วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ความเห็นเกี่ยวกับข่าวฮอตประจำสัปดาห์

สำหรับสัปดาห์นี้ข่าวร้อนแรงที่สุดก็คงมีอยู่ 3 เรื่องนะครับ คือเรื่องที่การประมูลใบอนุญาต 3G ถูกระงับ เรื่องฟิล์ม และเรื่องเปิดตัวไอโฟน 4 อย่างเป็นทางการในไทย ก็ขออนุญาตเกาะกระแสเขียนถึงทั้ง 3 เรื่องนี้บ้างแล้วกันนะครับ

เริ่มจากเรื่อง 3G ก่อน จริง ๆ เรื่องนี้ผมเขียนถึงไปสองครั้งแล้ว คงต้องบอกว่าผิดหวังเหมือนกับหลาย ๆ คนในประเทศนี้ แต่คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ายังไงศาลก็คงไม่ยอมให้เดินหน้าต่อเพราะมีปัญหาเรื่องข้อกฏหมายจริง ๆ แต่ถ้าถามว่าปัญหาน่าจะเกิดจากอะไร ผมคิดว่าเป็นปัญหาด้านการบริหารจัดการของรัฐบาล รัฐบาลไม่รู้ว่าองค์กรใดมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง ไม่รู้ว่าเคยปรึกษากับกฤษฎีกาหรือเปล่า (จริง ๆ ถ้ายังไม่แน่ใจนี่น่าจะรีบดันเรื่อง กสทช.ออกมาให้เร็วที่สุด มาเร่งทำตอนนี้ก็ค่อนข้างสายแล้วครับ) อีกอย่างหนึ่งยังไม่สามารถควบคุมองค์กรที่อยู่ในสังกัดของตัวเองให้ทำตามนโยบายของรัฐบาลได้ อ้อแต่รับฟังมาอีกกระแสหนึ่งเห็นเขาบอกว่าจริง ๆ รัฐบาลไม่อยากให้การประมูล 3G สำเร็จโดยกทช. ครับ เพราะมีข้อไม่เห็นด้วยกับ กทช. (ทำนองว่า กทช. มีความไม่โปร่งใสอะไรบางอย่าง) แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะกทช. เป็นองค์กรอิสระ อันนี้แค่ฟังมานะครับไม่รู้จริงหรือเปล่าเอามาเล่าให้ฟังไว้เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง สรุปเรื่องนี้ก็คือตอนนี้ TOT กับ กสท. ก็สมหวังแล้วในการที่ยับยั้งไม่ให้มี 3G รายอื่นเกิดขึ้นมาในประเทศ ก็ช่วยพัฒนาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์กับประเทศชาติสูงสุดด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องฟิล์มนี่ผมจะไม่แตะเลยครับ ถ้าคุณระเบียบรัตน์ไม่ออกมาให้สัมภาษณ์อะไรซึ่งในส่วนตัวผมฟังแล้วรู้สึกแย่มาก ผมไม่ใช่แฟนของฟิล์ม และติดตามผลงานของฟิล์มน้อยมาก และผมไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ที่เขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะคุณระเบียบรัตน์จริง ๆ ก่อนอื่นผมบอกเลยนะครับว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนสองคน เขารู้ดีที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร เราเป็นบุคคลนอกไม่มีสิทธิที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เขาในทางที่เหมือนต่อว่าคนที่เราไม่เห็นด้วยอย่างเสีย ๆ หาย ๆ สิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือยกเอามาเป็นตัวอย่างในการสั่งสอนลูกหลานของเราให้ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิต ในการให้สัมภาษณ์คุณระเบียบรัตน์ได้ต่อว่าคุณพจน์ อานนท์ที่มาพูดให้ข่าวเหมือนเชิงแก้ตัวแทนฟิล์มว่าไม่ควรพูดเพราะเป็นคนนอก แต่ตัวเองกลับทำเสียเอง ไปพูดเป็นเชิงว่าฟิล์มไม่สนใจไม่ดูแลไม่รับผิดชอบ แถมยังมาพูดเป็นเชิงประชดประชันแดกดันว่าไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ ให้บอกว่าเด็กเป็นลูกฟิล์ม ให้จำไว้จนวันตายอะไรประมาณนี้ (การให้สัมภาษณ์เต็ม ๆ ฟังได้จากจากคลิปนี้ครับ) คำถามคือคุณระเบียบรัตน์ถือสิทธิอะไรในการไปพูดจาว่ากล่าวคนอื่นแบบนี้ ทั้งที่ความจริงตัวเองก็ไม่น่าจะรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไง ปัญหาของประเทศเราส่วนหนึ่งก็มาจากวิธีคิดและการกระทำแบบนี้แหละครับ เที่ยวไปตัดสินคนอื่นโดยรับฟังข้อมูลข้างเดียว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่คิดไตร่ตรองว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด

ส่วนเรื่องไอโฟน 4 กระแสแรงจริง ๆ ครับ แสดงว่าคนไทยหลายคนก็อดทนรอที่จะได้ใช้เจ้าโทรศัพท์ตัวนี้ ส่วนคนที่รอไม่ได้นี่ได้ข่าวว่ายอมซื้อเครื่องหิ้วที่เข้ามาตอนแรก ๆ ถึงสี่-ห้าหมื่น สำหรับตอนนี้ก็เปิดขายแล้วโดยทั้งสามค่ายใหญ่ เครื่องเปล่าราคาเท่ากันหมด เริ่มต้นที่สองหมื่นกว่า รายละเอียดดูได้ที่บล็อกของคุณพัชร แว่ว ๆ ว่าขายดีเหมือนแจกฟรี ถ้าจะใช้ครอบคลุมจริง ๆ คือได้ใช้ทั้ง 3G และ Wifi นี่ตอนนี้ก็คงไม่มีใครสู้ True ได้ ดังนั้นผมคิดว่า AIS และ DTAC ก็คงต้องเปิด 3G ให้ได้บนเครือข่ายเดิมที่ตัวเองมีอยู่เพื่อจะให้การใช้งานเครื่องให้ได้คุ้มค่าที่สุด เห็นว่ารัฐบาลอาจจะผลักดัน 3G ตามแนวนี้ด้วยเหมือนกันครับ แต่ก็แปลกดีนะครับบริษัทที่มี 3G อยู่แล้วอย่าง TOT กลับไม่กระตือรือร้นที่จะนำไอโฟนเข้ามาขาย บริษัทที่นำมาขายกลับยังไม่มี 3G

สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้นะครับ ขอให้มีความสุขในวันศุกร์ครับ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ความจริงที่ผมได้รู้จากการที่ศาลสั่งระงับการประมูลใบอนุญาต 3G

ขอเขียนถึงเรื่อง 3G นี้อีกสักวันแล้วกันนะครับในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่รออยู่แล้วก็ต้องผิดหวังไม่รู้ว่าจะต้องรอต่อไปอีกนานเท่าไร จริง ๆ แล้วถ้าพูดถึงเรื่อง 3G ประเทศเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใช้นะครับ เพียงแต่ว่าคุณภาพบริการมันยังไม่ดี สัญญาณมา ๆ หาย ๆ และไม่สามารถตอบสนองต่อประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ ดังนั้นถ้าการประมูลนี้สำเร็จจะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติในหลาย ๆ ด้าน ความไม่เท่าเทียมกันด้านข้อมูลข่าวสารระหว่างคนเมืองกับคนชนบทจะน้อยลง แต่เมื่อมีอันต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่รู้อนาคตอย่างนี้ ก็ทำให้ประเทศเราเสียโอกาสไปหลาย ๆ อย่าง น่าอิจฉาประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าเราอย่างลาวหรือกัมพูชา ประเทศเหล่านี้มี 3G ใช้กันแล้ว

คราวนี้มาดูว่าผมพบความจริงอะไรบ้างจากเรื่องที่เกิดขึ้น ความจริงที่ผมพบประการแรกเป็นความจริงที่น่ากลัวมากครับ คือประเทศของเรานี้ทำงานและบริหารงานกันโดยไม่มีใครรู้อะไรจริง ๆ เลย หน่วยงานที่ทำหน้าที่ประมูลคือ กทช. ก็ไม่ได้รู้จริงว่าตัวเองมีอำนาจหรือเปล่า รัฐบาลก็ไม่รู้เพราะถ้ารู้ก็คงไม่ปล่อยให้ กทช. ดำเนินงานมาถึงขนาดนี้ ปัญหาคือมันมีองค์กรต่าง ๆ ถูกตั้งขึ้นมาเต็มไปหมด อย่าง กทช. และกสทช. ซึ่งก็มีชื่อคล้ายกันมาก ผมยังเข้าใจผิดเลยว่า กทช. ก็คือ กสทช. แต่เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง แต่ประเด็นคือรัฐบาลต้องรู้สิครับ เพราะเท่าที่ผมติดตามข่าวมาอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่มันเป็นของ กสทช. รัฐบาลจะต้องรู้และควรจะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น โดยรีบสรรหากรรมการ กสทช. เพื่อมาดำเนินการ ส่วนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ICT ก็ออกมาทำได้แค่ขอโทษและยังให้ข้อมูลผิด ๆ อีก เช่นผู้ให้บริการอย่าง AIS หรือ DTAC ได้ให้บริการ 3G กับคนในกรุงเทพทั่ว ๆ ไปแล้ว ทั้งที่จริง ๆ มันไม่ใช่ ถ้าผมเป็นนายกผมคงต้องขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ลาออก หรือถ้าผมเป็นรัฐมนตรีเองผมจะขอลาออกครับ

ความจริงประการที่สองก็คือรัฐวิสาหกิจที่ชอบออกมาโวยวายตอนที่มีรัฐบาลหนึ่งจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ บอกว่าประเทศชาติและประชาชนจะเสียประโยชน์อย่างนู้นอย่างนี้ ตอนนี้พวกเราคงเห็นนะครับว่าเขาเห็นกับประโยชน์ของใครมากกว่า จริง ๆ ถ้าออกมาคัดค้านเพราะรู้เรื่องว่า กทช. ไม่มีอำนาจ ถ้าตัวเองไม่คัดค้านจะกลายเป็นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่อ้างมา ก็น่าจะทำแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่ กทช. เขาเริ่มดำเนินการ ป่านนี้รัฐบาลก็คงจะรู้ตัวและรีบเริ่มดำเนินการสรรหา กสทช.ไปแล้ว นี่จนเขาจะทำเสร็จอยู่แล้วเพิ่งจะออกมาคัดค้าน ประเทศชาติต้องเสียงบประมาณไปเปล่า ๆ ไม่รู้เท่าไร แถมยังบอกด้วยว่าการดำเนินการนี้ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์จึงต้องออกมาคัดค้าน

ขอฝากรัฐวิสาหกิจหน่วยงานที่มี 3G ของตัวเองอยู่ตอนนี้เมื่อออกมาคัดค้านเขาแล้วก็ช่วยคิดถึงประเทศชาติโดยปรับปรุงระบบของตัวเองที่มีอยู่ให้ดี และให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ใช้ด้วยนะครับ

จริง ๆ วันศุกร์แล้วไม่อยากเขียนเรื่องเครียด แต่ก็ขอเขียนบอกเล่าความรู้สึกหน่อยแล้วกันครับ เพราะรู้สึกแย่จริง ๆ กับเรื่องนี้

ป.ล. ขอเพิ่มเติมลิงก์ไปยังบล็อกนี้ นะครับเพราะมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับหลาย ๆ เรื่องที่ผมคิดว่าหลายคน(รวมถึงผมด้วยยังเข้าใจผิดอยู่) และจะทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหานี้มากขึ้น

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ระบบจำลองการผ่าฟันสำหรับนักศึกษาทันตแพทย์

Mainz University Medical Center ได้คิดระบบอีเลิร์นนิงเพื่อช่วยให้นักศึกษาทันตแพทย์ได้ฝึกการผ่าฟัน โดยนักศึกษาจะสามารถดาวน์โหลดกรณีศึกษาซึ่งจะมีทั้งฟิล์ม ภาพ และขั้นตอนการผ่าตัดมาลง iPhone iPad หรือโน้ตบุ๊ก เพื่อมาศึกษาได้ด้วยตัวเอง

น่าสนใจสำหรับทันตแพทย์ไทยนะครับ

ที่มา: JGU

HTML 5 จะช่วยให้เว็บเพจพูดและฟังได้

กลุ่มทำงานใหม่ใน W3C กำลังพิจารณาที่จะนำการรู้จำเสียง และส่วนติดต่อแบบสังเคราะห์เสียงพูดมาใช้กับหน้าเว็บ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะทำให้บราวเซอร์อ่านหน้าเว็บเพจออกมาได้เลย และผู้ใช้สามารถกรอกฟอร์มได้โดยใช้เสียงพูด

น่าสนใจมาก ขอให้ทำเสร็จเร็ว ๆ นะครับ

ที่มา: Computer World

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ 10 ประการของการจีบ (flirt)

วันนี้วันศุกร์ขอเรื่องเบา ๆ สักเรื่องแล้วกันนะครับ อันนี้เป็นบทความที่เจอบนหน้าแรกของ Yahoo! ก่อนที่จะเข้าไปเช็คอีเมลครับลองอ่านดูเป็นการผ่อนคลายครับ

1. คนที่จีบกันจะมีจำนวนเซลเม็ดเลือดขาวมาก ซึ่งการที่มีเซลเม็ดเลือดขาวมากนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย (อันนี้น่าจะใช้เป็นข้อแก้ตัวได้นะครับ เวลาถูกแฟนจับได้ว่ากำลังจีบคนอื่นอยู่ ก็บอกว่ากำลังเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย :) )
2. คนเราใช้สัญญาณที่แสดงการจีบกันอยู่ 52 สัญญาณ และสัญญานที่ใช้มากที่สุดคือการเสยผม (อย่างผมนี่เสยบ่อยเลย คือผมมันยาวเข้าตาน่ะ อย่างนี้สาว ๆ ครึ่งค่อนเมืองไม่คิดว่าผมจีบเขาอยู่หรือนี่)
3. ในบางแห่งการแสดงท่าทางการจีบกันบางอย่างเป็นเรื่องที่ผิด เช่นในนิวยอร์คผู้ชายที่จ้องมองผู้หญิงนาน ๆ โดยส่อเจตนาทางเพศจะถูกปรับ $25 (อันนี้คุ้น ๆ คล้ายกับกฏที่เพิ่งจะออกมาใช้กับข้าราชการเมื่อเร็ว ๆ นี้)
4. ไม่ต้องรอถึงวันศุกร์หรอกที่จะจีบ จากบทความเขาบอกว่าคนที่ขับรถ(ในอเมริกา) ร้อยละ 62 จะจีบกัน และร้อยละ 31 จากคนที่จีบกันนั้นจะจบลงด้วยการออกเดท (เอแล้วประเทศไทยล่ะ สงสัยตอนขับรถต้องสังเกตบางแล้วว่ามีใครกำลังจีบเราอยู่ไหม :) )
5. การจีบไม่ต้องเห็นหน้ากันก็ได้ จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 40 ของคนที่หาคู่ออนไลน์จะจีบกันผ่านทางอีเมลหรือการส่งข้อความ (ก็แหงล่ะ เรื่องอย่างนี้ต้องบอกด้วยหรือ)
6. ในยุควิคตอเรียการใช้พัดสื่อความหมายได้หลายอย่างเช่น การวางพัดไว้ที่ข้างหัวใจหมายความว่าคุณได้รักจากฉันแล้ว หรือการกางพัดออกครึ่งหนึ่งแล้วแตะที่ริมฝีปากหมายความว่าคุณจูบฉันได้ ซ่อนสายตาอยู่ข้างหลังพัดที่กางออกแล้วหมายความว่า ฉันรักคุณ การเปิดปิดพัดหลาย ๆ ครั้งหมายความว่า คุณใจร้ายมาก (ในบทความบอกยังว่าจะถือพัดไว้ทำไมนี่ไม่เห็นเอามาพัดเลย อันนี้เห็นด้วย)
7. ปัจจุบันคนใช้โทรศัพท์มือถือกว่าครึ่งส่งข้อความจีบกันกับชู้รักของตัวเองเมื่อต้องอยู่ห่างกัน (นั่นสิไทเกอร์ วู้ดส์ ถึงโดนเมียจับได้ )
8. ระวังอย่าทำมากเกินไป จากการวิจัยพบว่าหลาย ๆ ครั้งคนที่จีบกันนั้นทำผิดพลาดด้วยการสบตากันมากเกินไป (เอ แล้วมันเป็นยังไงหว่า หรือกลัวจับได้ว่ากำลังโกหกอยู่ว่ายังไม่มีแฟน)
9. บางครั้งเราอาจตีความหมายผิด ๆ เกี่ยวกับการจีบ จากการวิจัยพบว่าผู้ชายมักจะตีความหมายที่แสดงออกถึงมิตรภาพว่าเป็นการจีบ (เอ้าผู้ชายทั้งหลายเข้าข้างตัวเองให้น้อย ๆ หน่อย)
10. การจีบกันนั้นเป็นสากล ผู้คนที่มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ เวลาจะแสดงท่าทางจีบกันก็จะมีลักษณะเหมือน ๆ กัน เช่นยิ้ม หัวเราะคิกคัก แม้แต่สัตว์ก็มีการจีบกันเช่นกัน (ในบทความบอกว่าถ้าแม้แต่สัตว์ก็ยังจีบกัน ถ้างั้นจะรออะไรอยู่ จีบกันเลย เห็นด้วย แต่จีบแฟนตัวเองนะ ไม่งั้นอาจไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ไปจีบใครอีกเลย)

ที่มา Math.com on Yahoo!

จะต้องมีคนตายอีกกี่รายจึงจะแก้ปัญหานักเรียนนักเลงได้

สวัสดีครับ วันนี้วันศุกร์จริง ๆ ควรจะเขียนเรื่องเบา ๆ นะครับ แต่จากข่าวที่เด็กอายุ 9 ขวบ ถูกยิงตายจากการไล่ล่ากันทะเลาะกันของพวกนักเรียนนักเลงนี่ทำให้ผมรุ้สึกหดหู่ใจและเศร้าใจมากจนอยากจะมาระบายความรู้สึก และเสนอความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เสียหน่อย ต้องบอกเลยว่าเด็กที่โดนยิงอายุเท่าลูกชายคนเล็กของผมเลยครับ และพี่ชายของเขาที่รอดมาได้ก็อายุเท่ากับเจ้าคนโตของผม มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่ามันมีความรู้สึกร่วมกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ตอนนี้ผมกับภรรยายังขับรถไปส่งและไปรับทั้งสองคนอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็คงต้องให้เขาเดินทางกันเองโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ แต่มาเห็นเหตุการณ์แบบนี้เข้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่อยากจะปล่อยให้เขาเดินทางกันเองเลยครับ ระบบขนส่งสาธารณะบ้านเราลำพังตัวรถเมล์เองก็ไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว เช่นออกรถจนเด็กตกลงมาบ้าง แข่งกันเข้าป้่ายจนไปชนคนรอรถตายบ้าง แล้วก็ยังเรื่องนักเรียนนักเลงพวกนี้อีก

สำหรับเรื่องนักเรียนนักเลงนี้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะครับมันอยู่คู่กับสังคมเรามานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็กคนพวกนี้ก็ยกพวกตีกันก่อความเดือดร้อนกับคนอื่นอยู่แล้ว แต่คำถามคือทำไมเราจึงยังแก้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้ ปล่อยจนมีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องตายไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ พอตายกันขึ้นมาทีก็มานั่งประชุมแก้ปัญหากันที ก็ไอ้เรื่องเดิม ๆ แหละครับ ประเภทจะต้องจับตาดูกลุ่มพวกหัวโจก ต้องดูแลไม่ให้มีการซ่องสุมอาวุธ เสร็จแล้วมันก็เงียบหายไป จนมีคนตายขึ้นมาใหม่ก็มาพูดกันเรื่องเดิมอีก ผมว่าเราต้องทำอะไรให้เด็ดขาดกว่านี้แล้วนะครับ เช่นถ้าจะต้องปิดโรงเรียนในฐานะควบคุมดูแลไม่ได้ก็ต้องทำ คนผิดเมื่อจับได้แล้วก็ต้องลงโทษตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด หมดเวลาที่จะมาบอกว่าเป็นเยาวชนแล้วทำผิดต้องให้อภัย เพราะจากตัวอย่างที่ผ่านมาจะเห็นว่าแทนที่จะทำให้เด็กกลุ่มนี้ได้สำนึก กลับเป็นว่าเด็กกลุ่มนี้กลายเป็นรู้ว่าเดี๋ยวก็ได้รับการอภัย

ในความเห็นของผมผมว่าปัญหาหลักมันอยู่ที่รุ่นพี่บางกลุ่มครับ ซึ่งอาจารย์ในโรงเรียนน่าจะรู้ดีว่าเป็นกลุ่มไหน ทำไมผมจึ่งบอกว่าเป็นที่รุ่นพี่ เพราะลองคิดดูนะครับว่าเด็กนักเรียนอาชีวะนั้นก่อนจะมาเรียนอาชีวะเขาก็เรียนโรงเรียนธรรมดาใช่ไหมครับ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ยกพวกไปตีกับใครหรือไปยิงใครที่ไหน แต่ทำไมพอก้าวเข้าอาชีวะไปได้ไม่ถึงปีก็ไปมีเรื่องมีราวถึุงกับกล้าไปไล่ยิงคนอื่นได้ แสดงว่าต้องถูกล้างสมองจากรุ่นพี่ชั่ว ๆ นี่แหละ ดังนั้นทางโรงเรียนน่าจะต้องมีมาตรการกีดกันไม่ให้รุ่นพี่เลว ๆ เหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับน้องใหม่ที่เข้ามา และถ้ามีหลักฐานอะไรก็ไล่ออกไปหรือแจ้งตำรวจจับเข้าคุกไปเลย แน่นอนครับคงจะไปโทษไอ้พวกรุ่นพี่ชั่ว ๆ ฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ ทางครอบครัวเองและโรงเรียนประถม-มัธยมจะต้องเสริมสร้างทุนชีวิตให้กับเด็กโดยสอนให้เขารู้จักเลือกที่จะคบคน กล้าที่จะปฏิเสธที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดี คือต้องให้เขามีสิ่งที่เรียกว่าหิริโอตัปปะ ซึ่งก็คือการละอายต่อการทำบาป และเกรงกลัวผลที่เกิดจากการทำบาป ผมคิดว่าคุณธรรมข้อนี้มันเริ่มจะเลือนหายไปจากสังคมของเรานะครับต้องนำมันกลับมา อีกจุดหนึ่งก็คือทางบ้านและโรงเรียนจะต้องสร้างความไว้ใจให้เขากล้่าที่จะไปปรึกษาเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เขาจะได้ไม่ไปคบกับคนชั่วคนเลวที่ทำเป็นเข้าใจเขาแต่มีจุดประสงค์เลวร้ายที่จะเปลี่ยนเขาให้เป็นคนชั่วเหมือนตัวเอง

สุดท้ายนี้ผมก็อยากภาวนาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ขอให้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายอย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย ขอขอบคุณตำรวจที่จับคนยิงได้แล้ว และขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครับของผู้สูญเสียด้วยครับ