แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กีฬา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กีฬา แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คุยกันเรื่องพรพรรณและลีกวอลเลย์บอลสหรัฐ

สวัสดีครับ #ศรัณย์วันศุกร์ สัปดาห์นี้มาคุยกันเรื่องสบายใจกันดีกว่านะครับ หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วค่อนข้างเครียด อย่างที่หลาย ๆ คนทราบไปแล้วนะครับว่า พรพรรณ (ชมพู่) เกิดปราชญ์ ไปได้แชมป์ลีกวอลเลย์บอลสหรัฐ และได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ในรอบชิงแชมป์อีกด้วย โดยลีกที่พรพรรณไปเล่นด้วยมีขื่อว่า PVF (Pro Volleyball Federation)  และต้นสังกัดของเธอก็คือทีม Orlando Valkyries

การแข่งขันจบลงตั้งแต่เช้าวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2568 ตามเวลาในประเทศไทยนะครับ และก็มีช่อง Youtube มามาย ตามติดนักกีฬาไทยที่ไปเล่นในลีกต่างประเทศ หรือตามกระแสก็มี ได้เล่นข่าวนี้ ชนิดว่าไล่ดูกันจนถึงวันนี้ก็ยังไม่จบเลยนะครับ เป็นความปลื้มใจและภูมิใจของคนไทยจริง ๆ ผมในฐานะแฟนคนหนึ่งของทีมนักวอลเลย์บอลสาวไทย ก็ดีใจและภูมิใจไปกับชมพู่ด้วย เรียกว่าตามดูหลาย ๆ ช่องเลย และช่องทีวีหลัก พอชมพู่ได้แชมป์แล้ว ได้ MVP แล้ว ถึงค่อยนำเสนอข่าว แล้วบางสื่อก็เอาข้อมูลจากช่อง Youtube นี่แหละไปนำเสนอ ซึ่งบางทีมันมีข้อมูลที่ผิดนะครับ ซึ่งอาจเกิดจากเจ้าของช่องไม่คุ้นกับอเมริกันเกมส์อย่าง NFL หรือ NBA และช่องหลักก็เอาตามนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองควรจะรู้ 

เอาจริง ๆ นักกีฬาเราแทบทุกคนที่ไปเล่นลีกต่างประเทศถือว่าประสบความสำเร็จนะครับ อย่างพิมพิชญา (บีม) ก็ได้แชมป์ลีกเยอรมันกับทีม Schwerin อาจไม่ได้เป็นตัวหลักในรอบชิง แต่ในฤดูกาลปกติเธอก็ได้ MVP ประจำสัปดาห์อยู่หลายครั้ง ปิยนุช (ปลาวาฬ) ก็เล่นอยู่ในอีกลีกหนึ่งของอเมริกาคือ LOVB (League One Volley Ball) กับทีม LOVB Atlanta เป็นลิเบอร์โรที่อยู่ในท้อปเทนของลีก ทีมผ่านเข้ารอบชิงแชมป์เหมือนกัน เป็นทีมอันดับหนึ่งในรอบปกติด้วย แต่ไปพลาดในรอบชิงแชมป์นี่แหละครับ เลยไม่ได้แชมป์ งั้นเราอาจมีแชมป์ลีกอเมริกาสองคน ยังมีผู้เล่นที่่ไปเล่นที่เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่ก็โชว์ฟอร์มกันได้ดี ได้รับคำชิ่นชม ชัชชุอร (บุ๋มบิ๋ม) ถึงแม้ไม่ได้แชมป์ลีก ก็ได้แชมป์ถ้วยจักพรรดิ์ 

ยังไม่เข้าเรื่องลีกอเมริกันเลยนะครับ แต่ขออีกนิดแล้วกัน คือเรื่องที่บอกว่ามีข้อมูลบางอย่างผิด คือตอนวันแรก ๆ ผิดจริง ๆ ครับ แต่ตอนนี้หลายช่องก็รู้แล้ว และแก้ไขกันแล้ว แต่ทีผิดมีอะไรบ้าง อันแรกก็คือ MVP ที่ชมพู่ได้ หลายช่องตอนแรกนำเสนอว่าเป็น MVP of the year และยังมีคอมเมนต์ประมาณว่าได้ยินกับหู MVP of the year งั้นมาลองฟังกันดูครับว่าชมพู่เป็น MVP อะไร 



นาทีที่ 12.40 นะครับ แต่ถ้าไม่อยากฟังผมจะสรุปให้ 

"and MVP of this year championship weekend, Chompoo"

มันมีคำว่า championship weekend ตามหลัง this year ด้วย ไม่ได้จบแค่ this year 

ถ้าแปลเป็นไทยก็จะได้ความประมาณว่า "และผู้เล่นทรงคุณค่าประจำสุดสัปดาห์ชิงแชมป์ของปีนี้ ชมพู่" 

บอกตามตรงนะครับ ผมดูซีนนี้หลายรอบมาก คือมันภูมิใจและดีใจไปกับเธอ คือเท่าที่ตามข่าวเธอเล่นได้โดดเด่นมาทั้งฤดูกาล มีแต่เสียงชื่นชมจากผู้บรรยายเกม และเพื่อน ๆ แต่เธอยังไม่ได้รางวัลส่วนตัวเลย ผู้เล่นประจำสัปดาห์ก็ไม่ได้ แต่เวลาโปรโมทแมทช์การแข่งขันก็เอารูปพรพรรณขึ้นปก แสดงว่าต้องเด่นนะ  แต่ทำไมไม่เลือกให้เป็นผู้เล่นประจำสัปดาห์บ้าง best setter ก็ไม่ได้ เพราะมีเซ็ตเตอร์จากทีมคู่ชิงทำสถิติต่อเซ็ตได้ดีกว่าในรอบการแข่งขันปกติ (ทั้งสองคนส่งลูกให้เพื่อนทำคะแนน เกิน 1000 ลูก) แต่สถิติพรพรรณเป็นอันดับสอง 

ผมเฝ้าถามตัวเองว่า เฮ้ยเล่นได้แบบนี้จะไม่ได้รางวัลส่วนตัวอะไรบ้างเลยหรือ จนมาได้รางวัล MVP นี่แหละครับ  และยิ่งฟินหนักขึ้นเวลาเพื่อนร่วมทีมร่วมกันตะโกน MVP MVP MVP... และตำแหน่ง MVP นี้ต้องบอกว่าตำแหน่งเซ็ตเตอร์นี่นาน ๆ จะได้สักทีนะครับ เพราะส่วนใหญ่ไม่ว่ากีฬาอะไรมักจะมุ่งไปที่คนทำแต้ม ดังนั้นเซ็ตเตอร์ที่ได้นี่คือต้องผลงานเด่นจริง ๆ ซึ่งพรพรรณก็เล่นได้ดีจริง ๆ 

ถ้าใครงงว่าแล้วทำไมมันสรุปไม่ได้หรือว่าเป็น MVP ของปีนี้ คือต้องบอกอย่างนี้ครับ ถ้าใครคุ้นกับอเมริกันเกมส์อย่างอเมริกันฟุตบอล NFL หรือบาสเก็ตบอล NBA นี่ เขาจะมีตำแหน่ง MVP อยู่สองตำแหน่งคือ MVP ในรอบการแข่งขันปกติ คือหลาย ๆ ทีมมาเจอกันเพื่อจัดอันดับ แล้วเอาทีมที่ได้อันดับตามกำหนดเข้าสู่รอบชิงแชมป์ ซึ่งในรอบนี้ก็จะมี MVP อีกหนึ่งตำแหน่ง 

สำหรับ MVP ในรอบการแข่งขันปกติปีนี้คนที่ได้คือ อเบอร์ครอมบี้เพื่อนซี้ของพรพรรณ ส่วน MVP ในรอบชิงแชมป์คือพรพรรณ ทั้งสองตำแหน่งเป็น MVP ประจำปี 2025 นี้ ดังนั้นถ้าเรียกว่า MVP ประจำปี 2025 มันจะเกิดความสับสนว่ามันเป็น MVP อะไรกันแน่ ซึ่งผมว่า Youtuber หลายคนที่ทำข่าวพรพรรณ อาจไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนี้ (ในช่วงแรกนะ ตอนนี้ทุกคนคงรู้หมดแล้ว) 

คราวนี้มาคุยกันเรื่องลีกวอลเลย์บอลในอเมริกากันครับ หลายคนคงทราบว่าทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติสหรัฐ เป็นทีมชั้นนำของโลก แต่ไม่น่าเชื่อนะครับว่าลีกอาชีพที่มีการแข่งขันใช้กติกาวอลเลย์บอลปกตินี่จะเพิ่งก่อตั้งขึ้น และมีสองลีกโดยลีกแรกคือ LOVB ซึ่งเพิ่งก่อตั้งในปี 2020 และลีกที่สองคือ PVF ซึ่งเพิ่งก่อตั้งได้เป็นปีที่สอง ซึ่ง LOVB ปีนี้มีปิยนุช แป้นน้อยได้เข้าไปเล่น อย่างที่บอกไปแล้ว ส่วน PVF ปีแรกมีนุศรา ต้อมคำ เซ็ตเตอร์ระดับตำนานของไทย เธอได้ best setter ในปีที่แล้วนะครับ และปีที่สองก็มีพรพรรณ และนุศรากลับมาเล่นในครึ่งหลังของฤดูกาลปกติ 

ส่วนอีกลีกหนึ่งซึ่งเป็นลีกที่มีกติกาการแข่งขันไม่เหมือนลีกทั่ว ๆ ไป คือ AU (Athelete Unlimited) Pro ลีกนี้ไม่ได้หาทีมที่เป็นแชมป์ แต่จะหาผู้เล่นที่เป็นแชมป์ หลัก ๆ คือจะเชิญนักกีฬาที่มีผลงานโดดเด่น 44 คน ให้เข้ามาร่วมลีก แล้วเข้ามาแข่งขันกันเก็บคะแนนสะสมส่วนตัว คะแนนก็จะได้มาจากทักษะส่วนตัวของนักกีฬา ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจวิธีคิดคะแนนเท่าไรนะครับ ถ้าใครสนใจกดูได้จากที่นี่เลยครับ โดยลีกนี้นุศราได้รับเชิญให้เข้าไปเล่นสองปีติดเลยนะครับคือ 2023 และ 2024 ส่วนปี 2025 นี้ ปิยนุช กับพรพรรณ ได้รับเชิญให้เข้าเล่นครับ   

ในปีหน้าตามข่าวจะมีลีกวอลเลย์บอลหญิงเกิดใหม่อีกหนึ่งลีกครับ คือ MLVB (Major League Volleyball) ซึ่งผู้ที่ก่อตั้งคือเจ้าของทีม Omaha Supernovas ทีมใน PVF ที่ได้อันดับหนึ่งในฤดูกาลปกติปีนี้ และเป็นแชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถ้าตามการสรุปของ Youtue ช่องนี้ Sport Thailand (ซึ่งเป็นช่องที่ผมชอบฟังมากในการแปลคำบรรยายของผู้บรรบายเกม) ในคลิปนี้ 




บอกว่าที่แยกไปตั้งลีกใหม่เพราะทะเลาะกับผู้บริหาร PVF (นาทีที่ 14.09) และในลีกนี้จะมีทีมถึง 10 ทีมเลยนะครับ ส่วน PVF จะมีทีมใหม่เข้ามาร่วมสองทีม 

จากที่เล่าให้ฟังลีกอาชีพที่มีการแข่งขันตามกฏิกาวอลเลย์บอลปกติในสหรัฐอเมริกา เพิ่งมีมาได้ 4 ปี ก็คือ LOVB ซึ่งทีมชาติสหรัฐส่วนใหญ่จะเล่นในลีกนี้ แล้วนักวอลเลย์บอลหญิงของสหรัฐก่อนหน้านี้ถ้าจะเล่นเป็นอาชีพไปเล่นกันที่ไหน จากคลิปด้านบน อเบอร์ครอมบีบอกว่า การมีลีกในประเทศมีข้อดีคือ นักกีฬาไม่ต้องไปเล่นต่างประเทศ (นาทีที่ 6.24 จากคลิป) นั่นแสดงว่าก่อนหน้านี้นักกีฬาหลายคนของอเมริกาเล่นอยู่ในลีกต่างประเทศนั่นเอง คิดดูนะครับว่าประเทศที่เพิ่งมีลีกอาชีพเป็นของตัวเองแต่กลับมีทีมชาติที่อยู่ในระดับโลกได้นี่ต้องขนาดไหน 

อีกคำสัมภาษณ์หนึ่งจากคลิปก็คือพิธีกรถามว่าพวกคุณเล่นวอลเลย์กันอย่างเดียว ไม่ต้องทำอาชีพอื่นก็อยู่กันได้เหรอ (สรุปความประมาณนี้นะครับ ไม่ได้เป๊ะ ๆ นาที่ที่ 9.30) ผมว่าคำถามนี้ตอนแรกก็ดูประหลาดดีกับประเทศที่มีกีฬาเป็นอาชีพอย่างอเมริกันฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือเบสบอล แต่มาคิดอีกทีมันแสดงว่าวอลเลย์บอลไม่ใช่กีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นหลักในอเมริกา คนสัมภาษณ์อาจไม่คิดว่านักกีฬาจะได้เงินเยอะเหมือนกีฬาประเภทอื่น หรืออาจเป็นเพราะกว่าฤดูกาลหน้าของลีกจะเริ่มก็คือมกรา 2026 พิธีกรอาจคิดว่าแล้วเธอจะไม่ทำอะไรกันเลยหรือช่วงที่เหลือของปี พิธีกรอาจไม่รู้ว่าสำหรับวอลเลย์บอลช่วงนี้คือช่วงเวลาของทีมชาติ แต่ก็อีกนั่นแหละนะขนาดกีฬาไม่ได้เป็นที่นิยมในประเทศ ก็ยังมีทีมชาติที่อยู่ในระดับโลก

สรปก็คือปีหน้าวอลเลย์บอลหญิงอเมริกันจะมีลีกที่แข่งขันตามกติกาสากลอยู่สามลีกนะครับ LOVB, PVF. และ MLVB ดังนั้นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยคนอื่น ๆ ที่โชว์ฟอร์มได้ดีในระดับนานาชาติปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น VNL หรือชิงแชมป์โลก อาจมีโอกาสที่จะได้เข้าไปร่วมเล่นในลีกเหล่านี้

ตื่นเต้นนะครับ VNL ใกล้เริ่มแล้ว เตรียมตัวเชียร์สาวไทยกันครับ แต่ข่าวร้ายคือปีนี้เราอาจไม่ได้ดูผ่านฟรีทีวีครับ :(







วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

มุมมองเกี่ยวกับ TAA อาร์เตต้า แชมป์เปี้ยนลีกและยูโรป้าคัพนัดชิง

Anfield-Stadium
ภาพจาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Anfield_Stadium,_Liverpool_-_geograph.org.uk_-_5885062.jpg

บล็อกนี้เป็นบล็อกแรกที่ผมจะเขียนถึงลิเวอร์พูลในคอลัมน์ #อาทิตย์ติดแอนฟิลด์ ซึ่งจริง ๆ ผมตั้งใจจะเขียนคอลัมน์นี้มาตั้งแต่ต้นปีแล้วนะครับ แต่บังเอิญมาป่วยมาก ๆ ซะก่อน เลยไม่ได้เขียน  สำหรับคอลัมน์ #อาทิตย์ติดแอนฟิลด์นี้ ตามชื่อก็คือจะเป็นคอลัมน์เกี่ยวกับทีมที่ผมเชียร์มาสี่สิบกว่าเกือบจะห้าสิบปีก็คือลิเวอร์พูล และก็อาจจะมีกีฬาอื่น ๆ บ้าง เป็นการคุยกันวันอาทิตย์แบบสบาย ๆ ถ้าลิเวอร์พูลแข่งวันเสาร์ ก็จะเอาผลลัพธ์ เอารูปเกมมาพูดคุยกัน ถ้าลิเวอร์พูลแข่งวันอาทิตย์ ก็จะมาคาดการณ์ถึงผลการแข่งขันที่อาจจะเกิดขึ้น หรือบางสัปดาห์ก็อาจจะเอาข่าวที่น่าสนใจมาพูดคุยกัน

ก็ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่นักข่าวกีฬา ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านแท็กติกฟุตบอลอะไร ดังนั้นก็จะเขียนในมุมมมองของแฟนบอลธรรมดาคนหนึ่ง และถ้ามีข่าวอะไรก็คงไม่ได้อัพเดตเท่ากับอินฟลูเอนเซอร์ด้านฟุตบอลที่มีอยู่มากมายนะครับ 

บล็อกแรกนี้ผมเขียนขึ้นหลังจากที่พวกเราก็รู้กันอยู่แล้วนะครับว่าลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษประจำฤดูกาล 2024-2025 ไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนการจบฤดูกาลสี่นัด ก็แน่นอนครับว่าสร้างความยินดีให้กับเดอะคอปทั่วโลก และจะเป็นปีที่ได้ฉลองแชมป์แบบจริง ๆ จัง ๆ หลังจากที่การคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 30 ปีเมื่อฤดูกาล 2019-2020 มันเป็นช่วงโควิด ตอนนี้คนรู้จักของผมหลายคนก็ได้ออกเดินทางไปแอนฟิลด์กันแล้วครับ 

Trent-Alexander_Arnold
ภาพจาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Trent_Alexander_Arnold_2022_(2).jpg

กลับมาถึงหัวข้อหลักของเราในวันนี้นะครับ อย่างที่พวกเราคงทราบกันแล้วนะครับว่านักเตะที่เป็นกำลังหลัก เป็นนักเตะที่เป็น scouser นักเตะที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นยอดตำนานของสโมสรต่อไปต่อจากสตีเวน เจอร์ราด ก็คือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ หรือ TAA ตัดสินใจที่จะไม่อยู่ต่อกับทีม โดยคาดว่าจะไปเป็นนักเตะของทีมราชันชุดขาว เรอัล มาดริด 

ซึ่งการตัดสินใจนี้ ก็คงต้องบอกว่าทำความเสียใจให้กับเดอะคอปส่วนใหญ่ และจากความเสียใจก็แตกออกเป็นหลากหลาย บางกลุ่มก็กลายเป็นความโกรธ สาปแช่ง เกลียดไปเลย บางกลุ่มก็เข้าใจ และเห็นว่า TAA เต็มที่กับเรามาแล้ว ถ้าจะไปหาความท้าทายใหม่ ก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จ บางกลุ่มก็อยู่กลาง ๆ ไม่เกลียดแต่ก็ไม่เชียร์ 

สำหรับผมน่าจะอยู่ในกลุ่มกลาง ๆ นะครับ คือเราเชียร์ทีมมานาน ก็เห็นนักเตะเข้ามาแล้วย้ายออกไป เป็นเรื่องปกติ แต่สโมสรก็ยังคงอยู่ และเราก็เชียร์กันต่อไป แน่นอนนักเตะที่เป็นระดับไอคอน เป็นตำนาน เมื่อย้ายออกหรือเลิกเล่น มันก็มีผลกระทบทางจิตใจมากกว่า ยิ่งเป็นการย้ายของนักเตะที่จริง ๆ ควรเล่นอยู่กับเราจนเป็นตำนาน สร้างความสำเร็จไปด้วยกันย้ายออกไปก็มีความรู้สึกมากกว่าปกติ 

ถามว่าผมเข้าใจ TAA ไหม ก็ต้องบอกว่าทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจครับ ที่ว่าเข้าใจก็คือ คนเราเมื่ออยู่ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ ก็อาจเป็นไปได้ว่าถึงจุดอิ่มตัว และต้องการย้ายไปหาความท้าทายใหม่ ๆ ออกจากเซฟโซนของตัวเอง แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ถ้าคิดว่าจะย้ายออกไปเพื่อไปอยู่สโมสรที่ดีกว่า มีโอกาสคว้ารางวัลส่วนตัวอย่างบัลลงดอร์มากกว่า อันนี้ผมไม่เข้าใจครับ 

ในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูล ผมไม่เคยคิดว่าจะมีสโมสรไหนดีกว่าลิเวอร์พูล ดังนั้น TAA ซึ่งเป็นคนที่เป็นทั้งแฟนบอลและเติบโตมากับสโมสร ถ้า TAA จะไปคิดว่ามีสโมสรไหนดีกว่าลิเวอร์พูลผมก็ไม่เข้าใจครับ 

ถ้าจะมองในแง่ความสำเร็จส่วนตัว ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อนผมเข้าใจได้ครับ เพราะลิเวอร์พูลมีปัญหามาก ดังนั้นนักเตะเก่ง ๆ ที่ต้องการความสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัล ก็เลือกย้ายออกไปถ้ามีข้อเสนอมาจากเรอัลมาดริด หรือบาร์เซโลนา แต่ตอนนี้ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่คว้าถ้วยรางวัลได้เกือบทุกปี ดังนั้นถ้าต้องการความสำเร็จ มาอยู่คว้าความสำเร็จกับทีมที่รักไม่ดีกว่าหรือ

ในแง่รางวัลส่วนตัวอย่างบัลลงดอร์ ก็ไม่เห็นว่าถ้าอยู่กับลิเวอร์พูลแล้วจะคว้าไม่ได้ ที่ผ่านมาก็มีโอเว่น (ซึ่งบางคนอาจไม่อยากนับ) ที่ได้มาแล้ว และปีนี้ซาลาห์ก็มีโอกาสจะได้  และก็เหมือนเดิมการคว้ารางวัลกับทีมที่ตัวเองรักมันน่าจะฟินกว่า 

อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องการบริหารจัดการ และองค์ประกอบเบิ้องหลังของทีม ตอนนี้ลิเวอร์พูลก็ถือว่ามีการบริหารจัดการและทีมงานเบื้องหลังที่สุดยอดมาก อาจมีเรื่องการซื้อขายที่อาจขัดใจอยู่บ้าง (คือขัดใจแฟนบอลนะครับ แต่ทีมบริหารเขาอาจคิดดีแล้วก็ได้) ส่วนตัวคิดว่าดีกว่ามาดริดนะ

เรื่องนักเตะและความสามัคคีในทีม ผมก็คิดว่าทีมลิเวอร์พูลเราก็น่าจะดีกว่า เรื่องแฟนบอลนี่ไม่ต้องพูดถึง อย่างที่เขาพูดกัน แฟนบอลมาดริด อดทนต่ำ พร้อมจะด่านักเตะตัวเองได้เสมอ ถ้าไม่พอใจ และก็ไม่ค่อยให้เวลาในการปรับตัว เขาอาจคิดว่าเมื่อคุณเข้ามามาดริดคุณคือซุปตาร์ซึ่งไม่ต้องการเวลาปรับตัวใด ๆ อีกอย่างคือเรื่องเงิน ตามข่าวคือ TAA จะได้เงินน้อยกว่าที่ลิเวอร์พูลจะให้ 

ดังนั้นจากที่กล่าวมาทั้งหมด ถ้าเป็นผมผมไม่ย้ายครับ แต่ TAA อาจคิดต่างออกไป ก็เป็นเรื่องการตัดสินใจของเขาครับ 

ดังนั้นสิ่งที่ผมจะอวยพรให้กับ TAA คือ ขอให้เขาได้ลงเป็นตัวจริงเป็นตัวหลักของทีม ไม่ถูกดอง หรือกลายเป็นแค่ตัวเสริมของทีมที่มีแต่ซุปตาร์ แต่ถามว่าจะอวยพรให้สำเร็จได้ถ้วยรางวัลอะไรไหม ก็คงไม่ครับ เหตุผลคือผมไม่ได้ชอบมาดริดครับ และมาดริดก็เป็นคู่แข่งของเราในยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ดังนั้นถ้าเชียร์ให้ TAA ประสบความสำเร็จกับทีม ก็เท่ากับเชียร์ให้มาดริดประสบความสำเร็จ เขาก็จะมีความสำเร็จเหนือเราไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมว่าแฟนลิเวอร์พูลเดนตายทั้งหลายก็คงไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น 

จบเรื่อง TAA ไปมาคุยเรื่องอาร์เตต้าหน่อย ผมขอย้ำนะครับว่าอาร์เตต้า ไม่ใช่อาร์เซนอล ถึงแม้อาร์เตต้าจะเป็นผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลก็ตาม ก่อนอื่นผมต้องบอกว่า อาร์เซนอลทำผลงานได้ดีมากในยุคอาร์เตต้านะครับ การที่ได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีกติดต่อกันสองสมัย มันแสดงถึงมาตรฐานที่ดีมากของทีม (ไม่ต่างจากที่เราขับเคี่ยวกับซิตี้มาหลาย ๆ ฤดูกาล) ยิ่งในฤดูกาลนี้ นักเตะเจ็บกันเพียบ ยังอยู่ที่สองตอนนี้ และเข้าถึงรอบรองแชมป์เปี้ยนลีก ซึ่งผลงานตรงนี้มันประจักษ์อยู่แล้ว 

Mikel-Arteta
ภาพจาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Mikel_Arteta_2021_(cropped).png

ส่วนตัวผมนับถืออาร์เซนอล และอาร์เตต้าว่าเก่งจริง ๆ คือโค้ชจะเก่งไม่เก่ง ผมว่ามันวัดกันด้วยการแก้ปัญหาแบบนี้ด้วยนะครับ แต่อาร์เตต้าไม่รู้คิดอะไร ถึงไปให้สัมภาษณ์เหมือนคนแพ้ไม่เป็น ทั้งในลีกซึ่งยังแข่งไม่จบนะ บอกว่าลิเวอร์พูลได้แชมป์โดยมีแต้มน้อยกว่าอาร์เซนอลปีที่ไม่ได้แชมป์ ขอโทษนะอาร์เตต้า คุณได้ไม่ถึง 90 นะ ลีกก็ยังแข่งไม่จบ และมันมีปีที่ลิเวอร์พูลได้ 97 แล้วก็ไม่ได้แชมป์ด้วยนะคุณรู้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากแพ้ PSG ตกรอบรองแชมป์เปียนลีกส์ ยังบอกว่าทีมตัวเองดีที่สุดในสี่ทีมอีก จนถูกตอกกลับจากหลุยส์ เอนริเก้ โค้ช PSG

วันอาทิตย์คือวันนี้เราจะเปิดบ้านรับอาร์เซนอลด้วย ผมก็อยากกระตุ้นให้ทีมเราเอาจริงหน่อยนะ จริง ๆ สามนัดที่เหลืออยากให้ชนะให้หมด ทำแต้มให้ทะลุ 90 ไปเลยจะได้จบ ๆ กันไป อีกอย่างยังมีภารกิจเหลืออีกนะคือปั้นซาลาห์ให้คว้าบัลลงดอร์ปีนี้ 

ส่วนคู่ชิงแชมป์เปียนลีก ผมเชียร์ PSG นะ เพราะจะได้พูดว่าเราตกรอบเพราะทีมแชมป์ แต่อินเตอร์มิลานนี่ก็โชว์ฟอร์มได้ดีจริง ๆ สมควรเป็นแชมป์เหมือนกัน ส่วนถ้วยอันดับสองอย่างยูโรป้าลีกได้คู่ชิงเป็นทีมจากอังกฤษชิงกันเอง แต่เป็นทีมอันดับสิบห้าและสิบหกในลีกตอนนี้ คือแมนยูและสเปอร์ ซึ่งมันอาจแสดงให้เห็นได้ในส่วนนึงนะว่า พรีเมียร์ลีกอังกฤษแข็งแค่ไหน รอบรองนี่ทั้งสองทีมชนะขาดเลยนะ แต่ในอีกแง่หนึ่งทั้งสองทีมจริง ๆ เป็นทีมชั้นนำในพรีเมียร์ลีกนะ เพียงแต่ปีนี้ผลงานในลีกไม่ดี  

ส่วนคนที่ออกมาให้ความเห็นว่าแชมป์ยูโรป้าไม่ควรได้สิทธิเล่นแชมป์เปี้ยนลีก อันนี้เอาจริง ๆ ผมเห็นด้วยนะ ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากปีไหน และยูฟ่าได้วิเคราะห์ไหมว่าทีมที่ได้เข้ามาจากการเป็นแชมป์ยูโรป้าไปได้ไกลแค่ไหน เอาง่าย ๆ อย่างเซบีญาจากสเปนที่ได้สิทธิมาจากการเป็นแชมป์ยูโรป้ามาตั้งหลายครั้งไปได้ไกลแค่ไหน ซึ่งถ้าวิเคราะห์จริง ๆ ก็จะเห็นได้ว่าไปได้ไม่ไกลเท่าไร

แต่กฎมันก็ต้องเป็นกฎดังนั้นถ้าถามว่าทีมใดทีมหนึ่งในสองทีมนี้ควรได้ไปไหม ก็ต้องบอกว่าสมควรเพราะเขาตามกฎทุกอย่าง  เขาชนะผ่านมาตลอด ไม่ได้จับฉลากเข้ามา เอาจริง ๆ แมนยูยังไม่แพ้ใครในถ้วยนี้เลยด้วยซ้ำ และทั้งแมนยูและสเปอร์จริง ๆ ก็เป็นทีมที่ได้ลุ้นโควต้าแชมป์เปี้ยนลีกแทบทุกปี แต่ก็น่าเห็นใจทีมอย่างฟอเรสต์ที่โชว์ฟอร์มได้ดีเกือบทั้งฤดูกาล แต่มาหลุดช่วงท้ายอาจไม่จบหนึ่งในห้า หรือสมมติอาร์เซนอลเจอสถานการณ์เลวร้ายสุด ถูกแซงในสามนัดสุดท้ายอดไป แล้วต้องมาดูทีมอันดับ 15 หรือ 16 ได้ไปก็คงแปลก ๆ เหมือนกัน 

แต่ถ้าถามว่าผมอยากให้ใครได้แชมป์ยูโรป้าลีก ผมคงไม่บอกตรง ๆ นะครับ แต่ผมเป็นหนึ่งในคนที่เชียร์ลิเวอร์พูลแบบเข้าเส้น ผมเชื่อว่าคนที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลในระดับเดียวกับผมนี่ คงรู้ว่าผมเชียร์ใครนะครับ...

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

I Feel Fine

วันศุกร์นี้อยากมาชวนฟังเพลงกันครับ ไม่ได้ฟังกันมานานแล้ว เพลงที่จะมาชวนฟังก็เป็นเพลงของ The Beatles คือ I Feel Fine เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากครับ เพราะหนึ่งในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูลมาอย่างเหนียวแน่นมาสีสิบกว่าปีได้  ตามข่าวความสำเร็จของทีมจากหนังสือนิตยสารเป็นส่วนใหญ่ในยุค ปลาย  70 ต่อ 80 ที่ทีมครองความยิ่งใหญ่ เพราะในช่วงนั้นการสื่อสารยังไม่ดีเท่าทุกวันนี้ โอกาสจะมีบอลถ่ายทอดทีมโปรดมาให้ดูสักนัดก็ยากมาก ผ่านยุคตกต่ำที่ต้องมองความสำเร็จของแมนยูปีแล้วปีเล่าในยุค 90 ที่ได้เริ่มดูถ่ายทอดสดได้มากขึ้น แต่ก็ต้องมองทีมตัวเองมีได้แค่ลุ้นตอนต้น ๆ ของฤดูกาล แล้วก็ค่อย ๆ หายไปจนไม่มีเหลือลุ้นอะไร เหมือนที่แมนยูเป็นอยู่ตอนนี้

แต่ถึงตอนนี้คงต้องบอกว่ากองเชียร์ลิเวอร์พูลทุกคนคงจะอยู่ในสถานะ I Feel Fine เพราะผลงานของทีมที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การดูแลของชายที่ชื่อว่า เจอร์เก็น คลอปป์ ซึ่งกำลังพาลิเวอร์พูลกลับสู่ยุครุ่งเรื่องอีกครั้ง ในฤดูกาลนี้ก็ยังมีลุ้นทุกรายการที่ลงแข่ง เป็นทีมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของโลก และนอกจากนี้ยังมีข่าวดีอีกคือ คลอปป์ ยอมขยายสัญญาตัวเองออกไปจากที่จะหมดลงในปี 2024 เป็นปี 2026 ดูหมือนว่ามันจะขยายไปอีกไม่นาน แต่สำหรับแฟนลิเวอร์พูลแล้ว ผมว่าคลอปป์ยอมต่อสัญญาออกไปแม้จะเป็นแค่ปีเดียวก็ทำให้แฟน ๆ มีความสุขแล้ว เพราะมันหมายความว่าลิเวอร์พูลก็จะมีโอการประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปอีกตามจำนวนปีที่คลอปป์อยู่ต่อ

นอกจากจะรู้สึก Fine แบบชื่อเพลงแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากจะมาชวนฟังเพลงนี้ก็เพราะ กองเชียร์ลิเวอร์พูลที่อังกฤษได้แต่งเพลงสั้น ๆ ให้คลอปป์ โดยใช้ทำนองเพลง I Feel Fine นี้ครับ ไปฟังเพลงและดูเนื้อร้องของเพลงนี้กันก่อนครับ 


 Baby's good to me, you know

She's happy as can be, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine, mm

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine
She's in love with me and I feel fine

และนี่คือเพลงของคลอปป์ครับ



เนื้อเพลงก็สั้น ๆ ตามนี้ครับ

I'm so glad that Jurgen is a Red.

I'm so glad he delivered what he said.

Jurgen said to me, you know. We'll win the Premier League, you know. He said so.

I'm in love with him and I feel fine.


วันศุกร์นี้ก็ขอแสดงความ Fine ตามประสาเดอะค็อปสักวันนะครับ และก็ตามลุ้นให้ทีมทำภารกิจ 4 แชมป์ ที่แทบจะเป็น mission impossible ได้สำเร็จ 

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

โชคมักจะมากับความมุ่งมั่น

วันศุกร์นี้ขอเขียนเรื่องทีมรักอย่างลิเวอร์พูลอีกสักวันแล้วกันครับ เพราะมีประเด็นที่คิดว่าน่าสนใจที่จะเอาแบ่งปันกันได้ อย่างที่รู้กันนะครับว่าลิเวอร์พูลสามารถกลับมาคว้าแชมป์ในลีกสูงสุดของอังกฤษอีกครั้งหลังจากที่คว้าแชมป์นี้ได้ล่าสุดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว โดยก่อนหน้าที่โควิดจะระบาดลิเวอร์พูลมีแต้มนำทีมแชมป์ปีที่แล้ว และรองแชมป์ปีนี้อย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้อยู่ภึง 25 คะแนน ในณะที่เหลือการแข่งขันอยู่อีก 9 นัด และหลังจากกลับมาแข่งขันใหม่ ลิเวอร์พูลสามารถทำคะแนนทิ้งห่างจากแมนเชสเตอร์ซิตี้จนแต้มขาดไปในนัดที่ 31 และเพิ่งจะได้ชูถ้วยอย่างเป็นทางการไปในเช้าตรู่วันพฤหัสที่ 23 กรกฎาคม 2563 ตามเวลาประเทศไทย 



ในฤดูกาลนี้มีช่วงหนึ่งที่ลิเวอร์พูลชนะติดกันมาถึง 18 นัด และในหลาย ๆ นัดก็ทำท่าว่าจะเสมอ หรือบางนัดจะแพ้ด้วยซ้ำ แต่ก็กลับมาชนะได้หมด จนหลายคนโดยเฉพาะที่ไม่ใช่แฟนลิเวอร์พูล บอกว่าลิเวอร์พูลนั้นก็แค่โชคดีมากในฤดูกาลนี้ ถ้าไม่มีโชคแบบนี้ ก็คงไม่ทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ซิตี้แบบนี้ 

แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปก็คือ ในช่วงที่ผลการแข่งขันดีมาก ๆ นั้น นักฟุตบอลของลิเวอร์พูล มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเอาชนะ เพื่อที่จะพยายามทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ออกไปให้มากที่สุด เพราะยังคงเจ็บใจจากฤดูกาลที่แล้วที่แพ้ไปแค่แต้มเดียว โดยมาโดนแมนเชสเตอร์ซิตี้แซงในช่วงท้าย ดังนั้นเมื่อนกหวีดหมดเวลายังไม่ดัง ทุกคนจึงทุ่มเทอย่างไม่หยุดยั้ง และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งถ้านักเตะลิเวอร์พูลไม่ทุ่มเทแบบนั้นสิ่งที่จะเรียกว่าโชคหรืออะไรก็แล้วแต่มันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 
 


แต่หลังจากกลับมาเล่นกันใหม่จากการที่ต้องหยุดยาวจากโควิด โดยเฉพาะหลังจากคว้าแชมป์แน่นอนแล้ว จะเห็นว่าลิเวอร์พูลมีผลการแข่งขันที่ไม่ดีเหมือนเดิม เสียแต้มไปเยอะมาก สองนัดก่อนหน้านัดล่าสุดก็เสมอและแพ้ ทั้งที่ออกนำไปก่อนด้วยรูปเกมที่ในช่วง 20 นาทีแรกเหนือกว่าคู่แข่งอย่างมาก ประเด็นที่เห็นได้ชัดคือนักฟุตบอลหลายคนไม่ได้มุ่งมั่นเหมือนเดิม คือยังคงเล่นเต็มที่ แต่ถ้าพลาดไปแล้วมักจะกลับมาไม่ได้ ลูกยิงที่น่าจะเข้า หรือเคยเข้าในช่วงที่ชนะติดกันยาว ๆ ก็ไม่เข้า ชนเสาบ้าง ถูกเซฟบ้าง ยิงไม่ดีเองบ้าง ซึ่งถ้าจะพูดในเรื่องโชค ก็อาจพูดได้ว่าโชคหายไปแล้ว แต่ถ้าดูดี ๆ ก็คือมันหายไปพร้อมกับความมุ่งมั่นที่ลดลงนั่นเอง แต่ในนัดล่าสุดถึงแม้จะยังมีฟอร์มที่ไม่ดีเหมือนเดิม แต่เท่าที่เห็นคือมีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม เพราะเป็นนัดสุดท้ายในบ้านในฤดูกาลนี้ และเป็นนัดที่จะได้รับถ้วยด้วย จึงเอาชนะไปได้ 

ซึ่งผมว่าตรงนี้มันน่าจะให้ข้อคิดกับพวกเราหลาย ๆ คนนะครับว่า การที่เราคิดว่าหลาย ๆ คนนั้นโชคดี แต่เบื่้องหลังของความโชคดีส่วนใหญ่ มักจะเกิดจากความพยายามมุ่งมั่นทำอะไรบางอย่างมาก่อน จนเมื่อโชคหรือโอกาสหรืออะไรก็ตามมาถึง เขาก็สามารถคว้ามันไว้ได้ น้อยมากที่นอน ๆ อยู่แล้วก็จะได้โชค ต่อให้ถูกล็อตเตอรีรางวัลที่หนึ่ง หลายคนอย่างน้อยสุดก็ต้องออกไปซื้อใช่ไหมครับ และหลายคนก็อาจมุ่งมั่นซื้อมาเรื่อย ๆ ด้วย :)



ดังนั้นใครที่มีความฝันอะไร ก็มุ่งมั่นทำต่อไปนะครับ เมื่อโอกาสมาถึง หรือจะเรียกว่าโชคมาถึงก็ได้ เราจะได้คว้ามันเอาไว้ได้ และอีกจุดหนึ่งที่ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นในฤดูกาลนี้ก็คือ ถ้าเร่งเดินหน้าทำเต็มที่ตั้งแต่ต้น เราก็สามารถสบายได้ในตอนท้าย ขณะที่หลาย ๆ ทีมยังคงต้องเครียดเพื่อที่ 3  ที่ 4 หรือที่ 5 บางทีมก็หนีการตกขั้น แต่ลิเวอร์พูลนั้นไม่ต้องมาเครียดอะไรอีกแล้ว 

เขียนไปเขียนมาชักจะกลายเป็นไลฟ์โค้ชแล้ว แค่แสดงความเห็นส่วนตัวนะครับ จบดีกว่า...    ก่อนจบก็ขอแชร์บรรยากาศชูถ้วยของลิเวอร์พูลซะหน่อยแล้วกันนะครับ 


วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

แชมป์ลีกในรอบสามสิบปีของลิเวอร์พูล

วันนี้ขอเขียนบล็อกยินดีกับความสำเร็จของทีมที่ตัวเองเชียร์มาตั้งแต่เด็ก ถ้านับตั้งแต่เชียร์มาจนถึงตอนนี้ก็น่าจะร่วม 40 กว่าปีได้แล้วนะครับ ทีมที่ผมเชียร์ก็คือทีมที่เพิ่งคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษประจำฤดูกาล 2019-2020 ได้แล้ว ถึงแม้จะเหลือการแข่งขันอยู่อีก 7 นัด ลิเวอร์พูลนั่นเอง ถ้านับจากเริ่มเปลี่ยนชี่อมาเป็นพรีเมียร์ลีกก็นับว่าเป็นสมัยแรก แต่ถ้านับรวมทั้งหมดทั้งในชื่อเดิมด้วยก็คือ 19 ครั้ง อยากนับแบบไหนก็เชิญเถอะครับ อดีตที่มันเกิดขึ้นแล้วจะพยายามฝัง พยายามกลบ ขโมยหมุด ทำลายอนุเสาวรีย์ยังไง มันก็เปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่ได้หรอก อ้าวนอกเรื่องแล้ว กลับมาดีกว่า

ผมเริ่มเชียร์ลิเวอร์พูลจากความชื่นชอบผู้รักษาประตูในขณะนั้นของลิเวอร์พูลคือ เรย์ คลีเมนซ์ จำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่ต้องไปอยู่บ้านย่าที่เชียงใหม่ แล้วก็ได้ไปอ่านนิตยสารสตาร์ซอคเกอร์ของอา แล้วก็ไปอ่านเรื่องของเรย์ คลีเมนซ์เข้า แล้วก็ชื่นชอบ เพราะตอนเด็ก ๆ ชอบเล่นเป็นผู้รักษาประตู เพราะดูชุดมันสวยดี ได้ใส่กางเกงวอร์ม มีถุงมือโกล์ด้วย พอรู้ว่าอยู่ลิเวอร์พูล ก็เชียร์ลิเวอร์พูลด้วยเลย ไม่ได้รู้จักหรอกว่าเป็นทีมที่กำลังครองความยิ่งใหญ่อยู่ในยุคนั้น 

ในยุคเมื่อ 40 ปีมาแล้ว เราไม่ได้มีบอลถ่ายทอดสดให้ดูกันครบทุกคู่อย่างทุกวันนี้นะครับ ดังนั้นข่าวสารส่วนใหญ่ก็จะได้จากการอ่านนิตยสารอย่างสตาร์ซอคเกอร์ นานนานที่จะมีบอลอังกฤษถ่ายทอดให้ดูสักครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เขาก็จะเลือกลิเวอร์พูลกับแมนยูมาให้ดูกัน ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจนะครับที่คนไทยส่วนใหญ่จึงรู้จักและเชียร์สองทีมนี้  

ซึ่งต้องบอกนะครับว่าในยุคที่ผมเริ่มเชียร์ลิเวอร์พูลคือปลาย ๆ 1970 มาเรื่อย ๆ นี่ไม่ใช่ยุคยิ่งใหญ่ของแมนยูในลีกนะครับ คู่แข่งของลิเวอร์พูลจะเป็นพวก น็อตติงแฮมฟอเรสต์  อิปสวิช วิลล่า แม้แต่คู่อริร่วมเมืองอย่างเอฟเวอร์ตัน ผลงานของแมนยูนั้นลุ่ม ๆ ดอน ๆ อยู่ในลีก แต่แมนยูมักจะทำแสบให้กับลิเวอร์พูลบ่อย ๆ ในบอลถ้วย ถ้าไปอ่านประวัติแมนยู จะเห็นว่าเขาต้องรอแชมป์ลีกสูงสุดหลังจากคว้ามาครั้งสุดท้ายถึง 26 ปี จากนั้นจึงเริ่มเป็นยุคทองของแมนยู และยาวนานมาจนเกือบสองทศวรรษ 

และผมก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องแบบเดียวกันจะมาเกิดกับลิเวอร์พูล และใช้เวลารอมากกว่าแมนยูด้วยคือ 30 ปี ซึ่งในช่วง 30 ปีนี้ ผลงานของลิเวอร์พูลในลีกก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่ต่างกับแมนยูในช่วงนั้น  แต่ถ้าจะถามว่าเราล้มเหลวไหม ผมว่าก็ไม่นะ ในช่วง 30 ปีนี้ เราคว้าแชมป์มาได้ทุกรายการ รวมถึงถ้วยยุโรปทั้งใบใหญ่ใบเล็ก ได้เข้ารอบชิงถ้วยยุโรปสี่ห้าครั้ง (บางทีมที่ว่าแน่ ๆ ในลีกในประเทศยังทำไม่ได้)  ขาดแค่แชมป์ลีกเท่านั้น และก็เป็นจุดด่างพร้อย ทำให้คนหลายคนมองข้ามว่าทีมไม่ประสบความสำเร็จ และกลายมาเป็นที่ล้อเลียนของแฟนบอลทีมอื่น โดยเฉพาะแฟนบอลทีมแมนยู แต่ถึงตอนนี้ผมว่าแฟนแมนยูน่าจะเข้าใจความรู้สึกของแฟนลิเวอร์พูลได้แล้วนะครับ เพราะตอนนี้ก็น่าจะ 7 หรือ 8 ปีแล้ว ที่ไม่ได้แชมป์ลีกเลย และก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปอีกหลายปีไหม ดังนั้นก็เลิกล้อเลียนกันซักทีนะครับ 

พูดถึงเรื่องแฟนบอล ก็ย้อนคิดไปถึงสมัยที่อ่านจากสตาร์ซอคเกอร์ ยุคนั้นเราไม่มี Social Media แบบนี้ แฟนบอลก็จะเขียนจดหมายไปคุยกับ ย.โย่ง ซึ่งก็เป็นคอลัมน์ที่ผมชอบอ่าน ส่วนใหญ่ก็จะถามเกี่ยวกับทีมที่ตัวเองเชียร์ ไม่มีด่ากันไปกันมาระหว่างแฟนทีมต่าง ๆ (หรือมันอาจจะมีแล้วเขาคัดออกก็ไม่รู้) แต่ในยุคปัจจุบันนี้ รู้สึกว่ามันไม่ใช่การแซวกัน แต่มันเป็นการทำร้ายกัน เหยียดใส่กัน ซึ่งไม่ใช่แค่แฟนทีมอื่น แฟนลิเวอร์พูลเองก็เป็น ถ้าเป็นเพื่อนกันสนิทกันก็ว่าไปอย่าง (แต่ถึงเป็นเพื่อก็ควรมีลิมิต) แต่บางคนไม่ได้รู้จักกันเลย ก็มาสาดคำด่าหยาบคายใส่กัน บางครั้งคนเชียร์ทีมเดียวกัน สร้างเว็บไซต์สร้างเพจขึ้นมา พูดคุยถึงทีมตัวเอง ซึ่งบางครั้งก็อาจอวยทีมตัวเองบ้างซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ แต่ก็จะมีแฟนทีมอื่นเข้ามาป่วน มาด่าส่า มาบอกว่าขี้โม้ ดังนั้นผมจะหลีกเลี่ยงที่จะอ่านความเห็นคนเหล่านี้ ติดตามทีมอย่างเดียว แต่บางครั้งเวลาทวีตเกี่ยวกับทีมในทวิตเตอร์ช่วงที่มีการแข่งขัน ก็มีคนทวีตมาแซวด้วยข้อความที่ผมเห็นว่าไม่เหมาะสม ผมก็จะบล็อกครับ บอกตรง ๆ เมื่อก่อนไม่เคยไม่ชอบแมนยูเลย มันก็ทีมที่แข่งกัน สลับกันแพ้สลับกันชนะ เป็นกีฬา คุณภรรยาก็เชียร์แมนยู นักเตะหลายคนของแมนยูผมก็ชอบ แต่มาหลัง ๆ เริ่มไม่ชอบมากขึ้น ก็เพราะพวกแฟนบอลบางคนนี่แหละ แต่แฟนบอลดี ๆ ก็มีนะครับ ไม่ใช่ไม่มีซะเลย และแน่นอนแฟนบอลลิเวอร์พูลแย่ ๆ ก็มี 

ชักออกนอกเรื่องไปมากมายกลับมาดีกว่า อย่างที่บอกครับ ผมไม่เคยคิดว่าหลังจากครองแชมป์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1990 จะค้องรอถึง 30 ปีจึงจะกลับมาได้แชมป์ลีกอีกครั้ง ในช่วง 30 ปีนี้ แมนยูสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในลีกได้อย่างเต็มภาคภูมิในช่วงยี่สิบปีแรก และทีมอย่างแบล็คเบิร์น และเลสเตอร์ ก็สามารถความแชมป์ลีกได้ โดยลิเวอร์พูลไม่สามารถทำได้ และยังมีการเติบโดขึ้นมาของเชลซี และแมนซิ จากทีมที่ไม่มีอะไร กลายมาเป็นทีมชั้นนำของลีกอีก ทำให้งานของลิเวอร์พูลยากขึ้นเรื่อย ๆ และตัวสโมสรเองก็ต้องเกือบล้มละลาย จากการบริหารของสองปลิงมะกัน แต่ก็อย่างที่อยู่ในเนื้อเพลง You'll never walk alone ที่ว่า At the end of a storm. There is  a golden sky. เมื่อพายุสงบลง เราก็จะได้พบกับฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เอ๊ยไม่ใช่แล้ว จบแค่ฟ้าสีทองผ่องอำไพครับ  

การเข้ามาของ FSG เข้ามาแก้ปัญหาของลิเวอร์พูลอย่างเป็นระบบ จริง ๆ ต้องบอกว่าการเลือกโค้ชของ FSG นี่ใช้ได้นะครับ แบรนดอน ร็อดเจอร์ เกือบพาลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ลีกได้ แต่ด้วยความที่ขาดประสบการณ์ ขาดโชค ในฤดูกาล 2013-2014 ทำให้ได้เพียงแค่รองแชมป์ และไม่สามารถรักษาสตาร์ไว้ได้ จึงเกิดความตกต่ำกลับมาอีกครั้ง จนนำไปสู่การปลดร็อดเจอร์ และการเข้ามาของเจอร์เกน คลอปป์ ผมว่าปัญหาของร็อดเจอร์ คือขาดประสบการณ์ ยังไม่สามารถเอาชนะใจและสร้างความเชื่อมั่นได้อย่างแท้จริง ประกอบกับตัวร็อดเจอร์ อาจไม่มีความรู้ด้านศาสตร์ข้อมูล (data science) ไม่เปิดกว้างที่จะรับ และไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา 

ซึ่งต่างจากคลอปป์ที่นอกจากจะเป็นโค้ชที่เก่ง มีจิตวิทยา มีบุคลิกลักษณะที่เป็นเสน่ห์แล้ว คลอปป์ยังเป็นคนเปิดกว้าง และจบปริญญาตรีด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา จึงได้ทำงานร่วมกับทีมของ FSG ได้อย่างลงตัว และค่อย ๆ ปรับให้ลิเวอร์พูลกลับขึ้นมาเป็นทีมที่แข็งแกร่งทั้งฟอร์มการเล่น และสภาพจิตใจของนักเตะ และสร้างความเชื่อใจให้กับแฟนบอล และเจ้าของทีม 

ในส่วนตัวผมเห็นว่าความสำเร็จของลิเวอร์พูลในวันนี้มาจากการร่วมมือกัน เริ่มจากเจ้าของทีมที่บริหารทีมด้วยความเข้าใจ ถึงแม้จะไม่ทุ่มมากเหมือนเชลซี หรือแมนซิ แต่ก็พร้อมจะจ่ายถ้าทีมงานบอกว่าจำเป็น  การนำวิทยาการสมัยใหม่ อย่างศาสตร์ข้อมูล (data science) เข้ามาใช้ และการเน้นถึงรายละเอียดทุกอย่างแม้กระทั่งในด้านโภชนาการของนักเตะ และที่สำคัญที่สุดก็คือคลอปป์ที่นำข้อมูลด้านต่าง ๆ มาสู่ภาคปฏิบัติ การวางแผนการเล่น การฝึกซ้อม การดึงศักยภาพนักเตะ การรวมใจของแฟนบอลให้กลับมาศรัทธาทีมอีกครั้ง ด้วยผลงานที่ทำให้เห็นว่ามีการพัฒนาขึ้นมาทุกปี ถึงแม้ในสองปีแรกจะไม่มีถ้วยรางวัลอะไรเลย แต่ทุกคนเห็นถึงพัฒนาการในด้านบวกของทีม และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จต่อเนื่องมากจากปีที่แล้วจนมาถึงปีนี้ ด้วยรากฐานแบบนี้ผมก็หวังว่าในช่วงอย่างน้อย 10 ปีต่อจากนี้ น่าจะเป็นยุคทองของลิเวอร์พูลอีกครั้ง ก่อนที่ทุกอย่างจะเป็นไปตามวัฏจักรคือเมื่ออะไรที่ขึ้นไปสูงสุด แล้วมันก็จะต้องตกลงมาบ้าง 

ใช้ผลงานเป็นตัวพูด ไม่ต้องร้องขอให้ใครมาเชื่อใจและศรัทธา ทั้งที่ทำงานมาหกเจ็ดปีแล้ว แต่ยังไม่เห็นพัฒนาการอะไรก็ยังขอความศรัทธาอยู่นั่นแหละ และก็ออกอาการงอนถ้ามีคนแสดงให้เห็นว่าไม่ศรัทธา อ้าว ๆ ชักไปกันใหญ่แล้ว จบดีกว่านะครับ 

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เชียร์ฟุตบอลไทยเจออิรักกันเถอะครับ

ตั้งใจเขียนบล็อกวันนี้ก่อนที่ทีมชาติไทยจะลงสนามกับทีมชาติอิรัก ในฟุตบอลโลกรอบคัดลือกโซนเอเชีย ซึ่งเป็นนัดที่สี่ของทีมชาติไทย และเป็นนัดที่สำคัญด้วยนะครับ เพราะถ้าทีมชาติไทยไม่ชนะผมว่าโอกาสที่จะมีลุ้นอะไรบ้างก็คงหมดไป แต่จริง ๆ ส่วนตัวผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนะ เพราะเราเข้ามาในรอบนี้เราเป็นรองทุกทีม แต่อย่างน้อยก็ขอให้เล่นให้ได้ดี ทำให้ทีมนั้นลำบากกว่าจะชนะเราได้ ผมก็พอใจแล้ว

แต่ที่อยากเขียนถึงในวันนี้ก็คือหลังจากที่เราแพ้มาสามนัดรวด ก็เริ่มมีเสียงตำหนิต่อว่าโค้ชคือเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือซิโก้ และคำต่อว่าบางอันก็รุนแรงมาก และภรรยาของซิโก้ต้องออกมาโพสต์ลงโซเชียลตัดพ้อ ในทำนองเข้ามาทำให้ทีมดีขึ้น พอพลาดก็ด่าลืมความดีหมดแล้วหรืออะไรประมาณนี้ ซึ่งผมคิดว่าทางครอบครัวของซิโก้ไม่ควรมาตอบโต้อะไรแทน เพราะจะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายลงมากขึ้น เพราะการตอบโต้ในลักษณะนั้นมันจะทำให้คนที่เขาวิจารณ์ด้วยความหวังดี ไปเข้าใจว่าซิโก้นั้นแตะต้องไม่ได้ เพราะอุตส่าห์เข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ทำทีมมาได้ถึงขนาดนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นอย่างผู้นำประเทศสารขัณฑ์ตอนนี้ ซึ่งแตะต้องไม่ได้เลย อ้าวเฮ้ย เดี๋ยว ๆ พูดเรื่องบอลอยู่ดี ๆ มาเป็นเรื่องนี้ได้ไง

ในความเห็นส่วนตัวของผมผมคิดว่าเรามีสิทธิที่จะวิจารณ์คนที่มาทำงานได้ แต่การวิจารณ์นั้นต้องอยู่บนเหตุผล และความพอดี ติเพื่อก่อไม่ใช่ติเพื่อทำลาย สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นจุดอ่อนของทีมชาติชุดนี้มานานแล้วก็คือกองหลังที่ไม่เหนียวแน่น และกองหน้าที่ค่อนข้างใช้โอกาสเปลือง ซึ่งถ้าเล่นอยู่ในอาเซียนด้วยกัน จุดนี้อาจไม่เป็นปัญหานัก แต่พอมาเล่นในระดับเอเชียนี้มันจึงเป็นปัญหา หลาย ๆ ครั้งเราเสียประตูง่าย และพอมีโอกาสยิงซึ่งมีไม่มากนักเราก็ทำไม่ได้ ทั้งที่ควรจะได้ ดังนั้นผลมันจึงออกมาเป็นแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ในสามนัดนั้นมีนัดเดียวที่รูปเกมเราสู้ไม่ได้เลยจริง ๆ คือนัดที่เจอกับญี่ปุ่นในบ้านเราเอง

คนที่ต่อว่าทีมชาติไทยอย่างรุนแรง ลืมไปหรือเปล่าว่าเราผ่านเข้ามาในรอบนี้ได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี เราห่างจากการเล่นในระดับนี้มานานมากแล้ว คู่แข่งของเราในครั้งนี้คือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ ซาอุ และอิรัก พวกคุณคาดหวังอะไรกันหรือ ก่อนหน้านี้แม้แต่โอกาสที่จะได้อุ่นเครื่องกับทีมพวกนี้ยังแทบไม่มี ในส่วนตัวผมอย่างที่บอกแต่แรกว่าไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากนักในรอบนี้ หวังว่าแค่เราสู้ได้อย่างดี ไม่เป็นลูกไล่  และได้ประสบการณ์ต่อไปนำมาพัฒนา เพื่อเข้าสู่รอบนี้ให้ได้เป็นประจำ แก้ไขจุดอ่อนที่มีให้ได้ (ซึ่งผมเข้าใจนะว่ามันยาก ขนาดทีมลิเวอร์พูลที่ผมเชียร์มีจุดอ่อนที่กองหลังมานานแล้ว เปลี่ยนโค้ชมาหลายคนแล้วก็ยังแก้ไม่ได้) จนเราก้าวเข้ามาเป็นทีมชั้นนำในเอเชีย เมื่อถึงตอนนั้นค่อยนึกถึงการไปบอลโลกก็ยังไม่สาย และผมว่าถึงตอนนี้ทีมไทยก็เล่นได้ตามที่ผมตั้งความหวังนะ คือเราไม่ได้เป็นรองมาก (ยกเว้นนัดญี่ปุ่น) ซาอุกว่าจะชนะเราก็ต้องได้จุดโทษปัญหา สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ก็ไม่ได้ชนะเราง่าย ๆ แต่ซิโก้ก็ต้องลองเอาเสียงวิจารณ์เรื่องการเลือกตัว การจัดตัวแบบเดิม ๆ มาพิจารณาด้วยก็ดีว่าเป็นปัญหาจริงหรือเปล่า

 สุดท้ายคืนนี้ 19.30 น. ส่งใจเชียร์ทีมไทยกันครับ ผมว่านัดเจออิรักนี่เป็นนัดที่เรามีลุ้นมากที่สุดในการไปเล่นนอกบ้านแล้ว เพราะรอบแรกที่เจอกันเราก็ไม่แพ้อิรักเลย ถ้าเล่นได้ดีมีสามแต้ม และกลับมาเล่นในบ้านได้อีกเก้าแต้มจาก อิรัก ซาอุ และสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ และอีกสักแต้มจากออสเตรเลีย เราก็ยังมีลุ้นนะครับ (ขอฝันหน่อย)
   


วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อีกมุมมองหนึ่งในกรณีโค้ชเชกับน้องก้อย

วันนี้ขอเกาะกระแสเรื่องเทควันโดนี้สักหน่อยนะครับตอนแรกคิดว่ามันจะถูกกลบด้วยเรื่องอื่นไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบเมื่อโค้ชเชบอกว่าจะกลับมาทำทีมต่อ (อันนี้ผมดีใจนะ) และน้องก้อยยังไม่ยอมจบ

ในบล็อกนี้ผมคงไม่บอกว่าใครถูกใครผิดทั้งหมดนะครับ (ถึงแม้ผมจะเห็นด้วยกับฝั่งหนึ่งมากกว่าอีกฝั่งหนึ่ง) เพราะกรณีนี้คือหนึ่งเราทั้งหลายไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และสองมันมีมุมมองที่ต่างกันในหลายด้านที่ต้องนำมาพิจารณาเช่นทางด้านวัฒนธรรมของประเทศ วัฒนธรรมองค์กร และเรื่องสิทธิมนุษยชน อะไรพวกนี้ คือผมเข้าใจทั้งโค้ช และน้องก้อยและครอบครัว ในแง่ของโค้ชผมเทียบกับตัวเองในฐานะอาจารย์ที่ค่อนข้างเข้มงวดคนหนึ่งในด้านผลงานวิชาการ นักศึกษาที่เคยทำวิจัยกับผมตั้งแต่ระดับป.ตรีถึงป.เอกเกือบทุกคนจะโดนผมดุว่าเรื่องการทำวิจัย ยิ่งถ้าใครที่ทำมาอย่างไม่ใส่ใจคือทำให้เสร็จ ๆ ไป หรือถ้าไปคัดลอกใครมานี่จะโดนผมดุเอาอย่างแรงมาก ซึ่งหลายคนถึงกับร้องไห้เลยนะครับ (ไม่ได้ดีใจนะ พอเห็นเด็กร้องไห้ผมก็ใจเสียเหมือนกัน)  หลัง ๆ ผมน่าจะเบาลง (มั้ง) เพราะไม่ค่อยมีใครร้องไห้แล้ว คือผมไม่ได้สนใจว่านักศึกษาจะเก่งหรือไม่เก่ง แต่จะดูที่ความเอาใจใส่และความพยายามทำงานของเขามากกว่า อันนี้ก็คงเหมือนกับโค้ชเชที่มองว่าน้องก้อยไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่จึงลงโทษ ซึ่งถ้าถามว่ามันเกินกว่าเหตุไหมอันนี้ผมว่ามันขึ้นกับกฎเกณฑ์ขององค์กรในที่นี้คือสมาคมเทควันโดภายใต้การโค้ชของโค้ชเช โค้ชเชไม่ได้เพิ่งมาทำทีมแต่ทำมาแล้วสิบกว่าปี ดังนั้นวิธีการลงโทษแบบนี้สมาคมและนักกีฬาต้องรับทราบและถ้าไม่มีการดำเนินการใด ๆ ก็แสดงว่ายอมรับได้กับวิธีนี้ถ้าแลกกับความสำเร็จ ในแง่ของน้องก้อยซึ่งไม่ได้แข่งครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สามแล้วดังนั้นเธอก็ต้องรับทราบระบบนี้ด้วย ถ้าเธอบอกว่ารับไม่ได้เธอก็ควรถอนตัวไปแต่แรก แต่แน่นอนก็เป็นสิทธิของเธอที่คิดว่าเธอถูกลงโทษรุนแรงไป คือเธออาจมองว่าการลงโทษครั้งนี้มันแรงกว่าเกณฑ์ปกติขององค์กร แต่สิ่งที่เธอกระทำนี่เป็นอีกเรื่องนะครับซึ่งผมจะพูดถึงต่อไป

มุมที่ผมอยากจะเขียนถึงจริง ๆ ในเรื่องนี้มีอยู่สามประเด็นคือหนึ่งการโพสต์ข้อความผ่านทางเครือข่ายสังคม ปัจจุบันนี้หลายคนใช้เครือข่ายสังคมกันอย่างไม่ระมัดระวัง คือมีเรื่องอะไรก็โพสต์โดยไม่ได้คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ ก็โพสต์ เรื่องบางเรื่องที่เป็นความขัดแย้งในองค์กร ซึ่งควรจะเป็นการพูดคุยแก้ปัญหากันภายในก็โพสต์ ถ้าตามสุภาษิตโบราณเขาเรียกว่าสาวไส้ให้กากิน อย่างนี้คู่แข่งขององค์กรเราก็สบายไปเลย จากการที่ผมเคยสอนเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ในการสื่อสารผมมักจะเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการพูดคุยต่อหน้ากับการสื่อสารโดยใช้คอมพิวเตอร์ว่า ข้อเสียของการใช้คอมพิวเตอร์ในการสื่อสารคือในหลาย ๆ ครั้งมันไม่มีองค์ประกอบที่เรามักจะมีในการพูดจาต่อหน้าเช่นน้ำเสียง หรือสีหน้าไปด้วยทำให้บางครั้งอาจเข้าใจผิด ซึ่งหลายครั้งเราก็อาจแก้ปัญหาด้วยการใช้สัญลักษณ์แสดงอารมณ์แนบท้ายข้อความไปด้วยอย่าง :) ก็อาจหมายความว่าแซวเล่นขำ ๆ นะ แต่บางครั้งมันก็อาจใช้แบบนี้ไม่ได้ แต่ข้อดีของการใช้คอมพิวเตอร์ในการสื่อสารที่เหนือกว่าการพูดคุยกันต่อหน้าคือ เรามีเวลาที่จะคิดว่าเราควรพูด (โพสต์) ออกไปดีไหม และเราสามารถที่จะเรียบเรียงคำพูดให้เหมาะสมได้ ในขณะที่การพูดกันโดยตรงเราอาจพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกไปตามอารมณ์ในขณะนั้น ในกรณีนี้ถ้าน้องก้อยรอให้ใจเย็นได้พูดคุยได้เคลี่ยร์กันก่อนแล้วคิดให้ดีว่าควรโพสต์อะไรออกมาไหม เหตุการณ์ก็อาจไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้

ประเด็นที่สองคือการจัดการปัญหาของผู้ใหญ่ครับ ในวันที่เกิดเรื่องมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในสมาคมเทควันโดให้สัมภาษณ์ได้แย่มากครับ คือเข้าข้างโค้ชเชก็พอทำเนา แต่บอกว่าน้องก้อยไม่ได้มีความหมายอะไร สมาคมไม่ได้มีความหวังอะไรอยู่แล้ว เป็นผู้ใหญ่พูดแบบนี้กับนักกีฬาได้อย่างไร ถ้าไม่มีความหวังอะไรแล้วให้เขาติดทีมชาติทำไม การที่เขายอมเสียสละมาฝึกซ้อมลงแข่งเป็นตัวแทนทีมชาตินี่ไม่มีความดีอะไรเลยใช่ไหม อีกอย่างเท่าที่ตามข่าวมาน้องเขาก็เคยได้เหรียญในการแข่งขันแล้วด้วย การบริหารจัดการก็แย่มาก จริง ๆ ควรจะขอร้องทุกฝ่ายว่าอย่าเพิ่งให้ข่าวหรือให้สัมภาษณ์อะไร (ถ้าขอไปแล้วน้องเขาไม่ทำก็ขอโทษด้วย อย่างนี้สมควรให้ออกจากทีมชาติไปเลย) ขอให้คุยกันเป็นการภายในก่อน แล้วค่อยออกมาแถลง

ประเด็นสุดท้ายก็เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนหลาย ๆ คนนี่แหละครับ คือผมมีความรู้สึกว่าหลายคนก็ยังยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าที่จะพิจารณาไปตามเหตุผลหรือหลักการ ผมเห็นคำวิจารณ์ประเภทว่าโค้ชเชทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมามากมาย ยายคนนี้เป็นใคร คือทำไมเราถึงไม่เอาตัวบุคคลออกไปแล้วพิจารณาเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าสมมติคนทำไม่ใช้โค้ชเช เป็นคนอื่นที่ไม่มีต้นทุนสูงแบบโค้ชเช คนที่วิพากษ์วิจารณ์ยังจะคิดอย่างนี้อยู่หรือเปล่า ประเด็นนี้ผมว่าก็สำคัญนะครับ สังคมเราดูเหมือนเป็นสังคมบูชาฮีโร่ ถ้ารักใครชอบใครแล้วคนนั้นทำอะไรก็ถูกไว้ก่อน ซึ่งบางครั้งก็อันตรายนะครับถ้าคิดกันแบบนี้ (ย้ำอีกครั้งผมไม่ได้คิดว่าโค้ชเชผิดนะ) หรือบางทีก็แบ่งพวกแบ่งเหล่าไปเลย ผมลองสมมติให้สุดโต่งไปเลย ลองถามตัวเองดูสมมติโค้ชเชเคยขึ้นเวทีนปช. (เอ้ามีการเมืองจนได้) คนที่เชียร์กกปส.ยังจะเข้าข้างโค้ชเชอยู่หรือเปล่า หรือจะไปเข้าข้างน้องก้อยเพราะโค้ชเป็นอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว

ก็ฝากให้คิดกันเล่น ๆ ไว้แค่นี้แล้วกันครับ และก็หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดี และกีฬาเทควันโดก็จะเป็นกีฬาที่เรามีความหวังในมหกรรมกีฬาต่าง ๆ ต่อไปครับ ...

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผู้บริหารบ้านเมืองของเราจะยอมรับผิดกันบ้างได้ไหม?

วันนี้ขอเขียนเรื่องฟุตซอลชิงแชมป์โลกสักวันแล้วกันนะครับ ในขณะที่เขียนนี่ก็กำลังรอลุ้นว่าไทยจะผ่านเข้ารอบเป็นหนึ่งในสี่ของอันดับสามที่ดีที่สุดหรือเปล่า ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าต้องลุ้นเหนื่อยมากครับ ต้องให้ทีมนั้นชนะทีมโน้นกี่ประตูขึ้นไป ปวดหัวจริง ๆ ครับเรื่องต้องยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจเนี่ย  แต่ที่จะพูดถึงไม่ใช่เรื่องการแข่งขันครับ แต่จะพูดถึงข่าวที่ได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย ก็คือข่าวที่ผู้ว่ากทม.จะฟ้องฟีฟ่าเรื่องที่ไม่ยอมอนุมัติให้ใช้สนามบางกอกฟุตซอลอารีน่าในการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกที่เราเป็นเจ้าภาพอยู่ตอนนี้ เหตุผลที่ผู้ว่าจะฟ้องก็คือการกระทำของฟีฟ่าทำให้กทม.เสียชื่อ ผมฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจมาก จริง ๆ เราเสียชื่อมาตั้งแต่สนามสร้างเสร็จไม่ทันวันเปิดการแข่งขันแล้วไม่ใช่เพิ่งจะมาเสียชื่อตอนนี้

ผมอยากถามว่าการที่ผู้ว่าจะฟ้องนี่จริง ๆ แล้วจะปกป้องชื่อเสียงกทม.หรือชื่อเสียงตัวเองกันแน่ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวผู้ว่าตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก แต่ในส่วนนี้ขอออกตัวให้ผู้ว่าหน่อยแล้วกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้โทษผู้ว่าคนเดียวไม่ได้นะครับ ต้องโทษผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทุกคนตั้งแต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ รัฐบาลนี้ และตัวนายกสมาคมฟุตบอลด้วย แต่ที่ผู้ว่าโดนหนักก็เพราะเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างสนามโดยตรง และจากที่สื่อนำเสนอก็คือมีการมาโหมเร่งงานกันเมื่อเหลือเวลาประมาณสองสามเดือนสุดท้ายก่อนจะแข่ง

ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นตามความคิดของผมคือผู้บริหารเหล่านี้ติดการทำงานแบบไทย ๆ และเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป ที่ว่าติดการทำงานแบบไทย ๆ ก็คือได้รับงานมาล่วงหน้าแต่แทนที่จะวางแผนเร่งลงมือทำก็มักจะทอดเวลาไว้จนใกล้จะถึงเส้นตายแล้วถึงจะเร่งลงมือทำ หรือตามสำนวนที่เรียกว่ารอจนไฟลนก้นนั่นแหละครับ เหตุการณ์ที่เราเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาหลายรายการก่อนหน้าก็เป็นแบบนี้นะครับ คือรู้ว่าต้องเป็นเจ้าภาพมาล่วงหน้าหลายปี แต่กว่าจะลงมือทำก็รอไว้จนใกล้จะถึงกำหนด ซึ่งที่ผ่านมาเราโชคดีครับที่เราสามารถสร้างสนามอะไรต่ออะไรให้เสร็จก่อนหน้าการแข่งขันได้ประมาณสักไม่กี่เดือนมั้งครับ ที่เราทำได้เพราะเราโชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์วิกฤตอย่างมหาอุทกภัยในปีที่แล้ว  แต่คราวนี้เราไม่โชคดีอย่างนั้น ดังนั้นจากเหตุการณ์นี้ถ้าประเทศเรายังมีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพอะไรอีก (ซึ่งผมว่าคงยากแล้วหละ) ช่วยคิดใหม่ทำใหม่ให้เหมือนประเทศที่เขามีการวางแผนที่ดีหน่อยนะครับ เช่นอยากเห็นสนามแข่งเสร็จก่อนหน้าการแข่งขันสักครึ่งปีอะไรอย่างนี้ และอีกอย่างก็คือช่วยดูหน่อยนะครับว่าเรื่องอะไรมันเป็นเรื่องของประเทศชาติก็พักเรื่องส่วนตัวไว้ มาระดมแรงระดมความคิดช่วยกันให้ผ่านไปให้ได้ ไม่ใช่ขัดแข้งขัดขากันจนมันเกิดความเสียหายจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วแบบนี้

 กลับมาที่เรื่องที่ผู้ว่าจะฟ้องผมว่าอยากให้คิดใหม่นะ ผมว่าฟีฟ่าก็มีเหตุผลที่เหตุผลที่จะไม่รับนะครับ ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นฟีฟ่าตอนมาดูเมื่อเดือนสองเดือนที่แล้วยังเป็นโครงอยู่เลยอะไรอะไรก็ไม่เสร็จสักอย่าง แป๊บเดียวเสร็จเหมือนเนรมิต ลองย้อนถามตัวเราเองดูว่าเป็นเราเราจะกล้าใช้ไหม ถ้าใช้ไปแล้วมันเกิดถล่มเกิดพังขึ้นมามันจะเสียหายกันมากกว่านี้นะครับ หรือถ้าฟีฟ่าให้ผ่านด้านความปลอดภัยได้ มันก็อาจมีปัญหาอื่นไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพแวดล้อม การดำเนินการ ลองคิดดูสนามเพิ่งเสร็จยังไม่ได้ทดสอบเต็มที่เลย สมมติถ้าใช้ตอนแข่งเกิดเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้นจะทำยังไง เปรียบเหมือนซอฟต์แวร์ที่เร่งพัฒนาจนเสร็จ ดูภาพรวมอาจดูดีมีส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่สวยงาม แต่พอใช้ไปอาจเจอบั๊กก็ได้ เพราะไม่ได้มีการทดสอบซอฟต์แวร์เต็มที่ทั้งระบบ สรุปก็คือคนพวกนี้เขาทำงานกันแบบมืออาชีพครับ เขาไม่มานั่งมัวรักษาหน้าหรือเกรงใจใครหรอกถ้าคิดว่ามันอาจทำให้เกิดปัญหา อีกอย่างเขาอาจไม่เข้าใจวิธีทำงานแบบผักชีโรยหน้าของไทย และเขาอาจไม่ชอบกินผักชีก็ได้ :)

ถ้าสร้างเหมือนเนรมิตแบบนี้อย่าว่าแต่ฟีฟ่าเลย แม้แต่ผมเองผมยังถามตัวเองเลยว่าผมจะกล้าเข้าไปใช้สนามนี้ไหม เพราะมันสร้างกันเร็วมาก บอกตามตรงตอนที่รู้ว่าเราเป็นเจ้าภาพและจะมีการสร้างสนามที่หนอกจอก ผมก็วางแผนไว้แล้วว่าจะพาลูก ๆ ไปดูฟุตซอลสักนัดหนึ่ง เพราะสนามมันอยู่ไม่ไกลจากบ้านและอยากให้ลูก ๆ ได้สัมผัสบรรยากาศของงานระดับโลก แต่ตอนนี้ต่อให้ฟีฟ่าอนุมัติผมยังลังเลที่จะไปเลยครับ

ดังนั้นผมคิดว่าฟีฟ่าทำถูกแล้วครับที่ไม่รับ แต่ถ้าฟีฟ่าจะผิดก็ผิดอยู่อย่างเดียวคือไม่ยอมใช้เทคโนโลยีมาช่วยตัดสินฟุตบอลเสียที เพราะทำให้หงส์แดงของผมเสียประโยชน์มากมาย... เฮ้ยไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้...   คือที่ผมว่าฟีฟ่าทำผิดก็คือไม่รีบบอกมาตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ใช้ เพราะในความคิดของผมผมว่าฟีฟ่าจะไม่ใช้มาตั้งแต่ต้นแล้วแต่อาจติดเชื้อพี่ไทยเข้าไปหน่อยก็เลยออกลูกเกรงใจรักษาหน้าเจ้าภาพไว้ แต่ผมว่าถ้าฟีฟ่าฟันธงมาเลยตั้งแต่มาตรวจรอบแรกว่าไม่ใช้ เราจะได้ไม่ต้องเร่งสร้าง อาจจะเลิกสร้างไปเลยจะได้ประหยัดงบไป แต่ถ้ากลัวเป็นแบบโครงการโฮปเวล (โฮปเลส) ก็อาจสร้างต่อแต่ทำให้มันมั่นใจว่ามันแข็งแรง แล้วก็ใช้แข่งฟุตซอลในรายการอื่น ๆ ต่อไป


พูดถึงการสร้างแบบเนรมิตแบบนี้ทำให้ผมคิดถึงนิทานที่ผมเคยอ่านตอนเด็ก ๆ ได้เรื่องหนึ่งครับ เรื่องก็มีอยู่ว่ามีชาวไทยคนหนึ่ง ไปรับเพื่อนชาวต่างชาติสองคนคนหนึ่งเป็นคนจีนอีกคนเป็นอเมริกัน ซึ่งทั้งสองเพิ่งเคยมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก พอทั้งสองขึ้นรถได้ก็เริ่มคุยโม้โอ้อวดกันว่าจีนกับอเมริกานี่ใครเป็นสุดยอดของการก่อสร้าง คนจีนก็ยกตัวอย่างกำแพงเมืองจีนว่าสร้างในสมัยที่ไม่มีเทคโนโลยีอะไรเลย  ใช้เวลาไม่กี่ปีก็เสร็จ คนอเมริกันก็บอกว่าอเมริกันสิสุดยอดกว่า อย่างเทพีสันติภาพนี่คนอเมริกันใช้เวลาสร้างสองสามเดือนเอง คือจริง ๆ เจ้าสองคนนี่โม้นะครับ เพราะจริง ๆ พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริง ๆ มันใช้เวลาสร้างเท่าไรกันแน่  ส่วนคนไทยก็เงียบไม่พูดอะไร ทำให้เจ้าสองคนนี่นึกดูถูกว่าคนไทยคงไม่มีความสามารถก่อสร้างอะไรเลย จนรถแล่นผ่านมาถึงอนุเสาวรีย์ชัย ฯ เจ้าคนอเมริกันก็ถามว่าเฮ้ยนี่มันอะไรน่ะประเทศนายก็มีสิ่งก่อสร้างดี ๆ เหมือนกันนี่ คนจีนก็ถามว่าสร้างนานไหม คนไทยก็ตอบแบบนิ่ง ๆ ว่า เรียกว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้ตอนขามามันยังไม่มีไอ้นี่อยู่เลย...

ออกนอกเรื่องไปอีกแล้วสรุปก็คือผมอยากจะให้พวกผู้บริหารหรือแม้แต่ตัวพวกเราเองยอมรับในความผิดพลาด แล้วก็แก้ไขแทนที่จะเที่ยวไปโทษคนโน้นคนนี้ก่อน อย่างผมเองเป็นอาจารย์ก็มีบางครั้งที่ผมพูดผิดแต่เมื่อผิดผมก็บอกว่าผิดและก็ขอแก้ไข ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นการเสียหน้าอะไร อาจารย์ก็คนก็ผิดได้ (วันนี้ก็เพิ่งพูดผิดไปต้องรีบสั่งให้นักเรียนลบที่พูดออกจากหน่วยความจำ) แต่หลัง ๆ มานี่ผมรู้สึกว่าผู้บริหารของเรากลัวเสียหน้ามากกว่าอย่างอื่น นอกจากกรณีนี้ที่โยนกันไปโยนกันมาและกำลังจะโยนต่อไปให้ฟีฟ่าแล้ว อีกตัวอย่างก็คือเครื่อง GT200 ครับ ทำไมยังมีคนพูดอยู่ได้ว่ามันใช้งานได้ ทั้งที่ไม่สามารถหาหลักการทางวิทยาศาสตร์อะไรมารองรับได้เลย นักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศและในประเทศก็พิสูจน์แล้วว่ามันทำงานไม่ได้ มันจะเสียหน้าอะไรนักหนาถ้าจะออกมายอมรับความผิดพลาด มันไม่ใช่ประเทศเราประเทศเดียวเสียหน่อยที่ีโดนหลอก ประเทศที่เขาเจริญกว่าเราก็ยังโดน

อ้าวจากเรื่องสนามฟุตซอลมาออกเรื่อง GT200 ได้ยังไงนี่ จบดีกว่าเดี๋ยวจะลากไปเรื่องอื่นอีก แล้วบล็อกจะพาลถูกปิดเอา...

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอขอบคุณนักกีฬาไทยในเอเชี่ยนเกมส์

ผมไม่ได้มาเขียนบล็อกเสียนานเพราะไม่ว่างจริง ๆ  ช่วงที่ไม่ได้มาเขียนมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งที่ดีและไม่ดี เรื่องดี ๆ ก็เช่นผลงานของนักกีฬาไทยในเอชี่ยนเกมส์  ส่วนเรื่องแย่ ๆ ก็เรื่องของนักการเมืองไทย เรื่องซากทารกที่เกิดจากการทำแท้งถึงสองพันกว่าศพที่พบที่วัดไผ่เงิน แต่วันนี้ขอพูดเรื่องดี ๆ ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะเป็นวันส่งท้ายของเอชี่ยนเกมส์พอดี ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ก่อนแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นผมก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนก่อนครับที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพวกเราชาวไทยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเราจะได้เหรียญทองน้อยกว่าคราวที่แล้ว แต่ผลงานโดยรวมก็ถือว่าดีนะครับ นักกีฬาทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจของนักสู้ โดยเฉพาะที่ประทับใจผมที่สุดก็คือทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรหญิง ซึ่งผมดูกี่ครั้งก็รู้สึกประทับใจทุกครั้ง ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็คลิกเข้าไปดูก่อนได้เลยครับ



ดูกันแล้วประทับใจไหมครับ นอกจากประทับใจแล้วผมว่าเรายังได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากทีมวิ่งผลัดหญิงทีมนี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดจากการแข่งขันครั้งที่แล้ว (ครั้งที่แล้วทีมวิ่งผลัดหญิงไม่ได้เหรียญอะไรเลยเพราะส่งไม้พลาด) การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อ ลองคิดดูนะครับ ในช่วงสุดท้ายใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้วเรายังตามจีนอยู่เลย ถ้านักกีฬาของเราคิดแค่ว่า "โอ้คนที่นำหน้าเราคือจีน เอาเถอะได้ที่สองก็ดีแล้ว" คนไทยก็คงไม่มีความสุขมากขนาดนี้

สุดท้ายก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนอีกครั้งไม่ว่าจะได้เหรียญรางวัลกลับมาหรือไม่ ขอขอบคุณที่ทุกคนได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาในการฝึกซ้อมและแข่งขันเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ ส่วนคนไทยก็ขออย่าเพียงชื่นชมเหรียญรางวัลที่นักกีฬาได้เท่านั้น เราทุกคนก็ควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อเพื่อประเทศของเราเช่นกันครับ