แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Life แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Life แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมื่อผมได้รับคำขอโทษเป็นคำกลอน

วันนี้ขอใช้บล็อกทำหน้าที่ของมันด้วยการทำหน้าที่เป็นไดอารี่ออนไลน์สักวันแล้วกันนะครับ จากการสอนหนังสือมากว่า 20 ปี ผมได้รับคำขอโทษจากนักศึกษามากมายในความผิดพลาดที่เขาได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่งงานช้า ทำงานไม่เสร็จ หรืออีกหลายสาเหตุ นักศึกษาที่มาขอโทษส่วนใหญ่ก็จะมาหามาพูดคุยกัน ถัดมาก็ใช้อีเมล หรือตอนนี้บางคนก็ใช้ส่งข้อความผ่านทาง Facebook Messenger หรือ Line แต่ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดสิ่งที่ผมได้รับก็จะเป็นคำพูดที่เป็นร้อยแก้วธรรมดาครับ แต่วันนี้ผมได้รับคำขอโทษผ่านทางอีเมลเป็นกลอนครับ เขาเขียนมาขอโทษที่เขาส่งงานช้า ไม่สามารถนำเสนอในเวลาที่กำหนดได้ และงานไม่ค่อยดี และอธิบายถึงเหตุผล ลองอ่านกลอนของเขาดูครับ

ประนมมือ ทั้งสอง ก้มลงกราบ
เพราะหนูทราบ ความผิด อันมหันต์
ความผิดที่ ทำงาน ส่งไม่ทัน
แม้นผลัดวัน มากี่ครั้ง ยังละเลย
อาจารย์คะ พวกหนู มาขอโทษ
อย่าได้โกรธ โปรดเถิด อย่าวางเฉย
กลับมาดี ต่อกัน เหมือนอย่างเคย
แย้มยิ้มเปรย โปรยให้หนู เหมือนวันวาน
มีเรื่องหนึ่ง หนูอยากขอ สารภาพ
อยากจะกราบ เรียนบอก อย่างฉะฉาน
พวกหนูนั้น ไม่ได้เที่ยว เริงสำราญ
และปล่อยกาล เวลา ล่วงเลยไป
แต่เป็นเพราะ งานอื่น ที่มีมาก
พวกหนูอยาก เรียนบอกให้ คลายสงสัย
งานอาจารย์ มิได้ด้อย กว่าใครใคร
หนูใส่ใจ ในงาน ทุกวิชา
เพราะเวลา ที่มีอยู่ มันจำกัด
หากจะมัด งานรวมไว้ คงจะหนา
จึงทำการ แตกงาน ตามวิชา
แบ่งเวลา จัดไว้ อย่างลงตัว
แต่ปัจจัย รอบข้าง ไม่ช่วยเอื้อ
ทั้งยังเผื่อ แผ่ความมืด อันสลัว
มอบแต่สิ่ง ที่ทำ ให้หนูกลัว
เหมือนว่าตัว ปีศาจ มาเดินตาม
ถึงแม้ว่า งานของหนู จะดูขาด
ดูแล้วปราศ จากบีน น่าเกรงขาม
แต่หนูก็ มีของแทน ที่งดงาม
อย่าห้ามปราม โปรดรับไว้ แต่โดยดี
อาจารย์ขา หนูมา ขอโอกาส
จะไม่พลาด ซ้ากันให้ ไร้ศักดิ์ศรี
จะมุ่งทำ แต่คุณ งามความดี
โอกาสนี้ จะถนอม ดั่งดวงใจ
กลอนบทนี้ หวังใจว่า คงจะชอบ
คงจะมอบ ความสุข ความสดใส
ให้อาจารย์ แย้มยิ้มยิ่ง กว่าวันใด
ด้วยรักใน อาจารย์ ศรัณย์เอย....

เป็นไงบ้างครับ เขาแต่งได้ดีทีเดียวว่าไหมครับ ผมอ่านแล้วก็ประหลาดใจและอดขำไม่ได้ แล้วก็คิดว่าเออเนอะใครว่าคนเรียนทางคอมพิวเตอร์จะเป็นคนแห้งแล้ง ไม่มีสุนทรียะในหัวใจ ดูจากกลอนนี้นี่ไม่จริงเลย

จากนั้้นผมก็ลองไล่ตรวจงานของเขาดู ซึ่งก็ไม่ค่อยดีอย่างที่เขาสารภาพไว้แหละครับ และแน่นอนผมก็ต้องตอบกลับงานของเขาไป และไหน ๆ เขาก็จัดเต็มเป็นกลอนมาแล้ว ผมก็คิดว่าคงต้องปลุกวิญญาณศิลปินในตัวตอบกลับไปซะหน่อย ก็เลยแต่งกลอนตอบเขาไปดังนี้ครับ

อ่านกลอนแล้วต้องกลั้นใจ ก่อนไปตรวจ
เมื่อได้ตรวจยิ่งปวดใจ เหมือนไข้ถาม
พวกเธอนี้ทำอะไร ไม่อยากตาม
โปรแกรมงามทำอะไร หรือพวกเธอ
ดูเหมือนว่ามีแต่พิมพ์ ผลลัพธ์ออก
ตัดสต๊อกตรวจบัญชี ตรงไหนหรือ
ส่งให้บีนแล้วบีนทำ อะไรฤา
หรือเพียงแต่พิมพ์ซื่อซื่อ บื้อออกมา
เข้าใจว่ามีงานมาก ยากจะเสร็จ
แต่เด็ดเด็ดมีให้ได้ แค่นี้หรือ
ทำไมเพื่อนทำกันได้ สบายมือ
หรือเขาถืออุปกรณ์ วิเศษใด
เอาเวลาที่แต่งกลอน ไปถามเพื่อน
เผื่อจะช่วยเพิ่มความรู้ ดีกว่าไหม
ขอโปรแกรมเขามาลอง ไล่ดูไป
เพื่อจะได้แก้สงสัย หายงวยงง
ถึงตอนนี้ขอบอกว่า ไม่ได้โกรธ
อาจารย์โหดต้องทำใจ ให้วางเฉย
ขอเตือนให้ทุกคนไป ทบทวนเลย
อย่าทำเฉยปล่อยจนแย่ แพ้ตัวเอง


รู้สึกว่าแต่งสู้พวกเขาไม่ได้นะครับ แต่ก็พอได้ใจความที่ต้องการจะสื่อกับเขาแล้วนะครับ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องสนุก ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ

สุดท้ายอันนี้ส่วนตัวหน่อย ขอสื่อถึงนักศึกษากลุ่มนี้ที่เข้ามาอ่านนะครับว่า อาจารย์ไม่ได้โกรธอะไรนะ แต่คะแนนก็ได้ตามผลงานที่ทำมานะครับ...




วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

แด่เพื่อนผู้จากไป อาจารย์วีระชัย ตันยะสิทธิ์

ไม่ได้เขียนบล็อกเสียนานเพราะไม่ว่าง แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเมื่อมีโอกาสได้เขียนบล็อกจะต้องมาเขียนถึงเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งที่เพิ่งจากไป จากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเค้าลางใด ๆ เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อนคนนั้นคนที่ผมพูดถึงคืออ.วีระชัย ตันยะสิทธิ์ สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ผมเริ่มเข้ามาทำงานที่นี่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนในฐานะนักเรียนทุนรัฐบาล คนที่ผมรู้จักมาก่อนในตอนนั้นก็มีเพียงอ.วีระ บุญจริง ที่เป็นรุ่นพี่ที่จุฬาเท่านั้น เมื่อผมเข้ามาทำงานผมก็ได้รู้จักกับอ.วีระชัย และผมก็ได้นั่งทำงานห้องเดียวกับอ.วีระชัยมาตลอด การแนะนำตัวของผมที่มีต่อนักศึกษาในแต่ละรุ่นในชั่วโมงแรกของการเรียนก็คือห้องพักของผมก็คือห้องเดียวกับห้องของอ.วีระชัย เพราะไม่มีนักศึกษาที่เรียนวิทยาการคอมพิวเตอร์คนใดนับจนถึงปัจจุบันนี้จะไม่ได้เรียนกับอ.วีระชัย อ.วีระชัยเป็นคนปูพื้นฐานการเขียนโปรแกรมให้กับนักศึกษาแต่ละรุ่นตั้งแต่ครั้งเรายังใช้ภาษาปาสคาลจนมาถึงภาษาจาวา

อ.วีระชัยเป็นกำลังหลักให้กับภาควิชามาโดยตลอด เพราะคนที่สอนวิชาเขียนโปรแกรมให้กับคนที่ไม่เคยเขียนโปรแกรมมาเลย ก็ทำงานหนักไม่ต่างจากครูที่สอนโรงเรียนอนุบาลที่ต้องสร้างความรู้พื้นฐานให้เด็กเพื่อนำไปใช้ชีวิตต่อไป และอ.วีระชัยก็ยินดีที่จะรับทำหน้าที่นั้นด้วยความเต็มใจถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนอ.ก็ไม่บ่น บอกตามตรงว่าตั้งแต่ทำงานกันมากว่า 20 ปี ผมแทบไม่เคยเห็นอ.วีระชัยจะงดสอน ยกเว้นจะไม่สบายมาสอนไม่ไหวจริง ๆ

ด้วยความที่อ.วีระชัยยินดียอมรับหน้าที่นี้ ทำให้อ.วีระชัยไม่สนใจที่จะไปเรียนต่อที่ไหน ในขณะที่อาจารย์หลาย ๆ ท่าน รวมถึงตัวผมด้วย ก็ยังมีช่วงเวลาที่ลาไปเรียนต่อ ซึ่งช่วงเวลาที่ไปเรียนต่อนั้นอ.วีระชัยนอกจากจะต้องสอนการเขียนโปรแกรมและโครงสร้างข้อมูลซึ่งเป็นวิชาประจำของอาจารย์แล้ว อาจารย์ก็ต้องรับภาระแทนในบางวิชาของอาจารย์ที่ลาเรียนต่อด้วย เรียกว่าอ.วีระชัยคือเสาหลักที่สำคัญที่สุดของภาควิชาเลยก็ว่าได้

นอกจากในแง่การทำงานแล้ว ในแง่ส่วนตัวอ.วีระชัยก็เปรียบได้กับเป็นพี่เลี้ยงให้กับอาจารย์ที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่อย่างผม คอยแนะนำเรื่องต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ และบางครั้งก็ยังแนะนำการใช้ชีวิตให้ผมด้วย ผมก็คงเหมือนกับพวกเราหลาย ๆ คนที่บางครั้งก็บ้าทำงาน อยากทำให้เสร็จจนบางครั้งก็ลืมที่จะดูลิมิตของตัวเอง อ.วีระชัยก็จะคอยเตือนว่าใจเย็น ๆ สุขภาพสำคัญนะ พักผ่อนก่อนแล้วกลับมาทำต่อก็ได้ สำหรับผมแล้วอ.วีระชัยเป็นเพื่อนร่วมงานที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่เคยเรียนด้วยกันมา แต่ผมเชื่อว่าอาจารย์มีความปรารถนาดีต่อผมอย่างจริงใจ ผมสามารถเปิดใจคุยกับอาจารย์ได้ทุกเรื่อง โดยสบายใจได้ว่าอาจารย์จะไม่เอาเรื่องที่เราคุยกันไปพูดต่อ หรือไปทำอะไรให้ผมเสียหาย ซึ่งผมคิดว่าพวกเราคงจะหาเพื่อนแบบนี้ได้ยากมากในที่ทำงาน ซึ่งถ้าใครเจอเพื่อนแบบนี้ก็ต้องบอกว่าโชคดีมาก และผมก็เป็นคนหนึ่งที่โชคดีที่ได้รู้จักกับอ.วีระชัย

ผมไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าวันนี้ผมจะไม่มีเพื่อนที่ชื่ออาจารย์วีระชัยแล้ว เมื่อเดือนที่แล้วนี้เองอาจารย์ยังดูปกติ แข็งแรงทุกอย่าง เรายังพูดคุยกันว่าหลังจากอาจารย์เกษียณแล้ว อย่าหนีหายไปไหน ให้ขับรถเข้ามาคุยกัน ไปหาข้าวกลางวันกินกันเหมือนที่พวกเราทำกันมาตลอด อาจารย์จะเกษียณปี 2558 ซึ่งจากการปรับเทอมรับ AEC ก็เท่ากับว่าอาจารย์จะได้สอนอีกสองเทอม แล้วอาจารย์ก็จะได้พักผ่อนจากหน้าที่อันหนักและสำคัญที่อาจารย์ทำมากว่าสามสิบปี

เรื่องของเรื่องมันไม่น่าจะมีอะไรเลย ผมจำได้ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นหลังจากที่อาจารย์บ่นว่าปวดเมื่อยตัว ซึ่งพวกเราก็คิดว่าเป็นอาการธรรมดาอาจจะนั่งหรือนอนผิดท่า จากนั้นมันก็เริ่มหนักขึ้นอาจารย์ขยับตัวไม่ได้  ต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งผมก็ยังไม่ได้ตระหนักอะไรอีกว่ามันจะเลยเถิดมาจนเป็นวันนี้ มันอาจเป็นเพราะอ.วีระชัยเคยป่วยหนักจนเข้าโรงพยาบาลแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้วด้วยโรคไต ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ก็หายออกมาได้ ถึงแม้หลังจากนั้นจะต้องไปฟอกไตสัปดาห์ละสามวันก็ตาม หลังจากอ.วีระชัยออกจากโรงพยาบาลในครั้งนั้น ผมกับอ.วีระก็ชวนอ.วีระชัยไปเดินออกกำลังกายกันที่สนามกีฬาในตอนเย็น ๆ กัน เราสามคนเดินออกกำลังด้วยกันในตอนเย็นมาอย่างนั้นตลอดหลายปี ซึ่งสุขภาพของอาจารย์ก็แข็งแรงมาโดยตลอด จนมาช่วงสองปีหลังนี้ผมกับอาจารย์วีระมีภารกิจมากขึ้นจนเราไม่ค่อยได้ไปเดินออกกำลังกาย แต่อ.วีระชัยก็ยังคงไปเหมือนเดิม ซึ่งผมคิดว่าอาจารย์น่าจะแข็งแรงกว่าผมกับอ.วีระเสียอีก

หนึ่งในสิ่งที่ผมเสียใจที่สุดก็คือ ผมไม่ได้ไปเยี่ยมอ.วีระชัยในตอนที่อาจารย์ยังรู้สึกตัวอยู่ ผมมัวแต่ยุ่งกับนักศึกษาปัญหาพิเศษ เคลียร์งาน และก็ช่วยตรวจข้อสอบที่อ.วีระชัยยังตรวจไม่เสร็จ (ผมกับอ.วีระแบ่งข้อกันตรวจข้อสอบ ส่วนของอ.วีระเรียบร้อยแล้วเหลือส่วนของผม) โดยผมคิดว่าหลังจากเสร็จงานพวกนี้อ.วีระชัยก็จะแข็งแรงขึ้นและใกล้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว ผมก็จะไปนั่งคุยกับอาจารย์ ท้าวความถึงความหลังว่านี่ผมได้ตอบแทนที่อาจารย์เคยช่วยผมแล้วนะ คือตอนที่ผมจะไปเรียนต่อผมต้องเดินทางวันที่ 1 ม.ค. ดังนั้นผมจะต้องจัดการทุกอย่างให้เสร็จรวมถึงตรวจข้อสอบด้วย แต่ปรากฏว่าผมทำไม่เสร็จก่อนวันที่ 30 ธ.ค.​ ซึ่งเป็นวันทำงานวันสุดท้าย ผมนั่งตรวจข้อสอบและตัดเกรดจนเสร็จและเอาไปฝากไว้ที่อ.วีระชัยในคืนวันที่ 30 ธ.ค. ซึ่งดึกมากแล้ว แต่อ.วีระชัยก็นั่งคอยรอรับข้อสอบจากผมอยู่ที่บ้าน ซึ่งผมยังจำภาพที่ผมขับรถเอาข้อสอบไปส่งให้อาจารย์ได้อยู่เลย เหมือนมันเพิ่งเกิด ทั้ง ๆ ที่จริงมันสิบกว่าปีมาแล้ว

ในวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม เวลาประมาณ 11 โมงกว่า ๆ ตอนนั้นผมกำลังตรวจข้อสอบของอ.วีระชัยอยู่ ผมได้รับโทรศัพท์จากอ.วีระ ซึ่งมันทำให้ผมใจหายเพราะผมกับอ.วีระเราติดต่อกันผ่าน Facebook messenger เป็นหลักมานานแล้ว และก็เป็นจริง อ.วีระโทรมาบอกให้ผมรีบไปเยี่ยมอ.วีระชัยให้ทันก่อนที่อาจารย์จะเข้าห้องผ่าตัด ผมก็รีบแต่งตัว แต่วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนักมาก เป็นวันที่ผมขับรถไปก็แช่งด่าฟ้าฝนไปอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ผมใช้เวลาเดินทางกว่าจะไปถึงโรงพยาบาลก็เกือบบ่ายสอง  อ.วีระชัยเข้าห้องผ่าตัดไปแล้ว ผมกับอ.วีระรออยู่จนอ.วีระชัยออกจากห้องผ่าตัด และนั่นเป็นครั้งแรกหลังจากที่อ.วีระชัยเข้าโรงพยาบาลที่ผมได้เห็นอาจารย์ บอกตามตรงว่าผมใจหายและเริ่มกังวล แต่ก็ยังคิดว่าอาจารย์จะต้องหาย ผมไม่ได้คุยกับอ.วีระชัย เพราะอาจารย์ยังไม่ฟื้นจากผ่าตัด ผมกลับมาบ้านรีบตรวจข้อสอบของอ.วีระชัยต่อ เพื่อที่จะได้ไปบอกอ.วีระชัยว่าข้อสอบตรวจเสร็จแล้วไม่ต้องกังวล ผมตรวจเสร็จวันอาทิตย์ 23 วันจันทร์ที่ 24 เอาไปให้อ.วีระป้อนคะแนนตัดเกรดเรียบร้อย และในวันนั้นเป็นวันที่ผมต้องสอบทั้งปัญหาพิเศษของป.ตรี และหัวข้อวิทยานิพนธ์ของป.เอก กว่าจะเสร็จก็ค่ำ

วันที่ 25 มีนาคม ผมควรจะไปเยี่ยมอ.วีระชัยแต่ก็ไม่ได้ไป เพราะนัดนักศึกษาในที่ปรึกษาของตัวเองให้เอารายงานมาส่ง เวลาประมาณบ่ายสองโมงกว่า ๆ ขณะที่ผมกำลังตรวจรายงานนักศึกษาอยู่ มีเสียงโทรศัพท์ของอ.วีระดังขึ้น ได้ยินเสียงอ.วีระบ่นพึมพำว่าไม่อยากรับสายนี้เลย ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร ตรวจงานนักศึกษาต่อไป สักครู่หนึ่งอ.วีระ เดินมาที่โต๊ะผมแล้วแจ้งข่าวที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุด อาจารย์วีระชัยเสียแล้ว ผมกับนักศึกษาสองคนของผม (ซึ่งน่าจะเป็นสองคนแรกที่รู้ข่าวนี้) เราเงียบกันไปครู่หนึ่ง บอกตามตรงว่าณ.เวลานั้น ผมอยากบอกให้นักศึกษาทั้งสองคนกลับไป ผมไม่อยากทำอะไรแล้ว แต่มาคิดดูอ.วีระชัยคงไม่สบายใจนักถ้าเราจะต้องมาหยุดงานมาเสียงานกันเพราะเรื่องนี้ ดังนั้นเราจึงพยายามทำหน้าที่ของเราจนจบ

หลังจากนั้นผมเริ่มเขียนสเตตัสเพื่อแจ้งข่าวนี้บน Facebook แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีนักศึกษาและเพื่อนอาจารย์หลายคนที่รู้ข่าวนี้กันบ้างแล้ว จากนั้นแทบทั้งไทม์ไลน์ก็เต็มไปด้วยข้อความแสดงความอาลัยที่ทางภาค(สาขา)วิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้สูญเสียบุคคลากรที่เป็นเสาหลักของภาควิชามาตั้งแต่เริ่มต้น เป็นครูที่แท้จริง ทุ่มเท เสียสละ เป็นราวกับพ่อคนที่สองของนักศึกษา

สุดท้ายนี้ผมคงต้องบอกกับอาจารย์วีระชัยว่าขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้กับภาค และประเทศชาติ ด้วยการทุ่มเทแรงกายแรงใจสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพออกไปเป็นกำลังของประเทศ ขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อนเป็นพี่ที่ได้มอบให้กันมากว่า 20 ปี สิ่งที่อ.วีระชัยได้ทำไว้ มันได้ส่งให้เห็นผลแล้วครับ นักศึกษาที่อาจารย์ได้สั่งสอนไปวันนี้พวกเขาเติบใหญ่ มีการงานที่มั่นคง พวกเขารักอาจารย์ และได้กลับมาร่วมส่งอาจารย์เดินทางกันอย่างคับคั่ง เรื่องนักศึกษาที่อาจารย์อาจเป็นห่วงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาที่เรียนกับอาจารย์ในเทอมนี้ นักศึกษาที่ตกค้าง นักศึกษาในที่ปรึกษาของอาจารย์ พวกเราอาจารย์ที่อยู่กันตอนนี้ช่วยกันดูแลจัดการกันเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องกังวลอะไร ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอให้เราได้มาเป็นเพื่อนกันแบบนี้อีกนะครับ พักผ่อนให้สบายนะครับอ.วี ...  

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

หลักการสำคัญ 9 ประการที่นำไปสู่นวัตกรรมของ Google

สวัสดีปีใหม่ 2557 ครับ ขอถือโอกาสนี้เขียนบล็อกแรกของปีให้อ่านกันเลยก็แล้วกันครับ ตอนแรกก็ยังไม่รู้จะเขียนอะไรดีเพราะผมว่าช่วงปลายปีที่แล้วพวกเราหลายคนคงจะเครียดและสนใจเรื่องการเมืองเป็นหลัก แม้แต่ผมเองยังจัดซะสามบล็อกติดกัน แต่บล็อกแรกของปีนี้ผมไม่อยากจะเขียนอะไรที่มันเครียด ๆ กันก่อนตั้งแต่ต้นปีครับ ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีคนแบ่งปันลิงก์เกี่ยวกับแนวทางที่ทำให้ Google เป็นบริษัทที่สร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ มากมาย ก็เลยคิดว่าเรื่องนี้แหละที่น่าจะนำมาเขียน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกคนที่มีโอกาสได้อ่าน เผื่อจะสามารถนำไปประยุกต์กับการทำงานของเราในปีนี้ได้บ้าง

สำหรับต้นฉบับของเรื่องนี้ก็คือ GOOGLE REVEALS ITS 9 PRINCIPLES OF INNOVATION โดยคุณ Kathy Chin Leong ในบทความนี้ได้สรุปสิ่งที่คุณ Gopi Kallayil ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการสังคม (ไม่รู้จะใช่ไหมนะครับในภาษาอังกฤษใช้คำว่า chief social evangelist ) ได้พูดถึงหลักสำคัญ 9 ข้อที่ทำให้ Google เป็นบริษัทที่มีการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างมากมายออกมาให้เราใช้กัน ลองมาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง

1. นวัตกรรมมาได้จากทุกที่ทุกทาง ไม่ว่าจะมองจากบนลงล่าง ล่างขึ้นบนหรือแม้แต่ในจุดที่ไม่ได้คาดคิดไว้ ในบทความได้ยกตัวอย่างของคุณหมอซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของ Google ได้พยายามผลักดันให้การค้นหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย (ในสหรัฐ) มีการแสดงเบอร์โทรฟรีสำหรับศููนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายอยู่ทางด้านบนของจอ

2.  มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ เรื่องเงินเอาไว้ทีหลัง ตัวอย่างก็คือการค้นหาทันใจ (instant search) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นแต่อาจทำให้ผู้ใช้ไม่ได้ดูโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งที่มาของรายได้หลักของ Google ซึ่ง Google ก็ยอมที่จะเสี่ยงในส่วนนี้ โดยแนวคิดก็คือให้ผู้ใช้ได้ประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมไปแล้วรายได้ก็จะตามมาเอง

3. ตั้งเป้าว่าจะดีขึ่นสิบเท่า การตั้งเป้าว่าจะทำให้ดีขึ้นแค่สิบเปอร์เซนต์เราก็จะทำได้แค่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถ้าต้องการจะเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการจะต้องตั้งเป้าว่าจะทำให้ดีขึ้นสิบเท่า และนั่นจะทำให้เราต้องคิดนอกกรอบ ตัวอย่างของข้อนี้ก็คือโครงการ Google Books ซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งตั้งเป้าว่าจะสแกนหนังสือทั้งหมดเพื่อทำให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดย Lary Page ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Google ถึงกับลงมือสร้างเครื่องสแกนหนังสือขึ้นมาเองเลย สำหรับหนังสือตอนนี้ก็สแกนไปได้แล้วกว่า 30 ล้านเล่ม

4.  ใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคให้เป็นประโยชน์ เขายกตัวอย่างถึงแนวคิดของรถไร้คนขับ ซึ่งจริง ๆ แล้ว Google เองไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ Google มีเทคโนโลยีที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานอย่าง Google Maps Google Earth และ รถที่ใช้ทำ Street View โดยการร่วมมือกับทีมปัญญาประดิษฐ์ที่มหาวิทยาลัย Stanford ก็ทำให้ Google สามารถสร้างรถที่ไม่ต้องมีคนขับซึ่งสามารถเดินทางไปกลับเป็นระยะทางไกลได้จริง

5. ปล่อยออกมาก่อนแล้วค่อยปรับปรุง แนวคิดนี้คือไม่ต้องรอให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์ ส่งไปให้ผู้ใช้ใช้ก่อน แล้วให้ผู้ใช้นั่นแหละเป็นผู้ช่วยปรับปรุง ตัวอย่างของโครงการที่ใช้วิธีนี้ก็เช่น Google Chrome ซึ่งเปิดตัวมาในปี 2008 และ Google ปล่อยตัวปรับปรุงออกมาทุกหกสัปดาห์

6. ให้เวลาร้อยละยี่สิบแก่พนักงาน แนวคิดนี้คือให้พนักงานได้ใช้เวลาในการทำโครงการที่ตัวเองอยากทำที่ไม่ใช่งานประจำที่ตัวเองทำอยู่ โดยจะให้เวลาร้อยละยี่สิบแก่พนักงานในการทำโครงการดังกล่าว พูดง่าย ๆ ก็คือในเวลางานห้าวัน ก็ให้เวลาวันหนึ่งที่พนักงานจะได้ทดลองทำสิ่งที่เป็นแนวคิดของตัวเอง สิ่งที่ได้จากการทำแบบนี้ก็คืออาจจะได้ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ หรืออาจได้เทคนิคหรือแนวคิดที่จะนำไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม

7. ให้กระบวนการทำงานเป็นแบบเปิด คือเปิดโอกาสให้ทั้งนักพัฒนาภายนอก หรือแม้แต่ผู้ใช้เองมีส่วนร่วมในโครงการ ตัวอย่างเช่นการเปิดให้นักพัฒนามาช่วยกันพัฒนาแอพต่าง ๆ ให้กับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

8. ล้มให้เป็น ไม่ควรตำหนิความล้มเหลว แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ดีสุด ๆ ก็ต้องถูกยกเลิกไป แต่สิ่งที่สามารถดึงมาใช้ได้ก็คือส่วนดีที่สุดของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เขาบอกว่าความล้มเหลวคือเครื่องหมายของเกียรติยศ ความล้มเหลวคือหนทางที่จะนำไปสู่นวัตกรรมและความสำเร็จ ดังนั้นจงล้มเหลวด้วยความภาคภูมิใจเถอะ

9. ภารกิจที่ทำมีความสำคัญ เขาบอกว่านี่คือข้อที่สำคัญที่สุดใน 9 ข้อนี้ เขาบอกว่าคนที่ Google ทุกคนมีความตั้งใจแรงกล้าที่จะทำตามภารกิจและจุดประสงค์ให้สำเร็จ เพราะพวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะมีผลในทางบวกกับผู้คนเป็นล้าน ๆ คน

ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ สวัสดีปีใหม่อีกครั้งครับ ...

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Nothing but trouble

สวัสดีครับ เวลาผ่านไปไวมากตอนนี้ปีใหม่ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ผมยังแทบไม่ได้ทำอะไรที่วางแผนไว้เลยรวมถึงเรื่องที่ว่าจะอัพบล็อกนี้ให้ได้สักอาทิตย์ละเรื่อง จริง ๆ ในเดือนแรกของปีก็มีอะไรที่อยากจะเขียนถึงอยู่นะครับ แต่พอไม่มีเวลาเข้าเรื่องมันก็ผ่านไปจนหมดความน่าสนใจไปแล้ว และบางครั้งก็ลืมไปด้วยว่าตั้งใจจะเขียนเรื่องอะไร เฮ้อผมถ้าจะแก่แล้วจริง ๆ เอ้ากลับมาที่เรื่องที่จะเขียนวันนี้ดีกว่า บอกตามตรงว่าคิดหัวข้อภาษาไทยไม่ออก แต่พอดีคิดถึงหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งที่เคยดูสมัยยังเป็นหนุ่ม (มากกว่าตอนนี้) ได้ ก็คือเรื่อง Nothing but trouble และคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่จะมาเล่าให้ฟังวันนี้ครับ สำหรับเรื่อง Nothing but trouble นี่มีดาราดังอย่าง Demi Moore เล่นด้วยนะครับ แต่เป็นหนังที่ผมคิดว่าไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร เท่าที่จำได้คร่าว ๆ ก็คือเรือง ๆ ของเรื่องมันเริ่มจากเรื่องที่ไม่น่าจะมีอะไร จากการทำผิดกฏจราจรในเรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไม่ได้หยุดรถที่ป้ายหยุดในเมืองเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีรถวิ่ง แล้วก็นำไปสู่เรื่องไร้สาระมากมาย ผมลองไปค้นดูพบว่า Wikipedia เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านดูได้ตามลิงก์นี้ครับ Nothing but trouble (1991 film)

แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องของพนักงานในร้าน Applebee ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารในอเมริกาถูกไล่ออกด้วยสาเหตุมาจากการที่ไปโพสต์รูปใบเสร็จที่มีลายเซ็นและข้อความของลูกค้าที่แสดงความไม่พอใจที่มีการคิดค่าทิปอัตโนมัติ โดยลูกค้าคนดังกล่าวรู้สึกว่าจะเป็นบาทหลวงเสียด้วยครับ นี่คือรูปเจ้าปัญหาที่ถูกโพสต์ขึ้นไปครับ
ภาพจาก http://news.yahoo.com/blogs/sideshow/applebees-waitress-fired-pastor-receipt-193820748.html
จากรูปจะเห็นว่าลูกค้าไม่พอใจและขีดฆ่าค่าทิปออก และยังเขียนข้อความเชิงประชดประชันว่าฉันให้พระเจ้าแค่ 10% ทำไมเธอถึงจะได้ 18% ล่ะ นอกจากนี้ยังเขียนคำว่า Pastor ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะหมายถึงบาทหลวงอยู่เหนือลายเซ็นด้วย

ซึ่งพนักงานคนหนึ่งได้โพสต์รูปนี้ขึ้นไปที่ reddit โดยเธอบอกว่าเธอไม่มีความตั้งใจจะโพสต์เพื่อต่อว่าลูกค้าหรือประจานอะไร แต่เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีและอยากจะแบ่งปันไปทั่ว ๆ โดยเธอได้ชี้แจงว่าการที่ค่าทิปถูกคิดอัตโนมัติ เพราะถ้าลูกค้ามาเป็นกลุ่มเกินแปดคนระบบจะคิดค่าทิปอัตโนมัติเธอไม่ได้เป็นคนคิด และลูกค้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเธอยังชมว่าเธอทำงานดีด้วยซ้ำ ปัญหาก็มีเพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจ่ายทิปก็แค่นั้น  

แต่เรื่องราวกลับมาเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะว่าหลังจากรูปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ลูกค้าคนดังกล่าวก็ได้มาร้องเรียนกับผู้จัดการร้านว่ารูปดังกล่าวทำให้เขาได้รับความอับอาย เพราะลายเซ็นของเขาบนใบเสร็จใบนั้นมีคนหลายคนที่จำได้ เป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาต่อชุมชน ซึ่ง Applebee ได้ตอบสนองต่อคำร้องเรียนนี้ด้วยการไล่พนักงานคนดังกล่าวออกครับ ย้ำอีกทีครับว่าไล่ออก ด้วยเหตุผลละเมิดความเป็นส่วนตัว 

อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกกันอย่างไรบ้างครับ เรื่องทีเกิดขึ้นมันเริ่มจากเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ ในยุคนี้ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเราที่จะแชร์โน่นแชร์นี่ขึ้นอินเทอร์เน็ต แต่จากตัวอย่างนี้เราก็คงต้องระมัดระวังกันให้มากขึ้นแล้วล่ะครับ และผมก็เห็นว่าตอนนี้คนไทยก็เริ่มระวังกันมากขึ้นนะครับ อย่างที่เห็นล่าสุดก็คือมีการถ่ายรูปรถที่เป็นพวกจอมปาด (ไม่ใช่ปราชญ์) ชอบมาแซงคิวเขาขึ้นสะพานในขณะที่คนอื่นเขาต่อคิวกันอยู่ ก็มีการเบลอป้ายทะเบียนไว้

สุดท้ายก็คงสรุปว่าในต่างประเทศเขาให้ความเคารพสิทธิของลูกค้าและความเป็นส่วนตัวกันค่อนข้างมากนะครับ ถ้าเทียบกับประเทศเราแล้วก็คนละเรื่องกันเลย แต่กรณีนี้ถึงกับไล่ออกเลยผมว่ามันก็อาจจะมากไปหน่อยหรือเปล่า เพราะถ้าดูแล้วพนักงานก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้เสียหาย และข้อความที่อยู่ในใบเสร็จในสายตาผมก็ไม่ใช่ข้อความที่จะทำให้ชื่อเสียงของคนเขียนเสียหายอะไร หรือจะเป็นเพราะคนเขียนเป็นบาทหลวงแต่มาสารภาพว่าให้พระเจ้าแค่ 10% เดี๋ยวชาวบ้านจะไม่นับถือ...      

ที่มา Yahoo News!