไรกันเลยครับ เพราะถ้าคิดแบบนี้ถ้ามีกฏหมายออกมารองรับอยู่แล้วผมก็พูดได้ว่าเราก็ไม่มีสิทธิที่จะมาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกฏหมาย เพราะเรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย
สิ่งที่ผมรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่ผมได้พบมาก็คือคนที่มีโอกาสได้ออกสื่อหลักของประเทศเรานี่แหละครับ ผมว่าสื่อนี่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งเลยนะครับกับสถานการณ์ที่เป็นไปของประเทศเราในขณะนี้ แต่หลายคนที่ได้ออกสื่อหลักกลับไม่ได้ตระหนักในส่วนนี้ และบางคนก็กลับซ้ำเติมสถานการณ์ให้มันหนักขึ้นไปอีก อย่างตัวอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังนี้ผมว่าคนจัดน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนที่สนใจติดตามปัญหาบ้านเมืองแทนที่จะเอาแต่ฟังเพลงไปวัน ๆ เขาควรจะให้ความรู้และสร้างบรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่แน่นะครับว่าเขาอาจจะผลักดันคนอย่างน้อยสองคนแล้วก็ได้ให้กลับไปฟังแต่เพลงตามเดิม...
ปกติผมไม่เคยได้ฟังรายการที่คนคนนี้จัดเลย แต่บังเอิญเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาขับรถอยู่แล้วมีโอกาสได้เหลือบดูทวิตเตอร์เห็นมีคนพูดถึงว่าคนคนนี้จัดรายการได้มันมากก็เลยลองหมุนคลื่นวิทยุไปฟังดู ก็เป็นช่วงที่เขาเปิดโอกาสให้คนฟังโทรเข้าไปถามไปคุย พอฟังเขาคุยกับคยที่โทรเข้าไปถามแล้วก็ประหลาดใจมากว่าทำไมยังมีคนฟังรายการหรือโทรเข้าไปถามไปพูดคุยอยู่ได้ เพราะคนคนนี้ไม่ให้เกียรติคนฟังเลยมีการต่อว่าเหน็บแนมทำเหมือนว่าคนฟังโง่ แล้วจริง ๆ ตัวเองก็ให้ข้อมูลผิด ๆ ผมฟังอยู่สองคน แล้วก็ทนฟังต่อไม่ไหวต้องเลิกฟัง
มาดูคนแรกที่ผมฟังนะครับ คนที่โทรเข้าไปถามว่าในรัฐธรรมนูญมีการกำหนดไหมว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นได้ติดต่อกันกี่ปีใช่แปดปีไหม ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไร ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ หรือถ้ารู้(หรือคิดว่ารู้)ก็ตอบไป แต่สิ่งที่คนคนนี้ตอบไป(ซึ่งผิด)และยังมีการเหน็บแนมกลับไปด้วย โดยบอกว่าไม่มีหรอกจะเป็นนานเท่าไรก็ได้ถ้าพรรคที่สังกัดอยู่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาและได้รับโหวต และยังมีการยกตัวอย่างนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียให้ฟังด้วย และก็เริ่มเหน็บแนมคนที่โทรเข้ามาถามว่าไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญเลยใช่ไหม แล้วก็พูดย้ำอยู่หลายครั้งว่าคนที่โทรเข้ามานี่เป็นพวกหลังเขาเพราะไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมฟังตอนแรกก็นึกว่าแซวกันเล่น แต่พอฟังไปฟังไปนี่ไม่ใช่แซวเล่นแล้วเพราะย้ำอยู่หลายครั้งมากและน้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่ใช่การแซว จนในที่สุดคนที่โทรมาเท่าที่ผมฟังเสียงดูก็รู้สึกไม่พอใจและวางสายไป ผมนั่งฟังไปก็นึกสงสัยไปว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนที่ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญอย่างละเอียดนี่เป็นพวกหลังเขา ผมว่าคนอาจจะเกือบค่อนประเทศรวมถึงผมด้วยนี่ก็คงเป็นพวกหลังเขา แต่คนหลังเขาอย่างผมนี่แหละก็เพิ่งจะได้อ่านมาจากที่ไหนไม่แน่ใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้เขามีข้อกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นติดกันได้ไม่เกินแปดปี วันนี้ก็เลยมาลองค้นดูซึ่งก็จริงครับรัฐธรรมนูญกำหนดไว้จริง ๆ ดูได้จากลิงก์นี้เลยครับมาตรา 171 ซึ่งประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึงไม่ใช่ที่เขาผิดพลาดเรื่องข้อมูลเพราะคนเราผิดพลาดกันได้ แต่ประเด็นคือทำไมเขาถึงได้พูดกับคนที่เป็นแฟนรายการเขาอย่างนั้น
มาดูคนที่สอง(ที่ผมได้ฟังบ้าง) คนนี้โทรมาถามว่าเขาเห็นด้วยไหมเกี่ยวกับที่ตำรวจจะจับเด็กที่ออกจากบ้านหลัง 22.00 น. สิ่งที่เขาตอบกลับไปก็คือจะมาถกกันทำไมเรื่องเห็นด้วยหรือเปล่าก็กฏหมายมันไม่มีรองรับแล้วจะมาเห็นด้วยได้อย่างไร ถ้าตอบอย่างนี้เฉยๆ ก็ยังพอฟังได้ แต่ก็เหมือนเดิมเหน็บแนมคนฟังอีกตามเคยว่าก่อนจะถามจะถกอะไรก็ให้คิดก่อนไม่ใช่ออกมาพูดไปเรื่อย แต่ถ้าถามผมนะผมว่าถ้าพวกเรามีตรรกกะการคิดแบบคนคนนี้เราคงไม่ต้องมาพูดมาคุยอะไรกันเลยครับ เพราะถ้าคิดแบบนี้ถ้ามีกฏหมายออกมารองรับอยู่แล้วผมก็พูดได้ว่าเราก็ไม่มีสิทธิที่จะมาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกฏหมาย เพราะเรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย
สิ่งที่ผมรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่ผมได้พบมาก็คือคนที่มีโอกาสได้ออกสื่อหลักของประเทศเรานี่แหละครับ ผมว่าสื่อนี่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งเลยนะครับกับสถานการณ์ที่เป็นไปของประเทศเราในขณะนี้ แต่หลายคนที่ได้ออกสื่อหลักกลับไม่ได้ตระหนักในส่วนนี้ และบางคนก็กลับซ้ำเติมสถานการณ์ให้มันหนักขึ้นไปอีก อย่างตัวอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังนี้ผมว่าคนจัดน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนที่สนใจติดตามปัญหาบ้านเมืองแทนที่จะเอาแต่ฟังเพลงไปวัน ๆ เขาควรจะให้ความรู้และสร้างบรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่แน่นะครับว่าเขาอาจจะผลักดันคนอย่างน้อยสองคนแล้วก็ได้ให้กลับไปฟังแต่เพลงตามเดิม...
วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
พนักงานเซ็นทรัลเหมือนกันแต่ต่างกัน
วันนี้มีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมาเล่าให้ฟังกันครับ จริงๆเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่แล้วแต่ผมเพิ่งจะว่างมาเขียนบล็อกเล่าให้ฟังวันนี้ คือเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ก็พอดีไปเจอเข็มขัดเข้าเส้นหนึ่งเห็นว่าสวยดีก็เลยหยิบมาดู ก็มีพนักงานขายคนหนึ่งเข้ามาดูแลแนะนำ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจซื้อเพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป ประกอบกับเส้นเก่าที่ใช้อยู่ก็ใช้มาสิบกว่าปีจนแตกลายงาหมดแล้ว พนักงายขายได้ถามผมว่ามีบัตร The One หรือไม่เพราะจะได้ส่วนลดและสะสมแต้ม ซึ่งผมก็บอกว่าไม่มีพนักงานก็ถามอีกว่าแล้วคนในครอบครัวมีไหม ผมก็นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวผมน่าจะมีเพราะเป็นขาประจำ ก็เลยได้ให้ชื่อน้องสาวกับพนักงานไป ซึ่งพนักงานก็ไปค้นมาแล้วก็เจอจริง ๆ จากเหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้ผมรู้สึกประทับใจกับพนักงานขายของคนนี้มาก และก็มีความรู้สึกดี ๆ กับเซ็นทรัลว่าอบรมพนักงานมาดี แต่แล้วเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันมาก็ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ต่อเซ็นทรัลของผมหายไปเกือบหมด
พนักงานขายได้นำผมมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ซึ่งตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวพม่าเป็นผู้หญิงดูค่อนข้างจะมีอายุแล้วกำลังจะทำเรื่องยกเว้น VAT สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งพนักงานขายที่ดูแลลูกค้าชาวพม่าคนนั้น ก็มาถามพนักงานเก็บเงิน ซึ่งเธอก็ตอบเสียงสะบัด ๆ เหมือนไม่พอใจว่า "ถามเขาสิว่ามีพาสต์พอร์ตไหม" ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวก็แสดงพาสต์พอร์ตให้ดู และก็ขอให้พนักงานขายช่วยกรอกแบบฟอร์มให้เธอหน่อย ซึ่งพนักงานขายก็บอกว่าพนักงานเก็บเงินว่าเขาจะให้กรอกฟอร์มให้ด้วย พนักงานเก็บเงินก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นไปอีก พร้อมทั้งตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ก็กรอกให้เขาไปซี" และก็ยังทำท่าทางเอามือแตะหน้าผากพร้อมทั้งบ่นว่า "จะให้ส่วนลดแล้วยังไม่ยอมกรอกเองอีก" ผมดูถึงตอนนี้แล้วต้องบอกว่าเสียความรู้สึกมาก คือตอนแรกผมก็คิดว่าพนักงานเก็บเงินอาจจะไม่พอใจพนักงานขายซึ่งมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็มาถาม แต่ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่พอใจลูกค้าด้วย โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะไม่พอใจอะไรพนักงานขายก็ไม่ควรจะมาแสดงความไม่พอใจต่อหน้าลูกค้า ถ้าไม่พอใจกันเองก็ไปหาเวลาพูดคุยกันทีหลัง ส่วนการไม่พอใจลูกค้านี่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ นี่ไม่ควรให้เกิดขึ้นเลย คือผมก็ไม่ได้ยึดติดว่าลูกค้าคือพระเจ้าหรอกนะครับ คือถ้าลูกค้างี่เง่ามากจนมาละเมิดสิทธิของเรานี่ก็เชิญเลย แต่ในกรณีนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการบริการนะครับ การที่ลูกค้าขอให้กรอกข้อมูลให้นี่ผมว่าก็ไม่เกินเลยนะครับเพราะตอนนั้นลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร และน่าจะคิดบ้างว่าลูกค้าก็มีอายุแล้ว เธออาจจะมองไม่เห็น หรืออาจจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานเก็บเงินก็ไม่ใช่คนที่ต้องไปกรอกข้อมูลเองก็ไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม การให้บริการดังกล่าวด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากจะทำให้เซ็นทรัลมีภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย พนักงานเก็บเงินคนนั้นอาจจะคิดว่าลูกค้าเป็นคนพม่าฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผมว่าภาษากายนี่มันเป็นภาษาสากลนะครับ ผมคิดว่าลูกค้าพม่าคนดังกล่าวรู้ครับว่าอะไรเป็นอะไร
เอาละ่ครับนั่นคือเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้วก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน ผมเชื่อว่านี่คงเป็นส่วนน้อยของพนักงานบริการที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมมีความเขื่อว่าพนักงานบริการส่วนใหญ่มีจิตใจบริการที่ดีเหมือนกับพนักงานขายของที่ขายของให้ผม แต่คนส่วนน้อยนี่ก็อาจจะทำให้สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาเสียหายได้นะครับ ดังนั้นก็อยากจะฝากเอาไว้ว่าก่อนจะทำอะไรให้คิดให้ดีก่อน อย่าไปคิดว่าเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมการกระทำคงไม่มีผลอะไร โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวนี่ผมว่าการที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยนี่ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไทยนะครับ แต่เขามาเที่ยวเพราะเขาประทับใจคนไทย ประทับใจความมีใจให้บริการของคนไทย ก็ขอให้พวกเราโดยเฉพาะส่วนที่มีหน้าที่บริการโดยตรงได้ตระหนักไว้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาตินะครับ นักท่องเที่ยวคนไทยก็ควรจะได้รับบริการในแบบเดียวกันด้วย ถ้าใครอยู่ในธุรกิจที่ต้องให้บริการแล้วคิดว่าไม่ชอบบริการใคร ก็ลาออกไปหางานอื่นทำเถอะครับ
พนักงานขายได้นำผมมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ซึ่งตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวพม่าเป็นผู้หญิงดูค่อนข้างจะมีอายุแล้วกำลังจะทำเรื่องยกเว้น VAT สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งพนักงานขายที่ดูแลลูกค้าชาวพม่าคนนั้น ก็มาถามพนักงานเก็บเงิน ซึ่งเธอก็ตอบเสียงสะบัด ๆ เหมือนไม่พอใจว่า "ถามเขาสิว่ามีพาสต์พอร์ตไหม" ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวก็แสดงพาสต์พอร์ตให้ดู และก็ขอให้พนักงานขายช่วยกรอกแบบฟอร์มให้เธอหน่อย ซึ่งพนักงานขายก็บอกว่าพนักงานเก็บเงินว่าเขาจะให้กรอกฟอร์มให้ด้วย พนักงานเก็บเงินก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นไปอีก พร้อมทั้งตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ก็กรอกให้เขาไปซี" และก็ยังทำท่าทางเอามือแตะหน้าผากพร้อมทั้งบ่นว่า "จะให้ส่วนลดแล้วยังไม่ยอมกรอกเองอีก" ผมดูถึงตอนนี้แล้วต้องบอกว่าเสียความรู้สึกมาก คือตอนแรกผมก็คิดว่าพนักงานเก็บเงินอาจจะไม่พอใจพนักงานขายซึ่งมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็มาถาม แต่ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่พอใจลูกค้าด้วย โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะไม่พอใจอะไรพนักงานขายก็ไม่ควรจะมาแสดงความไม่พอใจต่อหน้าลูกค้า ถ้าไม่พอใจกันเองก็ไปหาเวลาพูดคุยกันทีหลัง ส่วนการไม่พอใจลูกค้านี่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ นี่ไม่ควรให้เกิดขึ้นเลย คือผมก็ไม่ได้ยึดติดว่าลูกค้าคือพระเจ้าหรอกนะครับ คือถ้าลูกค้างี่เง่ามากจนมาละเมิดสิทธิของเรานี่ก็เชิญเลย แต่ในกรณีนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการบริการนะครับ การที่ลูกค้าขอให้กรอกข้อมูลให้นี่ผมว่าก็ไม่เกินเลยนะครับเพราะตอนนั้นลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร และน่าจะคิดบ้างว่าลูกค้าก็มีอายุแล้ว เธออาจจะมองไม่เห็น หรืออาจจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานเก็บเงินก็ไม่ใช่คนที่ต้องไปกรอกข้อมูลเองก็ไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม การให้บริการดังกล่าวด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากจะทำให้เซ็นทรัลมีภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย พนักงานเก็บเงินคนนั้นอาจจะคิดว่าลูกค้าเป็นคนพม่าฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผมว่าภาษากายนี่มันเป็นภาษาสากลนะครับ ผมคิดว่าลูกค้าพม่าคนดังกล่าวรู้ครับว่าอะไรเป็นอะไร
เอาละ่ครับนั่นคือเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้วก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน ผมเชื่อว่านี่คงเป็นส่วนน้อยของพนักงานบริการที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมมีความเขื่อว่าพนักงานบริการส่วนใหญ่มีจิตใจบริการที่ดีเหมือนกับพนักงานขายของที่ขายของให้ผม แต่คนส่วนน้อยนี่ก็อาจจะทำให้สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาเสียหายได้นะครับ ดังนั้นก็อยากจะฝากเอาไว้ว่าก่อนจะทำอะไรให้คิดให้ดีก่อน อย่าไปคิดว่าเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมการกระทำคงไม่มีผลอะไร โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวนี่ผมว่าการที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยนี่ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไทยนะครับ แต่เขามาเที่ยวเพราะเขาประทับใจคนไทย ประทับใจความมีใจให้บริการของคนไทย ก็ขอให้พวกเราโดยเฉพาะส่วนที่มีหน้าที่บริการโดยตรงได้ตระหนักไว้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาตินะครับ นักท่องเที่ยวคนไทยก็ควรจะได้รับบริการในแบบเดียวกันด้วย ถ้าใครอยู่ในธุรกิจที่ต้องให้บริการแล้วคิดว่าไม่ชอบบริการใคร ก็ลาออกไปหางานอื่นทำเถอะครับ
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
10 อับดับองค์กรและอาชีพยอดนิยม
ได้อ่านวารสาร Positioning ฉบับประจำเดือน เมษายน มีประเด็นที่จะมาเล่าให้ฟังสองประเด็นครับ คือ 10 อันดับองค์กรที่มีคนอยากทำงานด้วยมากที่สุด และ 10 อันดับอาชีพในฝัน สำหรับองค์กรยอดนิยมก็เรียงตามลำดับดังนี้ครับ
เว็บไซต์ของวารสารครับ ซึ่งสำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานด้านคอมพิวเตอรฺ์หลัก ๆ ก็คงเป็น SCG และ NECTEC ซึ่งถ้าใครได้อ่านรายละเอียดของ SCG แล้วจะพบว่าทำไมถึงได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง ส่วน NECTEC บอกตรง ๆ ว่าผมค่อนข้างประหลาดใจและก็รู้สึกดีใจเพราะ NECTEC เป็นหน่วยงานที่เน้นการวิจัย การที่มีคนอยากทำงานด้วยก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าการวิจัยของประเทศน่าจะดีขึ้น
ส่วน 10 อันดับอาชีพยอดนิยมก็ตามนี้ครับ
ส่งท้ายวันนี้ก็ขอให้นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ หรือใครที่คิดจะเปลี่ยนงานใหม่ได้ทำงานและอยู่ในหน่วยงานที่ตัวเองชอบนะครับ
- เครือซิเมนต์ไทย (SCG)
- บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
- บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
- OGILVY & MATHER (THAILAND) Co.,Ltd.
- ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
- บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกสิกรไทย
- บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด
เว็บไซต์ของวารสารครับ ซึ่งสำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานด้านคอมพิวเตอรฺ์หลัก ๆ ก็คงเป็น SCG และ NECTEC ซึ่งถ้าใครได้อ่านรายละเอียดของ SCG แล้วจะพบว่าทำไมถึงได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง ส่วน NECTEC บอกตรง ๆ ว่าผมค่อนข้างประหลาดใจและก็รู้สึกดีใจเพราะ NECTEC เป็นหน่วยงานที่เน้นการวิจัย การที่มีคนอยากทำงานด้วยก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าการวิจัยของประเทศน่าจะดีขึ้น
ส่วน 10 อันดับอาชีพยอดนิยมก็ตามนี้ครับ
- ผู้ประกอบการ
- นักวางแผนการตลาด
- เจ้าของร้านกาแฟ
- อาจารย์นักวิชาการ
- เจ้าของโรงแรมแบบบูติกโฮเต็ล
- เจ้าของร้านอาหาร
- นักวางแผนโฆษณา
- นักเขียน
- แพทย์
- วิศวกร
ส่งท้ายวันนี้ก็ขอให้นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ หรือใครที่คิดจะเปลี่ยนงานใหม่ได้ทำงานและอยู่ในหน่วยงานที่ตัวเองชอบนะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553
เราลืมสอนเรื่องการใช้ชีวิตให้นักศึกษากันหรือเปล่า
วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องราวที่อาจไม่เกี่ยวกับไอทีสักวันนะครับ และอาจจะดูเป็นการบ่น ๆ หรือระบายบ้าง คือในภาคการศึกษานี้ในมีเรื่องที่ผมอยากจะมาเล่าสู่กันฟังสองเรื่อง เรื่องแรกเกิดในระหว่างที่ผมกำลังตัดเกรด และเรื่องที่สองเกิดขึ้นหลังจากผมตัดเกรดและทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศเกรดไปแล้ว
เริ่มจากเรื่องแรกครับต้องขอเกริ่นก่อนว่าในวิชาที่ผมสอนส่วนใหญ่แล้วผมจะให้โครงงานประจำวิชาด้วย ซึ่งโครงงานนี้จะให้ทำเป็นกลุ่มและนักศึกษาจะต้องมานำเสนอรายงานด้วย ซึ่งหลังจากที่นักศึกษาทุกกลุ่มนำเสนอรายงานเสร็จแล้วผมก็นำเอาคะแนนโครงการมารวมกับคะแนนสอบเพื่อที่จะตัดเกรด ขณะที่ผมไล่รายชื่อไปก็พบว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งที่ไม่มีรายชื่ออยู่กับกลุ่มใดเลย และคะแนนสอบของนักศึกษาคนนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลางคือพอผ่าน แต่ถ้ารวมคะแนนโครงการเข้าไปเขาจะได้เกรดที่ดีขึ้น ผมจึงได้ประกาศให้นักศึกษาติดต่อผมผ่านทางอีเมล และเขาก็ติดต่อมาซึ่งผมก็ได้แจ้งไป และให้โอกาสเขาโดยบอกให้เขารีบทำงานมาส่งโดยผมจะให้ติด I ไว้ก่อน แต่คำตอบที่ผมได้รับคือเขาจะไม่ทำเพราะเขาไม่ได้ชอบสาขาที่เรียนอยู่ตอนนี้แต่พ่อแม่บังคับให้เรียน ขอแค่สอบผ่านก็พอใจแล้ว จากเรื่องนี้มีสองจุดที่ผมอยากจะพูดถึงครับ จุดแรกเรื่องพ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนในสาขาที่เขาไม่ชอบ คือพ่อแม่ก็หวังดีเห็นว่าสาขาทางคอมพิวเตอร์นี้จบออกไปแล้วมีงานทำแน่นอนมีเงินเดือนดี แต่ในความเป็นจริงคนที่เรียนคือลูกนะครับไม่ใช่พ่อแม่ ซึ่งจากประสบการณ์ของผมพบว่ามีนักศึกษาหลายคนที่เป็นแบบนี้ครับ และส่วนใหญ่ที่จบไปก็เกรดไม่ค่อยดีนัก และบางคนก็ไม่ได้ทำงานในสาขานี้หรือไปเรียนต่อในสาขาอื่น ดังนั้นอยากฝากพ่อแม่ครับว่าอย่าบังคับลูกเลย ถ้าเขาได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบและเขามีความถนัดจริงผมเชื่อว่าเขาก็จะมีทางไปของเขาได้ จุดที่สองในส่วนของนักศึกษาเอง ผมอยากจะบอกว่าเมื่อเราได้ทำอะไรแล้วไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบเราก็น่าจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด อยากให้นักศึกษามองไปไกล ๆ หน่อยครับอย่ามองแค่ใกล้ ๆ สมมติว่าถ้าต้องอดทนเรียนไปจริง ๆ ทำไมถึงไม่พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะเกรดที่เราได้ในวันนี้แน่นอนครับว่าจะมีผลต่อการเรียนต่อในสิ่งที่เราสนใจในอนาคตอย่างแน่นอน และไม่แน่ครับถ้าเราได้ตั้งใจทำให้ดีที่สุดแล้วเราอาจจะค้นพบก็ได้ว่า๊จริง ๆ เราก็ชอบสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่เหมือนกัน สรุปสิ่งที่อยากฝากไว้สำหรับเรื่องนี้ก็คือสู้ครับทำทุกอย่างให้เต็มกำลัง
เรื่องที่สองหลังจากที่มีการประกาศเกรดแล้ว ผมก็ได้รับข้อความถามจากนักศึกษาว่าทำไมเขาจึงได้เกรดน้อย ทั้ง ๆ ที่ตอนกลางภาคเขาก็ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี ซึ่งตรงนี้ผมโอเคนะครับ คือผมยินดีที่จะให้นักศึกษาเข้ามาดูและมาสอบถามได้เสมอ เพราะผมก็อาจพลาดได้ แม้ว่าผมจะตรวจทานการป้อนคะแนนและการตัดเกรดถึง 3 ครั้ง ก่อนที่ผมจะส่งเกรดไป แต่สิ่งที่ผมทำใจยอมรับได้ยากสักหน่อยและตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เพราะนักศึกษาคนนี้ให้เบอร์โทรให้ผมโทรกลับ และบอกว่าถ้าอาจารย์ไม่ติดต่อกลับเขาจะเข้ามาหาในวันเสาร์ (จากนั้นมาขอแก้ไขบอกว่าจะเข้ามาวันอาทิตย์) ตกลงนักศึกษาคนนี้เขาเป็นเจ้านายผมหรือครับ เขาจะมาหาผมวันไหนที่เขาอยากมาก็ได้ (แม้แต่วันหยุด) และผมจะต้องมาพบเขาตามวันที่เขาระบุใช่ไหม นักศึกษาคนนี้ไม่ได้รับการสั่งสอนจากที่ใดมาเลยหรือครับว่าเวลาที่จะนัดหมายกับผู้ใหญ่จะต้องทำอย่างไร
นี่คือสองเรื่องที่เกิดขึ้นและผมก็เลยเกิดคำถามขึ้นว่าในการเรียนการสอนในปัจจุบันของเรานั้น เราเน้นกันที่จะให้แต่ความรู้วิชาการและแข่งขันกันด้วยเกรดอย่างเดียว จนลืมที่จะอบรมให้เด็กให้เป็นคนที่มีความรอบรู้ มีคุณธรรมจริยธรรม และสู้ชีวิตหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเอามาแบ่งปันกันในวันนี้โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ เพราะผมคิดว่าจะใช้กรณีตัวอย่างนี้ในการสอนลูกผมเช่นเดียวกัน
เริ่มจากเรื่องแรกครับต้องขอเกริ่นก่อนว่าในวิชาที่ผมสอนส่วนใหญ่แล้วผมจะให้โครงงานประจำวิชาด้วย ซึ่งโครงงานนี้จะให้ทำเป็นกลุ่มและนักศึกษาจะต้องมานำเสนอรายงานด้วย ซึ่งหลังจากที่นักศึกษาทุกกลุ่มนำเสนอรายงานเสร็จแล้วผมก็นำเอาคะแนนโครงการมารวมกับคะแนนสอบเพื่อที่จะตัดเกรด ขณะที่ผมไล่รายชื่อไปก็พบว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งที่ไม่มีรายชื่ออยู่กับกลุ่มใดเลย และคะแนนสอบของนักศึกษาคนนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลางคือพอผ่าน แต่ถ้ารวมคะแนนโครงการเข้าไปเขาจะได้เกรดที่ดีขึ้น ผมจึงได้ประกาศให้นักศึกษาติดต่อผมผ่านทางอีเมล และเขาก็ติดต่อมาซึ่งผมก็ได้แจ้งไป และให้โอกาสเขาโดยบอกให้เขารีบทำงานมาส่งโดยผมจะให้ติด I ไว้ก่อน แต่คำตอบที่ผมได้รับคือเขาจะไม่ทำเพราะเขาไม่ได้ชอบสาขาที่เรียนอยู่ตอนนี้แต่พ่อแม่บังคับให้เรียน ขอแค่สอบผ่านก็พอใจแล้ว จากเรื่องนี้มีสองจุดที่ผมอยากจะพูดถึงครับ จุดแรกเรื่องพ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนในสาขาที่เขาไม่ชอบ คือพ่อแม่ก็หวังดีเห็นว่าสาขาทางคอมพิวเตอร์นี้จบออกไปแล้วมีงานทำแน่นอนมีเงินเดือนดี แต่ในความเป็นจริงคนที่เรียนคือลูกนะครับไม่ใช่พ่อแม่ ซึ่งจากประสบการณ์ของผมพบว่ามีนักศึกษาหลายคนที่เป็นแบบนี้ครับ และส่วนใหญ่ที่จบไปก็เกรดไม่ค่อยดีนัก และบางคนก็ไม่ได้ทำงานในสาขานี้หรือไปเรียนต่อในสาขาอื่น ดังนั้นอยากฝากพ่อแม่ครับว่าอย่าบังคับลูกเลย ถ้าเขาได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบและเขามีความถนัดจริงผมเชื่อว่าเขาก็จะมีทางไปของเขาได้ จุดที่สองในส่วนของนักศึกษาเอง ผมอยากจะบอกว่าเมื่อเราได้ทำอะไรแล้วไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบเราก็น่าจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด อยากให้นักศึกษามองไปไกล ๆ หน่อยครับอย่ามองแค่ใกล้ ๆ สมมติว่าถ้าต้องอดทนเรียนไปจริง ๆ ทำไมถึงไม่พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะเกรดที่เราได้ในวันนี้แน่นอนครับว่าจะมีผลต่อการเรียนต่อในสิ่งที่เราสนใจในอนาคตอย่างแน่นอน และไม่แน่ครับถ้าเราได้ตั้งใจทำให้ดีที่สุดแล้วเราอาจจะค้นพบก็ได้ว่า๊จริง ๆ เราก็ชอบสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่เหมือนกัน สรุปสิ่งที่อยากฝากไว้สำหรับเรื่องนี้ก็คือสู้ครับทำทุกอย่างให้เต็มกำลัง
เรื่องที่สองหลังจากที่มีการประกาศเกรดแล้ว ผมก็ได้รับข้อความถามจากนักศึกษาว่าทำไมเขาจึงได้เกรดน้อย ทั้ง ๆ ที่ตอนกลางภาคเขาก็ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี ซึ่งตรงนี้ผมโอเคนะครับ คือผมยินดีที่จะให้นักศึกษาเข้ามาดูและมาสอบถามได้เสมอ เพราะผมก็อาจพลาดได้ แม้ว่าผมจะตรวจทานการป้อนคะแนนและการตัดเกรดถึง 3 ครั้ง ก่อนที่ผมจะส่งเกรดไป แต่สิ่งที่ผมทำใจยอมรับได้ยากสักหน่อยและตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เพราะนักศึกษาคนนี้ให้เบอร์โทรให้ผมโทรกลับ และบอกว่าถ้าอาจารย์ไม่ติดต่อกลับเขาจะเข้ามาหาในวันเสาร์ (จากนั้นมาขอแก้ไขบอกว่าจะเข้ามาวันอาทิตย์) ตกลงนักศึกษาคนนี้เขาเป็นเจ้านายผมหรือครับ เขาจะมาหาผมวันไหนที่เขาอยากมาก็ได้ (แม้แต่วันหยุด) และผมจะต้องมาพบเขาตามวันที่เขาระบุใช่ไหม นักศึกษาคนนี้ไม่ได้รับการสั่งสอนจากที่ใดมาเลยหรือครับว่าเวลาที่จะนัดหมายกับผู้ใหญ่จะต้องทำอย่างไร
นี่คือสองเรื่องที่เกิดขึ้นและผมก็เลยเกิดคำถามขึ้นว่าในการเรียนการสอนในปัจจุบันของเรานั้น เราเน้นกันที่จะให้แต่ความรู้วิชาการและแข่งขันกันด้วยเกรดอย่างเดียว จนลืมที่จะอบรมให้เด็กให้เป็นคนที่มีความรอบรู้ มีคุณธรรมจริยธรรม และสู้ชีวิตหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเอามาแบ่งปันกันในวันนี้โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ เพราะผมคิดว่าจะใช้กรณีตัวอย่างนี้ในการสอนลูกผมเช่นเดียวกัน
วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2551
ภาษาโปรแกรมสำหรับยุคต่อไป
หลังจากบทความที่ผ่าน ๆ มา เป็นการเล่าเรื่องทางไอทีที่น่าสนใจให้ฟัง บทความนี้ก็ขอเขียนเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมบ้างนะครับ ผมเคยได้รับคำถามจากนักศึกษาว่าเขาควรจะศึกษาภาษาอะไรดี ซึ่งผมก็ได้ตอบไปว่าให้เรียนภาษาที่สอนกันที่คณะ (Java) ให้เข้าใจแนวคิดการเขียนโปรแกรม แล้วจะสามารถนำไปประยุกต์กับภาษาอื่น ๆ ได้โดยไม่ยาก พอดีวันนี้ได้ไปอ่านบทความนี้ครับ http://www.infoworld.com/article/08/06/23/26NF-dynamic-scripting_1.html เห็นว่าน่าสนใจดี และเกี่ยวข้องกับที่นักศึกษาเคยถามก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง ในบทความเขาบอกว่าภาษาสคริปต์จะเปิดยุคใหม่ของการเขียนโปรแกรมครับ ซึ่งเขาเรียกว่า programming to the masses ครับ ซึ่งผมก็ขอแปลว่าการโปรแกรมเพื่อมวลชนครับ :) ซึ่งผมเข้าใจว่าเขาจะเน้นว่าภาษาสคริปต์พวกนี้เขียนได้ง่าย ดังนั้นน่าจะมีผู้คนที่เขียนภาษาเหล่านี้เป็นกันมากขึ้น โดยภาษาสคริปต์ที่ใช้กันบนฝั่งไคลแอนต์ส่วนใหญ่ก็จะเป็น JavaScript ส่วนภาษาสคริปต์บนฝั่งเซอร์ฟเวอร์ก็จะเป็น PHP ซึ่งคงเห็นนะครับว่าก็ไม่ใช่ภาษาใหม่อะไรเลย แต่เป็นภาษาที่เรารู้จักกันมานานแล้ว ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ในความเห็นของผมเป็นดังนี้ครับ ประการแรกก็คือความแพร่หลายของการใช้เว็บเป็นแพลตฟอร์มในการพัฒนาระบบ ความแพร่หลายของเว็บเซอร์วิส ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของคอมพิวเตอร์ และคุณลักษณะบางอย่างที่ทำให้ผู้พัฒนาโปรแกรมรู้สึกว่าการพัฒนาโปรแกรมทำได้ง่ายขึ้น เช่นการที่ตัวแปรเป็นแบบไดนามิก คือสามารถเปลี่ยนประเภทไปได้ตามประเภทข้อมูลที่ใช้ในขณะนั้น (แต่อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะครับ บางคนอาจไม่ชอบคุณลักษณะที่เป็นไดนามิกแบบนี้ก็ได้) นอกจากสองภาษานี้แล้วก็ยังมีภาษาอื่น ๆ ที่น่าสนใจที่แนะนำในบทความครับเช่น python และ Ruby ถึงตรงนี้แล้วหลายคนก็อาจมีคำถามว่าถ้าอย่างนั้นภาษา Java ภาษา C ภาษา C++ นั้นไม่จำเป็นแล้วใช่หรือไม่ ซึ่งผมก็คงต้องตอบว่าไม่ใช่ ในความเห็นผมภาษาสคริปต์ต่าง ๆ เหล่านี้ เหมาะสมกับการทำงานในลักษณะที่จะเป็นตัวเชื่อม โดยเรียกใช้คอมโพเนนต์ต่าง ๆ ที่มีอยู่มาใช้งานร่วมกัน ส่วนคอมโพเนนต์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็ยังคงจะต้องพัฒนาโดยใช้ภาษาหลัก ๆ อยู่ดี ซึ่งตามหลักการของการพัฒนาระบบแบบคอมโพเนนต์นั้น จะมีอยู่สองส่วนด้วยกันคือการพัฒนาเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (development for resue) และการพัฒนาโดยนำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ (development with reuse) ภาษาอย่าง C++ หรือ Java ก็จะใช้ในการพัฒนาส่วนแรก ส่วนภาษาสคริปต์เหล่านี้ก็จะอยู่ในส่วนที่สอง ในส่วนของบทความผมเห็นด้วยในส่วนที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่ภาษาเหล่านี้โดยเฉพาะส่วนที่อยู่บนฝั่งไคลแอนต์ จะกลายมาเป็นภาษาหรับมวลชนจริง ๆ ลองสังเกตุจากพวก Social Web เช่นพวก Hi5 หรือ bloggang ของเราดูนะครับ ตอนนี้ผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป เริ่มรู้จักการเขียนภาษา HTML แล้ว โดยอาจจะเริ่มต้นจากการคัดลอกจากเว็บอื่นมาใส่เว็บตัวเอง จากนั้นก็เริ่มศึกษาแล้วก็สามารถเขียนโค้ดของตัวเองได้ ซึ่งผมคิดว่าก็อาจจะเกิดขึ้นได้กับภาษาอย่าง JavaScript เช่นกัน
ดังนั้นก็ฝากไว้ครับว่า ต่อไปผู้ใช้ทั่ว ๆ ไปก็อาจจะเขียนโปรแกรมกันได้แล้ว ส่วนพวกที่เรียนกันมาทางสายคอมพิวเตอร์โดยตรงแล้วยังเขียนโปรแกรมไม่ได้นี่ก็... ลองเติมกันดูเองนะครับ
ดังนั้นก็ฝากไว้ครับว่า ต่อไปผู้ใช้ทั่ว ๆ ไปก็อาจจะเขียนโปรแกรมกันได้แล้ว ส่วนพวกที่เรียนกันมาทางสายคอมพิวเตอร์โดยตรงแล้วยังเขียนโปรแกรมไม่ได้นี่ก็... ลองเติมกันดูเองนะครับ
วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551
เมื่อผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อสั่งพิมพ์เอกสาร MS Word 23 หน้า
วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ชีวิตให้ฟังครับ และเผื่อใครเจอเหมือนผมอาจนำไปใช้ได้ เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อ 2-3 วันก่อน ภรรยาของผมก็ได้อีเมล์แนบไฟล์เอกสาร Ms Word ซึ่งมีขนาดประมาณ 2 เมกะไบต์กว่า ๆ มีจำนวนหน้าทั้งหมด 23 หน้า มาให้ผมช่วยพิมพ์ให้จากที่ทำงาน ผมก็แปลกใจนิดหน่อยเพราะที่บ้านก็มีเครื่องพิมพ์จะส่งมาให้ผมพิมพ์ทำไม แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากดาวน์โหลดไฟล์มาแล้วผมก็ลองเปิดดูก็ดูปกติดี ก็เลยทิ้งไว้ก่อนเอาไว้พิมพ์ตอนก่อนจะกลับบ้าน พอถึงเวลาที่จะพิมพ์ก็เกิดเรื่องครับคือพอผมสั่งพิมพ์มันไม่พิมพ์ครับ คือเหมือนไม่มีไฟล์อะไรส่งไปที่เครื่องพิมพ์เลย ตอนแรกก็นึกว่าเครื่องพิมพ์มีปัญหา ไปตรวจดูก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ก็เลยลองสั่งพิมพ์ไฟล์อื่นดูปรากฏว่าพิมพ์ได้ปกติ ก็เลยลองกลับมาใช้วิธีที่ผมมักจะใช้ได้ผลคือจัดเก็บไฟล์ลงไปเป็นแฟ้มใหม่แล้วลองพิมพ์ดู ปรากฏว่าอาการเหมือนเดิมครับ ก็เลยโทรศัพท์กลับไปหาภรรยา ซึ่งภรรยาก็บอกว่า "ก็มันเป็นแบบนี้ถึงได้ส่งไปให้พิมพ์ให้ไง" พร้อมทั้งกำชับด้วยข้อความห้วนสั้นเรียบง่ายแต่ได้ใจความว่า "พิมพ์มาให้ได้นะ" เอาละซีครับคราวนี้ก็เดือดร้อนละครับ งานเข้าเต็ม ๆ ผมก็เลยลองเข้าไปค้นในอินเตอร์เน็ตดู ก็เจอคำตอบหนึ่งเขาบอกว่า การที่พิมพ์ไม่ออกอาจเป็นเพราะตั้งค่าหน้ากระดาษไม่ถูกต้อง ผมก็เลยไปเปิดดูไฟล์ก็ปรากฏว่าเรียบร้อยดี แสดงว่าไม่ใช่ปัญหา คราวนี้ผมก็เลยลองสั่งพิมพ์ออกมาเป็นไฟล์ .pdf ดู ปรากฏว่าเก่งมากครับ 23 หน้าออกมาได้หนึ่งหน้า ด้วยความที่อยากกลับบ้านเต็มแก่ครับเห็นมันออกมาหนึ่งหน้าใน .pdf ก็เลยลองมั่วดู โดยใช้วิธีสั่งพิมพ์ทีละหน้า ปรากฏว่าหน้าแรกมันพิมพ์ออกครับ ก็ดีใจมาก เอาละแค่ 23 หน้าเอง (ในใจคิดว่าโชคดีที่ไม่ใช่ 100 หน้า) พิมพ์ทีละหน้าก็ยังไหว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาหาสาเหตุกันใหม่ ปรากฏว่าสั่งพิมพ์ทีละหน้าไปได้ 2 หน้าครับ พอถึงหน้าที่ 3 มันไม่พิมพ์ ข้ามไปพิมพ์หน้าที่ 4 มันก็ไม่พิมพ์ หน้าไหน ๆ มันก็ไม่พิมพ์ ก็เลยคิดว่าปัญหาอาจอยู่ที่ 2 หน้าแรก ก็เลยลบมันทิ้งไป แล้วลองสั่งพิมพ์ดูปรากฏว่ามันออกหน้า 3 มาอีกหน้าหนึ่งครับ จากนั้นก็เหมือนเดิมคือไม่ออกอะไรอีกเลย แถมมีอาการหนักขึ้นอีกคือพอสั่งจัดเก็บมันบอกว่าจัดเก็บไม่ได้ไฟล์ไม่ถูกต้อง แล้วก็แฮงค์ไปเฉย ๆ คราวนี้ก็หน้ามืดละครับอยากกลับบ้านก็อยากกลับแต่คำว่า "พิมพ์มาให้ได้นะ" มันยังก้องอยู่ในหู ก็เลยลองนั่งใจเย็น ๆ คิดดูว่ายังลืมอะไรอีกหรือเปล่า แล้วก็คิดได้วิธีหนึ่งครับที่ยังไม่ได้ลอง คือผมก็เอาไฟล์ต้นฉบับที่ภรรยาส่งมาให้ (คือไอ้ที่ผมบอกว่าลองตัดหน้าทิ้งดูอะไรนี่ ผมทำกับแฟ้มที่ผมสำรองขึ้นมานะครับ ดังนั้นถ้าพวกเราจะลองทำอะไรนี่อย่าทำกับต้นฉบับนะครับ) มาจัดเก็บเป็น .rtf ครับ ผมลองตรวจดูขนาดของไฟล์ดูครับ มหัศจรรย์มากจากต้นฉบับ .doc ของภรรยาผม 2 เมกะไบต์กว่า ๆ พอเป็น .rtf มันเป็น 34 เมกะไบต์กว่า ๆ ครับ แต่ตอนนั้นก็ไม่สนแล้วละครับ ลองสั่งพิมพ์ดู โอสวรรค์เบี่ยง เอ๊ย... สวรรค์ทรงโปรด มันออกครับ 23 หน้าครบถ้วนบริบูรณ์ จากนั้นผมก็ลองจัดเก็บจาก .rtf มาเป็น .doc ครับขนาดลดลงเหลือ 2 เมกะไบต์กว่า ๆ เล็กกว่าไฟล์ต้นฉบับเล็กน้อย แล้วลองสั่งพิมพ์เป็น .pdf ดู คราวนี้ปรากฏว่าออกครบ 23 หน้าครับ เฮ้อ... mission complete ครับ หลังจากผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นก็กลับบ้านครับ แล้วก็เอาที่พิมพ์ได้ไปให้ภรรยา ซึ่งเธอก็บอกว่า "ขอบคุณค่ะ" แค่นี้ก็หายเหนื่อยแล้วครับ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)