แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ General แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ General แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

หลักการสำคัญ 9 ประการที่นำไปสู่นวัตกรรมของ Google

สวัสดีปีใหม่ 2557 ครับ ขอถือโอกาสนี้เขียนบล็อกแรกของปีให้อ่านกันเลยก็แล้วกันครับ ตอนแรกก็ยังไม่รู้จะเขียนอะไรดีเพราะผมว่าช่วงปลายปีที่แล้วพวกเราหลายคนคงจะเครียดและสนใจเรื่องการเมืองเป็นหลัก แม้แต่ผมเองยังจัดซะสามบล็อกติดกัน แต่บล็อกแรกของปีนี้ผมไม่อยากจะเขียนอะไรที่มันเครียด ๆ กันก่อนตั้งแต่ต้นปีครับ ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่ามีคนแบ่งปันลิงก์เกี่ยวกับแนวทางที่ทำให้ Google เป็นบริษัทที่สร้างสรรค์นวัตกรรมต่าง ๆ มากมาย ก็เลยคิดว่าเรื่องนี้แหละที่น่าจะนำมาเขียน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับทุกคนที่มีโอกาสได้อ่าน เผื่อจะสามารถนำไปประยุกต์กับการทำงานของเราในปีนี้ได้บ้าง

สำหรับต้นฉบับของเรื่องนี้ก็คือ GOOGLE REVEALS ITS 9 PRINCIPLES OF INNOVATION โดยคุณ Kathy Chin Leong ในบทความนี้ได้สรุปสิ่งที่คุณ Gopi Kallayil ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายกิจการสังคม (ไม่รู้จะใช่ไหมนะครับในภาษาอังกฤษใช้คำว่า chief social evangelist ) ได้พูดถึงหลักสำคัญ 9 ข้อที่ทำให้ Google เป็นบริษัทที่มีการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ อย่างมากมายออกมาให้เราใช้กัน ลองมาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง

1. นวัตกรรมมาได้จากทุกที่ทุกทาง ไม่ว่าจะมองจากบนลงล่าง ล่างขึ้นบนหรือแม้แต่ในจุดที่ไม่ได้คาดคิดไว้ ในบทความได้ยกตัวอย่างของคุณหมอซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานของ Google ได้พยายามผลักดันให้การค้นหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย (ในสหรัฐ) มีการแสดงเบอร์โทรฟรีสำหรับศููนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายอยู่ทางด้านบนของจอ

2.  มุ่งเป้าไปที่ผู้ใช้ เรื่องเงินเอาไว้ทีหลัง ตัวอย่างก็คือการค้นหาทันใจ (instant search) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นแต่อาจทำให้ผู้ใช้ไม่ได้ดูโฆษณาซึ่งเป็นแหล่งที่มาของรายได้หลักของ Google ซึ่ง Google ก็ยอมที่จะเสี่ยงในส่วนนี้ โดยแนวคิดก็คือให้ผู้ใช้ได้ประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมไปแล้วรายได้ก็จะตามมาเอง

3. ตั้งเป้าว่าจะดีขึ่นสิบเท่า การตั้งเป้าว่าจะทำให้ดีขึ้นแค่สิบเปอร์เซนต์เราก็จะทำได้แค่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ถ้าต้องการจะเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างนวัตกรรมที่ปฏิวัติวงการจะต้องตั้งเป้าว่าจะทำให้ดีขึ้นสิบเท่า และนั่นจะทำให้เราต้องคิดนอกกรอบ ตัวอย่างของข้อนี้ก็คือโครงการ Google Books ซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งตั้งเป้าว่าจะสแกนหนังสือทั้งหมดเพื่อทำให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล โดย Lary Page ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Google ถึงกับลงมือสร้างเครื่องสแกนหนังสือขึ้นมาเองเลย สำหรับหนังสือตอนนี้ก็สแกนไปได้แล้วกว่า 30 ล้านเล่ม

4.  ใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคให้เป็นประโยชน์ เขายกตัวอย่างถึงแนวคิดของรถไร้คนขับ ซึ่งจริง ๆ แล้ว Google เองไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่ Google มีเทคโนโลยีที่สามารถใช้เป็นพื้นฐานอย่าง Google Maps Google Earth และ รถที่ใช้ทำ Street View โดยการร่วมมือกับทีมปัญญาประดิษฐ์ที่มหาวิทยาลัย Stanford ก็ทำให้ Google สามารถสร้างรถที่ไม่ต้องมีคนขับซึ่งสามารถเดินทางไปกลับเป็นระยะทางไกลได้จริง

5. ปล่อยออกมาก่อนแล้วค่อยปรับปรุง แนวคิดนี้คือไม่ต้องรอให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์ ส่งไปให้ผู้ใช้ใช้ก่อน แล้วให้ผู้ใช้นั่นแหละเป็นผู้ช่วยปรับปรุง ตัวอย่างของโครงการที่ใช้วิธีนี้ก็เช่น Google Chrome ซึ่งเปิดตัวมาในปี 2008 และ Google ปล่อยตัวปรับปรุงออกมาทุกหกสัปดาห์

6. ให้เวลาร้อยละยี่สิบแก่พนักงาน แนวคิดนี้คือให้พนักงานได้ใช้เวลาในการทำโครงการที่ตัวเองอยากทำที่ไม่ใช่งานประจำที่ตัวเองทำอยู่ โดยจะให้เวลาร้อยละยี่สิบแก่พนักงานในการทำโครงการดังกล่าว พูดง่าย ๆ ก็คือในเวลางานห้าวัน ก็ให้เวลาวันหนึ่งที่พนักงานจะได้ทดลองทำสิ่งที่เป็นแนวคิดของตัวเอง สิ่งที่ได้จากการทำแบบนี้ก็คืออาจจะได้ผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ หรืออาจได้เทคนิคหรือแนวคิดที่จะนำไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิม

7. ให้กระบวนการทำงานเป็นแบบเปิด คือเปิดโอกาสให้ทั้งนักพัฒนาภายนอก หรือแม้แต่ผู้ใช้เองมีส่วนร่วมในโครงการ ตัวอย่างเช่นการเปิดให้นักพัฒนามาช่วยกันพัฒนาแอพต่าง ๆ ให้กับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์

8. ล้มให้เป็น ไม่ควรตำหนิความล้มเหลว แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่ดีสุด ๆ ก็ต้องถูกยกเลิกไป แต่สิ่งที่สามารถดึงมาใช้ได้ก็คือส่วนดีที่สุดของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เขาบอกว่าความล้มเหลวคือเครื่องหมายของเกียรติยศ ความล้มเหลวคือหนทางที่จะนำไปสู่นวัตกรรมและความสำเร็จ ดังนั้นจงล้มเหลวด้วยความภาคภูมิใจเถอะ

9. ภารกิจที่ทำมีความสำคัญ เขาบอกว่านี่คือข้อที่สำคัญที่สุดใน 9 ข้อนี้ เขาบอกว่าคนที่ Google ทุกคนมีความตั้งใจแรงกล้าที่จะทำตามภารกิจและจุดประสงค์ให้สำเร็จ เพราะพวกเขาเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะมีผลในทางบวกกับผู้คนเป็นล้าน ๆ คน

ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ สวัสดีปีใหม่อีกครั้งครับ ...

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Nothing but trouble

สวัสดีครับ เวลาผ่านไปไวมากตอนนี้ปีใหม่ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ผมยังแทบไม่ได้ทำอะไรที่วางแผนไว้เลยรวมถึงเรื่องที่ว่าจะอัพบล็อกนี้ให้ได้สักอาทิตย์ละเรื่อง จริง ๆ ในเดือนแรกของปีก็มีอะไรที่อยากจะเขียนถึงอยู่นะครับ แต่พอไม่มีเวลาเข้าเรื่องมันก็ผ่านไปจนหมดความน่าสนใจไปแล้ว และบางครั้งก็ลืมไปด้วยว่าตั้งใจจะเขียนเรื่องอะไร เฮ้อผมถ้าจะแก่แล้วจริง ๆ เอ้ากลับมาที่เรื่องที่จะเขียนวันนี้ดีกว่า บอกตามตรงว่าคิดหัวข้อภาษาไทยไม่ออก แต่พอดีคิดถึงหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งที่เคยดูสมัยยังเป็นหนุ่ม (มากกว่าตอนนี้) ได้ ก็คือเรื่อง Nothing but trouble และคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่จะมาเล่าให้ฟังวันนี้ครับ สำหรับเรื่อง Nothing but trouble นี่มีดาราดังอย่าง Demi Moore เล่นด้วยนะครับ แต่เป็นหนังที่ผมคิดว่าไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร เท่าที่จำได้คร่าว ๆ ก็คือเรือง ๆ ของเรื่องมันเริ่มจากเรื่องที่ไม่น่าจะมีอะไร จากการทำผิดกฏจราจรในเรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไม่ได้หยุดรถที่ป้ายหยุดในเมืองเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีรถวิ่ง แล้วก็นำไปสู่เรื่องไร้สาระมากมาย ผมลองไปค้นดูพบว่า Wikipedia เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านดูได้ตามลิงก์นี้ครับ Nothing but trouble (1991 film)

แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องของพนักงานในร้าน Applebee ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารในอเมริกาถูกไล่ออกด้วยสาเหตุมาจากการที่ไปโพสต์รูปใบเสร็จที่มีลายเซ็นและข้อความของลูกค้าที่แสดงความไม่พอใจที่มีการคิดค่าทิปอัตโนมัติ โดยลูกค้าคนดังกล่าวรู้สึกว่าจะเป็นบาทหลวงเสียด้วยครับ นี่คือรูปเจ้าปัญหาที่ถูกโพสต์ขึ้นไปครับ
ภาพจาก http://news.yahoo.com/blogs/sideshow/applebees-waitress-fired-pastor-receipt-193820748.html
จากรูปจะเห็นว่าลูกค้าไม่พอใจและขีดฆ่าค่าทิปออก และยังเขียนข้อความเชิงประชดประชันว่าฉันให้พระเจ้าแค่ 10% ทำไมเธอถึงจะได้ 18% ล่ะ นอกจากนี้ยังเขียนคำว่า Pastor ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะหมายถึงบาทหลวงอยู่เหนือลายเซ็นด้วย

ซึ่งพนักงานคนหนึ่งได้โพสต์รูปนี้ขึ้นไปที่ reddit โดยเธอบอกว่าเธอไม่มีความตั้งใจจะโพสต์เพื่อต่อว่าลูกค้าหรือประจานอะไร แต่เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีและอยากจะแบ่งปันไปทั่ว ๆ โดยเธอได้ชี้แจงว่าการที่ค่าทิปถูกคิดอัตโนมัติ เพราะถ้าลูกค้ามาเป็นกลุ่มเกินแปดคนระบบจะคิดค่าทิปอัตโนมัติเธอไม่ได้เป็นคนคิด และลูกค้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเธอยังชมว่าเธอทำงานดีด้วยซ้ำ ปัญหาก็มีเพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจ่ายทิปก็แค่นั้น  

แต่เรื่องราวกลับมาเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะว่าหลังจากรูปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ลูกค้าคนดังกล่าวก็ได้มาร้องเรียนกับผู้จัดการร้านว่ารูปดังกล่าวทำให้เขาได้รับความอับอาย เพราะลายเซ็นของเขาบนใบเสร็จใบนั้นมีคนหลายคนที่จำได้ เป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาต่อชุมชน ซึ่ง Applebee ได้ตอบสนองต่อคำร้องเรียนนี้ด้วยการไล่พนักงานคนดังกล่าวออกครับ ย้ำอีกทีครับว่าไล่ออก ด้วยเหตุผลละเมิดความเป็นส่วนตัว 

อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกกันอย่างไรบ้างครับ เรื่องทีเกิดขึ้นมันเริ่มจากเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ ในยุคนี้ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเราที่จะแชร์โน่นแชร์นี่ขึ้นอินเทอร์เน็ต แต่จากตัวอย่างนี้เราก็คงต้องระมัดระวังกันให้มากขึ้นแล้วล่ะครับ และผมก็เห็นว่าตอนนี้คนไทยก็เริ่มระวังกันมากขึ้นนะครับ อย่างที่เห็นล่าสุดก็คือมีการถ่ายรูปรถที่เป็นพวกจอมปาด (ไม่ใช่ปราชญ์) ชอบมาแซงคิวเขาขึ้นสะพานในขณะที่คนอื่นเขาต่อคิวกันอยู่ ก็มีการเบลอป้ายทะเบียนไว้

สุดท้ายก็คงสรุปว่าในต่างประเทศเขาให้ความเคารพสิทธิของลูกค้าและความเป็นส่วนตัวกันค่อนข้างมากนะครับ ถ้าเทียบกับประเทศเราแล้วก็คนละเรื่องกันเลย แต่กรณีนี้ถึงกับไล่ออกเลยผมว่ามันก็อาจจะมากไปหน่อยหรือเปล่า เพราะถ้าดูแล้วพนักงานก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้เสียหาย และข้อความที่อยู่ในใบเสร็จในสายตาผมก็ไม่ใช่ข้อความที่จะทำให้ชื่อเสียงของคนเขียนเสียหายอะไร หรือจะเป็นเพราะคนเขียนเป็นบาทหลวงแต่มาสารภาพว่าให้พระเจ้าแค่ 10% เดี๋ยวชาวบ้านจะไม่นับถือ...      

ที่มา Yahoo News!

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สัญญาณสิบประการที่บอกว่าเราอาจไม่เหมาะกับงานด้านไอที

จะปีใหม่แล้วเห็นหลาย ๆ ที่ เขาจัดอันดับนู่นนี่นั่นประจำปีกัน ผมก็เลยลองหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ ว่า เราจะเอาอะไรมาเขียนจัดอันดับกับเขาดีไหม ค้นไปค้นมาก็มาเจอบล็อกนี้เข้าครับ 10 signs that you aren't cut out for IT ไม่ได้เกี่ยวกับการจัดอันดับอะไร แต่เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ คือในบล็อกนี้เขาได้สรุปสัญญาณ 10 ประการว่าถ้าเกิดขึ้นกับคนที่ทำงานอยู่ในสายไอทีแล้ว อาจต้องกลับมาคิดว่าเราเหมาะกับงานนี้หรือไม่ ลองมาดูกันครับ

 1. คุณเป็นคนไม่อดทน เขาอธิบายว่างานสายนี้ต้องอดทนในการแก้ปัญหา และยังต้องอดทนกับผู้ใช้อีกด้วย ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่รับงานพัฒนาระบบมานานมากแล้ว เพราะผมเบื่อผู้ใช้นี่แหละ
2.  คุณเป็นคนที่ไม่ชอบที่จะเรียนต่อไปเรื่อย ๆ อันนี้เหมือนที่ผมบอกนักศึกษาเสมอครับว่าเทคโนโลยีด้านนี้มันเปลี่ยนแปลงไปตลอด ดังนั้นเราจะต้องพร้อมที่จะเรียนรู้เสมอ
3.  คุณไม่ยอมทำงานนอกเวลา (9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น) ชัด ๆ ครับ งานด้านนี้ต้องพร้อมทำงานนอกเวลาเสมอ โปรแกรมยังไม่เสร็จแต่ใกล้ถึงเส้นตายแล้ว เซอร์ฟเวอร์ล่มตอนเที่ยงคืนอะไรประมาณนี้ ซึงพูดถึงตรงนี้ผมยังแปลกใจมุนินทร์(แรงเงา) นะครับ ว่าทำไมมีเวลาไปวางแผนแก้แค้นใครต่อใครได้ร้ายกาจอย่างนั้น
4. คุณไม่ชอบคน เขาบอกว่างานด้าน IT มีจุดประสงค์หลักอันหนึ่งก็คือสนับสนุนผู้ใช้ ดังนั้นถ้าคุณไม่ชอบคนก็ไม่น่าทำงานด้านนี้ แต่อันนี้ผมว่าไม่เฉพาะด้านไอทีนะ ถ้าคุณทำงานด้านบริการไม่ว่าอะไรก็ตามคุณต้องมีตรงนี้
5. คุณยอมแพ้ง่ายเกินไป อันนี้ผมว่าคล้าย ๆ ข้อแรกนะ คือไม่อดทน ตรงนี้ขอคุยกับนักศึกษาหน่อยแล้วกันครับ คือหลาย ๆ ครั้งที่ผมให้งานไปค้นคว้านี่คือผมต้องการให้คุณไปค้นคว้าและหาคำตอบด้วยตัวเองนะครับ แต่หลายคนมักจะกลับมาถามและมักจะบอกว่าค้นไม่เจอทำไม่ได้ ซึ่งผมต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้คุณมีเครื่องมือให้ค้นคว้าอะไรได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมากเลยนะครับ ดังนั้นใช้ความพยายามหน่อยนะครับ ผมจะบอกว่าคำตอบของปัญหายาก ๆ ที่เราสามารถแก้ได้ด้วยตัวเองนี่มันน่าภาคภูมิใจนะครับ
6. คุณหงุดหงิดง่าย อันนี้ก็คล้าย ๆ ข้อแรกอีกเหมือนกัน แต่เขาขยายความว่าเมื่อคุณโกรธ คุณก็เสียเวลาไปกับความโกรธนั่นแหละ แทนที่จะเอาเวลามาแก้ปัญหา
7. คุณทำงานหลายงานพร้อมกันไม่ได้ เพราะคุณอาจต้องรับผิดชอบโครงการหลายโครงการ ซึ่งถ้าคุณสามารถทำงานได้ทีละอย่างก็จะทำให้ชีวิตของคุณยากขึ้น นอกจากงานแล้วอย่าลืมว่าเรายังมีเรื่องส่วนตัวต้องรับผิดชอบด้วยนะ พูดถึงตรงนี้นี่อาจแสดงว่ามุนินทร์เป็นคนที่มีความสามารถแบบนี้ก็ได้ ถึงได้มีเวลาไปแก้แค้นได้
8. คุณมีความฝันที่จะก้าวหน้าขึ้นไปในระดับสูงในอาชีพ ถ้าเป็นอย่างนี้เขาบอกว่าคุณไม่เหมาะ เพราะงานสายนี้อาจพาคุณไปได้สูงสุดแค่ CIO แต่ถ้าคุณฝันถึง CEO งานสายนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ
9. คุณเกลียดเทคโนโลยี อันนี้ผมว่าคล้ายข้อสองนะ และคงชัดเจนว่าถ้าคุณเกลียดเทคโนโลยี คุณก็อาจจะไม่ยอมเรียนรู้ และไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้ได้ความรู้ใหม่ ๆ คุณอาจจะยึดติดกับเทคนิควิธีการแก้ไขปัญหาแบบเก่า ๆ ซึ่งล้าสมัยไปแล้ว คุณอาจไม่ยอมรับการเข้ามาของอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งคุณมองว่าทำให้ชีวิตของคุณยากขึ้นเพราะต้องมาเรียนรู้วิธีการพัฒนาโปรแกรมแบบใหม่เป็นต้น
10. คุณปิดมือถือตอนกลางคืน อันนี้ก็คงเกี่ยวข้องกับข้อ 3 เพราะถ้าคุณปิดโทรศัพท์ก็เท่ากับบอกกลาย ๆ ว่านอกเวลางานแล้วอย่ามายุ่งกับฉันนะอะไรประมาณนี้ ดูไปดูมานี่มันจะคล้ายหมอขึ้นทุกทีแล้วนะ ต้องตามตัวได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 ยังไงก็ตามเขาบอกว่าถ้าคุณมีสิ่งเหล่านี้สักสองสามข้อก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะออกจากงานด้านนี้ไปทันทีนะครับ เขาบอกว่ามันแค่อาจเป็นสัญญาณว่าคุณอาจจะต้องกลับไปเรียนต่อเพื่อที่จะพาคุณไปทำงานในสิ่งที่คุณชอบ และผมไม่อยากบอกเลยว่าผมอาจเป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ เพราะผมลองตามลิงก์งานที่เป็นทางเลือกให้คนที่ไม่ชอบทำงานด้านไอทีตรง ๆ งานหนึ่งก็คือสอนหนังสือนี่เอง และมันก็เป็นงานที่ผมชอบจริง ๆ ซะด้วย

ปีใหม่นี้ก็ขอให้ทุกคนหาตัวเองให้เจอนะครับว่าชอบงานอะไร และขอให้มีความสุขกับการทำงานนะครับ สวัสดีปีใหม่ 2556 ล่วงหน้าไว้ก่อนนะครับ

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

คำเตือนสำหรับผู้ที่จะใช้โปรแกรมช่วยคำนวณภาษี

สวัสดีครับวันนี้ผมมีข้อแนะนำสำหรับคนที่จะใช้โปรแกรมช่วยคำนวณภาษีของกรมสรรพากรเพื่่อช่วยคำนวณภาษีมาฝากครับหวังว่าคงไม่สายเกินไปนะ ก่อนอื่นสำหรับคนที่เพิ่งจะเคยเสียภาษีเป็นครั้งแรก หรือเพิ่งอยากจะลองยื่นภาษีออนไลน์ กรมสรรพากรเขาได้อำนวยความสะดวกด้วยการจัดเตรียมโปรแกรมช่วยคำนวณภาษีไว้ให้ โดยให้เราป้อนข้อมูลเงินได้ ค่าลดหย่อนต่าง ๆ ของเรา และโปรแกรมก็จะคำนวณภาษีให้ ที่ดีไปกว่านั้นก็คือเราสามารถจัดเก็บข้อมูลลงไฟล์ แล้วอั๊พโหลดขึ้นเว็บของกรมสรรพากรในกรณีที่เราต้องการจะยื่นแบบภาษีออนไลน์ได้เลย  โดยเราสามารถดาวน์โหลดโปรแกรมได้จากเว็บนี้ครับ http://rdserver.rd.go.th/publish/page901_ty54.htm

ผมเพิ่งจะยื่นออนไลน์ไปเมื่อสักครู่นี้เองครับ จริง ๆ น่าจะยื่นได้ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว แต่โปรแกรมช่วยคำนวณนี้ยังมีข้อผิดพลาดอยู่ครับ ทำให้ผมต้องนั่งกรอกข้อมูลซ้ำซากอยู่สามครั้งกว่าจะบันทึกข้อมูลได้ จำได้ว่าปีก่อนหน้าก็ไม่เคยเจอข้อผิดพลาดนี้นะครับ แต่ทำไมปีนี้เจอก็ไม่รู้ครับ  มาดูกันครับว่าข้อผิดพลาดที่ผมเจอคืออะไร สำหรับผมยื่นแบบ ภงด. 90 นะครับ สำหรับภงด. แบบนี้จะมีให้เรากรอกทั้งหมด 10 หน้า โปรแกรมนี้ก็จะให้เรากรอกจนถึงหน้่าสุดท้าย  (หน้าไหนไม่เกี่ยวกับเราก็ข้ามไปได้ครับ)  แล้วจึงจะสั่งจัดเก็บได้ ข้อผิดพลาดที่ผมเจอคือ เมื่อผมสั่งจัดเก็บโปรแกรมก็บอกว่ามีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น แล้วก็หลุดออกไปครับ นั่นคือสิ่งที่ผมป้อนไว้ก่อนหน้าก็ลาโลกตามโปรแกรมไปด้วยเช่นกัน คราวนี้ปัญหาเกิดจากอะไร ซึ่งผมลองวิเคราะห์ดูน่าจะเกิดจากสาเหตุสองประการครับ เพราะครั้งที่สามที่ผมหลีกเลี่ยงสองประการดังกล่าวแล้วมันทำงานได้ครับ สองประการที่ว่ามีอะไรบ้าง

1. ห้ามเปิดไฟล์เก่าของปีที่แล้วมาแก้ โปรแกรมจะปล่อยให้คุณแก้ไปจนเสร็จก่อน แล้วพอสั่งจัดเก็บก็จะ  error แล้วก็หลุดออกไป (ทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้ ถ้าชอบของสด ๆ ซิง ๆ ก็น่าจะบอกกันก่อน)
2. อย่าพยายามเปลี่ยนโฟลเดอร์ที่่โปรแกรมใช้จัดเก็บไฟล์ ถ้าพยายามทำอย่างนั้น โปรแกรมก็อาจจะ error และหลุดออกไปเช่นกัน (ขอโทษนะครับ ทีหลังผมจะเชื่อฟังครับ ไม่น่าโหดร้ายขนาดนี้เลย)

สุดท้ายมีอีกจุดหนึ่งที่ผมขอเตือนไว้ครับ เพราะปีที่แล้วโดนมากับตัวคือโดนให้จ่ายภาษีย้อนหลังเพราะสรรพากรบอกว่าผมคำนวณภาษีผิด (ผมใช้โปรแกรมคุณคำนวณนะ)  คือถ้าใครผ่อนบ้านอยู่ มันจะมีช่องให้คุณกรอกลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านที่คุณผ่อนอยู่ได้ ถ้าคุณมีภรรยา เวลาคุณกรอกดอกเบี้ยลงไปเท่าไหร่ก็ตาม มันจะเอายอดนั้นไปขึ้นที่ภรรยาคุณด้วย ซึ่งสรรพากรบอกว่าอย่างนี้ผิดนะครับ (โปรแกรมมันทำให้นะย้ำอีกรอบ) เพราะถือว่าคุณหักภาษีเกิน คุณต้องหารครึ่งยอดนั้่นด้วยตัวคุณเองแล้วค่อยกรอกลงไป (สุดยอดไหมล่ะครับท่านทั้งหลาย)

ก็มีคำเตือนอยู่เท่านี้ล่ะครับ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีด้วยการเสียภาษีให้ประเทศชาตินะครับ





วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

ต้องจ้างเท่าไรให้หยุดใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งปี

เวลาผ่านไปเร็วมากเผลอแป๊บเดียวเดือนที่สามของปีกำลังจะผ่านไปแล้ว ที่ตั้งใจไว้วางแผนไว้ก็ยังไม่ได้ทำตามเป้าหมายสักเท่าไรเลยครับ เรื่องบล็อกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยังทำไม่ได้ จริง ๆ ตั้งใจจะเขียนอย่างน้อยสัปดาห์ละเรื่องแต่ตอนนี้ก็เว้นไปจะสามเดือนแล้วครับ เอาน่าคราวนี้ขอตั้งมาตั้งใจใหม่รับปีใหม่ไทยที่กำลังจะมาถึงแล้วกันครับ

สำหรับวันนี้้ผมอยากจะตั้งคำถามตามชื่อบทความวันนี้ให้คิดกันครับว่า จะต้องจ้างเราสักเท่าไรดีเพื่อให้เราหยุดใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งปี ซึ่งคำถามนี้ผมได้มาจากการอ่านบทความชื่อ How Much Money Would It Take For You to Give Up The Internet For a Year?   ซึ่งผู้เขียนบทความได้นำผลสำรวจจาก Boston Consulting Group (BCG) ซึ่งได้สอบถามคำถามนี้กับประชาชนในกลุ่มประเทศ G-20 ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นดังนี้ครับ ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ $1,430 หรือประมาณ 44,330 บาท ถ้าแยกเป็นประเทศก็มีตัวอย่างดังนี้ครับ $323 ในตุรกี $1,215 ในแอฟริกาใต้ $1,287 ในบราซิล $4,453 ในฝรั่งเศส $3,450 ในอังกฤษ และ $2,500 ในสหรัฐอเมริกา

เห็นข้อมูลนี้แล้วคิดยังไงกันบ้างครับมากไปหรือน้อยไป สำหรับผมกับเจ้าของบทความคิดตรงกันครับว่ามันค่อนข้างจะน้อยเกินไป และที่น่าประหลาดใจก็คือที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศแห่งเทคโนโลยี ค่าเฉลี่ยต่ำมากครับคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 77,500 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ามาจ้างผมเท่านี้ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลยครับ

คราวนี้มาดูว่าทำไมผมถึงคิดว่ามันต่ำครับ ก่อนอื่นต้องแยกประเด็นก่อนนะครับว่ากรณีนี้ไม่ใช่กรณีที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ แต่เป็นกรณีที่มีให้ใช้ คนอื่นใช้แต่เราไม่ได้ใช้ ถ้าเป็นกรณีที่ไม่มีใช้นี่ผมอยู่ในยุคนั้นมาแล้ว ยุคที่การหาข้อมูลยังต้องพึ่งพาอาศัยห้องสมุดเป็นหลัก ต้องสั่งหนังสือผ่านร้านหนังสือรอกันทีเป็นเดือน ยุคที่ต้องถ่ายเอกสารรูปจากหนังสือมาลงแผ่นใสเพื่อสอน ดังนั้นผมเชื่อว่าผมอยู่ได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่คนอื่นเขาใช้และเราไม่ได้ใช้ผมคิดว่ามันทำให้เราเสียประสิทธิภาพในการทำงานและการดำเนินชีวิตไปเลยนะครับ ในขณะที่คนอื่นเขาสามารถค้นข้อมูลที่ต้องการได้ภายในไม่กี่นาที สามารถสั่งอีบุ๊คมาอ่านได้ทันที สามารถติดต่อสื่อสารได้ตามต้องการ เราต้องขับรถ ขึ้นรถไฟฟ้า ปั่นจักรยานหรือเดินไปห้องสมุด ซึ่งข้อมูลที่ได้จากห้องสมุดก็อาจไม่ทันสมัย เราต้องรอหนังสือที่สั่งไปประมาณอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์  เราต้องติดต่อธุรกิจกับคนอื่นผ่านทางไปรษณีย์แบบด่วนทันใจ (ems) :) ซึ่งคงไม่ทันใจเท่าไรแล้วในยุคนี้ แค่คิดก็เหนื่อยแล้วครับ :(

ถ้าถามว่าเท่าไรถึงจะจ้างผมได้  ผมยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดครับแต่คิดว่าไม่น่าต่ำกว่าเจ็ดหลัก (มากไปเปล่าเพ่...) และมันขึ้นอยู่กับอีกคำถามหนึ่งซึ่งเจ้าของบทความเขาก็ถามทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า "แล้วจะทำได้หรือ?" นั่นสิแล้วผมจะทำได้หรือ ผมจะทนพลาดดราม่าต่าง ๆ บน twitter และ facebook ได้ยังไงกัน!

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้พบในสัปดาห์ที่ผ่านมา

สวัสดีครับไม่ได้เขียนบล็อกมาเสียนาน วันนี้ขอเขียนเสียหน่อยเพราะอยากจะบันทึกเรื่องดี ๆ ที่ได้เจอในสัปดาห์นี้ไว้ก่อนที่จะเริ่มสัปดาห์ใหม่ ตอนนี้ต้องบอกว่าผมกำลังเริ่มเข้าสู่โหมดการเปิดเทอมเกือบเต็มรูปแบบ ที่ผมเรียกอย่างนี้ก็เพราะว่าผมเริ่มโหมดการเปิดเทอมตั้งแต่เมื่อกลางเดือนที่แล้วคือลูกเริ่มเปิดเทอมก่อนและผมก็ต้องเริ่มขับรถเข้าเมืองเพื่อรับส่งลูก จากนั้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามหาวิทยาลัยที่เป็นอาจารย์ประจำก็เริ่มเปิดเทอม และอีกสักสองอาทิตย์จากนี้เมื่อมหาวิทยาลัยที่ผมได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษอยู่เปิดทั้งหมดก็เท่ากับผมเข้าสู่โหมดเปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบครับ

ขนาดที่ยังไม่ได้เปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบผมก็เริ่มเหนื่อยแล้วครับ เพราะเดี๋ยวนี้รถติดเหลือเกินและฝนยังตกอีกทำให้เพิ่มความติดมากขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมได้ประสบมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ทำให้มีความรู้สึกดีขึ้นครับ สิ่งนั้นก็คือผมพบว่าน้ำใจของคนไทยในเมืองหลวงยังมีอยู่ครับ เรื่องแรกเป็นน้ำใจของร้านขายอาหารครับ เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาลูกชายคนโตของผมมาบอกว่าเขาต้องใช้ใบกะเพราเพื่อทดลองวิทยาศาสตร์ จริง ๆ ในบ้านผมก็ปลูกกะเพราไว้เหมือนกัน ผมก็เลยดุเขาไปว่าทำไมไม่บอกตั้งแต่เย็นตอนนี้มันดึกแล้ว แล้วผมก็บอกลูกว่าให้เขียนกระดาษไปแปะไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ตอนเช้าจะได้ไม่ลืมไปเก็บก่อนไปโรงเรียน ปรากฏว่าคุณลูกชายไม่ได้เขียนครับ ผลลัพธ์ก็คือ ... ใช่แล้วครับเราลืมครับ พอไปถึงโรงเรียนท่านลูกก็นึกขึ้นมาได้ครับ ทำยังไงดีล่ะครับทีนี้ ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ยุ่งแล้วเพราะจะปล่อยให้เขาได้รับผลจากการไม่รับผิดชอบของเขา แต่พอดีมันเป็นงานกลุ่มและเขารับปากว่าจะเอากะเพราไป ผมก็เลยพาเขาไปที่โรงอาหาร และก็ตั้งใจว่าจะไปขอซื้อใบกะเพราจากร้านอาหารตามสั่ง เมื่อไปถึงร้านผมก็ถามว่ามีใบกะเพราไหมจะขอซื้อให้นักเรียนไปทดลองวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่าแม่ค้าก็เดินไปหยิบมาให้สองกิ่งใหญ่ครับและไม่คิดเงินด้วย ถึงแม้จะดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ผมคิดว่านี่คือน้ำใจของคนไทยครับ

เรื่องที่สองเป็นน้ำใจของร้านขายมือถือครับ คือผมเห็นว่าแผ่นกันรอยมือถือที่ผมใช้อยู่มันเริ่มเป็นรอยมากแล้ว และบังเอิญผมมีแผ่นกันรอยมือถืออยู่อีกแผ่นหนึ่ง ไอ้ครั้นจะติดเองผมก็เป็นคนมีฝีมือดีเกินไปจนโอเวอร์โฟลว์กลับไปอีกข้างหนึ่ง ก็เลยไปที่ร้านมือถือให้เขาช่วยติดให้และผมกะว่าจะให้ค่าเสียเวลาตามสมควร ต้องบอกว่าผมไม่เคยเป็นลูกค้าของร้านนี้มาก่อนนะครับ ปรากฏว่าเมื่อไปถามทางร้านก็บอกว่าเอามาเถอะเดี๋ยวติดให้ไม่คิดเงิน ซึ่งก็ใช้เวลาติดอยู่นานเหมือนกันนะครับ เสียดายที่ผมจำชื่อร้านไม่ได้ ถ้ายังไงเดี๋ยววันหลังผ่านไปจะเอาชื่อร้านมาฝากครับ

เรื่องที่สามอันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องอะไรมากมาย เรื่องก็คือรถผมติดไฟแดงอยู่ที่แยกร่มเกล้าตัดกับรามคำแหง ซึ่งผมกำลังจะรอเลี้ยวขวาซึ่งไฟแดงมันนานมากจนหางแถวจนถึงคันที่ผมอยู่นี่มันก็เริ่มจะขวางทำให้รถที่ต้องการกลับรถไม่สามารถเข้าไปในช่องทางกลับรถได้ ซึ่งผมสังเกตุเห็นคันข้างหลังผมเขาต้องการจะกลับรถ ผมก็เลยพยายามขยับรถให้ติดไปที่คันหน้ามากที่สุดเพื่อเปิดช่องทาง ซึ่งคันหน้าผมพอเห็นอย่างนั้นก็ขยับเดินหน้าไปมากขึ้นผมก็ขยับตาม จนในที่สุดรถคันหลังผมก็สามารถเข้าช่องทางกลับรถได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ปรากฏว่ารถคันนั้นมาจอดข้างรถผมลดกระจกลงและกล่าวขอบคุณผม

จากเรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดดูเหมือนเหตุการณ์จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ซึ่งคนที่ทำให้อาจไม่ได้นึกอะไร แต่คนที่ได้รับนั้นเขาได้รับรู้ถึงน้ำใจที่แฝงอยู่ในการกระทำนั้น ดังนั้นผมอยากจะเชิญชวนให้พวกเราลองหันไปมองรอบ ๆ ตัวและลองแสดงน้ำใจเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคนรอบข้าง ผมว่าสังคมเราจะน่าอยู่ขึ้นมากครับ        

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรยา ในมุมมองของผม

สวัสดีครับ ไม่ได้เขียนบล็อกนี้มาเสียนาน จริง ๆ ก็มีหลายเรื่องที่อยากจะเขียนถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เรื่องการทำงานของรัฐบาลหรือการยุบสภา แต่ก็ไม่คิดอยากจะเขียนเพราะมันค่อนข้างจะเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ซึ่งผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะได้เคยพูดไปแล้วบ้างในบล็อก เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม เอาไว้ถ้ารู้สึกอึดอัดคับข้องมากกว่านี้ก็อาจจะมาเขียนระบายให้ฟังเพิ่มเติมอีก แต่ตอนนี้ขอรอไปลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ก็แล้วกัน (หวังว่าจะมีการเลือกตั้งนะ ถ้าใครทำให้มันไม่มีขอให้มีอันเป็นไปไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด)

เรื่องที่อยากเขียนในวันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะฮอตฮิตที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือเรื่องละครดอกส้มสีทอง โดยเฉพาะตัวละครเรยา ต้องบอกว่าละครเรื่องนี้เป็นละครที่ผมค่อนข้างจะติดตามมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เพราะความเข้มข้นของเนื้อหา และผู้แสดงเกือบทุกคนแสดงได้สมบทบาทมาก และอาจจะเพราะความสมบทบาทนี้ทำให้เกิดกระแสที่พูดถึงละครเรื่องนี้อย่างมากมายทั้งทางที่ดีและไม่ดี ผมก็เลยอยากจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้าง เน้นนะครับว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัว และผมไม่ได้คิดว่าคนที่คิดตรงข้ามกับผมจะเป็นฝ่ายที่ผิด สังคมที่ดีควรจะมีความคิดเห็นที่หลากหลายแตกต่างและนำมาแลกเปลี่ยนกันอย่างสร้างสรรค์ เราควรจะคิดต่างและอยู่ร่วมกันได้ อย่าให้เหมือนการเมืองซึ่งตอนนี้ถ้าใครคิดไม่เหมือนฉันนั่นคือศัตรูที่จะต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง  อ้าวว่าจะไม่พูดถึงการเมืองไหงลากเข้าไปจนได้ มาเข้าเรื่องดีกว่า

ในส่วนตัวผมบอกได้เลยว่าผมไม่เห็นด้วยเลยกับเสียงที่ออกมาให้แบนละครเรื่องดังกล่าวหรือจะไปตัดฉากที่เป็นการแสดงออกที่ไม่ดีของเรยาออกไป แต่ก็มีฉากอย่างเลิฟซีนบางฉากก็มากเกินไปเหมือนกัน ซึ่งผมว่าฉากแบบนี้อาจทำให้เบาลงพอที่ผู้ชมเข้าใจก็น่าจะพอแล้ว นอกจากฉากเลิฟซีนที่กล่าวถึงไปแล้วผมว่าโดยภาพรวมเนื้อหาถึงจะแรงแต่มันก็มีเหตุผลของมันอยู่ และเราต้องยอมรับว่าในสังคมของเราคนอย่างเรยาอาจจะมีอยู่จริง รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงทางช่องสามที่ผมได้ดูเมื่อเช้านี้ก็ได้นำบทสัมภาษณ์จากหนังสือพิมพ์มติชน (ถ้าจำไม่ผิด) ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยทำตัวเหมือนเรยามาเล่าให้ฟัง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้ แต่เราต้องยอมรับกันว่าสังคมทุกสังคมมีด้านมืดอยู่มีคนไม่ดีปะปนอยู่ในสังคมของเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าลูกหลานเราหรือแม้แต่ตัวเราจะไปเจอะเจอคนแบบนี้เมื่อไร ดังนั้นเมื่อมีละครนำมานำเสนอเราก็น่าจะนำมาคิดและวิเคราะห์ และก็หยิบยกมาคุยกับลูกหลานว่าถ้าเราเจอคนแบบนี้เราควรจะทำอย่างไร และเราก็สามารถชี้ให้เห็นตัวอย่างจริง ๆ ของการทำตัวไม่ดีให้กับลูกหลานเราได้เห็นได้ ซึ่งผมได้ใช้มาแล้วกับลูกชายของผมเอง ลูกผมเขาไม่ได้ติดตามละครเรื่องนี้นะครับเพราะเขายังเด็กและเนื้อหามันค่อนข้างหนักสำหรับเขา แต่มีวันหนึ่งเขาเดินผ่านทีวีมาเห็นฉากที่เรยากำลังพูดจาระเบิดอารมณ์ใส่แม่ของตัวเอง ซึ่งเขาดูแล้วเขาก็รู้โดยผมไม่ต้องสอนเลยว่ามันไม่ดี เพราะเขาถามว่าทำไมเรยาพูดกับแม่อย่างนั้น ผมก็เลยได้โอกาสสอนเขาไปว่าเวลาเขาโมโหเขาก็ลืมตัว และบางทีก็พูดจาไม่ดีกับแม่ของเขาเหมือนกัน ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนเรยาก็ให้ระวังตัวเองด้วย  

ส่วนที่มีคนออกมาบอกว่าถ้าปล่อยให้เด็กหรือเยาวชนดูละครเรื่องนี้แล้วจะนำไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีเหมือนที่เรยาทำ ผมคิดว่าเราอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่นะครับ ทำไมเราถึงคิดว่าละครเรื่องเดียวจะทำให้ลูกหลานที่เราเลี้ยงมาอย่างดีเป็นปี ๆ กลายเป็นคนไม่ดีไปได้ ผมว่าเด็กจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไรมันมาจากการอบรมเลี้ยงดูจากทางบ้านและโรงเรียนมากกว่า ถ้าเราสั่งสอนลูกหลานกันมาดีเด็กที่เห็นเรยาทำตัวไม่ดีกับแม่ ก็อาจจะถามเหมือนกับที่ลูกผมถามว่าทำไมเรยาทำกับแม่แบบนั้น  ผมมองว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่ยอมให้ลูกตัวเล็ก ๆ ไปเต้นท่ายั่วยวนบนหลังคารถจากข่าวที่เห็นในช่วงสงกรานต์ ผมว่าอันนั้นน่ากลัวกว่านะครับ การที่เรามีความคิดแบบปิดกั้นนี้ไงครับ ทำให้เราคิดวิธีการป้องกันอะไรแบบประหลาด ๆ เช่นฉากเบลอขวดเหล้าหรือบุหรี่ในละคร หรือหนักกว่านั้นไปเบลอป้ายโฆษณาบุหรี่หรือเหล้าที่อยู่ในสนามกีฬาจนดูไม่รู้เรื่อง

มีคำกล่าวว่าดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ละครหลายเรื่องเป็นละครเบา ๆ สนุกสนานดูได้อย่างมีความสุขทั้งครอบครัว บางเรื่องก็มีแต่เรื่องความฟุ้งเฟ้อ บางเรื่องตื่นเต้นสืบสวนหรือบู๊ดุเดือดเลือดพล่าน หรือบางเรื่องก็หนักสะท้อนสังคม ดังนั้นละครนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้วก็อาจให้ข้อคิดในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ อย่างละครเรื่องดอกส้มสีทองนี้ ผมมองว่ามันได้สะท้อนด้านมืดของสังคม ซึ่งแทนที่จะเราจะปิดกั้นลูกหลานของเราโดยไม่ให้เขารับรู้ว่าในสังคมมีสิ่งนี้อยู่ แล้วปล่อยให้เขาไปเผชิญกับสิ่งนี้โดยเขาอาจไม่มีภูมิคุ้มกันอยู่เลย ทำไมเราไม่นำสิ่งละครนำเสนออกมานำมาสอนให้เขาระมัดระวังในการใช้ชีวิต และถ้าใครได้ติดตามดูละครเรื่องนี้มาโดยตลอดจะพบว่าเรยาไม่เคยมีความสุขที่ยั่งยืนจากการกระทำของตัวเองเลย และในตอนจบเท่าที่ทราบมาก็จะมีบทสรุปว่าผลที่เรยาจะได้รับจากการกระทำนี้คืออะไร หลายคนให้ความเห็นว่าแหมเลวมาตั้งนานมาสรุปแค่ตรงท้ายเรื่องว่าผลกรรมเป็นอย่างไรมันน้อยไป แต่ผมถามจริง ๆ เถอะครับ ละครหรือหนังส่วนใหญ่มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ ที่ตัวร้ายก็กลั่นแกล้งพระเอกหรือนางเอกมาค่อนเรื่องแล้วก็มาแพ้หรือตายตอนเรื่องจบ ดังนั้นผมว่านี่มันก็คือละครธรรมดาเรื่องหนึ่ง

สำหรับบทสรุปของการแก้ปัญหาของละครเรื่องนี้เมื่อสักครู่ที่ดูจากข่าวช่องสามก็คือ จะมีการขึ้นข้อความว่าเป็นการแสดง และอาจมีการตัดฉากบางฉากซึ่งไม่เหมาะสมออก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นฉากอะไรเหมือนกันนะครับ ก็อาจจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้วก็ได้ครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

อาชีพที่ให้รายได้สูงจนคาดไม่ถึง (ในอเมริกา)

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับรายได้ของอาชีพบางอาชีพในอเมริกา พอดีผมบังเอิญไปอ่านเจอใน Yahoo! Education เห็นว่าแปลกดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ ในบทความดังกล่าวเขาเริ่มด้วยคำถามว่า คุณคิดว่าระหว่างช่างซ่อมลิฟต์กับเจ้าหน้าที่เทคนิคด้านปรมาณู (nuclear) ใครมีรายได้สูงกว่ากัน หรือระหว่างครูมัธยมที่สอนด้านศิลปะกับเจ้าหน้าที่ผังเมืองใครมีรายได้มากกว่ากัน ผมคิดว่าพวกเราหลายคน (รวมทั้งผมด้วย) ก็คงต้องบอกว่า คนที่ทำงานด้านปรมาณูก็น่าจะมีรายได้มากกว่าช่างซ่อมลิฟท์ และดู ๆ แล้วเจ้าหน้าที่ผังเมืองก็น่าจะมีรายได้มากกว่าครูมัธยมใช่ไหมครับ

แต่ผลสำรวจจากกระทรวงแรงงานของอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2552 กลับออกมาอย่างนี้ครับ คือช่างซ่อมลิฟต์ได้เงินเดือนต่อปีอยู่ที่   67,950 เหรียญสหรัฐ ส่วนเจ้าหน้าที่ปรมาณูได้เงินเดือนต่อปีอยู่ที่ 66,700 เหรียญเท่านั้น ครูมัธยมมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 68,230 เหรียญ แต่เจ้าหน้าที่ผังเมืองมีรายได้อยู่ที่ 64,680 เหรียญ น่าประหลาดใจใช่ไหมครับ จริง ๆ ยังมีอีกหลายอาชีพครับที่เราอาจไม่เคยคาดคิดว่าจะมีรายได้สูง ถ้าสนใจก็สามารถคลิกลิงก์ด้านบนเข้าไปอ่านรายละเอียดได้เลยครับ

ไม่รู้เมืองไทยเป็นยังไงนะครับ จะมีอาชีพไหนที่มีรายได้สูงจนเราคาดไม่ถึงบ้างไหม ใครมีข้อมูลก็มาแบ่งปันกันได้นะครับ

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

ประสบการณ์การใช้ GPS

สวัสดีครับ หลังจากไม่ได้เขียนบล็อกมาเสียนาน วันนี้ก็ได้โอกาสมาเขียนเสียที วันนี้ผมเขียนบล็อกมาจากบุรีรัมย์ครับ มางานพระราชทานเพลิงศพของพ่อของเพื่อนร่วมงานที่ผมเคารพท่านหนึ่ง แล้วก็ไม่อยากขับรถกลับตอนกลางคืน บอกตรงๆว่ารู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยครับ โดยเฉพาะพวกปาหิน ถึงตอนนี้จะเงียบไปแล้วก็ตาม ผมได้พักโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่มาได้แค่สองเดือนครับ และโซนที่พักก็เพิ่งเปิดเรียกว่าห้องพักที่ผมพักนี้ผมได้ประเดิมเป็นคนแรกเลยครับ แต่ก็ตามธรรมดาของโรงแรมเปิดใหม่ก็ยังมีอะไรไม่เรียบร้อยอยู่บ้าง

สำหรับวันนี้ก็ขอไม่มีสาระอะไรสักวันแล้วกันนะครับ จะเล่าประสบการณ์ใชั GPS ให้ฟัง การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้ใช้ GPS นำทางจริง ๆ จัง ๆ ครับ ซึ่งมันก็ทั้งช่วยและบางทีก็ทำให้งงได้เหมือนกันครับ ผมเริ่มใช้มันตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยครับ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้วปรากฏว่ามันทำให้ผมประทับใจมากครับ คือบอกตำแหน่งรถย้อนหลังไปเจ็ดร้อยเมตร คือผมอยู่บนรามอินทราแล้วมันยังบอกว่าผมยังอยู่บนสุวินทวงศ์เป็นต้น ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าเฮ้ยมันจะพาเราไปหลงที่ไหนไหมนี่ แต่สักพักมันก็จับตำแหน่งถูกต้องครับ คือพอขึ้นวงแหวนตะวันออกได้มันก็โอเคครับ และเพราะทางช่วงนั้นเป็นทางตรงไปตลอดมันก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งผมก็เข้าใจว่าถ้าขึ้นทางหลักถูกต้องและเป็นทางตรงแล้วมันก็จะไม่เตือนอะไร แต่จริง ๆ ผมก็อยากให้มันพูดบ้างนะครับ คือผมขับมาคนเดียวบางทีมันเหงาน่ะครับ :)

เอาล่ะครับคราวนี้พอลงจากวงแหวนเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งพอขึ้นไปแล้วมันก็เป็นทางตรงเหมือนกันแต่คราวนี้มันไม่เงียบครับ มันจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอีก ... เมตรชิดขวาเข้าทางหลวงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมงงว่าเอ๊ะเราอยู่ที่ไหนกันแน่ เช็คจากป้ายและจากหน้าจอของมันเราก็อยู่ถูกที่แล้ว และบางทีเราก็อยู่เลนขวาสุดอยู่แล้ว มันจะเอายังไงกันแน่ หรือมันจะให้เราข้ามไปขับอีกฝั่งหนึ่ง :) เอาเถอะครับสุดท้ายผมก็เริ่มชินกับมัน เฮ้อรู้งี้ไม่น่าอยากให้มันพูดเลย ถ้ารู้ว่ามันจะพูดไม่หยุดอย่างนี้ จนมันนำผมเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ไปแล้วมันก็ยังพูดต่อไปว่าอีก .... คงอยู่ทางขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ซึ่งปัญหาแค่นี้ผมก็คิดว่าทนรำคาญเอานะครับ แต่จริงๆ มันมีมากกว่านี้ครับเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป

คราวนี้มาดูความดีของมันบ้างครับ วัดที่ผมไปร่วมงานนี้เป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ ปราสาทเมืองต่ำและปราสาทพนมรุ้ง มันก็นำทางผมไปเรื่อย ๆ แต่ช่วงนี้เขาพนมรุ้งมีงานครับ เขาก็เลยปิดเส้นทางหลัก ให้เบี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมันก็เก่งมากครับ สามารถนำทางผมไปได้ และยังบอกให้ระวังทางโค้งต่าง ๆ อีกต่างหาก ในที่สุดมันก็นำผมมาถึงวัดครับ

ตอนขากลับผมไม่อยากกลับทางเดิมเพราะมันต้องขึ้นเขาผ่านทางโค้งซึ่งค่อนข้างอันตราย และฝนก็ตกถนนลื่น ก็เลยถามเพื่อนว่าจะกลับทางที่ไม่ต้องขึ้นเขาได้ไหม เพื่อนก็แนะนำให้ว่าต้องไปทางไหน ผมก็มุ่งหน้าไปพร้อมให้ GPS นำทางต่อ ซึ่งตอนแรกมันก็ดีนะครับ จนมาถึงจุดหนึ่งครับมันบอกว่า ... เมตรเลี้ยวซ้าย ซึ่งความหมายของมันก็เหมือนกับที่ผ่านมาก็คืออยู่บนเส้นเดิมนั่นแหละ แต่บังเอิญตรงนั้นมันมีทางเลี้ยวซ้ายพอดี ผมก็เลยเลี้ยวไปตามที่มันบอก แทนที่มันจะบอกว่าผิดมันกลับบอกให้ไปต่อครับ สงสัยมันจะคำนวณเส้นทางใหม่ จากนั้นมันก็บอกให้ผมเลี้ยวขวาผมก็ตามมันไป มันพาผมไปเข้าหมู่บ้านอะไรไม่รู้ครับ ผมก็คิดไปถึงหนังสยองขวัญของฝรั่งที่นักท่องเที่ยวหลงเข้าไปในหมู่บ้านอะไรไม่รู้ในยามสนธยา สภาพผมตอนนั้นเป็นอย่างนั้นเลยครับ คือไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนบรรยากาศก็ดูวังเวงมีฝนตกพรำ ๆ  ยิ่งไปกว่านั้นสักพัก  GPS  มันเงียบครับไม่พูดอะไรอีกเลย ผมเห็นท่าไม่ได้การก็เลยกลับรถออกมา และขับกลับมาทางเดิม ซึ่งพอถึงแยกที่เป็นปัญหามันก็บอกให้ผมเลี้ยวซ้ายซึ่งก็คือเข้าเส้นเดิมที่เลี้ยวแยกลงมานั่นแหละ จากนั้นก็โอเคครับเข้าทางหลักและมาถึงโรงแรมได้

ก็เป็นประสบการณ์ผจญภัยกับ GPS ที่ได้ประสบมาครับ ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง ตอนเดินทางกลับก็ว่าจะใช้มันอีกสักครั้ง หวังว่าคราวนี้เราจะเข้าใจกันมากกว่านี้

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

คำศัพท์ใหม่น่ารู้

วันนี้เขียนเรื่องสั้น ๆ เบา ๆ แล้วกันนะครับ เพราะกว่าจะได้เริ่มเขียนบล็อกก็เข้าสู่เช้าวันใหม่แล้ว สำหรับวันนี้จะมาแนะนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ครับ คือผมได้อ่านรีดเดอร์ไดเจสท์ฉบับภาษาไทยเขาบอกว่า Oxford Dictionary ได้เพิ่มคำศัพท์ใหม่เข้าไป 2000 คำ และได้ยกตัวอย่างมาจำนวนหนึ่ง ผมก็เลยลองไปหาเพิ่มเติมดูและเลือกคำที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตหรือน่าสนใจมาเล่าให้ฟังกันครับ


  • social media เว็บไซต์และแอพพลิเคชันที่ใช้สำหรับเครือข่ายสังคม
  • staycation ใช้เวลาวันหยุดในประเทศของตัวเอง
  • overthink คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากหรือนานเกินไป
  • frenemy คนที่เราทำดีด้วยแม้จริง ๆ จะไม่ชอบ (ผมคิดว่าคำนี้น่าจะมาจาก friendly enemy)
  • tweetup การประชุมที่ทำด้วยการโพสต์ข้อความบน twitter 
  • defriend เหมือนกับคำว่า unfriend คือการลบชื่อออกจากรายชื่อเพื่อนหรือผู้ติดต่อบนไซต์เครือข่ายสังคม
  • Interweb อินเทอร์เน็ต

ดูแล้วเป็นยังไงกันบ้างครับ ในส่วนตัวผมว่านี่คือวิวัฒนาการของภาษา และจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะในยุคก่อน ๆ ก็มีการเพิ่มคำที่เกิดขึ้นจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตอย่างเช่น shareware เข้าไปในพจนานุกรมอยู่แล้ว ดังนั้นก็คงไม่ต้องแปลกใจอะไรนะครับ ถ้าคำอย่างชิมิ อะนะ หรืออิอิ จะได้เข้าไปอยู่ในพจนานุกรมของไทยบ้าง 

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

ขอวิพากษ์สื่อสักวันแล้วกันครับ

สวัสดีครับ วันนี้อยากจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชน ไม่ใช่สิผมไม่รู้ว่าจะเรียกคนคนนี้ (ขอไม่ออกชื่อแล้วกันนะครับ) ว่าเป็นอะไรดี จะเป็นนักวิชาการก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นสื่อมวลชนก็ไม่น่าจะใช่อีก คนที่ผมจะพูดถึงนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงทางด้านการพูดจาหรือวิเคราะห์เรื่องเศรษฐกิจให้ฟังเข้าใจง่าย หลายคนเรียกว่าอาจารย์แต่ไม่ได้มีอาชีพเป็นอาจารย์ประจำ เคยเป็นพิธีกรร่วมกับคุณสัญญา คุณากร ในรายการที่เคยออกอากาศทางช่อง 9 ผมคิดว่าหลายคนคงเดาได้ว่าเป็นใคร ที่ผมจะมาเขียนนี้บอกก่อนนะครับว่าไม่ได้มีอคติส่วนตัวแต่ประการใดกับคนคนนี้จริง ๆ ตอนเขาออกรายการช่อง 9 ผมยังรู้สึกว่าก็ทำหน้าที่ได้สนุกดีด้วยซ้ำไป แต่พอได้มาฟังเขาจัดรายการวิทยุแล้วรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ เลย ก็เลยขอเขียนบันทึกความเห็นส่วนตัวไว้สักหน่อย และก็อยากจะแบ่งปันหรือเป็นข้อคิดให้กับใครที่ได้เข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย

ปกติผมไม่เคยได้ฟังรายการที่คนคนนี้จัดเลย แต่บังเอิญเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาขับรถอยู่แล้วมีโอกาสได้เหลือบดูทวิตเตอร์เห็นมีคนพูดถึงว่าคนคนนี้จัดรายการได้มันมากก็เลยลองหมุนคลื่นวิทยุไปฟังดู ก็เป็นช่วงที่เขาเปิดโอกาสให้คนฟังโทรเข้าไปถามไปคุย พอฟังเขาคุยกับคยที่โทรเข้าไปถามแล้วก็ประหลาดใจมากว่าทำไมยังมีคนฟังรายการหรือโทรเข้าไปถามไปพูดคุยอยู่ได้ เพราะคนคนนี้ไม่ให้เกียรติคนฟังเลยมีการต่อว่าเหน็บแนมทำเหมือนว่าคนฟังโง่ แล้วจริง ๆ ตัวเองก็ให้ข้อมูลผิด ๆ ผมฟังอยู่สองคน แล้วก็ทนฟังต่อไม่ไหวต้องเลิกฟัง

มาดูคนแรกที่ผมฟังนะครับ คนที่โทรเข้าไปถามว่าในรัฐธรรมนูญมีการกำหนดไหมว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นได้ติดต่อกันกี่ปีใช่แปดปีไหม ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไร ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ หรือถ้ารู้(หรือคิดว่ารู้)ก็ตอบไป แต่สิ่งที่คนคนนี้ตอบไป(ซึ่งผิด)และยังมีการเหน็บแนมกลับไปด้วย โดยบอกว่าไม่มีหรอกจะเป็นนานเท่าไรก็ได้ถ้าพรรคที่สังกัดอยู่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาและได้รับโหวต และยังมีการยกตัวอย่างนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียให้ฟังด้วย และก็เริ่มเหน็บแนมคนที่โทรเข้ามาถามว่าไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญเลยใช่ไหม แล้วก็พูดย้ำอยู่หลายครั้งว่าคนที่โทรเข้ามานี่เป็นพวกหลังเขาเพราะไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมฟังตอนแรกก็นึกว่าแซวกันเล่น แต่พอฟังไปฟังไปนี่ไม่ใช่แซวเล่นแล้วเพราะย้ำอยู่หลายครั้งมากและน้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่ใช่การแซว จนในที่สุดคนที่โทรมาเท่าที่ผมฟังเสียงดูก็รู้สึกไม่พอใจและวางสายไป ผมนั่งฟังไปก็นึกสงสัยไปว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนที่ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญอย่างละเอียดนี่เป็นพวกหลังเขา ผมว่าคนอาจจะเกือบค่อนประเทศรวมถึงผมด้วยนี่ก็คงเป็นพวกหลังเขา แต่คนหลังเขาอย่างผมนี่แหละก็เพิ่งจะได้อ่านมาจากที่ไหนไม่แน่ใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้เขามีข้อกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นติดกันได้ไม่เกินแปดปี วันนี้ก็เลยมาลองค้นดูซึ่งก็จริงครับรัฐธรรมนูญกำหนดไว้จริง ๆ ดูได้จากลิงก์นี้เลยครับมาตรา 171 ซึ่งประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึงไม่ใช่ที่เขาผิดพลาดเรื่องข้อมูลเพราะคนเราผิดพลาดกันได้ แต่ประเด็นคือทำไมเขาถึงได้พูดกับคนที่เป็นแฟนรายการเขาอย่างนั้น

มาดูคนที่สอง(ที่ผมได้ฟังบ้าง) คนนี้โทรมาถามว่าเขาเห็นด้วยไหมเกี่ยวกับที่ตำรวจจะจับเด็กที่ออกจากบ้านหลัง 22.00 น. สิ่งที่เขาตอบกลับไปก็คือจะมาถกกันทำไมเรื่องเห็นด้วยหรือเปล่าก็กฏหมายมันไม่มีรองรับแล้วจะมาเห็นด้วยได้อย่างไร ถ้าตอบอย่างนี้เฉยๆ ก็ยังพอฟังได้ แต่ก็เหมือนเดิมเหน็บแนมคนฟังอีกตามเคยว่าก่อนจะถามจะถกอะไรก็ให้คิดก่อนไม่ใช่ออกมาพูดไปเรื่อย แต่ถ้าถามผมนะผมว่าถ้าพวกเรามีตรรกกะการคิดแบบคนคนนี้เราคงไม่ต้องมาพูดมาคุยอะไรกันเลยครับ เพราะถ้าคิดแบบนี้ถ้ามีกฏหมายออกมารองรับอยู่แล้วผมก็พูดได้ว่าเราก็ไม่มีสิทธิที่จะมาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกฏหมาย เพราะเรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย

สิ่งที่ผมรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่ผมได้พบมาก็คือคนที่มีโอกาสได้ออกสื่อหลักของประเทศเรานี่แหละครับ ผมว่าสื่อนี่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งเลยนะครับกับสถานการณ์ที่เป็นไปของประเทศเราในขณะนี้ แต่หลายคนที่ได้ออกสื่อหลักกลับไม่ได้ตระหนักในส่วนนี้ และบางคนก็กลับซ้ำเติมสถานการณ์ให้มันหนักขึ้นไปอีก อย่างตัวอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังนี้ผมว่าคนจัดน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนที่สนใจติดตามปัญหาบ้านเมืองแทนที่จะเอาแต่ฟังเพลงไปวัน ๆ เขาควรจะให้ความรู้และสร้างบรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่แน่นะครับว่าเขาอาจจะผลักดันคนอย่างน้อยสองคนแล้วก็ได้ให้กลับไปฟังแต่เพลงตามเดิม...

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

พนักงานแมคโดนัล(อเมริกา)ถูกไล่ออกหลังจากยอมให้ดาราอเมริกันฟุตบอลใช้ห้องน้ำ

พอดีไปเจอเรื่องนี้เข้าก่อนจะเข้าไปอ่านอีเมลของ Yahoo! เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง เรื่องก็มีอยู่ว่าผู้ช่วยผู้จัดการร้านแมคโดนัลสาขาหนึ่งในอเมริกาถูกไล่ออกหลังจากที่ยอมให้นักกีฬาระดับซุปเปอร์สตาร์ของทีมอเมริกันฟุตบอลทีม Minnesota Vikings ที่ชื่อ Adrian Peterson เข้าใช้ห้องน้ำ หลังเวลาที่ร้านปิดไปแล้ว พนักงานดังกล่าวเล่าว่า Peterson ได้มาขอเข้าใช้ห้องน้ำของร้านตอนประมาณตีสาม ซึ่งเธอเห็นว่าเป็น Peterson (ตามเรื่องบอกว่าคนนี้เป็นนักกีฬาที่เก่งที่สุดเท่าที่ทีมเคยมีมา ผมก็ไม่รู้จักนะครับ เพราะไม่ได้เป็นแฟนอเมริกันฟุตบอล) จึงยอมให้ใช้ห้องน้ำ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าผิดกฏของร้าน เธอบอกว่าเธอไม่คิดว่าการกระทำครั้งนี้เธอต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการตกงาน แต่ท้ายสุดแล้วเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดีครับ คือหลังจากสื่อท้องถิ่นรายงานเรื่องนี้แมคโดนัลก็รับเธอเข้าทำงานตามเดิมครับ

จากเรื่องนี้ถ้ามองในแง่ของกฏก็ถือว่าพนักงานทำผิดกฏ แต่เธอก็ให้เหตุผลว่าคนนี้เป็นซุปเปอร์สตาร์ เธอรู้จักคนคนนี้มากกว่าช่างที่มาซ่อมบำรุงอุปกรณ์ในร้านซะอีก นี่คือโอกาสในการโฆษณาร้านซึ่งฟังดูก็มีเหตุผลดีเหมือนกัน ผมลองอ่านความเห็นของคนที่เข้ามาอ่านบทความต้นฉบับก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทั้งแมคโดนัลและพนักงาน พวกเราเห็นเป็นอย่างไรครับ

สุดท้ายก็คงต้องถามพนักงานแมคโดนัลของไทยแล้วล่ะครับว่าถ้าพี่เบิร์ดมาขอเข้าห้องน้ำแบบนี้จะให้หรือไม่ถ้ามีโอกาสต้องตกงาน... 


ที่มา: Yahoo! Sports    

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บล็อกส่งท้ายปีเสือดุ: พลังของ Social Network

ปีหนึ่ง ๆ ผ่านไปเร็วมากนะครับ มันเหมือนกับว่าเพิ่งจะผ่านปีใหม่ไปไม่นานนี้เอง ปีนี้จริง ๆ แล้วก็คงต้องบอกว่าเป็นปีเสือดุจริง ๆ นะครับ มีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทางการเมืองและมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย มาจนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ กรณีซากเด็กทารกที่เกิดจาการทำแท้ง กรณีโจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวและเหตุการณ์ล่าสุดที่กำลังเป็นเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้ก็คือกรณีอุบัติเหตุรถซีวิคชนกับรถตู้โดยสารจนมีผู้เสียชีวิตหลายคน และเด็กสาวที่ขับรถซีวิคก็กลายเป็นจำเลยของสังคมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายอยู่ในตอนนี้ กรณีโจ๊ก-จิ๊บผมได้เขียนไปแล้วในเรื่องที่แล้ว วันนี้ผมก็ขอส่งท้ายด้วยมุมมองของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ซีวิคนี้ก็แล้วกันครับ โดยจะเน้นให้เห็นถึงพลังของ Social Network ซึ่งมีทั้งที่ดีและไม่ดี

ผมได้ติดตามเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้มาเรื่อย ๆ จากหลายสื่อด้วยกัน โดยสื่อแรกที่ผมได้ทราบเรื่องนี้ก็คือจาก twitter ซึ่งตอนแรกนั้นข่าวเป็นเหมือนว่ารถตู้ตกโทลเวย์ จนในที่สุดก็เป็นเรื่องอย่างที่เราทราบกันอยู่ก็คือรถซีวิคชนรถตู้จนผู้โดยสารกระเด็นจากรถออกมา และมีผู้โดยสารเสียชีวิตซึ่งในขณะที่เขียนอยู่นี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเก้าคน ส่วนคนที่ชนนั้นเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี และมีนามสกุลใหญ่โต ผมก็ได้ติดตามข่าวนี้จากหลาย ๆ สื่อ รวมทั้งอ่าน Timeline ของผมใน Twitter ด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจมากก็คือกระแสจาก Social Network นี่แหละครับเพราะบอกตามตรงว่ามันรุนแรงมากถึงกับขั้นที่สร้างความเกลียดชังกับตัวเด็กคนนั้นกันทีเดียว และจากกระแสนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมสังคมไทยมันถึงเกิดการแตกแยกกันขนาดนี้

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็เสียใจไปกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกคน และผมไม่ได้จะออกมาเข้าข้างคนขับรถซีวิค แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนเพราะเข้าใจว่ามีคนที่มีความเห็นคล้าย ๆ ผมนี่โดนมาแล้ว นี่ก็คือปัญหาหนึงตอนนี้เหมือนกับว่าสังคมเรายอมรับความเห็นต่างไม่ได้แล้ว ถ้าใครเห็นต่างจากตัวเองก็กลายเป็นคนเลวหรือกลายเป็นอีกฝ่ายหนึ่งไป ทั้ง ๆ ที่การรับฟังความเห็นของคนอิ่นนั้นน่าจะมีประโยชน์ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นหรือมองปัญหาได้รอบด้านขึ้น

แน่นอนอยู่แล้วครับที่เด็กที่ขับซีวิคนั้นมีความผิดในส่วนของการขับรถทั้งที่ไม่มีสิทธิขับตามกฏหมาย และพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนอบรมเลี้ยงดูลูก และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจนป่านนี้พ่อแม่ของเด็กจึงยังไม่ออกมากล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจในส่วนนี้ คือจากคำสัมภาษณ์เหมือนกับจะรอให้ชัดเจนก่อนว่าในเรื่องอุบัติเหตุใครถูกหรือผิด แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันในส่วนที่ตัวเองผิดนี่ก็ยอมรับไปก่อน ผมว่ามันจะช่วยลดกระแสสังคมลงได้ส่วนหนึ่ง ดีกว่าออกแถลงการมาเป็นสกุล มันยิ่งทำให้ดูเหมือนการแบ่งชนชั้นมากขึ้น

กลับมาถึงเรื่องที่ผมอยากให้เราตั้งสติกันครับ จากกระแสที่กำลังสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้อยู่ตอนนี้ ผมว่าสังคมไทยในยุคที่มี Social Network และการรับข่าวสารแบบทันทีทันใดนี้นี่น่ากลัวมากครับ ถ้าคนรับข่าวสารไม่ตั้งสติและใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารให้ดี วิพากษ์วิจารณ์ตามกระแส หรือเห็นคล้อยตามกับคนมีชื่อเสียงที่ใช้ Social Network และอาจจะมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น และเราก็ตามกระแสไปจนผมขอใช้คำว่าถึงขั้นเลยเถิด  และถ้าเรายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปผมว่าสังคมไทยก็จะเกิดความขัดแย้งแบบนี้ไปอีกนาน

ดังนั้นผมอยากให้พวกเราตั้งสติและพิจารณาเหตุการณ์นี้ให้ดีครับลองมาพิจารณาเป็นข้อ ๆ นะครับ  ข้อแรกเหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดได้กับทุกคนที่ขับรถ เด็กคนนั้นในแง่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผิดจริงหรือไม่ก็ต้องรอการพิสูจน์ เด็กคนนั้นผิดแน่ในแง่การขับรถโดยไม่มีใบขับขี่และขับรถเร็วเกินกฏหมายกำหนด แต่ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะผิดจริงหรือไม่สิ่งที่เราต้องตั้งสติและพิจารณาให้ดีก็คือ เด็กคนนั้ีนคงไม่ได้ตั้งใจทีจะขับรถพุ่งชนใส่รถตู้ ดังนั้นสมควรแล้วหรือที่เราจะต้องสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้ถึงขนาดนั้น จริง ๆ เราไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้ด้วยซ้ำก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น

ข้อสองหลายคนอาจบอกว่าที่ไม่พอใจก็เพราะเด็กคนนั้นหลังจากชนแล้วยังออกไปกดบีบีเล่นไม่สนใจคนเจ็บ คำถามก็คือเราทราบได้อย่างไรว่าเด็กคนนั้นทำอะไรอยู่ แค่ดูจากรูปที่มีคนถ่ายแล้วส่งมา ซึ่งดูจากรูปแล้วมันจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ดูเหมือนจะสรุปได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังโทรศัพท์ ซึ่งถ้าโทรศัพท์ก็คงเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทุกคนคงต้องทำเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หรือถ้ากดบีบีจริงผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเธอจะใช้เป็นช่องทางเพื่อติดต่อหรือแจ้งให้คนอื่น ๆ ทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

ข้อสามหลายคนอาจถามว่าทำไมไม่ไปดูแลคนเจ็บ ผมอยากให้ลองคิดอย่างนี้ครับว่าถ้าเราเป็นคนขับรถคันนั้น และเราเป็นคนชนเราจะเป็นยังไงครับ เราจะตกใจไหม รถที่ขับก็พังยับทั้งคัน เราถูกงัดอกมาจากรถ เราไม่เห็นรถคู่กรณี เราอาจจะนึกว่าเราแค่ขับชนท้ายรถก็เหมือนรถชนธรรมดา เราไม่รู้ว่ามีคนเจ็บคนตาย ประเด็นก็คือผมเองแม้จะอายุเยอะแล้วถ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็อาจทำอะไรไม่ถูกก็ได้ นับประสาอะไรกับเด็กอายุ 16

ข้อสี่คนมีนามสกุลใหญ่จะต้องได้รับอภิสิทธิ์ พวกคนตระกูลใหญ่จะต้องใช้เส้นสายเพื่อให้พวกตัวเองพ้นผิด เรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานหรือเอาใจคนใหญ่คนโตนี้ผมเห็นด้วยครับว่ามันมีอยู่ในสังคมเราจริง  ๆ  แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนใหญ่คนโตทุกคนจะต้องใช้เส้นสายหรือใช้สิทธินี้ และมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปเกลียดหรือเข้าข้างใคร ๆ เพียงเพราะเขามีนามสกุลใหญ่โตและทำผิด เรื่องการแบ่งแยกนี้มันทำให้เกิดปัญหาระดับชาติมาแล้วนะครับ พวกชนชั้นกลางหลายคนก็ไปดูถูกคนต่างจังหวัดว่าโง่เลือกผู้แทนที่ไม่มีคุณภาพ คนต่างจังหวัดก็ถูกปลุกปั่นให้เห็นว่าคนชั้นกลางเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้นผมอยากเสนอว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ให้เราพิจารณาที่คนคนนั้น เหตุการณ์นั้นโดยไม่เอาอคติในเรื่องชนชั้นมาเกี่ยวข้องด้วยก็น่าจะทำให้เรามองปัญหาด้วยใจที่เทียงธรรมมากขึ้นครับ

กรณีเรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานนี้ถ้าจะโทษผมอยากให้โทษที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมากกว่า ลองถามตัวเองดูว่าปฏิบัติเหมือนกันไหมระหว่างคนธรรมดากับคนตระกูลใหญ่ ถ้าคนที่ขับรถชนเป็นคนนามสกุลธรรมดาตำรวจจะปล่อยตัวไปโดยไม่ควบคุมอะไรเลยแบบนี้ไหม แต่ถ้ามองในแง่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานก็อาจน่าเห็นใจว่าเขาอาจถูกกดดันจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ถ้าเขาทำตามหน้าที่ตรงไปตรงมาก็อาจมีปัญหาได้โดยไม่มีใครช่วยเขา ตรงนี้แหละครับที่ผมมองว่า Social Network อาจเข้ามาช่วยได้ คือถ้ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงโดยไม่กลัวเกรงกับอิทธิพลใด ๆ ก็ให้เราใช้พลัง Social Network ช่วยเขาครับ ส่วนเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันอะไรที่รัฐบาลเสนอเข้ามา ผมก็ภาวนาขอให้มันสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่แค่นโยบายหาเสียงไปวัน ๆ ก็แล้วกัน    

เขียนมาซะยืดยาวและเป็นเรื่องหนัก ๆ ทั้งนั้นในวันส่งท้ายปีแบบนี้จริง ๆ ไม่อยากเขียนเลย แต่ที่ต้องเขียนเขียนก็เพราะอยากเห็นคนไทยในยุค Social Network ตั้งสติและพิจารณาข่าวสารให้ดี ให้เราเข้าใจว่าข้อมูลที่เราได้รับจากสื่อต่าง ๆ มันอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมด ให้แยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือข้อวิจารณ์ซึ่งบางทีอาจเกิดจากอารมณ์ก็ได้ 

สุดท้ายผมอยากให้เราใช้ Social Network ในทางสร้างสรรค์เช่นการรวมตัวกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างที่ผ่านมา หรือสนับสนุนคนดี ๆ มากกว่าที่จะมาใช้ Social Network เพื่อทำลายล้างกันหรือสร้างกระแสให้เกลียดชังกัน ซึ่งถ้าเราทำอย่างนี้ได้ผมว่าเราจะใช้ประโยชน์จาก Social Network ได้คุ้มค่า และประเทศของเราก็น่าจะเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความสงบสุขเหมือนที่ผ่านมาได้ครับ สวัสดีปีใหม่ครับ ...

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม

สวัสดีครับ คงยังไม่สายไปที่จะกล่าวคำว่า Merry X'Mas ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชาวพุทธอย่างที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกัน แต่เราชาวไทยทั้งหลายก็พร้อมที่จะร่วมฉลองกับทุกเทศกาลอยู่แล้ว ซึ่งผมมองว่านี่เป็นจุดที่น่ารักอีกประการหนึ่งของคนไทยเราครับ และก็ทำให้เราไม่เกิดสงครามศาสนาเหมือนกับประเทศอื่น ๆ แต่สิ่งที่ผมอยากจะเขียนวันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องคริสต์มาสนะครับ แต่อยากจะพูดถึงเรื่องที่หลัง ๆ นี้ผมว่าพวกเราหลายคนอาจจะลืม ๆ ไป หรือชินกับมันไปแล้วนั่นคือการที่เรายอมละเมิดกฏหรือระบบเพื่อให้ได้ตามที่ใจเราต้องการ

จริง ๆ ผมมีความคิดที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้นานแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่เขียนเพราะบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากจะพูดเรื่องการเมืองมากนัก ผมเคยเขียนบล็อกว่าพวกเสื้อเหลืองที่มาชุมนุมปิดสนามบิน และว่าพวกเสื้อแดงที่มาชุมนุมจนการประชุมอาเซ็มล่ม ซึ่งในบล็อกที่เขียนว่าเสื้อเหลืองก็มีคนคิดว่าผมเป็นเสื้อแดง พอเขียนว่าเสื้อแดงผมก็กลายเป็นเสื้อเหลือง ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ใช่สีไหนทั้งสิ้นผมเป็นคนไทยที่ไม่มีสี และจริง ๆ คนไทยก็ไม่เคยมีสี จนมาถึงยุคนี้แหละครับที่พวกเราถูกคนที่ต้องการอำนาจพยายามใช้เราเป็นเครื่องมือและแบ่งแยกคนไทยออกจากกัน และกลายเป็นว่าคุณต้องเป็นสีใดสีหนึ่งถ้าคุณบอกว่าคุณไม่เป็นสีใดนั่นคือคุณแอ๊บ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าไม่เขียนดีกว่า

พอเกิดเหตุการณ์โจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวที่ไปยิงน้องโตมี่ และในที่สุดก็นำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรมโจ๊ก (ทำไมต้องชื่อโจ๊กด้วยนะ ทำเสียคนชื่อโจ๊กหมด) ผมเลยคิดว่าน่าจะต้องเขียนถึงเสียหน่อย ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็มีความเห็นเหมือนกับพวกเราหลายคนคือคนอย่างพี่น้องสองคนนี้ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่เพือมาก่อกรรมทำชั่วกับใคร ๆ อีก ยิ่งฟังการให้สัมภาษณ์ของพ่อของทั้งสองคนแล้ว ก็ทำให้เห็นเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ชั่วขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสะกิดเตือนพวกเราในวันนี้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรมนี่แหละครับ ผมจะไม่เขียนเรื่องว่าตำรวจทำถูกหรือไม่ถูกนะครับ เพราะผมไม่เคยดูวีดีโอที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน หรือถึงจะดูก็อาจจะไม่สามารถวิจารณ์ได้อยู่ดี

สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือกระแสสังคมที่เหมือนจะสนับสนุนการทำวิสามัญฆาตกรรมของตำรวจ ซึ่งผมมองว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวครับ เพราะผมมองว่ามันคือการทำลายระบบยุติธรรมของไทย มันเหมือนกับว่าเราพร้อมที่จะสนับสนุนการทำผิดถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราถูกใจ จริง ๆ แล้วกระบวนการยุติธรรมมันมีบทบาทเฉพาะของมันอยู่แล้ว ตำรวจมีหน้าที่จับกุมถ้าคนร้ายต่อสู้ก็สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ตำรวจไม่มีอำนาจไปตัดสินว่าคนร้ายสมควรที่จะต้องตาย การตัดสินเป็นอำนาจของศาล

ในทำนองเดียวกันกับการชุมนุมของกลุ่ม พธม. (เสื้อเหลือง) ซึ่งทั้งปิดถนน เข้าไปยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน แต่พวกเราหลายคนก็พร้อมที่จะปิดหูปิดตาและบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้มาชุมนุมขับไล่คนที่เราไม่ชอบ เวลาทหารอกมาปฏิวัติถ้าเขาปฏิวัติเอาคนที่เราไม่ชอบออกไป เราก็เอาดอกไม้ไปให้ทหาร ขอบคุณทหารที่ออกมาปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นการทำลายระบบ พวกสื่อและนักวิชาการก็ช่วยให้การชุมนุมที่จริง ๆ นั้นผิดให้กลับกลายเป็นถูก มีการประดิษฐ์ถ้อยคำเช่น "ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" หรือคำประเภท "สิทธิของเสียงส่วนน้อย" ซึ่งในความเห็นผมผมก็เห็นด้วย แต่มันต้องมีการเติมให้สมบูรณ์ครับ เช่นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่คุณต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และคอยติดตามดูผลงานของคนที่คุณเลือกหรือไม่ได้เลือกเข้าไป ถ้าเขาทุจริตหรือคดโกงคุณก็ต้องใช้ช่องทางตามที่กฏหมายเปิดช่องไว้ เช่นการเข้าชื่อถอดถอน ยื่นฟ้องต่อองค์กรอิสระ หรือก็อาจต้องอดทนรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งอำนาจจะกลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง ถ้าเราเป็นเสียงส่วนน้อยเรามีสิทธิที่จะพูดแสดงความคิดเห็น และโน้มน้าวให้คนอื่น ๆ เห็นด้วยกับเราจนเรากลายเป็นเสียงข้างมาก แต่ถ้ามันไม่สำเร็จเราก็ต้องยอมตามเสียงข้างมาก นั่นคือระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่นั้นผิดและจะเป็นภัยร้ายแรง เราก็ต้องมาใช้สิทธิของเราในด้านอื่นตามช่องทางที่กฏหมายกำหนด

หลายคนอาจจะบอกว่าเลือกตั้งใหม่ก็ได้คนเดิมอยู่ดี เพราะเสียงคุณสู้ไม่ได้ (จนกลายไปเป็นไปดูถูกหรือด่าคนอื่นว่าโง่กว่าตัวเอง) แต่นี่คือระบอบประชาธิปไตยครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าคุณต้องโน้มน้าวหรือทำให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ คุณอาจจะคุยกับเพื่อน ๆ คุณบอกว่าควรเลือกพรรคนี้หรือพรรคนั้นเพราะอะไร  ส่วนนักการเมืองก็ควรจะนำเสนอนโยบาย และถ้าแพ้ก็ควรจะมาพิจารณาตัวเองว่ายังมีจุดบกพร่องอะไร ไม่ใช่พอแพ้เลือกตั้งมาก็พูดอยู่คำเดียวเป็นคาถาว่าแพ้เพราะอีกฝ่ายซื้อเสียงโดยไม่ได้มองตัวเองเลย แล้วก็เล่นเกมการเมืองไปเรื่อยโดยไม่คิดว่าที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีโดยเอาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก

พูดมาถึงตรงนี้หลายคนก็บอกว่าก็นี่ไงเพราะคุณภาพของนักการเมืองบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ก็เลยต้องใช้วิธีนอกระบบ แต่ผมกลับมองว่าถ้าเรารักษาระบบไว้คือไม่ว่านักการเมืองจะแย่ยังไง เราก็จะใช้วิธีที่อยู่ในระบบจัดการกับเขา ไม่มีการมาปิดสนามบินหรือยึดย่านเศรษฐกิจขับไล่ และไม่มีการปฏิวัติ ก็จะทำให้คนดี ๆ กล้าที่จะเข้ามาทำงานมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าจะไม่มีการใช้วิธีการนอกระบบมาจัดการกับเขา เพราะแม้แต่คนชั่ว ๆ เรายังอดทนที่จะอยู่ในระบบได้ ซึ่งผมคิดว่าสักวันวันนั้นจะมาถึงถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบ ไม่ไปหยุดมันกลางทางอย่างทีทำกันอยู่ในปัจจุบัน

แต่แน่นอนครับเมื่อระบบมันเสียไปจากการที่พวกเรายอมรับสิ่งที่ผิดถ้ามันตรงใจ จากเสื้อเหลืองมันก็เลยเกิดเสื้อแดง ก็ต้องบอกอีกครั้งว่าไม่ได้เห็นด้วยเลยกับการที่เสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกับเสื้อเหลือง เพราะตอนเสื้อเหลืองทำผิดกฏหมายบ้านเมืองพวกเสื้อแดงก็ด่าเสร็จแล้วก็มาทำเสียเอง ผมว่าไอ้คนที่ด่าเขาแล้วตัวเองมาทำเองนี่แย่กว่าอีกนะ คือรู้ว่าอะไรผิดแล้วยังทำ ผมเบื่อจริง ๆ กับคำว่าเขาทำผิดได้เราก็ต้องทำได้ จริง ๆ มันควรจะเป็นว่าเขาทำผิดเราจะไม่ทำผิดเหมือนเขาถึงจะถูก จริง ๆ ถ้าอยากชุมนุมก็ทำเหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้าคือชุมนุมโดยสงบตามสนามกีฬาที่ไม่เดือดร้อนใคร ชี้ให้เห็นการทำงานที่ผิดพลาดหรือสองมาตรฐานอะไรก็ตาม ซึ่งผมว่าถ้าคุณทำอย่างนี้นี่แหละจะเป็นการโน้มน้าวให้คนที่มีใจเป็นกลางให้เห็นด้วยกับคุณ และขณะที่กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่ก็มีข่าวแฟนบอลลงมาทำร้ายกรรมการในการแข่งขันระหว่างศรีสะเกษกับนครปฐม นี่ก็คือตัวอย่างของการทำนอกระบบ

ท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากให้พวกเราทุกฝ่ายคิดและยอมรับระบบ อะไรที่คิดว่าไม่ยุติธรรมก็ให้แก้ไขอยู่ในขอบเขตของระบบ และต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในข้ามวัน ขอให้มีความอดทนอดกลั้นเพื่อให้ประเทศเราได้เดินหน้าไปอย่างปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาครับ