แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กีฬา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กีฬา แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

I Feel Fine

วันศุกร์นี้อยากมาชวนฟังเพลงกันครับ ไม่ได้ฟังกันมานานแล้ว เพลงที่จะมาชวนฟังก็เป็นเพลงของ The Beatles คือ I Feel Fine เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากครับ เพราะหนึ่งในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูลมาอย่างเหนียวแน่นมาสีสิบกว่าปีได้  ตามข่าวความสำเร็จของทีมจากหนังสือนิตยสารเป็นส่วนใหญ่ในยุค ปลาย  70 ต่อ 80 ที่ทีมครองความยิ่งใหญ่ เพราะในช่วงนั้นการสื่อสารยังไม่ดีเท่าทุกวันนี้ โอกาสจะมีบอลถ่ายทอดทีมโปรดมาให้ดูสักนัดก็ยากมาก ผ่านยุคตกต่ำที่ต้องมองความสำเร็จของแมนยูปีแล้วปีเล่าในยุค 90 ที่ได้เริ่มดูถ่ายทอดสดได้มากขึ้น แต่ก็ต้องมองทีมตัวเองมีได้แค่ลุ้นตอนต้น ๆ ของฤดูกาล แล้วก็ค่อย ๆ หายไปจนไม่มีเหลือลุ้นอะไร เหมือนที่แมนยูเป็นอยู่ตอนนี้

แต่ถึงตอนนี้คงต้องบอกว่ากองเชียร์ลิเวอร์พูลทุกคนคงจะอยู่ในสถานะ I Feel Fine เพราะผลงานของทีมที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การดูแลของชายที่ชื่อว่า เจอร์เก็น คลอปป์ ซึ่งกำลังพาลิเวอร์พูลกลับสู่ยุครุ่งเรื่องอีกครั้ง ในฤดูกาลนี้ก็ยังมีลุ้นทุกรายการที่ลงแข่ง เป็นทีมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของโลก และนอกจากนี้ยังมีข่าวดีอีกคือ คลอปป์ ยอมขยายสัญญาตัวเองออกไปจากที่จะหมดลงในปี 2024 เป็นปี 2026 ดูหมือนว่ามันจะขยายไปอีกไม่นาน แต่สำหรับแฟนลิเวอร์พูลแล้ว ผมว่าคลอปป์ยอมต่อสัญญาออกไปแม้จะเป็นแค่ปีเดียวก็ทำให้แฟน ๆ มีความสุขแล้ว เพราะมันหมายความว่าลิเวอร์พูลก็จะมีโอการประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปอีกตามจำนวนปีที่คลอปป์อยู่ต่อ

นอกจากจะรู้สึก Fine แบบชื่อเพลงแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากจะมาชวนฟังเพลงนี้ก็เพราะ กองเชียร์ลิเวอร์พูลที่อังกฤษได้แต่งเพลงสั้น ๆ ให้คลอปป์ โดยใช้ทำนองเพลง I Feel Fine นี้ครับ ไปฟังเพลงและดูเนื้อร้องของเพลงนี้กันก่อนครับ 


 Baby's good to me, you know

She's happy as can be, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine, mm

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine
She's in love with me and I feel fine

และนี่คือเพลงของคลอปป์ครับ



เนื้อเพลงก็สั้น ๆ ตามนี้ครับ

I'm so glad that Jurgen is a Red.

I'm so glad he delivered what he said.

Jurgen said to me, you know. We'll win the Premier League, you know. He said so.

I'm in love with him and I feel fine.


วันศุกร์นี้ก็ขอแสดงความ Fine ตามประสาเดอะค็อปสักวันนะครับ และก็ตามลุ้นให้ทีมทำภารกิจ 4 แชมป์ ที่แทบจะเป็น mission impossible ได้สำเร็จ 

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เชียร์ฟุตบอลไทยเจออิรักกันเถอะครับ

ตั้งใจเขียนบล็อกวันนี้ก่อนที่ทีมชาติไทยจะลงสนามกับทีมชาติอิรัก ในฟุตบอลโลกรอบคัดลือกโซนเอเชีย ซึ่งเป็นนัดที่สี่ของทีมชาติไทย และเป็นนัดที่สำคัญด้วยนะครับ เพราะถ้าทีมชาติไทยไม่ชนะผมว่าโอกาสที่จะมีลุ้นอะไรบ้างก็คงหมดไป แต่จริง ๆ ส่วนตัวผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนะ เพราะเราเข้ามาในรอบนี้เราเป็นรองทุกทีม แต่อย่างน้อยก็ขอให้เล่นให้ได้ดี ทำให้ทีมนั้นลำบากกว่าจะชนะเราได้ ผมก็พอใจแล้ว

แต่ที่อยากเขียนถึงในวันนี้ก็คือหลังจากที่เราแพ้มาสามนัดรวด ก็เริ่มมีเสียงตำหนิต่อว่าโค้ชคือเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง หรือซิโก้ และคำต่อว่าบางอันก็รุนแรงมาก และภรรยาของซิโก้ต้องออกมาโพสต์ลงโซเชียลตัดพ้อ ในทำนองเข้ามาทำให้ทีมดีขึ้น พอพลาดก็ด่าลืมความดีหมดแล้วหรืออะไรประมาณนี้ ซึ่งผมคิดว่าทางครอบครัวของซิโก้ไม่ควรมาตอบโต้อะไรแทน เพราะจะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายลงมากขึ้น เพราะการตอบโต้ในลักษณะนั้นมันจะทำให้คนที่เขาวิจารณ์ด้วยความหวังดี ไปเข้าใจว่าซิโก้นั้นแตะต้องไม่ได้ เพราะอุตส่าห์เข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ทำทีมมาได้ถึงขนาดนี้ เดี๋ยวจะกลายเป็นอย่างผู้นำประเทศสารขัณฑ์ตอนนี้ ซึ่งแตะต้องไม่ได้เลย อ้าวเฮ้ย เดี๋ยว ๆ พูดเรื่องบอลอยู่ดี ๆ มาเป็นเรื่องนี้ได้ไง

ในความเห็นส่วนตัวของผมผมคิดว่าเรามีสิทธิที่จะวิจารณ์คนที่มาทำงานได้ แต่การวิจารณ์นั้นต้องอยู่บนเหตุผล และความพอดี ติเพื่อก่อไม่ใช่ติเพื่อทำลาย สิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นจุดอ่อนของทีมชาติชุดนี้มานานแล้วก็คือกองหลังที่ไม่เหนียวแน่น และกองหน้าที่ค่อนข้างใช้โอกาสเปลือง ซึ่งถ้าเล่นอยู่ในอาเซียนด้วยกัน จุดนี้อาจไม่เป็นปัญหานัก แต่พอมาเล่นในระดับเอเชียนี้มันจึงเป็นปัญหา หลาย ๆ ครั้งเราเสียประตูง่าย และพอมีโอกาสยิงซึ่งมีไม่มากนักเราก็ทำไม่ได้ ทั้งที่ควรจะได้ ดังนั้นผลมันจึงออกมาเป็นแบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ในสามนัดนั้นมีนัดเดียวที่รูปเกมเราสู้ไม่ได้เลยจริง ๆ คือนัดที่เจอกับญี่ปุ่นในบ้านเราเอง

คนที่ต่อว่าทีมชาติไทยอย่างรุนแรง ลืมไปหรือเปล่าว่าเราผ่านเข้ามาในรอบนี้ได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปี เราห่างจากการเล่นในระดับนี้มานานมากแล้ว คู่แข่งของเราในครั้งนี้คือ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ ซาอุ และอิรัก พวกคุณคาดหวังอะไรกันหรือ ก่อนหน้านี้แม้แต่โอกาสที่จะได้อุ่นเครื่องกับทีมพวกนี้ยังแทบไม่มี ในส่วนตัวผมอย่างที่บอกแต่แรกว่าไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากนักในรอบนี้ หวังว่าแค่เราสู้ได้อย่างดี ไม่เป็นลูกไล่  และได้ประสบการณ์ต่อไปนำมาพัฒนา เพื่อเข้าสู่รอบนี้ให้ได้เป็นประจำ แก้ไขจุดอ่อนที่มีให้ได้ (ซึ่งผมเข้าใจนะว่ามันยาก ขนาดทีมลิเวอร์พูลที่ผมเชียร์มีจุดอ่อนที่กองหลังมานานแล้ว เปลี่ยนโค้ชมาหลายคนแล้วก็ยังแก้ไม่ได้) จนเราก้าวเข้ามาเป็นทีมชั้นนำในเอเชีย เมื่อถึงตอนนั้นค่อยนึกถึงการไปบอลโลกก็ยังไม่สาย และผมว่าถึงตอนนี้ทีมไทยก็เล่นได้ตามที่ผมตั้งความหวังนะ คือเราไม่ได้เป็นรองมาก (ยกเว้นนัดญี่ปุ่น) ซาอุกว่าจะชนะเราก็ต้องได้จุดโทษปัญหา สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ก็ไม่ได้ชนะเราง่าย ๆ แต่ซิโก้ก็ต้องลองเอาเสียงวิจารณ์เรื่องการเลือกตัว การจัดตัวแบบเดิม ๆ มาพิจารณาด้วยก็ดีว่าเป็นปัญหาจริงหรือเปล่า

 สุดท้ายคืนนี้ 19.30 น. ส่งใจเชียร์ทีมไทยกันครับ ผมว่านัดเจออิรักนี่เป็นนัดที่เรามีลุ้นมากที่สุดในการไปเล่นนอกบ้านแล้ว เพราะรอบแรกที่เจอกันเราก็ไม่แพ้อิรักเลย ถ้าเล่นได้ดีมีสามแต้ม และกลับมาเล่นในบ้านได้อีกเก้าแต้มจาก อิรัก ซาอุ และสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ และอีกสักแต้มจากออสเตรเลีย เราก็ยังมีลุ้นนะครับ (ขอฝันหน่อย)
   


วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

อีกมุมมองหนึ่งในกรณีโค้ชเชกับน้องก้อย

วันนี้ขอเกาะกระแสเรื่องเทควันโดนี้สักหน่อยนะครับตอนแรกคิดว่ามันจะถูกกลบด้วยเรื่องอื่นไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบเมื่อโค้ชเชบอกว่าจะกลับมาทำทีมต่อ (อันนี้ผมดีใจนะ) และน้องก้อยยังไม่ยอมจบ

ในบล็อกนี้ผมคงไม่บอกว่าใครถูกใครผิดทั้งหมดนะครับ (ถึงแม้ผมจะเห็นด้วยกับฝั่งหนึ่งมากกว่าอีกฝั่งหนึ่ง) เพราะกรณีนี้คือหนึ่งเราทั้งหลายไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และสองมันมีมุมมองที่ต่างกันในหลายด้านที่ต้องนำมาพิจารณาเช่นทางด้านวัฒนธรรมของประเทศ วัฒนธรรมองค์กร และเรื่องสิทธิมนุษยชน อะไรพวกนี้ คือผมเข้าใจทั้งโค้ช และน้องก้อยและครอบครัว ในแง่ของโค้ชผมเทียบกับตัวเองในฐานะอาจารย์ที่ค่อนข้างเข้มงวดคนหนึ่งในด้านผลงานวิชาการ นักศึกษาที่เคยทำวิจัยกับผมตั้งแต่ระดับป.ตรีถึงป.เอกเกือบทุกคนจะโดนผมดุว่าเรื่องการทำวิจัย ยิ่งถ้าใครที่ทำมาอย่างไม่ใส่ใจคือทำให้เสร็จ ๆ ไป หรือถ้าไปคัดลอกใครมานี่จะโดนผมดุเอาอย่างแรงมาก ซึ่งหลายคนถึงกับร้องไห้เลยนะครับ (ไม่ได้ดีใจนะ พอเห็นเด็กร้องไห้ผมก็ใจเสียเหมือนกัน)  หลัง ๆ ผมน่าจะเบาลง (มั้ง) เพราะไม่ค่อยมีใครร้องไห้แล้ว คือผมไม่ได้สนใจว่านักศึกษาจะเก่งหรือไม่เก่ง แต่จะดูที่ความเอาใจใส่และความพยายามทำงานของเขามากกว่า อันนี้ก็คงเหมือนกับโค้ชเชที่มองว่าน้องก้อยไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่จึงลงโทษ ซึ่งถ้าถามว่ามันเกินกว่าเหตุไหมอันนี้ผมว่ามันขึ้นกับกฎเกณฑ์ขององค์กรในที่นี้คือสมาคมเทควันโดภายใต้การโค้ชของโค้ชเช โค้ชเชไม่ได้เพิ่งมาทำทีมแต่ทำมาแล้วสิบกว่าปี ดังนั้นวิธีการลงโทษแบบนี้สมาคมและนักกีฬาต้องรับทราบและถ้าไม่มีการดำเนินการใด ๆ ก็แสดงว่ายอมรับได้กับวิธีนี้ถ้าแลกกับความสำเร็จ ในแง่ของน้องก้อยซึ่งไม่ได้แข่งครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สามแล้วดังนั้นเธอก็ต้องรับทราบระบบนี้ด้วย ถ้าเธอบอกว่ารับไม่ได้เธอก็ควรถอนตัวไปแต่แรก แต่แน่นอนก็เป็นสิทธิของเธอที่คิดว่าเธอถูกลงโทษรุนแรงไป คือเธออาจมองว่าการลงโทษครั้งนี้มันแรงกว่าเกณฑ์ปกติขององค์กร แต่สิ่งที่เธอกระทำนี่เป็นอีกเรื่องนะครับซึ่งผมจะพูดถึงต่อไป

มุมที่ผมอยากจะเขียนถึงจริง ๆ ในเรื่องนี้มีอยู่สามประเด็นคือหนึ่งการโพสต์ข้อความผ่านทางเครือข่ายสังคม ปัจจุบันนี้หลายคนใช้เครือข่ายสังคมกันอย่างไม่ระมัดระวัง คือมีเรื่องอะไรก็โพสต์โดยไม่ได้คิดว่าเหมาะสมหรือไม่ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ ก็โพสต์ เรื่องบางเรื่องที่เป็นความขัดแย้งในองค์กร ซึ่งควรจะเป็นการพูดคุยแก้ปัญหากันภายในก็โพสต์ ถ้าตามสุภาษิตโบราณเขาเรียกว่าสาวไส้ให้กากิน อย่างนี้คู่แข่งขององค์กรเราก็สบายไปเลย จากการที่ผมเคยสอนเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์ในการสื่อสารผมมักจะเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของการพูดคุยต่อหน้ากับการสื่อสารโดยใช้คอมพิวเตอร์ว่า ข้อเสียของการใช้คอมพิวเตอร์ในการสื่อสารคือในหลาย ๆ ครั้งมันไม่มีองค์ประกอบที่เรามักจะมีในการพูดจาต่อหน้าเช่นน้ำเสียง หรือสีหน้าไปด้วยทำให้บางครั้งอาจเข้าใจผิด ซึ่งหลายครั้งเราก็อาจแก้ปัญหาด้วยการใช้สัญลักษณ์แสดงอารมณ์แนบท้ายข้อความไปด้วยอย่าง :) ก็อาจหมายความว่าแซวเล่นขำ ๆ นะ แต่บางครั้งมันก็อาจใช้แบบนี้ไม่ได้ แต่ข้อดีของการใช้คอมพิวเตอร์ในการสื่อสารที่เหนือกว่าการพูดคุยกันต่อหน้าคือ เรามีเวลาที่จะคิดว่าเราควรพูด (โพสต์) ออกไปดีไหม และเราสามารถที่จะเรียบเรียงคำพูดให้เหมาะสมได้ ในขณะที่การพูดกันโดยตรงเราอาจพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกไปตามอารมณ์ในขณะนั้น ในกรณีนี้ถ้าน้องก้อยรอให้ใจเย็นได้พูดคุยได้เคลี่ยร์กันก่อนแล้วคิดให้ดีว่าควรโพสต์อะไรออกมาไหม เหตุการณ์ก็อาจไม่บานปลายมาถึงขั้นนี้

ประเด็นที่สองคือการจัดการปัญหาของผู้ใหญ่ครับ ในวันที่เกิดเรื่องมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในสมาคมเทควันโดให้สัมภาษณ์ได้แย่มากครับ คือเข้าข้างโค้ชเชก็พอทำเนา แต่บอกว่าน้องก้อยไม่ได้มีความหมายอะไร สมาคมไม่ได้มีความหวังอะไรอยู่แล้ว เป็นผู้ใหญ่พูดแบบนี้กับนักกีฬาได้อย่างไร ถ้าไม่มีความหวังอะไรแล้วให้เขาติดทีมชาติทำไม การที่เขายอมเสียสละมาฝึกซ้อมลงแข่งเป็นตัวแทนทีมชาตินี่ไม่มีความดีอะไรเลยใช่ไหม อีกอย่างเท่าที่ตามข่าวมาน้องเขาก็เคยได้เหรียญในการแข่งขันแล้วด้วย การบริหารจัดการก็แย่มาก จริง ๆ ควรจะขอร้องทุกฝ่ายว่าอย่าเพิ่งให้ข่าวหรือให้สัมภาษณ์อะไร (ถ้าขอไปแล้วน้องเขาไม่ทำก็ขอโทษด้วย อย่างนี้สมควรให้ออกจากทีมชาติไปเลย) ขอให้คุยกันเป็นการภายในก่อน แล้วค่อยออกมาแถลง

ประเด็นสุดท้ายก็เรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนหลาย ๆ คนนี่แหละครับ คือผมมีความรู้สึกว่าหลายคนก็ยังยึดติดกับตัวบุคคลมากกว่าที่จะพิจารณาไปตามเหตุผลหรือหลักการ ผมเห็นคำวิจารณ์ประเภทว่าโค้ชเชทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมามากมาย ยายคนนี้เป็นใคร คือทำไมเราถึงไม่เอาตัวบุคคลออกไปแล้วพิจารณาเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าสมมติคนทำไม่ใช้โค้ชเช เป็นคนอื่นที่ไม่มีต้นทุนสูงแบบโค้ชเช คนที่วิพากษ์วิจารณ์ยังจะคิดอย่างนี้อยู่หรือเปล่า ประเด็นนี้ผมว่าก็สำคัญนะครับ สังคมเราดูเหมือนเป็นสังคมบูชาฮีโร่ ถ้ารักใครชอบใครแล้วคนนั้นทำอะไรก็ถูกไว้ก่อน ซึ่งบางครั้งก็อันตรายนะครับถ้าคิดกันแบบนี้ (ย้ำอีกครั้งผมไม่ได้คิดว่าโค้ชเชผิดนะ) หรือบางทีก็แบ่งพวกแบ่งเหล่าไปเลย ผมลองสมมติให้สุดโต่งไปเลย ลองถามตัวเองดูสมมติโค้ชเชเคยขึ้นเวทีนปช. (เอ้ามีการเมืองจนได้) คนที่เชียร์กกปส.ยังจะเข้าข้างโค้ชเชอยู่หรือเปล่า หรือจะไปเข้าข้างน้องก้อยเพราะโค้ชเป็นอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว

ก็ฝากให้คิดกันเล่น ๆ ไว้แค่นี้แล้วกันครับ และก็หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดี และกีฬาเทควันโดก็จะเป็นกีฬาที่เรามีความหวังในมหกรรมกีฬาต่าง ๆ ต่อไปครับ ...

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผู้บริหารบ้านเมืองของเราจะยอมรับผิดกันบ้างได้ไหม?

วันนี้ขอเขียนเรื่องฟุตซอลชิงแชมป์โลกสักวันแล้วกันนะครับ ในขณะที่เขียนนี่ก็กำลังรอลุ้นว่าไทยจะผ่านเข้ารอบเป็นหนึ่งในสี่ของอันดับสามที่ดีที่สุดหรือเปล่า ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าต้องลุ้นเหนื่อยมากครับ ต้องให้ทีมนั้นชนะทีมโน้นกี่ประตูขึ้นไป ปวดหัวจริง ๆ ครับเรื่องต้องยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจเนี่ย  แต่ที่จะพูดถึงไม่ใช่เรื่องการแข่งขันครับ แต่จะพูดถึงข่าวที่ได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย ก็คือข่าวที่ผู้ว่ากทม.จะฟ้องฟีฟ่าเรื่องที่ไม่ยอมอนุมัติให้ใช้สนามบางกอกฟุตซอลอารีน่าในการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกที่เราเป็นเจ้าภาพอยู่ตอนนี้ เหตุผลที่ผู้ว่าจะฟ้องก็คือการกระทำของฟีฟ่าทำให้กทม.เสียชื่อ ผมฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจมาก จริง ๆ เราเสียชื่อมาตั้งแต่สนามสร้างเสร็จไม่ทันวันเปิดการแข่งขันแล้วไม่ใช่เพิ่งจะมาเสียชื่อตอนนี้

ผมอยากถามว่าการที่ผู้ว่าจะฟ้องนี่จริง ๆ แล้วจะปกป้องชื่อเสียงกทม.หรือชื่อเสียงตัวเองกันแน่ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวผู้ว่าตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก แต่ในส่วนนี้ขอออกตัวให้ผู้ว่าหน่อยแล้วกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้โทษผู้ว่าคนเดียวไม่ได้นะครับ ต้องโทษผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทุกคนตั้งแต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ รัฐบาลนี้ และตัวนายกสมาคมฟุตบอลด้วย แต่ที่ผู้ว่าโดนหนักก็เพราะเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างสนามโดยตรง และจากที่สื่อนำเสนอก็คือมีการมาโหมเร่งงานกันเมื่อเหลือเวลาประมาณสองสามเดือนสุดท้ายก่อนจะแข่ง

ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นตามความคิดของผมคือผู้บริหารเหล่านี้ติดการทำงานแบบไทย ๆ และเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป ที่ว่าติดการทำงานแบบไทย ๆ ก็คือได้รับงานมาล่วงหน้าแต่แทนที่จะวางแผนเร่งลงมือทำก็มักจะทอดเวลาไว้จนใกล้จะถึงเส้นตายแล้วถึงจะเร่งลงมือทำ หรือตามสำนวนที่เรียกว่ารอจนไฟลนก้นนั่นแหละครับ เหตุการณ์ที่เราเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาหลายรายการก่อนหน้าก็เป็นแบบนี้นะครับ คือรู้ว่าต้องเป็นเจ้าภาพมาล่วงหน้าหลายปี แต่กว่าจะลงมือทำก็รอไว้จนใกล้จะถึงกำหนด ซึ่งที่ผ่านมาเราโชคดีครับที่เราสามารถสร้างสนามอะไรต่ออะไรให้เสร็จก่อนหน้าการแข่งขันได้ประมาณสักไม่กี่เดือนมั้งครับ ที่เราทำได้เพราะเราโชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์วิกฤตอย่างมหาอุทกภัยในปีที่แล้ว  แต่คราวนี้เราไม่โชคดีอย่างนั้น ดังนั้นจากเหตุการณ์นี้ถ้าประเทศเรายังมีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพอะไรอีก (ซึ่งผมว่าคงยากแล้วหละ) ช่วยคิดใหม่ทำใหม่ให้เหมือนประเทศที่เขามีการวางแผนที่ดีหน่อยนะครับ เช่นอยากเห็นสนามแข่งเสร็จก่อนหน้าการแข่งขันสักครึ่งปีอะไรอย่างนี้ และอีกอย่างก็คือช่วยดูหน่อยนะครับว่าเรื่องอะไรมันเป็นเรื่องของประเทศชาติก็พักเรื่องส่วนตัวไว้ มาระดมแรงระดมความคิดช่วยกันให้ผ่านไปให้ได้ ไม่ใช่ขัดแข้งขัดขากันจนมันเกิดความเสียหายจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วแบบนี้

 กลับมาที่เรื่องที่ผู้ว่าจะฟ้องผมว่าอยากให้คิดใหม่นะ ผมว่าฟีฟ่าก็มีเหตุผลที่เหตุผลที่จะไม่รับนะครับ ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นฟีฟ่าตอนมาดูเมื่อเดือนสองเดือนที่แล้วยังเป็นโครงอยู่เลยอะไรอะไรก็ไม่เสร็จสักอย่าง แป๊บเดียวเสร็จเหมือนเนรมิต ลองย้อนถามตัวเราเองดูว่าเป็นเราเราจะกล้าใช้ไหม ถ้าใช้ไปแล้วมันเกิดถล่มเกิดพังขึ้นมามันจะเสียหายกันมากกว่านี้นะครับ หรือถ้าฟีฟ่าให้ผ่านด้านความปลอดภัยได้ มันก็อาจมีปัญหาอื่นไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพแวดล้อม การดำเนินการ ลองคิดดูสนามเพิ่งเสร็จยังไม่ได้ทดสอบเต็มที่เลย สมมติถ้าใช้ตอนแข่งเกิดเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้นจะทำยังไง เปรียบเหมือนซอฟต์แวร์ที่เร่งพัฒนาจนเสร็จ ดูภาพรวมอาจดูดีมีส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่สวยงาม แต่พอใช้ไปอาจเจอบั๊กก็ได้ เพราะไม่ได้มีการทดสอบซอฟต์แวร์เต็มที่ทั้งระบบ สรุปก็คือคนพวกนี้เขาทำงานกันแบบมืออาชีพครับ เขาไม่มานั่งมัวรักษาหน้าหรือเกรงใจใครหรอกถ้าคิดว่ามันอาจทำให้เกิดปัญหา อีกอย่างเขาอาจไม่เข้าใจวิธีทำงานแบบผักชีโรยหน้าของไทย และเขาอาจไม่ชอบกินผักชีก็ได้ :)

ถ้าสร้างเหมือนเนรมิตแบบนี้อย่าว่าแต่ฟีฟ่าเลย แม้แต่ผมเองผมยังถามตัวเองเลยว่าผมจะกล้าเข้าไปใช้สนามนี้ไหม เพราะมันสร้างกันเร็วมาก บอกตามตรงตอนที่รู้ว่าเราเป็นเจ้าภาพและจะมีการสร้างสนามที่หนอกจอก ผมก็วางแผนไว้แล้วว่าจะพาลูก ๆ ไปดูฟุตซอลสักนัดหนึ่ง เพราะสนามมันอยู่ไม่ไกลจากบ้านและอยากให้ลูก ๆ ได้สัมผัสบรรยากาศของงานระดับโลก แต่ตอนนี้ต่อให้ฟีฟ่าอนุมัติผมยังลังเลที่จะไปเลยครับ

ดังนั้นผมคิดว่าฟีฟ่าทำถูกแล้วครับที่ไม่รับ แต่ถ้าฟีฟ่าจะผิดก็ผิดอยู่อย่างเดียวคือไม่ยอมใช้เทคโนโลยีมาช่วยตัดสินฟุตบอลเสียที เพราะทำให้หงส์แดงของผมเสียประโยชน์มากมาย... เฮ้ยไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้...   คือที่ผมว่าฟีฟ่าทำผิดก็คือไม่รีบบอกมาตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ใช้ เพราะในความคิดของผมผมว่าฟีฟ่าจะไม่ใช้มาตั้งแต่ต้นแล้วแต่อาจติดเชื้อพี่ไทยเข้าไปหน่อยก็เลยออกลูกเกรงใจรักษาหน้าเจ้าภาพไว้ แต่ผมว่าถ้าฟีฟ่าฟันธงมาเลยตั้งแต่มาตรวจรอบแรกว่าไม่ใช้ เราจะได้ไม่ต้องเร่งสร้าง อาจจะเลิกสร้างไปเลยจะได้ประหยัดงบไป แต่ถ้ากลัวเป็นแบบโครงการโฮปเวล (โฮปเลส) ก็อาจสร้างต่อแต่ทำให้มันมั่นใจว่ามันแข็งแรง แล้วก็ใช้แข่งฟุตซอลในรายการอื่น ๆ ต่อไป


พูดถึงการสร้างแบบเนรมิตแบบนี้ทำให้ผมคิดถึงนิทานที่ผมเคยอ่านตอนเด็ก ๆ ได้เรื่องหนึ่งครับ เรื่องก็มีอยู่ว่ามีชาวไทยคนหนึ่ง ไปรับเพื่อนชาวต่างชาติสองคนคนหนึ่งเป็นคนจีนอีกคนเป็นอเมริกัน ซึ่งทั้งสองเพิ่งเคยมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก พอทั้งสองขึ้นรถได้ก็เริ่มคุยโม้โอ้อวดกันว่าจีนกับอเมริกานี่ใครเป็นสุดยอดของการก่อสร้าง คนจีนก็ยกตัวอย่างกำแพงเมืองจีนว่าสร้างในสมัยที่ไม่มีเทคโนโลยีอะไรเลย  ใช้เวลาไม่กี่ปีก็เสร็จ คนอเมริกันก็บอกว่าอเมริกันสิสุดยอดกว่า อย่างเทพีสันติภาพนี่คนอเมริกันใช้เวลาสร้างสองสามเดือนเอง คือจริง ๆ เจ้าสองคนนี่โม้นะครับ เพราะจริง ๆ พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริง ๆ มันใช้เวลาสร้างเท่าไรกันแน่  ส่วนคนไทยก็เงียบไม่พูดอะไร ทำให้เจ้าสองคนนี่นึกดูถูกว่าคนไทยคงไม่มีความสามารถก่อสร้างอะไรเลย จนรถแล่นผ่านมาถึงอนุเสาวรีย์ชัย ฯ เจ้าคนอเมริกันก็ถามว่าเฮ้ยนี่มันอะไรน่ะประเทศนายก็มีสิ่งก่อสร้างดี ๆ เหมือนกันนี่ คนจีนก็ถามว่าสร้างนานไหม คนไทยก็ตอบแบบนิ่ง ๆ ว่า เรียกว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้ตอนขามามันยังไม่มีไอ้นี่อยู่เลย...

ออกนอกเรื่องไปอีกแล้วสรุปก็คือผมอยากจะให้พวกผู้บริหารหรือแม้แต่ตัวพวกเราเองยอมรับในความผิดพลาด แล้วก็แก้ไขแทนที่จะเที่ยวไปโทษคนโน้นคนนี้ก่อน อย่างผมเองเป็นอาจารย์ก็มีบางครั้งที่ผมพูดผิดแต่เมื่อผิดผมก็บอกว่าผิดและก็ขอแก้ไข ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นการเสียหน้าอะไร อาจารย์ก็คนก็ผิดได้ (วันนี้ก็เพิ่งพูดผิดไปต้องรีบสั่งให้นักเรียนลบที่พูดออกจากหน่วยความจำ) แต่หลัง ๆ มานี่ผมรู้สึกว่าผู้บริหารของเรากลัวเสียหน้ามากกว่าอย่างอื่น นอกจากกรณีนี้ที่โยนกันไปโยนกันมาและกำลังจะโยนต่อไปให้ฟีฟ่าแล้ว อีกตัวอย่างก็คือเครื่อง GT200 ครับ ทำไมยังมีคนพูดอยู่ได้ว่ามันใช้งานได้ ทั้งที่ไม่สามารถหาหลักการทางวิทยาศาสตร์อะไรมารองรับได้เลย นักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศและในประเทศก็พิสูจน์แล้วว่ามันทำงานไม่ได้ มันจะเสียหน้าอะไรนักหนาถ้าจะออกมายอมรับความผิดพลาด มันไม่ใช่ประเทศเราประเทศเดียวเสียหน่อยที่ีโดนหลอก ประเทศที่เขาเจริญกว่าเราก็ยังโดน

อ้าวจากเรื่องสนามฟุตซอลมาออกเรื่อง GT200 ได้ยังไงนี่ จบดีกว่าเดี๋ยวจะลากไปเรื่องอื่นอีก แล้วบล็อกจะพาลถูกปิดเอา...

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอขอบคุณนักกีฬาไทยในเอเชี่ยนเกมส์

ผมไม่ได้มาเขียนบล็อกเสียนานเพราะไม่ว่างจริง ๆ  ช่วงที่ไม่ได้มาเขียนมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งที่ดีและไม่ดี เรื่องดี ๆ ก็เช่นผลงานของนักกีฬาไทยในเอชี่ยนเกมส์  ส่วนเรื่องแย่ ๆ ก็เรื่องของนักการเมืองไทย เรื่องซากทารกที่เกิดจากการทำแท้งถึงสองพันกว่าศพที่พบที่วัดไผ่เงิน แต่วันนี้ขอพูดเรื่องดี ๆ ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะเป็นวันส่งท้ายของเอชี่ยนเกมส์พอดี ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ก่อนแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นผมก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนก่อนครับที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพวกเราชาวไทยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเราจะได้เหรียญทองน้อยกว่าคราวที่แล้ว แต่ผลงานโดยรวมก็ถือว่าดีนะครับ นักกีฬาทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจของนักสู้ โดยเฉพาะที่ประทับใจผมที่สุดก็คือทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรหญิง ซึ่งผมดูกี่ครั้งก็รู้สึกประทับใจทุกครั้ง ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็คลิกเข้าไปดูก่อนได้เลยครับ



ดูกันแล้วประทับใจไหมครับ นอกจากประทับใจแล้วผมว่าเรายังได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากทีมวิ่งผลัดหญิงทีมนี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดจากการแข่งขันครั้งที่แล้ว (ครั้งที่แล้วทีมวิ่งผลัดหญิงไม่ได้เหรียญอะไรเลยเพราะส่งไม้พลาด) การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อ ลองคิดดูนะครับ ในช่วงสุดท้ายใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้วเรายังตามจีนอยู่เลย ถ้านักกีฬาของเราคิดแค่ว่า "โอ้คนที่นำหน้าเราคือจีน เอาเถอะได้ที่สองก็ดีแล้ว" คนไทยก็คงไม่มีความสุขมากขนาดนี้

สุดท้ายก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนอีกครั้งไม่ว่าจะได้เหรียญรางวัลกลับมาหรือไม่ ขอขอบคุณที่ทุกคนได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาในการฝึกซ้อมและแข่งขันเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ ส่วนคนไทยก็ขออย่าเพียงชื่นชมเหรียญรางวัลที่นักกีฬาได้เท่านั้น เราทุกคนก็ควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อเพื่อประเทศของเราเช่นกันครับ