วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บล็อกส่งท้ายปีเสือดุ: พลังของ Social Network

ปีหนึ่ง ๆ ผ่านไปเร็วมากนะครับ มันเหมือนกับว่าเพิ่งจะผ่านปีใหม่ไปไม่นานนี้เอง ปีนี้จริง ๆ แล้วก็คงต้องบอกว่าเป็นปีเสือดุจริง ๆ นะครับ มีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทางการเมืองและมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย มาจนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ กรณีซากเด็กทารกที่เกิดจาการทำแท้ง กรณีโจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวและเหตุการณ์ล่าสุดที่กำลังเป็นเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้ก็คือกรณีอุบัติเหตุรถซีวิคชนกับรถตู้โดยสารจนมีผู้เสียชีวิตหลายคน และเด็กสาวที่ขับรถซีวิคก็กลายเป็นจำเลยของสังคมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายอยู่ในตอนนี้ กรณีโจ๊ก-จิ๊บผมได้เขียนไปแล้วในเรื่องที่แล้ว วันนี้ผมก็ขอส่งท้ายด้วยมุมมองของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ซีวิคนี้ก็แล้วกันครับ โดยจะเน้นให้เห็นถึงพลังของ Social Network ซึ่งมีทั้งที่ดีและไม่ดี

ผมได้ติดตามเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้มาเรื่อย ๆ จากหลายสื่อด้วยกัน โดยสื่อแรกที่ผมได้ทราบเรื่องนี้ก็คือจาก twitter ซึ่งตอนแรกนั้นข่าวเป็นเหมือนว่ารถตู้ตกโทลเวย์ จนในที่สุดก็เป็นเรื่องอย่างที่เราทราบกันอยู่ก็คือรถซีวิคชนรถตู้จนผู้โดยสารกระเด็นจากรถออกมา และมีผู้โดยสารเสียชีวิตซึ่งในขณะที่เขียนอยู่นี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเก้าคน ส่วนคนที่ชนนั้นเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี และมีนามสกุลใหญ่โต ผมก็ได้ติดตามข่าวนี้จากหลาย ๆ สื่อ รวมทั้งอ่าน Timeline ของผมใน Twitter ด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจมากก็คือกระแสจาก Social Network นี่แหละครับเพราะบอกตามตรงว่ามันรุนแรงมากถึงกับขั้นที่สร้างความเกลียดชังกับตัวเด็กคนนั้นกันทีเดียว และจากกระแสนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมสังคมไทยมันถึงเกิดการแตกแยกกันขนาดนี้

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็เสียใจไปกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกคน และผมไม่ได้จะออกมาเข้าข้างคนขับรถซีวิค แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนเพราะเข้าใจว่ามีคนที่มีความเห็นคล้าย ๆ ผมนี่โดนมาแล้ว นี่ก็คือปัญหาหนึงตอนนี้เหมือนกับว่าสังคมเรายอมรับความเห็นต่างไม่ได้แล้ว ถ้าใครเห็นต่างจากตัวเองก็กลายเป็นคนเลวหรือกลายเป็นอีกฝ่ายหนึ่งไป ทั้ง ๆ ที่การรับฟังความเห็นของคนอิ่นนั้นน่าจะมีประโยชน์ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นหรือมองปัญหาได้รอบด้านขึ้น

แน่นอนอยู่แล้วครับที่เด็กที่ขับซีวิคนั้นมีความผิดในส่วนของการขับรถทั้งที่ไม่มีสิทธิขับตามกฏหมาย และพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนอบรมเลี้ยงดูลูก และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจนป่านนี้พ่อแม่ของเด็กจึงยังไม่ออกมากล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจในส่วนนี้ คือจากคำสัมภาษณ์เหมือนกับจะรอให้ชัดเจนก่อนว่าในเรื่องอุบัติเหตุใครถูกหรือผิด แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันในส่วนที่ตัวเองผิดนี่ก็ยอมรับไปก่อน ผมว่ามันจะช่วยลดกระแสสังคมลงได้ส่วนหนึ่ง ดีกว่าออกแถลงการมาเป็นสกุล มันยิ่งทำให้ดูเหมือนการแบ่งชนชั้นมากขึ้น

กลับมาถึงเรื่องที่ผมอยากให้เราตั้งสติกันครับ จากกระแสที่กำลังสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้อยู่ตอนนี้ ผมว่าสังคมไทยในยุคที่มี Social Network และการรับข่าวสารแบบทันทีทันใดนี้นี่น่ากลัวมากครับ ถ้าคนรับข่าวสารไม่ตั้งสติและใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารให้ดี วิพากษ์วิจารณ์ตามกระแส หรือเห็นคล้อยตามกับคนมีชื่อเสียงที่ใช้ Social Network และอาจจะมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น และเราก็ตามกระแสไปจนผมขอใช้คำว่าถึงขั้นเลยเถิด  และถ้าเรายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปผมว่าสังคมไทยก็จะเกิดความขัดแย้งแบบนี้ไปอีกนาน

ดังนั้นผมอยากให้พวกเราตั้งสติและพิจารณาเหตุการณ์นี้ให้ดีครับลองมาพิจารณาเป็นข้อ ๆ นะครับ  ข้อแรกเหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดได้กับทุกคนที่ขับรถ เด็กคนนั้นในแง่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผิดจริงหรือไม่ก็ต้องรอการพิสูจน์ เด็กคนนั้นผิดแน่ในแง่การขับรถโดยไม่มีใบขับขี่และขับรถเร็วเกินกฏหมายกำหนด แต่ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะผิดจริงหรือไม่สิ่งที่เราต้องตั้งสติและพิจารณาให้ดีก็คือ เด็กคนนั้ีนคงไม่ได้ตั้งใจทีจะขับรถพุ่งชนใส่รถตู้ ดังนั้นสมควรแล้วหรือที่เราจะต้องสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้ถึงขนาดนั้น จริง ๆ เราไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้ด้วยซ้ำก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น

ข้อสองหลายคนอาจบอกว่าที่ไม่พอใจก็เพราะเด็กคนนั้นหลังจากชนแล้วยังออกไปกดบีบีเล่นไม่สนใจคนเจ็บ คำถามก็คือเราทราบได้อย่างไรว่าเด็กคนนั้นทำอะไรอยู่ แค่ดูจากรูปที่มีคนถ่ายแล้วส่งมา ซึ่งดูจากรูปแล้วมันจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ดูเหมือนจะสรุปได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังโทรศัพท์ ซึ่งถ้าโทรศัพท์ก็คงเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทุกคนคงต้องทำเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หรือถ้ากดบีบีจริงผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเธอจะใช้เป็นช่องทางเพื่อติดต่อหรือแจ้งให้คนอื่น ๆ ทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

ข้อสามหลายคนอาจถามว่าทำไมไม่ไปดูแลคนเจ็บ ผมอยากให้ลองคิดอย่างนี้ครับว่าถ้าเราเป็นคนขับรถคันนั้น และเราเป็นคนชนเราจะเป็นยังไงครับ เราจะตกใจไหม รถที่ขับก็พังยับทั้งคัน เราถูกงัดอกมาจากรถ เราไม่เห็นรถคู่กรณี เราอาจจะนึกว่าเราแค่ขับชนท้ายรถก็เหมือนรถชนธรรมดา เราไม่รู้ว่ามีคนเจ็บคนตาย ประเด็นก็คือผมเองแม้จะอายุเยอะแล้วถ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็อาจทำอะไรไม่ถูกก็ได้ นับประสาอะไรกับเด็กอายุ 16

ข้อสี่คนมีนามสกุลใหญ่จะต้องได้รับอภิสิทธิ์ พวกคนตระกูลใหญ่จะต้องใช้เส้นสายเพื่อให้พวกตัวเองพ้นผิด เรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานหรือเอาใจคนใหญ่คนโตนี้ผมเห็นด้วยครับว่ามันมีอยู่ในสังคมเราจริง  ๆ  แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนใหญ่คนโตทุกคนจะต้องใช้เส้นสายหรือใช้สิทธินี้ และมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปเกลียดหรือเข้าข้างใคร ๆ เพียงเพราะเขามีนามสกุลใหญ่โตและทำผิด เรื่องการแบ่งแยกนี้มันทำให้เกิดปัญหาระดับชาติมาแล้วนะครับ พวกชนชั้นกลางหลายคนก็ไปดูถูกคนต่างจังหวัดว่าโง่เลือกผู้แทนที่ไม่มีคุณภาพ คนต่างจังหวัดก็ถูกปลุกปั่นให้เห็นว่าคนชั้นกลางเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้นผมอยากเสนอว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ให้เราพิจารณาที่คนคนนั้น เหตุการณ์นั้นโดยไม่เอาอคติในเรื่องชนชั้นมาเกี่ยวข้องด้วยก็น่าจะทำให้เรามองปัญหาด้วยใจที่เทียงธรรมมากขึ้นครับ

กรณีเรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานนี้ถ้าจะโทษผมอยากให้โทษที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมากกว่า ลองถามตัวเองดูว่าปฏิบัติเหมือนกันไหมระหว่างคนธรรมดากับคนตระกูลใหญ่ ถ้าคนที่ขับรถชนเป็นคนนามสกุลธรรมดาตำรวจจะปล่อยตัวไปโดยไม่ควบคุมอะไรเลยแบบนี้ไหม แต่ถ้ามองในแง่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานก็อาจน่าเห็นใจว่าเขาอาจถูกกดดันจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ถ้าเขาทำตามหน้าที่ตรงไปตรงมาก็อาจมีปัญหาได้โดยไม่มีใครช่วยเขา ตรงนี้แหละครับที่ผมมองว่า Social Network อาจเข้ามาช่วยได้ คือถ้ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงโดยไม่กลัวเกรงกับอิทธิพลใด ๆ ก็ให้เราใช้พลัง Social Network ช่วยเขาครับ ส่วนเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันอะไรที่รัฐบาลเสนอเข้ามา ผมก็ภาวนาขอให้มันสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่แค่นโยบายหาเสียงไปวัน ๆ ก็แล้วกัน    

เขียนมาซะยืดยาวและเป็นเรื่องหนัก ๆ ทั้งนั้นในวันส่งท้ายปีแบบนี้จริง ๆ ไม่อยากเขียนเลย แต่ที่ต้องเขียนเขียนก็เพราะอยากเห็นคนไทยในยุค Social Network ตั้งสติและพิจารณาข่าวสารให้ดี ให้เราเข้าใจว่าข้อมูลที่เราได้รับจากสื่อต่าง ๆ มันอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมด ให้แยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือข้อวิจารณ์ซึ่งบางทีอาจเกิดจากอารมณ์ก็ได้ 

สุดท้ายผมอยากให้เราใช้ Social Network ในทางสร้างสรรค์เช่นการรวมตัวกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างที่ผ่านมา หรือสนับสนุนคนดี ๆ มากกว่าที่จะมาใช้ Social Network เพื่อทำลายล้างกันหรือสร้างกระแสให้เกลียดชังกัน ซึ่งถ้าเราทำอย่างนี้ได้ผมว่าเราจะใช้ประโยชน์จาก Social Network ได้คุ้มค่า และประเทศของเราก็น่าจะเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความสงบสุขเหมือนที่ผ่านมาได้ครับ สวัสดีปีใหม่ครับ ...

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม

สวัสดีครับ คงยังไม่สายไปที่จะกล่าวคำว่า Merry X'Mas ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชาวพุทธอย่างที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกัน แต่เราชาวไทยทั้งหลายก็พร้อมที่จะร่วมฉลองกับทุกเทศกาลอยู่แล้ว ซึ่งผมมองว่านี่เป็นจุดที่น่ารักอีกประการหนึ่งของคนไทยเราครับ และก็ทำให้เราไม่เกิดสงครามศาสนาเหมือนกับประเทศอื่น ๆ แต่สิ่งที่ผมอยากจะเขียนวันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องคริสต์มาสนะครับ แต่อยากจะพูดถึงเรื่องที่หลัง ๆ นี้ผมว่าพวกเราหลายคนอาจจะลืม ๆ ไป หรือชินกับมันไปแล้วนั่นคือการที่เรายอมละเมิดกฏหรือระบบเพื่อให้ได้ตามที่ใจเราต้องการ

จริง ๆ ผมมีความคิดที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้นานแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่เขียนเพราะบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากจะพูดเรื่องการเมืองมากนัก ผมเคยเขียนบล็อกว่าพวกเสื้อเหลืองที่มาชุมนุมปิดสนามบิน และว่าพวกเสื้อแดงที่มาชุมนุมจนการประชุมอาเซ็มล่ม ซึ่งในบล็อกที่เขียนว่าเสื้อเหลืองก็มีคนคิดว่าผมเป็นเสื้อแดง พอเขียนว่าเสื้อแดงผมก็กลายเป็นเสื้อเหลือง ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ใช่สีไหนทั้งสิ้นผมเป็นคนไทยที่ไม่มีสี และจริง ๆ คนไทยก็ไม่เคยมีสี จนมาถึงยุคนี้แหละครับที่พวกเราถูกคนที่ต้องการอำนาจพยายามใช้เราเป็นเครื่องมือและแบ่งแยกคนไทยออกจากกัน และกลายเป็นว่าคุณต้องเป็นสีใดสีหนึ่งถ้าคุณบอกว่าคุณไม่เป็นสีใดนั่นคือคุณแอ๊บ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าไม่เขียนดีกว่า

พอเกิดเหตุการณ์โจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวที่ไปยิงน้องโตมี่ และในที่สุดก็นำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรมโจ๊ก (ทำไมต้องชื่อโจ๊กด้วยนะ ทำเสียคนชื่อโจ๊กหมด) ผมเลยคิดว่าน่าจะต้องเขียนถึงเสียหน่อย ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็มีความเห็นเหมือนกับพวกเราหลายคนคือคนอย่างพี่น้องสองคนนี้ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่เพือมาก่อกรรมทำชั่วกับใคร ๆ อีก ยิ่งฟังการให้สัมภาษณ์ของพ่อของทั้งสองคนแล้ว ก็ทำให้เห็นเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ชั่วขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสะกิดเตือนพวกเราในวันนี้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรมนี่แหละครับ ผมจะไม่เขียนเรื่องว่าตำรวจทำถูกหรือไม่ถูกนะครับ เพราะผมไม่เคยดูวีดีโอที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน หรือถึงจะดูก็อาจจะไม่สามารถวิจารณ์ได้อยู่ดี

สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือกระแสสังคมที่เหมือนจะสนับสนุนการทำวิสามัญฆาตกรรมของตำรวจ ซึ่งผมมองว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวครับ เพราะผมมองว่ามันคือการทำลายระบบยุติธรรมของไทย มันเหมือนกับว่าเราพร้อมที่จะสนับสนุนการทำผิดถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราถูกใจ จริง ๆ แล้วกระบวนการยุติธรรมมันมีบทบาทเฉพาะของมันอยู่แล้ว ตำรวจมีหน้าที่จับกุมถ้าคนร้ายต่อสู้ก็สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ตำรวจไม่มีอำนาจไปตัดสินว่าคนร้ายสมควรที่จะต้องตาย การตัดสินเป็นอำนาจของศาล

ในทำนองเดียวกันกับการชุมนุมของกลุ่ม พธม. (เสื้อเหลือง) ซึ่งทั้งปิดถนน เข้าไปยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน แต่พวกเราหลายคนก็พร้อมที่จะปิดหูปิดตาและบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้มาชุมนุมขับไล่คนที่เราไม่ชอบ เวลาทหารอกมาปฏิวัติถ้าเขาปฏิวัติเอาคนที่เราไม่ชอบออกไป เราก็เอาดอกไม้ไปให้ทหาร ขอบคุณทหารที่ออกมาปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นการทำลายระบบ พวกสื่อและนักวิชาการก็ช่วยให้การชุมนุมที่จริง ๆ นั้นผิดให้กลับกลายเป็นถูก มีการประดิษฐ์ถ้อยคำเช่น "ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" หรือคำประเภท "สิทธิของเสียงส่วนน้อย" ซึ่งในความเห็นผมผมก็เห็นด้วย แต่มันต้องมีการเติมให้สมบูรณ์ครับ เช่นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่คุณต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และคอยติดตามดูผลงานของคนที่คุณเลือกหรือไม่ได้เลือกเข้าไป ถ้าเขาทุจริตหรือคดโกงคุณก็ต้องใช้ช่องทางตามที่กฏหมายเปิดช่องไว้ เช่นการเข้าชื่อถอดถอน ยื่นฟ้องต่อองค์กรอิสระ หรือก็อาจต้องอดทนรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งอำนาจจะกลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง ถ้าเราเป็นเสียงส่วนน้อยเรามีสิทธิที่จะพูดแสดงความคิดเห็น และโน้มน้าวให้คนอื่น ๆ เห็นด้วยกับเราจนเรากลายเป็นเสียงข้างมาก แต่ถ้ามันไม่สำเร็จเราก็ต้องยอมตามเสียงข้างมาก นั่นคือระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่นั้นผิดและจะเป็นภัยร้ายแรง เราก็ต้องมาใช้สิทธิของเราในด้านอื่นตามช่องทางที่กฏหมายกำหนด

หลายคนอาจจะบอกว่าเลือกตั้งใหม่ก็ได้คนเดิมอยู่ดี เพราะเสียงคุณสู้ไม่ได้ (จนกลายไปเป็นไปดูถูกหรือด่าคนอื่นว่าโง่กว่าตัวเอง) แต่นี่คือระบอบประชาธิปไตยครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าคุณต้องโน้มน้าวหรือทำให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ คุณอาจจะคุยกับเพื่อน ๆ คุณบอกว่าควรเลือกพรรคนี้หรือพรรคนั้นเพราะอะไร  ส่วนนักการเมืองก็ควรจะนำเสนอนโยบาย และถ้าแพ้ก็ควรจะมาพิจารณาตัวเองว่ายังมีจุดบกพร่องอะไร ไม่ใช่พอแพ้เลือกตั้งมาก็พูดอยู่คำเดียวเป็นคาถาว่าแพ้เพราะอีกฝ่ายซื้อเสียงโดยไม่ได้มองตัวเองเลย แล้วก็เล่นเกมการเมืองไปเรื่อยโดยไม่คิดว่าที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีโดยเอาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก

พูดมาถึงตรงนี้หลายคนก็บอกว่าก็นี่ไงเพราะคุณภาพของนักการเมืองบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ก็เลยต้องใช้วิธีนอกระบบ แต่ผมกลับมองว่าถ้าเรารักษาระบบไว้คือไม่ว่านักการเมืองจะแย่ยังไง เราก็จะใช้วิธีที่อยู่ในระบบจัดการกับเขา ไม่มีการมาปิดสนามบินหรือยึดย่านเศรษฐกิจขับไล่ และไม่มีการปฏิวัติ ก็จะทำให้คนดี ๆ กล้าที่จะเข้ามาทำงานมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าจะไม่มีการใช้วิธีการนอกระบบมาจัดการกับเขา เพราะแม้แต่คนชั่ว ๆ เรายังอดทนที่จะอยู่ในระบบได้ ซึ่งผมคิดว่าสักวันวันนั้นจะมาถึงถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบ ไม่ไปหยุดมันกลางทางอย่างทีทำกันอยู่ในปัจจุบัน

แต่แน่นอนครับเมื่อระบบมันเสียไปจากการที่พวกเรายอมรับสิ่งที่ผิดถ้ามันตรงใจ จากเสื้อเหลืองมันก็เลยเกิดเสื้อแดง ก็ต้องบอกอีกครั้งว่าไม่ได้เห็นด้วยเลยกับการที่เสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกับเสื้อเหลือง เพราะตอนเสื้อเหลืองทำผิดกฏหมายบ้านเมืองพวกเสื้อแดงก็ด่าเสร็จแล้วก็มาทำเสียเอง ผมว่าไอ้คนที่ด่าเขาแล้วตัวเองมาทำเองนี่แย่กว่าอีกนะ คือรู้ว่าอะไรผิดแล้วยังทำ ผมเบื่อจริง ๆ กับคำว่าเขาทำผิดได้เราก็ต้องทำได้ จริง ๆ มันควรจะเป็นว่าเขาทำผิดเราจะไม่ทำผิดเหมือนเขาถึงจะถูก จริง ๆ ถ้าอยากชุมนุมก็ทำเหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้าคือชุมนุมโดยสงบตามสนามกีฬาที่ไม่เดือดร้อนใคร ชี้ให้เห็นการทำงานที่ผิดพลาดหรือสองมาตรฐานอะไรก็ตาม ซึ่งผมว่าถ้าคุณทำอย่างนี้นี่แหละจะเป็นการโน้มน้าวให้คนที่มีใจเป็นกลางให้เห็นด้วยกับคุณ และขณะที่กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่ก็มีข่าวแฟนบอลลงมาทำร้ายกรรมการในการแข่งขันระหว่างศรีสะเกษกับนครปฐม นี่ก็คือตัวอย่างของการทำนอกระบบ

ท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากให้พวกเราทุกฝ่ายคิดและยอมรับระบบ อะไรที่คิดว่าไม่ยุติธรรมก็ให้แก้ไขอยู่ในขอบเขตของระบบ และต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในข้ามวัน ขอให้มีความอดทนอดกลั้นเพื่อให้ประเทศเราได้เดินหน้าไปอย่างปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาครับ

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แนะนำฟอรัมเกี่ยวกับการเมืองให้อ่านกันครับ

สวัสดีครับสำหรับวันนี้ผมจะมาคุยเรื่องการเมืองครับ แต่เนื้อหานั้นจะไม่ได้มาจากที่ผมเขียนครับแต่มาจากฟอรัมในบล็อกนัน ผมคิดว่าพวกเราหลายคนก็คงเข้าไปอ่านข่าวไอทีจากบล็อกนันกันเป็นประจำอยู่แล้ว ผมก็ใช่ครับแต่วันนี้บังเอิญได้ไปอ่านฟอรัมในบล็อกนันในหัวข้อจริยธรรมนัการเมืองโกง,คนเล่นบล็อกนันใช้ของเถื่อน? ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรน่าสนใจมากมาย แต่ปรากฏว่าในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว มีมุมมองที่น่าสนใจอยู่มากครับทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ และแตกประเด็นไปถึงเรื่องระบอบประชาธิปไตยของไทย ซึ่งผมอยากให้ได้เข้าไปอ่านกันครับเพราะผมเชื่อว่าจะเปิดมุมมองของเราให้กว้างขึ้นได้อย่างมากมายครับ การอ่านความเห็นของคนที่ถกกันด้วยเหตุผลและหลักการผมว่ามันดีกว่าเข้าไปเว็บไซต์ที่เลือกข้างไว้แล้ว และพยายามปั่นหัวหรือยัดเยียดมุมมองด้านเดียวให้กับเรานะครับ เชิญชวนให้อ่านกันครับแต่แนะนำว่าควรจะต้องมีเวลาว่างพอสมควรนะครับ บางทีอาจต้องใช้เวลาอ่านมากกว่าหนึ่งวันครับ

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอขอบคุณนักกีฬาไทยในเอเชี่ยนเกมส์

ผมไม่ได้มาเขียนบล็อกเสียนานเพราะไม่ว่างจริง ๆ  ช่วงที่ไม่ได้มาเขียนมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งที่ดีและไม่ดี เรื่องดี ๆ ก็เช่นผลงานของนักกีฬาไทยในเอชี่ยนเกมส์  ส่วนเรื่องแย่ ๆ ก็เรื่องของนักการเมืองไทย เรื่องซากทารกที่เกิดจากการทำแท้งถึงสองพันกว่าศพที่พบที่วัดไผ่เงิน แต่วันนี้ขอพูดเรื่องดี ๆ ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะเป็นวันส่งท้ายของเอชี่ยนเกมส์พอดี ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ก่อนแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นผมก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนก่อนครับที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพวกเราชาวไทยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเราจะได้เหรียญทองน้อยกว่าคราวที่แล้ว แต่ผลงานโดยรวมก็ถือว่าดีนะครับ นักกีฬาทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจของนักสู้ โดยเฉพาะที่ประทับใจผมที่สุดก็คือทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรหญิง ซึ่งผมดูกี่ครั้งก็รู้สึกประทับใจทุกครั้ง ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็คลิกเข้าไปดูก่อนได้เลยครับ



ดูกันแล้วประทับใจไหมครับ นอกจากประทับใจแล้วผมว่าเรายังได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากทีมวิ่งผลัดหญิงทีมนี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดจากการแข่งขันครั้งที่แล้ว (ครั้งที่แล้วทีมวิ่งผลัดหญิงไม่ได้เหรียญอะไรเลยเพราะส่งไม้พลาด) การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อ ลองคิดดูนะครับ ในช่วงสุดท้ายใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้วเรายังตามจีนอยู่เลย ถ้านักกีฬาของเราคิดแค่ว่า "โอ้คนที่นำหน้าเราคือจีน เอาเถอะได้ที่สองก็ดีแล้ว" คนไทยก็คงไม่มีความสุขมากขนาดนี้

สุดท้ายก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนอีกครั้งไม่ว่าจะได้เหรียญรางวัลกลับมาหรือไม่ ขอขอบคุณที่ทุกคนได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาในการฝึกซ้อมและแข่งขันเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ ส่วนคนไทยก็ขออย่าเพียงชื่นชมเหรียญรางวัลที่นักกีฬาได้เท่านั้น เราทุกคนก็ควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อเพื่อประเทศของเราเช่นกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พนักงานเซ็นทรัลเหมือนกันแต่ต่างกัน

วันนี้มีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมาเล่าให้ฟังกันครับ จริงๆเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่แล้วแต่ผมเพิ่งจะว่างมาเขียนบล็อกเล่าให้ฟังวันนี้ คือเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ก็พอดีไปเจอเข็มขัดเข้าเส้นหนึ่งเห็นว่าสวยดีก็เลยหยิบมาดู ก็มีพนักงานขายคนหนึ่งเข้ามาดูแลแนะนำ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจซื้อเพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป ประกอบกับเส้นเก่าที่ใช้อยู่ก็ใช้มาสิบกว่าปีจนแตกลายงาหมดแล้ว พนักงายขายได้ถามผมว่ามีบัตร The One หรือไม่เพราะจะได้ส่วนลดและสะสมแต้ม ซึ่งผมก็บอกว่าไม่มีพนักงานก็ถามอีกว่าแล้วคนในครอบครัวมีไหม ผมก็นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวผมน่าจะมีเพราะเป็นขาประจำ ก็เลยได้ให้ชื่อน้องสาวกับพนักงานไป ซึ่งพนักงานก็ไปค้นมาแล้วก็เจอจริง ๆ จากเหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้ผมรู้สึกประทับใจกับพนักงานขายของคนนี้มาก และก็มีความรู้สึกดี ๆ กับเซ็นทรัลว่าอบรมพนักงานมาดี แต่แล้วเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันมาก็ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ต่อเซ็นทรัลของผมหายไปเกือบหมด

พนักงานขายได้นำผมมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ซึ่งตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวพม่าเป็นผู้หญิงดูค่อนข้างจะมีอายุแล้วกำลังจะทำเรื่องยกเว้น VAT สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งพนักงานขายที่ดูแลลูกค้าชาวพม่าคนนั้น ก็มาถามพนักงานเก็บเงิน ซึ่งเธอก็ตอบเสียงสะบัด ๆ เหมือนไม่พอใจว่า "ถามเขาสิว่ามีพาสต์พอร์ตไหม" ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวก็แสดงพาสต์พอร์ตให้ดู และก็ขอให้พนักงานขายช่วยกรอกแบบฟอร์มให้เธอหน่อย ซึ่งพนักงานขายก็บอกว่าพนักงานเก็บเงินว่าเขาจะให้กรอกฟอร์มให้ด้วย พนักงานเก็บเงินก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นไปอีก พร้อมทั้งตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ก็กรอกให้เขาไปซี" และก็ยังทำท่าทางเอามือแตะหน้าผากพร้อมทั้งบ่นว่า "จะให้ส่วนลดแล้วยังไม่ยอมกรอกเองอีก" ผมดูถึงตอนนี้แล้วต้องบอกว่าเสียความรู้สึกมาก คือตอนแรกผมก็คิดว่าพนักงานเก็บเงินอาจจะไม่พอใจพนักงานขายซึ่งมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็มาถาม แต่ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่พอใจลูกค้าด้วย โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะไม่พอใจอะไรพนักงานขายก็ไม่ควรจะมาแสดงความไม่พอใจต่อหน้าลูกค้า ถ้าไม่พอใจกันเองก็ไปหาเวลาพูดคุยกันทีหลัง ส่วนการไม่พอใจลูกค้านี่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ นี่ไม่ควรให้เกิดขึ้นเลย คือผมก็ไม่ได้ยึดติดว่าลูกค้าคือพระเจ้าหรอกนะครับ คือถ้าลูกค้างี่เง่ามากจนมาละเมิดสิทธิของเรานี่ก็เชิญเลย แต่ในกรณีนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการบริการนะครับ การที่ลูกค้าขอให้กรอกข้อมูลให้นี่ผมว่าก็ไม่เกินเลยนะครับเพราะตอนนั้นลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร และน่าจะคิดบ้างว่าลูกค้าก็มีอายุแล้ว เธออาจจะมองไม่เห็น หรืออาจจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานเก็บเงินก็ไม่ใช่คนที่ต้องไปกรอกข้อมูลเองก็ไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม การให้บริการดังกล่าวด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากจะทำให้เซ็นทรัลมีภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย พนักงานเก็บเงินคนนั้นอาจจะคิดว่าลูกค้าเป็นคนพม่าฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผมว่าภาษากายนี่มันเป็นภาษาสากลนะครับ ผมคิดว่าลูกค้าพม่าคนดังกล่าวรู้ครับว่าอะไรเป็นอะไร

เอาละ่ครับนั่นคือเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้วก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน ผมเชื่อว่านี่คงเป็นส่วนน้อยของพนักงานบริการที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมมีความเขื่อว่าพนักงานบริการส่วนใหญ่มีจิตใจบริการที่ดีเหมือนกับพนักงานขายของที่ขายของให้ผม แต่คนส่วนน้อยนี่ก็อาจจะทำให้สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาเสียหายได้นะครับ ดังนั้นก็อยากจะฝากเอาไว้ว่าก่อนจะทำอะไรให้คิดให้ดีก่อน อย่าไปคิดว่าเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมการกระทำคงไม่มีผลอะไร โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวนี่ผมว่าการที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยนี่ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไทยนะครับ แต่เขามาเที่ยวเพราะเขาประทับใจคนไทย ประทับใจความมีใจให้บริการของคนไทย ก็ขอให้พวกเราโดยเฉพาะส่วนที่มีหน้าที่บริการโดยตรงได้ตระหนักไว้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาตินะครับ นักท่องเที่ยวคนไทยก็ควรจะได้รับบริการในแบบเดียวกันด้วย ถ้าใครอยู่ในธุรกิจที่ต้องให้บริการแล้วคิดว่าไม่ชอบบริการใคร ก็ลาออกไปหางานอื่นทำเถอะครับ

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มุมุมองของผมจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553

จริง ๆ เรื่องน้ำท่วมนี้มีอะไรอยู่ในใจผมและตั้งใจว่าจะเขียนนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เขียนสักที จนตอนนี้พอจะมีเวลาบ้างก็ขอเขียนเลยแล้วกัน เพราะถ้าไม่เขียนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เขียนเมื่อไหร่ สำหรับเหตุูการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ก็มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป เอาสิ่งที่ดีก่อนแล้วกันสิ่งดีประการแรกก็คือผมยังเห็นว่าคนไทยยังรักกันครับ เราพร้อมที่จะช่วยเหลือกันเมื่อยามเดือดร้อนไม่ต้องคิดว่าใครเป็นสีไหน และหลังจากเหตุการณ์นี้ผมก็หวังว่าเราจะไม่ยอมให้พวกนักการเมืองหรือผู้ที่ต้องการครองอำนาจในบ้านเมืองมาชักนำให้พวกเราต้องมาแบ่งสีกันอีกนะครับ ผมมองเห็นการทำงานที่แข็งขันของภาคประชาชน การใช้เครือข่ายสังคมให้เกิดประโยชน์ ผมรู้สึกว่าประเทศเรายังมีความหวัง และขอขอบคุณอาสาสมัครทุกคนด้วยใจจริงครับ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกดีแต่อาจจะเป็นส่วนตัวสักเล็กน้อยนะครับก็คือลูก ๆ ของผมทั้งสองคนซึ่งยังไม่โตมากนัก แต่เขาก็มีความรู้สึกและพร้อมที่จะช่วยเหลือด้วย คือเมื่อวันเสาร์ (23 ต.ค. 2553) ที่ผ่านมา ผมและลูกได้ดูรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมไป และผมก็ได้พูดเปรย ๆ ว่า "คราวนี้น้ำท่วมหนัก สงสัยที่บริจาคไปแล้วจะน้อยไปพ่อจะไปบริจาคเงินช่วยเพิ่มเติม" ลูกของผมทั้งสองคนได้ยินอย่างนั้น ก็เดินไปเปิดกระเป๋าเงินของเขาและหยิบเงินออกมาคนละพัน บอกว่าเงินนี้คุณยายให้มาให้เขาเอาไว้ใช้ตอนเปิดเทอมให้ผมเอาเงินนี้ไปบริจาคด้วย ซึ่งทำให้ผมรู้สึกปลื้มใจมาก

ส่วนสิ่งที่ผมมองว่ายังไม่ดีประการแรกก็คือการทำงานของรัฐบาลนี่แหละครับ รัฐบาลไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการจัดการสถานการณ์วิกฤตเลย มันทำให้เห็นว่าตอนนี้การทำงานของภาครัฐนั้นล้าหลังภาคประชาชนไปมาก ผมว่าบล็อก ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก เขียนสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลได้ดีมาก ก็ลองไปอ่านกันดูแล้วกันครับ ผมคงไม่เพิ่มเติมอะไรเพราะผมว่าบล็อกดังกล่าวได้สะท้อนสิ่งที่น่าจะอยู่ในใจของหลาย ๆ คนออกมาอยู่แล้ว

อีกจุดหนึ่งก็คือพวกส.ส.ทั้งหลายครับ ตอนนี้พวกคุณทำอะไรกันอยู่บ้างครับ ผมไม่เห็นบทบาทที่โดดเด่นของพวกคุณในสถานการณ์นี้เลยครับ ตกลงพวกคุณยังมีตัวตนอยู่ไหม จริง ๆ มันไม่สำคัญว่าคุณจะเป็น ส.ส. ฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ตอนนี้ประชาชนที่เขาเลือกพวกคุณมากำลังเดือดร้อน คุณได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือพวกเขาบ้าง คุณเลิกทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองสักพักได้ไหม หรือจะตามสนใจแต่เรื่องคลิปจะยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค ก็ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ผมว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องรองนะครับ ส.ส. ฝ่ายค้านกับรัฐบาลลองทำเหมือนภาคประชาชนดูไหมครับ ลองหันมาจับมือกันเพื่อช่วยประชาชนให้ผ่านความทุกข์ยากครั้งนี้ไปให้ได้ แล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง

สุดท้ายก็คือเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาวครับ ลองถามตัวเองครับว่าประเทศของเราเกิดเหตูการณ์แล้ง-น้ำท่วมแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ต้นปีก็ปัญหาภัยแล้ง พอกลางปีถึงปลายปีก็มีปัญหาน้ำท่วม ผมคงไม่สามารถให้ความเห็นที่ดีได้ในเรื่องวิธีแก้ปัญหาเพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่คำถามก็คือประเทศเราไม่มีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลยหรือครับ หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้หรือครับ เท่าที่ผมฟังมาวิธีการหนึ่งที่อาจจะบรรเทาปัญหานี้ได้ก็คือการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น แต่ก็ถูกคัดค้านจาก NGO ซึ่งผมมองว่าถ้ามันแก้ได้จริง ๆ ก็น่าจะต้องทำนะครับ ก็ขอฝากรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยแล้วกันในเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาว

นั่นคือบางสิ่งที่อยู่ในใจผมจากสถานการณ์นี้ สำหรับท่านใดมีความเห็นอื่นใดต้องการจะมาแบ่งปันกันก็ยินดีครับ อ้อขอให้ลิงก์ไปยังเว็บที่ถือว่าเป็นศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้ไว้ด้วยนะครับ เผื่อใครยังไม่ทราบ และต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ http://www.thaiflood.com/

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

PhoneTouch

มีการสร้างต้นแบบของอุปกรณ์แบบ Microsoft's Surface โดยใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สัมผัสจอภาพครับ โดยประโยชน์ของการใช้มือถือเป็นตัวสัมผัสนี้ก็คือจะเป็นการยืนยันตัวผู้ใช้งานผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลระหว่างมือถือกับอุปกรณ์อีกด้วย ระบบต้นแบบนี้เขาเรียกว่า PhoneTouch ครับ

ตกลงมือถือนี่เป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์เลยนะครับ ทำได้ทุกอย่างจริง ๆ

ที่มา: Technology Review

สอนให้คอมพิวเตอร์เรียนด้วยตัวเอง

นักวิจัยจาก Carnegie Mellon University (CMU)ได้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Never-Ending Language Learning (NELL) โดยนักวิจัยได้ป้อนความรู้พื้นฐานให้กับ NELL จากนั้นก็ให้มันอ่านข้อมูลจากเว็บและเรียนด้วยตัวเอง ปัจจุบันนี้ NELL อ่านหน้าเว็บไปแล้วเป็นล้าน ๆ หน้า เพื่อหาแบบรูปของข้อความ (text pattern) เพื่อนำมาเก็บเป็นข้อมูล โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาจัดกลุ่มเช่น ชื่อเมือง ชื่อบริษัท ทีมกีฬา เป็นต้น ตัวอย่างของการเก็บข้อมูลก็เช่นกรุงเทพเป็นชื่อเมือง ดอกทานตะวันเป็นดอกไม้ และ NELL ก็ยังสามารถเรียนรู้ความสัมพันธ์ของข้อมูลระหว่างกลุ่มได้ จากข่าวเขายกตัวอย่างว่า NELL สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง Peyton Manning กับทีมเอมริกันฟุตบอล Indianapolis Colt ได้ว่า Peyton Manning เป็นผู้เล่นของ Indianapolis Colt โดยมันไม่เคยอ่านข้อมูลนี้มาก่อน

เอาละ่ครับ ตอนนี้คอมพิวเตอร์ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว เราเป็นคนก็อย่าให้อายคอมพิวเตอร์นะครับ

ที่มา: The New York Times

ระบบไฟจราจรอัจฉริยะ

วันศุกร์นี้มีเรื่องข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการจราจรโดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ ๆ มาเล่าให้ฟังกันครับ คือได้มีการวิจัยระบบไฟจราจรแบบใหม่แทนแบบตั้งเวลา ซึ่งมักจะตั้งเวลาคงที่ไว้ว่าจะปล่อยรถฝั่งไหนนานเท่าใด มาเป็นระบบที่ฉลาดมากขึ้นโดยระบบนี้จะใช้การคำนวณจากปริมาณรถว่าควรจะให้ไฟเขียวกับฝั่งไหน ซึ่งนักวิจัยบอกว่าระบบนี้น่าจะลดความคับคั่งลงได้ร้อยละ 30 และแน่นอนครับการที่จะให้สัญญาณไฟตามแยกต่าง ๆ ทำงานไปโดยลำพังก็อาจจะเกิดความสับสนได้ พูดง่าย ๆ ก็คือปล่อยรถไม่ประสานจังหวะกันแบบที่จรารจรเมือง...ชอบทำ ดังนั้นนักวิจัยจึงได้เสนอระบบควบคุมซึ่งจะประสานการทำงานระหว่างไฟแดงตามแยกต่าง ๆ ด้วย

แหมอ่านจบแล้วอยากให้ระบบนี้สำเร็จและใช้ได้เร็ว ๆ เลยครับ

ที่มา: Network World

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเขียนโปรแกรมแบบมัลติคอร์กำลังจะลงสู่อุปกรณ์แบบโมบาล์ยแล้ว

มีการคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะเริ่มมีการผลิตชิปแบบมัลติคอร์สำหรับอุปกรณ์โมบาล์ย ดังนั้นเพื่อที่จะให้ซอฟต์แวร์สามารถใช้ความสามารถของฮาร์แวร์ได้เต็มที่ นักเขียนโปรแกรมก็จะต้องเขียนโปรแกรมกันใหม่เพื่อใช้ประโยชน์จากฮาร์ดแวร์ให้มากที่สุด แต่ปัญหาก็คือปัญหาเดิม ๆ ซึ่งเคยเกิดกับบนเครื่องพีซีมาแล้วก็คือนักเขียนโปรแกรมส่วนใหญ่ยังคงเคยชินกับการเขียนโปรแกรมแบบเรียงลำดับไม่ใช่การเขียนโปรแกรมแบบขนาน ในบทความบอกว่าระบบปฏิบัติการอย่างแอนดรอยนั้นพร้อมรองรับซีพียูคู่ (dual-CPU) ในระดับระับบปฏิบัติการแล้ว ก็อาจจะช่วยได้ระดับหนึ่ง แต่ในการพัฒนาโปรแกรมนั้นยิ่งมีคอร์มากก็จะยิ่งมีความยุ่งยากในการเขียนโปรแกรมมากขึ้น ดังนั้นก็อย่างที่ผมเคยเขียนบล็อกเอาไว้เมื่อสองปีที่แล้วในเรื่อง การเขียนโปรแกรมแบบเรียงลำดับกำลังจะตาย ว่าถึงเวลาพวกเราควรจะหันมาสนใจการเขียนโปรแกรมแบบขนานกันได้แล้วนะครับ

ที่มา: Computerworld

ใช้เครือข่ายสังคมเพื่อแก้ปัญหาโรคนอนไม่หลับ

นักวิจัยจาก Lincoln University กำลังทำวิจัยที่จะนำเครือข่ายสังคมยอดนิยมอย่าง Twitter และ Facebook มารักษาโรคนอนไม่หลับ โดยในปัจจุบันเขามีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า computer-based cognitive behavioral therapy (CBT) อยู่แล้ว เพียงแต่โปรแกรมดังกล่าวไม่ได้ดึงดูดให้คนไข้เข้ามาใช้เป็นประจำเหมือน Twitter และ Facebook ดังนั้นถ้ามีการพัฒนาโปรแกรมในลักษณะที่เป็นเกมให้เล่นผ่านเครือข่ายสังคมดังกล่าวจะทำให้การรักษาโรคได้ผลดีขึ้น

ที่มา: BBC News

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ความเห็นเกี่ยวกับข่าวฮอตประจำสัปดาห์

สำหรับสัปดาห์นี้ข่าวร้อนแรงที่สุดก็คงมีอยู่ 3 เรื่องนะครับ คือเรื่องที่การประมูลใบอนุญาต 3G ถูกระงับ เรื่องฟิล์ม และเรื่องเปิดตัวไอโฟน 4 อย่างเป็นทางการในไทย ก็ขออนุญาตเกาะกระแสเขียนถึงทั้ง 3 เรื่องนี้บ้างแล้วกันนะครับ

เริ่มจากเรื่อง 3G ก่อน จริง ๆ เรื่องนี้ผมเขียนถึงไปสองครั้งแล้ว คงต้องบอกว่าผิดหวังเหมือนกับหลาย ๆ คนในประเทศนี้ แต่คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ายังไงศาลก็คงไม่ยอมให้เดินหน้าต่อเพราะมีปัญหาเรื่องข้อกฏหมายจริง ๆ แต่ถ้าถามว่าปัญหาน่าจะเกิดจากอะไร ผมคิดว่าเป็นปัญหาด้านการบริหารจัดการของรัฐบาล รัฐบาลไม่รู้ว่าองค์กรใดมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง ไม่รู้ว่าเคยปรึกษากับกฤษฎีกาหรือเปล่า (จริง ๆ ถ้ายังไม่แน่ใจนี่น่าจะรีบดันเรื่อง กสทช.ออกมาให้เร็วที่สุด มาเร่งทำตอนนี้ก็ค่อนข้างสายแล้วครับ) อีกอย่างหนึ่งยังไม่สามารถควบคุมองค์กรที่อยู่ในสังกัดของตัวเองให้ทำตามนโยบายของรัฐบาลได้ อ้อแต่รับฟังมาอีกกระแสหนึ่งเห็นเขาบอกว่าจริง ๆ รัฐบาลไม่อยากให้การประมูล 3G สำเร็จโดยกทช. ครับ เพราะมีข้อไม่เห็นด้วยกับ กทช. (ทำนองว่า กทช. มีความไม่โปร่งใสอะไรบางอย่าง) แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะกทช. เป็นองค์กรอิสระ อันนี้แค่ฟังมานะครับไม่รู้จริงหรือเปล่าเอามาเล่าให้ฟังไว้เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง สรุปเรื่องนี้ก็คือตอนนี้ TOT กับ กสท. ก็สมหวังแล้วในการที่ยับยั้งไม่ให้มี 3G รายอื่นเกิดขึ้นมาในประเทศ ก็ช่วยพัฒนาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์กับประเทศชาติสูงสุดด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องฟิล์มนี่ผมจะไม่แตะเลยครับ ถ้าคุณระเบียบรัตน์ไม่ออกมาให้สัมภาษณ์อะไรซึ่งในส่วนตัวผมฟังแล้วรู้สึกแย่มาก ผมไม่ใช่แฟนของฟิล์ม และติดตามผลงานของฟิล์มน้อยมาก และผมไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ที่เขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะคุณระเบียบรัตน์จริง ๆ ก่อนอื่นผมบอกเลยนะครับว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนสองคน เขารู้ดีที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร เราเป็นบุคคลนอกไม่มีสิทธิที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เขาในทางที่เหมือนต่อว่าคนที่เราไม่เห็นด้วยอย่างเสีย ๆ หาย ๆ สิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือยกเอามาเป็นตัวอย่างในการสั่งสอนลูกหลานของเราให้ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิต ในการให้สัมภาษณ์คุณระเบียบรัตน์ได้ต่อว่าคุณพจน์ อานนท์ที่มาพูดให้ข่าวเหมือนเชิงแก้ตัวแทนฟิล์มว่าไม่ควรพูดเพราะเป็นคนนอก แต่ตัวเองกลับทำเสียเอง ไปพูดเป็นเชิงว่าฟิล์มไม่สนใจไม่ดูแลไม่รับผิดชอบ แถมยังมาพูดเป็นเชิงประชดประชันแดกดันว่าไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ ให้บอกว่าเด็กเป็นลูกฟิล์ม ให้จำไว้จนวันตายอะไรประมาณนี้ (การให้สัมภาษณ์เต็ม ๆ ฟังได้จากจากคลิปนี้ครับ) คำถามคือคุณระเบียบรัตน์ถือสิทธิอะไรในการไปพูดจาว่ากล่าวคนอื่นแบบนี้ ทั้งที่ความจริงตัวเองก็ไม่น่าจะรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไง ปัญหาของประเทศเราส่วนหนึ่งก็มาจากวิธีคิดและการกระทำแบบนี้แหละครับ เที่ยวไปตัดสินคนอื่นโดยรับฟังข้อมูลข้างเดียว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่คิดไตร่ตรองว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด

ส่วนเรื่องไอโฟน 4 กระแสแรงจริง ๆ ครับ แสดงว่าคนไทยหลายคนก็อดทนรอที่จะได้ใช้เจ้าโทรศัพท์ตัวนี้ ส่วนคนที่รอไม่ได้นี่ได้ข่าวว่ายอมซื้อเครื่องหิ้วที่เข้ามาตอนแรก ๆ ถึงสี่-ห้าหมื่น สำหรับตอนนี้ก็เปิดขายแล้วโดยทั้งสามค่ายใหญ่ เครื่องเปล่าราคาเท่ากันหมด เริ่มต้นที่สองหมื่นกว่า รายละเอียดดูได้ที่บล็อกของคุณพัชร แว่ว ๆ ว่าขายดีเหมือนแจกฟรี ถ้าจะใช้ครอบคลุมจริง ๆ คือได้ใช้ทั้ง 3G และ Wifi นี่ตอนนี้ก็คงไม่มีใครสู้ True ได้ ดังนั้นผมคิดว่า AIS และ DTAC ก็คงต้องเปิด 3G ให้ได้บนเครือข่ายเดิมที่ตัวเองมีอยู่เพื่อจะให้การใช้งานเครื่องให้ได้คุ้มค่าที่สุด เห็นว่ารัฐบาลอาจจะผลักดัน 3G ตามแนวนี้ด้วยเหมือนกันครับ แต่ก็แปลกดีนะครับบริษัทที่มี 3G อยู่แล้วอย่าง TOT กลับไม่กระตือรือร้นที่จะนำไอโฟนเข้ามาขาย บริษัทที่นำมาขายกลับยังไม่มี 3G

สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้นะครับ ขอให้มีความสุขในวันศุกร์ครับ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ความจริงที่ผมได้รู้จากการที่ศาลสั่งระงับการประมูลใบอนุญาต 3G

ขอเขียนถึงเรื่อง 3G นี้อีกสักวันแล้วกันนะครับในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่รออยู่แล้วก็ต้องผิดหวังไม่รู้ว่าจะต้องรอต่อไปอีกนานเท่าไร จริง ๆ แล้วถ้าพูดถึงเรื่อง 3G ประเทศเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใช้นะครับ เพียงแต่ว่าคุณภาพบริการมันยังไม่ดี สัญญาณมา ๆ หาย ๆ และไม่สามารถตอบสนองต่อประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ ดังนั้นถ้าการประมูลนี้สำเร็จจะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติในหลาย ๆ ด้าน ความไม่เท่าเทียมกันด้านข้อมูลข่าวสารระหว่างคนเมืองกับคนชนบทจะน้อยลง แต่เมื่อมีอันต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่รู้อนาคตอย่างนี้ ก็ทำให้ประเทศเราเสียโอกาสไปหลาย ๆ อย่าง น่าอิจฉาประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าเราอย่างลาวหรือกัมพูชา ประเทศเหล่านี้มี 3G ใช้กันแล้ว

คราวนี้มาดูว่าผมพบความจริงอะไรบ้างจากเรื่องที่เกิดขึ้น ความจริงที่ผมพบประการแรกเป็นความจริงที่น่ากลัวมากครับ คือประเทศของเรานี้ทำงานและบริหารงานกันโดยไม่มีใครรู้อะไรจริง ๆ เลย หน่วยงานที่ทำหน้าที่ประมูลคือ กทช. ก็ไม่ได้รู้จริงว่าตัวเองมีอำนาจหรือเปล่า รัฐบาลก็ไม่รู้เพราะถ้ารู้ก็คงไม่ปล่อยให้ กทช. ดำเนินงานมาถึงขนาดนี้ ปัญหาคือมันมีองค์กรต่าง ๆ ถูกตั้งขึ้นมาเต็มไปหมด อย่าง กทช. และกสทช. ซึ่งก็มีชื่อคล้ายกันมาก ผมยังเข้าใจผิดเลยว่า กทช. ก็คือ กสทช. แต่เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง แต่ประเด็นคือรัฐบาลต้องรู้สิครับ เพราะเท่าที่ผมติดตามข่าวมาอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่มันเป็นของ กสทช. รัฐบาลจะต้องรู้และควรจะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น โดยรีบสรรหากรรมการ กสทช. เพื่อมาดำเนินการ ส่วนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ICT ก็ออกมาทำได้แค่ขอโทษและยังให้ข้อมูลผิด ๆ อีก เช่นผู้ให้บริการอย่าง AIS หรือ DTAC ได้ให้บริการ 3G กับคนในกรุงเทพทั่ว ๆ ไปแล้ว ทั้งที่จริง ๆ มันไม่ใช่ ถ้าผมเป็นนายกผมคงต้องขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ลาออก หรือถ้าผมเป็นรัฐมนตรีเองผมจะขอลาออกครับ

ความจริงประการที่สองก็คือรัฐวิสาหกิจที่ชอบออกมาโวยวายตอนที่มีรัฐบาลหนึ่งจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ บอกว่าประเทศชาติและประชาชนจะเสียประโยชน์อย่างนู้นอย่างนี้ ตอนนี้พวกเราคงเห็นนะครับว่าเขาเห็นกับประโยชน์ของใครมากกว่า จริง ๆ ถ้าออกมาคัดค้านเพราะรู้เรื่องว่า กทช. ไม่มีอำนาจ ถ้าตัวเองไม่คัดค้านจะกลายเป็นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่อ้างมา ก็น่าจะทำแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่ กทช. เขาเริ่มดำเนินการ ป่านนี้รัฐบาลก็คงจะรู้ตัวและรีบเริ่มดำเนินการสรรหา กสทช.ไปแล้ว นี่จนเขาจะทำเสร็จอยู่แล้วเพิ่งจะออกมาคัดค้าน ประเทศชาติต้องเสียงบประมาณไปเปล่า ๆ ไม่รู้เท่าไร แถมยังบอกด้วยว่าการดำเนินการนี้ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์จึงต้องออกมาคัดค้าน

ขอฝากรัฐวิสาหกิจหน่วยงานที่มี 3G ของตัวเองอยู่ตอนนี้เมื่อออกมาคัดค้านเขาแล้วก็ช่วยคิดถึงประเทศชาติโดยปรับปรุงระบบของตัวเองที่มีอยู่ให้ดี และให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ใช้ด้วยนะครับ

จริง ๆ วันศุกร์แล้วไม่อยากเขียนเรื่องเครียด แต่ก็ขอเขียนบอกเล่าความรู้สึกหน่อยแล้วกันครับ เพราะรู้สึกแย่จริง ๆ กับเรื่องนี้

ป.ล. ขอเพิ่มเติมลิงก์ไปยังบล็อกนี้ นะครับเพราะมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับหลาย ๆ เรื่องที่ผมคิดว่าหลายคน(รวมถึงผมด้วยยังเข้าใจผิดอยู่) และจะทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหานี้มากขึ้น

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ระบบจำลองการผ่าฟันสำหรับนักศึกษาทันตแพทย์

Mainz University Medical Center ได้คิดระบบอีเลิร์นนิงเพื่อช่วยให้นักศึกษาทันตแพทย์ได้ฝึกการผ่าฟัน โดยนักศึกษาจะสามารถดาวน์โหลดกรณีศึกษาซึ่งจะมีทั้งฟิล์ม ภาพ และขั้นตอนการผ่าตัดมาลง iPhone iPad หรือโน้ตบุ๊ก เพื่อมาศึกษาได้ด้วยตัวเอง

น่าสนใจสำหรับทันตแพทย์ไทยนะครับ

ที่มา: JGU

HTML 5 จะช่วยให้เว็บเพจพูดและฟังได้

กลุ่มทำงานใหม่ใน W3C กำลังพิจารณาที่จะนำการรู้จำเสียง และส่วนติดต่อแบบสังเคราะห์เสียงพูดมาใช้กับหน้าเว็บ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะทำให้บราวเซอร์อ่านหน้าเว็บเพจออกมาได้เลย และผู้ใช้สามารถกรอกฟอร์มได้โดยใช้เสียงพูด

น่าสนใจมาก ขอให้ทำเสร็จเร็ว ๆ นะครับ

ที่มา: Computer World

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ 10 ประการของการจีบ (flirt)

วันนี้วันศุกร์ขอเรื่องเบา ๆ สักเรื่องแล้วกันนะครับ อันนี้เป็นบทความที่เจอบนหน้าแรกของ Yahoo! ก่อนที่จะเข้าไปเช็คอีเมลครับลองอ่านดูเป็นการผ่อนคลายครับ

1. คนที่จีบกันจะมีจำนวนเซลเม็ดเลือดขาวมาก ซึ่งการที่มีเซลเม็ดเลือดขาวมากนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย (อันนี้น่าจะใช้เป็นข้อแก้ตัวได้นะครับ เวลาถูกแฟนจับได้ว่ากำลังจีบคนอื่นอยู่ ก็บอกว่ากำลังเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย :) )
2. คนเราใช้สัญญาณที่แสดงการจีบกันอยู่ 52 สัญญาณ และสัญญานที่ใช้มากที่สุดคือการเสยผม (อย่างผมนี่เสยบ่อยเลย คือผมมันยาวเข้าตาน่ะ อย่างนี้สาว ๆ ครึ่งค่อนเมืองไม่คิดว่าผมจีบเขาอยู่หรือนี่)
3. ในบางแห่งการแสดงท่าทางการจีบกันบางอย่างเป็นเรื่องที่ผิด เช่นในนิวยอร์คผู้ชายที่จ้องมองผู้หญิงนาน ๆ โดยส่อเจตนาทางเพศจะถูกปรับ $25 (อันนี้คุ้น ๆ คล้ายกับกฏที่เพิ่งจะออกมาใช้กับข้าราชการเมื่อเร็ว ๆ นี้)
4. ไม่ต้องรอถึงวันศุกร์หรอกที่จะจีบ จากบทความเขาบอกว่าคนที่ขับรถ(ในอเมริกา) ร้อยละ 62 จะจีบกัน และร้อยละ 31 จากคนที่จีบกันนั้นจะจบลงด้วยการออกเดท (เอแล้วประเทศไทยล่ะ สงสัยตอนขับรถต้องสังเกตบางแล้วว่ามีใครกำลังจีบเราอยู่ไหม :) )
5. การจีบไม่ต้องเห็นหน้ากันก็ได้ จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 40 ของคนที่หาคู่ออนไลน์จะจีบกันผ่านทางอีเมลหรือการส่งข้อความ (ก็แหงล่ะ เรื่องอย่างนี้ต้องบอกด้วยหรือ)
6. ในยุควิคตอเรียการใช้พัดสื่อความหมายได้หลายอย่างเช่น การวางพัดไว้ที่ข้างหัวใจหมายความว่าคุณได้รักจากฉันแล้ว หรือการกางพัดออกครึ่งหนึ่งแล้วแตะที่ริมฝีปากหมายความว่าคุณจูบฉันได้ ซ่อนสายตาอยู่ข้างหลังพัดที่กางออกแล้วหมายความว่า ฉันรักคุณ การเปิดปิดพัดหลาย ๆ ครั้งหมายความว่า คุณใจร้ายมาก (ในบทความบอกยังว่าจะถือพัดไว้ทำไมนี่ไม่เห็นเอามาพัดเลย อันนี้เห็นด้วย)
7. ปัจจุบันคนใช้โทรศัพท์มือถือกว่าครึ่งส่งข้อความจีบกันกับชู้รักของตัวเองเมื่อต้องอยู่ห่างกัน (นั่นสิไทเกอร์ วู้ดส์ ถึงโดนเมียจับได้ )
8. ระวังอย่าทำมากเกินไป จากการวิจัยพบว่าหลาย ๆ ครั้งคนที่จีบกันนั้นทำผิดพลาดด้วยการสบตากันมากเกินไป (เอ แล้วมันเป็นยังไงหว่า หรือกลัวจับได้ว่ากำลังโกหกอยู่ว่ายังไม่มีแฟน)
9. บางครั้งเราอาจตีความหมายผิด ๆ เกี่ยวกับการจีบ จากการวิจัยพบว่าผู้ชายมักจะตีความหมายที่แสดงออกถึงมิตรภาพว่าเป็นการจีบ (เอ้าผู้ชายทั้งหลายเข้าข้างตัวเองให้น้อย ๆ หน่อย)
10. การจีบกันนั้นเป็นสากล ผู้คนที่มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ เวลาจะแสดงท่าทางจีบกันก็จะมีลักษณะเหมือน ๆ กัน เช่นยิ้ม หัวเราะคิกคัก แม้แต่สัตว์ก็มีการจีบกันเช่นกัน (ในบทความบอกว่าถ้าแม้แต่สัตว์ก็ยังจีบกัน ถ้างั้นจะรออะไรอยู่ จีบกันเลย เห็นด้วย แต่จีบแฟนตัวเองนะ ไม่งั้นอาจไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ไปจีบใครอีกเลย)

ที่มา Math.com on Yahoo!

จะต้องมีคนตายอีกกี่รายจึงจะแก้ปัญหานักเรียนนักเลงได้

สวัสดีครับ วันนี้วันศุกร์จริง ๆ ควรจะเขียนเรื่องเบา ๆ นะครับ แต่จากข่าวที่เด็กอายุ 9 ขวบ ถูกยิงตายจากการไล่ล่ากันทะเลาะกันของพวกนักเรียนนักเลงนี่ทำให้ผมรุ้สึกหดหู่ใจและเศร้าใจมากจนอยากจะมาระบายความรู้สึก และเสนอความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เสียหน่อย ต้องบอกเลยว่าเด็กที่โดนยิงอายุเท่าลูกชายคนเล็กของผมเลยครับ และพี่ชายของเขาที่รอดมาได้ก็อายุเท่ากับเจ้าคนโตของผม มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่ามันมีความรู้สึกร่วมกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ตอนนี้ผมกับภรรยายังขับรถไปส่งและไปรับทั้งสองคนอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็คงต้องให้เขาเดินทางกันเองโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ แต่มาเห็นเหตุการณ์แบบนี้เข้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่อยากจะปล่อยให้เขาเดินทางกันเองเลยครับ ระบบขนส่งสาธารณะบ้านเราลำพังตัวรถเมล์เองก็ไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว เช่นออกรถจนเด็กตกลงมาบ้าง แข่งกันเข้าป้่ายจนไปชนคนรอรถตายบ้าง แล้วก็ยังเรื่องนักเรียนนักเลงพวกนี้อีก

สำหรับเรื่องนักเรียนนักเลงนี้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะครับมันอยู่คู่กับสังคมเรามานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็กคนพวกนี้ก็ยกพวกตีกันก่อความเดือดร้อนกับคนอื่นอยู่แล้ว แต่คำถามคือทำไมเราจึงยังแก้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้ ปล่อยจนมีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องตายไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ พอตายกันขึ้นมาทีก็มานั่งประชุมแก้ปัญหากันที ก็ไอ้เรื่องเดิม ๆ แหละครับ ประเภทจะต้องจับตาดูกลุ่มพวกหัวโจก ต้องดูแลไม่ให้มีการซ่องสุมอาวุธ เสร็จแล้วมันก็เงียบหายไป จนมีคนตายขึ้นมาใหม่ก็มาพูดกันเรื่องเดิมอีก ผมว่าเราต้องทำอะไรให้เด็ดขาดกว่านี้แล้วนะครับ เช่นถ้าจะต้องปิดโรงเรียนในฐานะควบคุมดูแลไม่ได้ก็ต้องทำ คนผิดเมื่อจับได้แล้วก็ต้องลงโทษตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด หมดเวลาที่จะมาบอกว่าเป็นเยาวชนแล้วทำผิดต้องให้อภัย เพราะจากตัวอย่างที่ผ่านมาจะเห็นว่าแทนที่จะทำให้เด็กกลุ่มนี้ได้สำนึก กลับเป็นว่าเด็กกลุ่มนี้กลายเป็นรู้ว่าเดี๋ยวก็ได้รับการอภัย

ในความเห็นของผมผมว่าปัญหาหลักมันอยู่ที่รุ่นพี่บางกลุ่มครับ ซึ่งอาจารย์ในโรงเรียนน่าจะรู้ดีว่าเป็นกลุ่มไหน ทำไมผมจึ่งบอกว่าเป็นที่รุ่นพี่ เพราะลองคิดดูนะครับว่าเด็กนักเรียนอาชีวะนั้นก่อนจะมาเรียนอาชีวะเขาก็เรียนโรงเรียนธรรมดาใช่ไหมครับ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ยกพวกไปตีกับใครหรือไปยิงใครที่ไหน แต่ทำไมพอก้าวเข้าอาชีวะไปได้ไม่ถึงปีก็ไปมีเรื่องมีราวถึุงกับกล้าไปไล่ยิงคนอื่นได้ แสดงว่าต้องถูกล้างสมองจากรุ่นพี่ชั่ว ๆ นี่แหละ ดังนั้นทางโรงเรียนน่าจะต้องมีมาตรการกีดกันไม่ให้รุ่นพี่เลว ๆ เหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับน้องใหม่ที่เข้ามา และถ้ามีหลักฐานอะไรก็ไล่ออกไปหรือแจ้งตำรวจจับเข้าคุกไปเลย แน่นอนครับคงจะไปโทษไอ้พวกรุ่นพี่ชั่ว ๆ ฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ ทางครอบครัวเองและโรงเรียนประถม-มัธยมจะต้องเสริมสร้างทุนชีวิตให้กับเด็กโดยสอนให้เขารู้จักเลือกที่จะคบคน กล้าที่จะปฏิเสธที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดี คือต้องให้เขามีสิ่งที่เรียกว่าหิริโอตัปปะ ซึ่งก็คือการละอายต่อการทำบาป และเกรงกลัวผลที่เกิดจากการทำบาป ผมคิดว่าคุณธรรมข้อนี้มันเริ่มจะเลือนหายไปจากสังคมของเรานะครับต้องนำมันกลับมา อีกจุดหนึ่งก็คือทางบ้านและโรงเรียนจะต้องสร้างความไว้ใจให้เขากล้่าที่จะไปปรึกษาเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เขาจะได้ไม่ไปคบกับคนชั่วคนเลวที่ทำเป็นเข้าใจเขาแต่มีจุดประสงค์เลวร้ายที่จะเปลี่ยนเขาให้เป็นคนชั่วเหมือนตัวเอง

สุดท้ายนี้ผมก็อยากภาวนาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ขอให้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายอย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย ขอขอบคุณตำรวจที่จับคนยิงได้แล้ว และขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครับของผู้สูญเสียด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไปลองแอร์พอร์ตลิงก์มาแล้วครับ

ผมได้มีโอกาสไปลองใช้บริการแอร์พอร์ตลิงก์หรือถ้าจะเรียกให้ถูกจริง ๆ ก็ต้องเรียกว่าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาครับ ว่าจะมาเขียนเล่าให้ฟังตั้งแต่วันที่ไปขึ้นมาแล้วครับ แต่ไม่มีเวลาเลย เลยลากยาวมาถึงวันศุกร์นี่แหละครับ เริ่มเลยแล้วกันนะครับ

วันจันทร์ที่ผมไปเป็นวันที่แอร์พอร์ตลิงก์เปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์เป็นวันแรก ซึ่งผมก็คาดหวังว่าอะไรต่าง ๆ น่าจะพร้อมแล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาดครับ เริ่มจากป้ายบอกทางต่าง ๆ ก็ยังดูสับสนอยู่ (แต่อันนี้อาจเป็นเพราะผมยังไม่ชินเองก็ได้) ต้องอาศัยเดิน ๆ ตามกันไป ส่วนขบวนที่ผมจะขึ้นก็เจอเลยครับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถไฟไทยมาทุกยุคทุกสมัยนั่นคือดีเลย์ครับ ก็คือช้ากว่ากำหนดไป 15 นาที แต่ทางการรถไฟเขาเข้าใจทำนะครับคือเขาประกาศว่ารถไฟจะมาถึงใน 5 นาที และอีก 5 นาทีต่อมาเขาก็ประกาศอีกว่ารถไฟจะมาถึงใน 5 นาที ทำอย่างนี้ 3 ครั้ง 15 นาทีพอดีครับ แต่ฟังเหมือนดีเลย์แค่ 5 นาที

หลังจากที่ได้ขึ้นรถไปสิ่งแรกที่สังเกตเห็นก็คือประตูปิดเสียงดังมากและดูเหมือนจะแรงมากครับ เรียกว่าเป็นการขู่พวกที่ชอบยืนขวางประตุได้ผลนะครับผมว่า เพราะถ้าใครลองไปยืนขวางและถูกหนีบนี่ดูแล้วน่าจะมีสิทธิขาดสองท่อนได้ แต่ที่ชอบก็คือเสียงตอนที่หยุดและเปิดประตุให้ผู้โดยสารขึ้นลงนี่เป็นเสียงระฆังรถไฟแบบเดิมครับซึ่งผมว่ามันคลาสสิกดี

สำหรับสภาพตัวรถก็ดูใหม่ดีครับ แต่พอลองมองออกไปตรงรางรถไฟตอนรถใกล้จะเข้าสถานีเห็นสนิมขึ้นเต็มเลย ก็เลยดูไม่ดีนิดหน่อย แต่ถ้าคิดจริง ๆ รางนี่เขาก็วางกันมาเป็นปีแล้วโดนฝนเข้าก็อาจเป็นสนิมได้ แต่ก็ทำให้ความรู้สึกเห่อว่าเป็นของใหม่หมดไปเล็กน้อย ส่วนในเรื่องของการวิ่งของรถไฟนี่ไม่นิ่มเหมื่อน BTS หรือ MRT บอกได้เลยว่ายังมีลักษณะเอกลักษณ์ของรถไฟธรรมดาอยู่มีกระตุกมีโคลงเคลงอยู่บ้างเป็นบางช่วง

ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ให้บริการดีครับแม้ดู ๆ ว่าจะยังสับสนอยู่บ้าง แต่ที่ต้องรีบปรับปรุงนี่ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องหาเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษได้มาประจำไว้บ้าง เพราะผมเดินผ่านไปเห็นชาวต่างชาติไปสอบถามข้อมูลแต่เจ้าหน้ายังไม่สามารถสื่อสารได้ดีนัก อันนี้สำคัญนะครับเพราะแอร์พอร์ตลิงนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้บริการเป็นจำนวนมาก

อีกจุดหนึ่งก็คือเรื่องของที่จอดรถเพื่อให้คนมาจอดรถทิ้งไว้แล้วเดินทางไปทำงานผมว่าก็น่าจะทำให้มากกว่านี้นะครับ ตอนนี้เท่าที่ทราบก็มีที่มักกะสัน แต่ที่อื่นถ้าสามารถทำได้ก็น่าจะทำให้คนหันมาสนใจมากขึ้น และอย่าคิดค่าจอดแพงนะครับ ตอนผมไปลองขึ้นนี่ผมเอารถไปจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนแรกว่าจะไปแป๊บเดียวแล้วรีบกลับมา ปรากฏว่าพอลงที่มักกะสันก็เลยลองเดินต่อไปขึ้น MRT เข้าไปหาอะไรทานแถว ๆ ย่านรัชดา ปรากฏว่าพอกลับมาขับรถออกจากสนามบินเจอค่าจอดรถไป 145 บาท :(

โดยสรุปผมก็ดีใจครับที่เราสามารถใช้เจ้าแอร์พอรต์ลิงก์นี้ได้เสียที เพราะน่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชนที่มีประโยชน์มากอีกอันหนึ่ง และน่าจะเป็นก้าวใหม่ของรถไฟไทยที่จะพัฒนาบริการใหม่ ๆ เช่นรถไฟความเร็วสูงให้เราได้ใช้กันต่อไป ในการบริการวันแรก ๆ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ทุกคนก็น่าจะช่วยให้ปัญหาต่าง ๆ หมดไปในอนาคตอันใกล้นี้ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เกี่ยวกับ 3G ในประเทศไทย จากความเห็นของ พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ กทช.

ผมได้อ่าน Time Line ใน Twitter เกี่ยวกับเรื่อง 3G ในประเทศไทย ซึ่ง พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ (@DrNatee39G ) หนึ่งในกรรมการ กทช. ได้ tweet มาเล่าให้ follower ฟังกัน ซึ่ง พ.อ.ดร.นที บอกว่าจริง ๆ แล้วได้ให้สัมภาษณ์ทาง DM (direct message) กับคุณปานระพี @panraphee จากช่อง 3 ไปแล้วรอบหนึ่งแต่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์จึงเอามา tweet ให้ follwer อีกที ผมก็เลยสรุปประเด็นมาเล่าให้ฟังกัน และเสริมความคิดเห็นส่วนตัวลงไปบ้างนะครับ

ผมคงไม่นำมาเล่าทั้งหมดนะครับ ถ้าใครอยากดูข้อความทั้่งหมดก็ขอเชิญไปดูจาก twitter ของ พ.อ.ดร.นที ได้ แต่ผมอยากจะสรุปเฉพาะประเด็นที่คิดว่าน่าสนใจมาให้อ่านกัน ประเด็นแรกก็คือในประเทศไทยเราเปิดประมูล 3.9G ไม่ใช่ 3G แล้วมันต่างกันยังไง จริง 3.9G ก็คือเทคโนโลยี 3G แต่มีความเร็วมากขึ้น คือข้อกำหนดพื้นฐานของ 3G มีความเร็วอยู่ที่ 2 Mbps แต่ 3.9G จะอยู่ที่ 42 Mbps พ.อ.ดร.นที สรุปง่าย ๆ ว่า 3.9G ก็คือเวอร์ชัน 3G ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน และถ้าเราประกาศว่าเราจะเปิด 3.9G จะทำให้เราประกาศตัวเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่จะใช้เทคโนโลยีนี้พร้อมกับญี่ปุ่น แต่ถ้าเราประกาศ 3G เราจะกลายเป็นประเทศรองบ๊วยในอาเซียนที่ใช้ 3G (ประเทศบ๊วยนี่คือประเทศอะไรใครทราบบ้างครับ) อันนี้คิดว่า พ.อ.ดร.นที คงพูดตลก ๆ นะครับ คงไม่มีใครคิดจะทำวิธีนี้ในการหนีบ๊วยหรอกนะครับ

คำถามต่อไปคือทำไมไม่ประกาศ 4G ไปเลย คำตอบก็คือ มาตรฐานของ 4G จะกำหนดชัดเจนในปีหน้า และอาจต้องรออุปกรณ์อีก 3-4 ปี ส่วน 3G จะให้ประโยชน์อะไรบ้างคำตอบก็คือบริการ broadband จะไปอย่างทั่วถึง จะสามารถครอบคลุมประชากรถึงร้อยละ 80 ของประเทศได้โดยใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 4 ปี โดย ADSL ปัจจุบันใช้ได้กับประชากรร้อยละ 10 เท่านั้น การมีบริการ 3G จะช่วยให้เราสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ได้ และเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ให้ทั้งคนเมืองและชนบทมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารมากขึ้น

นอกจากนี้ พ.อ.ดร.นที ยังได้พูดถึงโครงการต่อจาก 3G ว่าก็คือโครงการที่ในเมืองใหญ่ ๆ จะมีบริการผ่านโครงข่ายใยแก้วนำแสงทีเรียกว่า Fiber to the Home (FTTH) ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ตัวผมเองเห็นด้วยว่าดีมาก และควรจะมีได้ตั้งนานแล้ว ในส่วนตัวผมมองว่าถ้าจุดใดสามารถที่จะเดินสายได้ก็ควรจะเดินสาย เพราะการสื่อสารแบบมีสายเช่นนี้จะเสถียรและมีประสิทธิภาพมากกว่าไร้สาย

จริง ๆ พ.อ.ดร.นที ยังได้พูดถึงเรื่องการประมูลใบอนุญาตว่าแตกต่างจากสัมปทานอย่างไร แต่ผมคงไม่มาพูดถึงในที่นี้นะครับ ขอพูดถึงแต่ในแง่มุมที่น่าจะทำให้เรามองเห็นประโยชน์ และอนาคตของเครือข่ายโทรคมนาคมในบ้านเรา เราก็มานับวันรอกันที่จะได้ใช้เครือข่าย broadband ความเร็วสูงกันเถอะครับ และช่วยภาวนาให้มันเสถียร และราคาอยู่ในจุดที่พอรับได้ด้วยนะครับ

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและวิชาการ

สวัสดีครับ สำหรับวันนี้ผมมีหน่วยงานหน่วยงานหนึ่งมาแนะนำให้รู้จักกันครับ หน่วยงานนี้มีชื่อว่าสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและวิชาการ เคยได้ยินไหมครับ สำหรับผมเพิ่งจะเคยได้ยินเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี่เอง คือในสัปดาห์นี้วันจันทร์ถึงวันพุธผมได้ไปเป็นวิทยากรอบรมเรื่อง UML ให้้กับบุคลากรของหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง ในวันพุธซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการอบรม ผมก็ได้ขึ้นไปทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารและได้ไปเจอหน่วยงานนี้มาออกบูธอยู่ (ถ้ามาเริ่มออกวันพฤหัสผมก็คงยังไม่รู้ว่ามีหน่วยงานนี้) ด้วยความที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนก็เลยเดินเข้าไปสอบถามดูเพราะคิดว่าเป็นหน่วยงานเกิดใหม่ แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ใหม่มากนะครับเพราะเป็นหน่วยงานที่ผ่านพระราชกฤษฎีการเมื่อวันที่ 28 ก.ย. พ.ศ. 2545 และเริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 สำหรับหน่วยงานนี้มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมการจัดประชุมและวิชาการในประเทศไทยครับ ฟัง ๆ ดูก็น่าจะคล้าย ๆ กับพวกรับจัดงานแต่งงานหรืองานอีเวนต์ต่างๆ นะครับ โดยจากแผ่นพับที่เขาแจกมาเขามีแพกเกจที่จะช่วยเชิญวิทยากร มีการจัดกิจกรรมสร้างความสามัคีให้กับทีมงาน การตรวจสุขภาพพื้นฐานให้พนักงาน การจัดคาราโอเกะ และอาหารกล่องด้วย สำหรับใครที่สนใจก็เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ของหน่วยงานนี้ได้ที่นี่ครับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและวิชาการ แต่เท่าที่ผมเข้าไปดูรู้สึกว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์นะครับ อ้อเขามี twitter ด้วยนะครับคือ @MeetInThailand

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยและมุมมองของผมเกี่ยวกับการรับบริจาค

สวัสดีครับผมหายไปไม่ได้เขียนบล็อกเสียนานเลย เหตุผลก็คือไม่ว่างเช่นเดิม จริง ๆ เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วครับ แต่ไม่ว่างมาเขียนเลย ก่อนที่จะดองเอาไว้ให้ผ่านไปเป็นเดือนหรือเป็นปี ก็เลยหาช่องมาเล่าให้ฟังกันซะหน่อยครับ ก่อนอื่นผมจะมาแนะนำให้รู้จักกับมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์กันครับ หลักการดำเนินงานของมูลนิธิก็คือสร้างครอบครัวให้กับเด็กกำพร้า คือเขาจะปลูกบ้านให้ และหาแม่ให้ สรุปก็คือเด็กกำพร้าเหล่านั้นจะมีบ้านและมีแม่ ถ้าใครสนใจรายละเอียดการดำเนินงานของมูลนิธิก็คลิกเข้าไปดูได้เลยครับ

ผมคิดว่าหลายคนอาจรู้จักมูลนิธินี้อยู่แล้ว แต่ก็คงมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักเช่นผมเป็นต้น ผมได้รู้จักมูลนิธินี้เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วครับ โดยผมตั้งใจจะได้ไปดูอาหารตาที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ผมแวะไปทานข้าว (อาหารกาย) ที่โลตัสลาดพร้าวก่อน และเดินข้ามสะพานลอยหน้าโลตัสมาลงหน้าโรงเรียนหอวังแล้วเดินต่อมาที่เซ็นทรัล ก็ปรากฏว่าได้พบกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิมาขอประชาสัมพันธ์ (จะเป็นเจ้าหน้าที่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ แต่เอาเป็นอันว่าคิดบวกไว้ก่อนว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริงแล้วกัน) ผมก็เลยลองรับฟังดู ก็ได้ทราบว่าจุดประสงค์ของมูลนิธิดังที่ได้บอกไปแล้ว  ซึ่งผมฟังดูแล้วก็คิดว่าเป็นโครงการที่ดีมาก  และสนใจที่จะช่วยเหลือ แต่ด้วยความที่ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมูลนิธินี้มาก่อน  ก็เลยบอกว่าจะขอมาศึกษาโครงการดูก่อน และขอพวกเอกสารแผ่นพับ หรือใบบริจาคที่สามารถกรอกและส่งกลับไปทางไปรษณีย์ได้ ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่มีครับ มีแต่แบบฟอร์มใบบริจาคซึ่งผมจะต้องกรอกและคืนให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งในแบบฟอร์ดังกล่าวผมก็ต้องให้รายละเอียดส่วนตัว และหมายเลขบัตรเครดิต ซึ่งผมไม่สบายใจ และรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะให้ข้อมูลในส่วนนั้น เพราะก็เห็นข่าวกันบ่อย ๆ เรื่องกลโกงทั้งหลาย จะขอใบบริจาคมากรอกและส่งกลับไปเอง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ได้เพราะมีหมายเลขกำกับไว้ และเมื่อเห็นผมทำท่าไม่เชื่อเขาก็พยายามแสดงจดหมายราชการจากกระทรวงการคลังเกี่ยวกับมูลนิธินี้ให้ผมดูอีก (ซึ่งเขาคงไม่รู้หรอกว่ายิ่งให้ผมดูเท่าไรแทนที่ผมจะเชื่อผมกลับไม่เชื่อมากขึ้น) ผมถามเขาว่ามูลนิธิมีเว็บไซต์ไหมเขาก็บอกว่ามีผมก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวผมมาศึกษาข้อมูลจากเว็บ และอาจจะบริจาคผ่านทางหน้าเว็บ ก็ได้รับคำชี้แจงอีกว่าการบริจาคผ่านหน้าเว็บยังไม่สามารถบริจาคได้ อยากจะให้ผมบริจาคไปเลย ซึ่งตอนนั้นในความรู้สึกผมเหมือนกับเขามาขายของและพยายามจะปิดการขายให้ได้ แต่หลังจากนั้นก็พยายามเข้าใจครับว่าเขาคงอยากจะทำยอดบริจาคให้มูลนิธิ  แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้บริจาค และกลับมามาค้นข้อมูลจากเว็บก็ได้พบหน้าเว็บไซต์ของมูลนิธิตามที่ได้กล่าวไปในตอนต้นแล้ว

ประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นในแง่การประชาสัมพันธ์มูลนิธิหรือโครงการอะไรที่เป็นสาธารณกุศลแบบนี้ในความเห็นของผมก็คือ แทนที่จะให้เจ้าหน้าที่มาเน้นเงินบริจาค ผมว่าน่าจะเน้นประชาสัมพันธ์ให้รู้จักกับโครงการมากกว่า มูลนิธิน่าจะจัดทำแผ่นพับซึ่งมีแบบฟอร์มบริจาคที่สามารถส่งกลับทางไปรษณีย์ได้   หรืออีกวิธีหนึ่งก็อาจจะแนบใบบริจาคมากับใบแจ้งยอดบัตรเครดิต อีกจุดหนึ่งก็คือเรื่องสถานที่ที่เขาไปขอรับบริจาค ถ้าใครมาที่เซ็นทรัลลาดพร้าวบ่อยๆ คงจะทราบนะครับว่า บริเวณทางเดินจากหอวังมาเซ็นทรัลนั้น จะเป็นที่ซึ่งมูลนิธิต่าง ๆ นา ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาขอรับบริจาค ผมขอใช้คำว่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนครับ เพราะเหมือนเขาจะตกลงกันไว้จะไม่มาพร้อมกัน เช่นสัปดาห์นี้รับบริจาคเรื่องโลงศพ สัปดาห์ต่อมาจะมีเด็กนักเรียนใส่ชุดนักเรียนเอาตุ๊กตาบ้าง เอาสติ๊กเกอร์บ้างมาขายเป็นต้น ซึ่งเราก็ไม่รู้นะครับว่าที่มายืน ๆ ขอบริจาคกันนี่มันจริงหรือไม่จริง ดังนั้นเมื่อมูลนิธิมาใช้พื้นที่ตรงนี้ก็เลยอาจจะถูกเหมารวมว่าเป็นเรื่องไม่จริงไปด้วย

ส่วนตัวผมจริง ๆ แล้วเรื่องบัตรเครดิตที่กลัวนี่ไม่ได้กลัวว่าเขาจะเอาไปซื้ออะไรเยอะแยะหรอกครับ  กลัวเขาจะโทรกลับมาด่าเอาว่าเสียเวลาพูดล่อหลอกอยู่ตั้งนานแม่..มีวงเงินในบัตรแค่นี้เองเหรอ...

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หุ่นยนตร์หกขาสำหรับตลุยดาวอังคาร

NASA กำลังพัฒนาหุ่นยนตร์หกขามีชื่อว่า Athlete ซึ่งจะเดินหรือเลื่อนไปก็ได้ ซึ่งจุดเด่นของมันก็คือสามารถที่จะเคลื่อนที่ได้บนสภาพแวดล้อมได้หลากหลายรูปแบบ โดยจุดประสงค์หลักในการสร้างมันขึ้นมาคือนำไปใช้ช่วยสร้างที่อยู่สำหรับนักบินอวกาศที่บนดาวอังคาร ใครสนใจดูรูปหุ่นยนต์ตัวนี้ดูได้จากบทความที่มาครับ

Computer World

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แนวคิดการโปรแกรมให้ทำงานแบบพอเพียง

สำหรับนักเขียนโปรแกรมทุกคนคงทราบดีนะครับว่าโปรแกรมที่มีการทำงานนาน ๆ มักจะมีการทำงานแบบวนรอบ (loop) นักวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) ได้คิดวิธีการที่จะลดเวลาในการทำงานของโปรแกรมโดยพัฒนาระบบอัจฉริยะซึ่งจะหาจุดในส่วนของการวนรอบในโปรแกรมที่สามารถที่จะข้ามไปได้โดยไม่เกิดความเสียหาย วิธีนี้มีชื่อว่า "loop perforiation" โดยนักวิจัยได้ทดสอบวิธีการกับการส่งวีดีโอผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งวิธีการดังกล่าวสามารถลดเวลาในการเข้ารหัสลงไปได้ถึงครึ่งหนึ่งโดยไม่มีผลที่เห็นได้ชัดกับคุณภาพของวีดีโอ นักวิจัยบอกว่าระบบนี้ยังสามารถนำไปใช้กับข้อมูลที่มีขนาดใหญ่เช่นกลไกการให้คำแนะนำบนเว็บไซต์

ที่มา MIT News

หุ่นยนตร์ชีวภาพ

นักวิจัยที่ทำงานเป็นอิสระจากกันสองทีม ทีมแรกหัวหน้าทีมคือคุณ Milan Stojanovic ซึ่งเป็นนักชีวเคมีจาก Columbia University ทีมที่สองนำโดยคุณ Nadrian Seeman นักเคมีจาก New York University ได้พัฒนาแนวคิดที่คล้าย ๆ กันคือสร้างหุ่นยนต์จากโมเลกุล DNA คือเป็นหุ่นยนตร์ชีวภาพที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามคำสั่งที่ได้รับมา โดยคำสั่งจะสร้างจากองค์ประกอบทางเคมี

ที่มา The Wall Street Journal

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้อมูลดิจิทัลจะมีขนาดถึง 1.2 Zettabytes ภายในปีนี้

จากรายงานประจำปีของ IDC พบว่าปริมาณข้อมูลดิจิทัลอาจจะมีปริมาณมากถึง 1.2 Zettabytes ภายในปีนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่าแล้วเจ้า Zettabytes นี่มันมีขนาดเท่าไรกันแน่ 1 Zettabytes มีขนาดเท่ากับ 1 ล้าน petabytes ส่วน 1 petabytes คือ 1 ล้าน gigabytesก็ลองไปคำนวณกันดูแล้วกันนะครับว่าข้อมูลจะมีขนาดใหญ่เท่าไรกันแน่ ปัญหาก็คือเราอาจจะไม่สามารถเก็บข้อมูลทั้งหมดได้ คือมีที่เก็บไม่พอนั่นเอง สิ่งที่จะต้องจัดการก็คือการลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูล ในบทความบอกว่าร้อยละ 75 ของข้อมูลทั้งหมดเป็นสำเนา ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลที่ซ้ำกัน เราต้องลดโอกาสที่ข้อมูลจะสูญหาย และใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้มากที่สุด

ขอเพิ่มความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมคิดว่าตอนนี้พวกเรากำลังถูกทำให้เสียนิสัยจากฟรีอีเมลที่แข่งกันให้เนื้อที่แบบไม่จำกัด และบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องลบอีเมลอะไรเลย ซึ่งผมคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย จริง ๆ เราควรสร้างนิสัยให้ใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่มีอย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นได้ไม่มากก็น้อยนะครับ

ที่มา KurzweilAI.net

หุ่นยนต์สำรวจความแข็งแรงของที่เกิดเหตุ

นักวิจัยจาก University of Missouri ได้พัฒนาโปรแกรมสำหรับหุ่นยนต์เพื่อใช้ในการตรวจสอบความแข็งแรงของสถานที่เกิดเหตุ โปรแกรมดังกล่าวจะทำให้หน่วยกู้ภัยสามารถสำรวจสภาพของที่เกิดเหตุก่อนที่จะเข้าไปยังที่เกิดเหตุจริง นอกจากนี้โปรแกรมนี้ยังอาจนำไปใช้กับการสำรวจสภาพโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างอีกด้วย ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจนี้จะบอกให้วิศวกรทราบว่าถึงเวลาต้องซ่อมแซมหรือยัง โดยบทความต้นฉบับได้ยกตัวอย่างของสะพาน Minneapolis ที่ถล่มลงมาในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งถ้ามีเครื่องมือนี้ตรวจสอบสภาพสะพานก็อาจไม่เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น

ที่มา University of Missouri News Bureau

ไมโครซอฟท์กับการปรับปรุงระบบปฎิบัติการแบบมัลติคอร์

นักวิจัยจากห้องปฎิบัติการวิจัยของไมโครซอฟท์ที่เคมบริดจ์ประเทศอังกฤษได้พัฒนาระบบปฏิบัติการชื่อ BarrelFish ซึ่งระบบปฎิบัติการนี้จะเข้ามาดูแลเรื่องการรับส่งข้อมูลระหว่างคอร์ต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบดีขึ้น

ที่มา IT Pro

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

10 อับดับองค์กรและอาชีพยอดนิยม

ได้อ่านวารสาร Positioning ฉบับประจำเดือน เมษายน มีประเด็นที่จะมาเล่าให้ฟังสองประเด็นครับ คือ 10 อันดับองค์กรที่มีคนอยากทำงานด้วยมากที่สุด และ 10 อันดับอาชีพในฝัน สำหรับองค์กรยอดนิยมก็เรียงตามลำดับดังนี้ครับ
  1. เครือซิเมนต์ไทย (SCG)
  2. บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) 
  3. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
  4. บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
  5. OGILVY & MATHER (THAILAND) Co.,Ltd.
  6. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
  7. บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
  8. ธนาคารกสิกรไทย
  9. บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
  10. บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด
ถ้าอยากรู้รายละเอียดของแต่ละบริษัทก็อ่านได้จากวารสาร หรืออ่านออนไลน์ได้ที่
เว็บไซต์ของวารสาร
ครับ ซึ่งสำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานด้านคอมพิวเตอรฺ์หลัก ๆ ก็คงเป็น SCG และ NECTEC ซึ่งถ้าใครได้อ่านรายละเอียดของ SCG แล้วจะพบว่าทำไมถึงได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง ส่วน NECTEC บอกตรง ๆ ว่าผมค่อนข้างประหลาดใจและก็รู้สึกดีใจเพราะ NECTEC เป็นหน่วยงานที่เน้นการวิจัย การที่มีคนอยากทำงานด้วยก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าการวิจัยของประเทศน่าจะดีขึ้น

ส่วน 10 อันดับอาชีพยอดนิยมก็ตามนี้ครับ
  1. ผู้ประกอบการ
  2. นักวางแผนการตลาด
  3. เจ้าของร้านกาแฟ
  4. อาจารย์นักวิชาการ
  5. เจ้าของโรงแรมแบบบูติกโฮเต็ล
  6. เจ้าของร้านอาหาร
  7. นักวางแผนโฆษณา
  8. นักเขียน
  9. แพทย์
  10. วิศวกร
สำหรับข้อสังเกตุคือแพทย์กับวิศวกรมาอันดับท้าย ๆ นะครับ บางอาชีพผมก็ไม่เคยรู้จักมาก่อน(เชยครับ) เช่นบูติกโฮเต็ล ส่วนอาจารย์และนักวิชาการก็อยู่ถึงอันดับ 4 ทางวารสารบอกว่าผลสำรวจนี้อาจไม่ได้หมายถึงอาชีพที่ทำเงินได้สูงสุด แต่เป็นอาชีพที่คนทำคิดว่าทำแล้วจะมีความสุข

ส่งท้ายวันนี้ก็ขอให้นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ หรือใครที่คิดจะเปลี่ยนงานใหม่ได้ทำงานและอยู่ในหน่วยงานที่ตัวเองชอบนะครับ

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

ขับรถโดยใช้ตา

นักวิจัยจากกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ Freie Universitat Berlin ได้พัฒนาโปรแกรมที่เรียกว่า eyeDriver เพื่อให้คนขับรถสามารถควบคุมพวงมาลัยโดยใช้ดวงตา โดยคนขับรถจะต้องสวมหมวกที่มีกล้องสองตัว โดยกล้องตัวหนึ่งจะจับอยู่ที่ตาของคนขับ ส่วนอีกตัวหนึ่งจะจับภาพของถนนด้านหน้า ข้อมูลจากรูม่านตาของคนขับ และถนนด้านหน้าจะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์และโปรแกรม eyeDriver จะคำนวณทิศทางจากข้อมูลดังกล่าว สำหรับโหมดการขับด้วยวิธีนี้จะมีสองโหมด โหมดแรกเรียกว่า "free ride" คือคนขับรถจะต้องมองไปยังทิศทางที่ต้องการไป ในกรณีที่ไม่สามารถบอกได้ว่าคนขับมองไปทางไหน เช่นคนขับหลับตารถจะหยุดทันที โหมดที่สองเรียกว่า "routing" ในโหมดนี้รถจะขับไปเองเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอทางแยกก็จะหยุดรอให้คนขับเลือกว่าจะไปทางไหน เมื่อคนขับมองไปในทิศทางหนึ่งเป็นเวลา 3 วินาที ระบบก็จะยืนยันทิศทางดังกล่าว และก็จะขับรถต่อไปให้โดยอัตโนมัติ

ที่มา Freie Universitat Berlin

โปรแกรมสร้างโน้ตเพลงอัตโนมัติ

วิศวกรด้านโทรคมนาคมจาก University of Jaen ได้พัฒนาวิธีการที่จะตรวจสอบโน้ตเพลงจากไฟล์เพลง และนำมาสร้างเแผ่นโน้ตเพลงได้โดยอัตโนมัติ โดยโปรแกรมดังกล่าวสามารถที่จะทำงานได้แม้ว่าประเภทของเครื่องดนตรี ตัวนักดนตรี ประเภทของดนตรี หรือสภาพแวดล้อมของสตูดิโอมีการเปลี่ยนแปลงไป จุดเด่นของวิธีนี้คือไม่ต้องมีการเทรนนิงกับฐานข้อมูลเพลงก่อน แต่จะใช้ ฮาร์มอนิกดิกชันนารี (Harmonic Dictionary) ซึ่งโดยสรุป(ตามความเข้าใจของผมเอง)คือดิกชันนารีที่เก็บว่าพลังงานเท่านี้ตรงกับโน้ตตัวไหน จุดอ่อนของวิธีการนี้คือมันยังทำงานได้กับเครื่องดนตรีทีละชิ้นเท่านั้น ซึ่งนักวิจัยกำลังปรับปรุงให้ทำงานได้กับเครื่องดนตรีทีละหลาย ๆ ชิ้นต่อไป

ที่มา AlphaGalileo

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

อินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนโลกเรามากขึ้นอีก

จาการสำรวจความเห็นผู้เช่ยวชาญได้ข้อสรุปว่าในอนาคตความเป็นส่วนตัวบนโลกอินเทอร์เน็ตจะทำได้ยากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าในปีพ.ศ. 2563 อินเทอร์เน็ตจะทำให้เราฉลาดขึ้น โดยการจดจำจะไม่ใช้สิ่งที่จำเป็นอีกต่อไป ต่อไปคนที่เก่งก็คือคนทีีมีทักษะการใช้ข้อมูลจากจอภาพ เช่นการอ่าน การเขียน การคำนวณ หรือการค้นหา การดูแลสุขภาพของคนเราจะดีขึ้นเนื่องจากเราสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลหรือสื่อสารกับแพทย์ได้ง่ายขึ้นผ่านทางอุปกรณ์พกพาต่าง ๆ และผู้เชี่ยวชาญก็คาดหวังว่าภาครัฐจะนำเสนอเทคโนโลยีที่ทำให้ชีวิตของเราสะดวกสบายขึ้น แต่สิ่งที่เป็นข่าวร้ายคือผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่าการศึกษาจะเปลี่ยนแปลงไม่ทันเทคโนโลยี

ที่มา Science News

ระบบสัมผัสแบบหลายนิ้วเท้า

มีระบบจอสัมผัสแบบหลายนิ้วมือกันแล้ว คราวนี้มาดูจอสัมผัสแบบหลายนิ้วเท้่ากันบ้างครับ เป็นผลงานวิจัยจากนักวิจัยเยอรมันซึ่งจะเปลี่ยนพื้นให้เป็นจอสัมผัส โดยเขาเรียกระบบนี้ว่า Multitoe งานวิจัยนี้ได้แสดงในงานในงานประชุมวิชาการ CHI 2010 ที่จัดขึ้นที่แอตแลนตาประเทศสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 10-15 เมษายนที่ผ่านมาครับ สำหรับใครที่อยากเห็นวีดีโอการทำงานคลิกดูที่ทีีมาได้เลยครับ

ที่มา PC World

รถยนต์ที่ไม่ต้องใช้คนขับ

Alan Taub ผู้บริหารของ General Motors มีการคาดการกันว่ารถยนต์กึ่งอัตโนมัติที่สามารถควบคุมพวงมาลัย เร่งความร็วและหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้เองจะออกมาให้เราใช้งานกันได้ในปี พ.ศ. 2558 ส่วนรถยนต์อัตโนมัติเต็มรูปแบบจะออกมาให้เราได้ใช้กันในอีก 10 ปีข้างหน้า

ที่มา NewScientist

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ROBOTC 2.0 ภาษาโปรแกรมสำหรับพัฒนาหุ่นยนตร์

Carnegie Mellon University's Robotics Academy ได้ออกเวอร์ชันใหม่ของภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนตร์ และชุดการสอนซึ่งสามารถใช้ได้ตั้งแต่นักเรียนระดับประถมจนถึงระดับมหาวิทยาลัยครับ ถ้าใครสนใจก็ลองไปดาวน์โหลดได้จากที่นี่ครับ http://www.robotc.net/

ที่มา School of Computer Science Carnegie Mellon

สู้อีเมลหลอกลวงด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาจดหมาย

คิดว่าพวกเราหลายคนคงเคยได้รับจดหมายที่มีเนื้อหาประมาณว่า ผู้เขียนเป็นคนในประเทศหนึ่งและมีปัญหาโอนเงินออกนอกประเทศไม่ไ่ด้ แล้วเขียนเมลมาหาเราเพื่อให้เราช่วยโดยจะจ่ายค่าช่วยเหลือให้เรา... สุดท้ายถ้าเราช่วยเขาก็จะอ้างโน่นอ้างนี่ให้เราส่งเงินไปให้เขาก่อน ซึ่งแน่นอนครับว่าอีเมลเหล่านี้เป็นอีเมลลวงโลก และพวกเราพอได้รับมาก็ต้องเสียเวลานั่งลบทิ้งไป แต่ก็ยังมีบางคนที่หลงเชื่อและเสียท่าพวกวายร้ายเหล่านี้ไปเช่นกัน

ตอนนี้มีนักวิจัยได้วิเคราะห์เนื้อหาเพื่อหาแบบรูป (pattern) ของเนื้อหาในจดหมายลักษณะดังกล่าวได้แล้วครับ ซึ่งประโยชน์ของมันก็คือเราสามารถที่จะเขียนโปรแกรมเพื่อตรวจสอบดูว่ามีแบบรูปในลักษณะหลอกลวงอยู่ในจดหมายหรือไม่ เพื่อที่จะได้แจ้งเตือนผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ

อันนี้ก็เป็นแนวคิดหนึ่งในการแก้ปัญหานะครับ แต่อาจจะไม่ได้ผลเต็มที่หรอกครับ เพราะไอ้เจ้าพวกนี้ก็อาจเปลี่ยนวิธีการเขียนในรูปแบบอื่น ๆ ผมว่าทางที่ดีที่สุดก็คือให้เราตั้งสติให้ดีอย่าโลภครับ ให้คิดว่่าถ้าอยากจะได้เงินก็ต้องขยันทำงานสุจริตอย่าหวังรวยทางลัด

ที่มา Kansas State university

ซอฟต์แวร์อ่านสมอง

อินเทลได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับอ่านสมองเพื่อให้รู้ว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ จากการทดลองพบว่าโปรแกรมดังกล่าวมีความแม่นยำถึงร้อยละ 90 ประโยชน์ที่จะได้รับจากโปรแกรมที่ว่านี้ก็เช่น ทำให้คนพิการสามารถที่จะสื่อสารได้ หรือนำไปพัฒนาใช้เป็นอุปกรณ์ที่ควบคุมด้วยความคิด

ที่มา physorg.com

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ต่อกรกับ Botnet ด้วยระบบปฏิบัติการตัวใหม่

นักวิจัยจาก University of Illinois at Chicago กำลังพัฒนาหลักการของระบบปฏิบัติการที่จะมีความมั่นคง (security) และมีความเสถียรมากขึ้น ระบบปฏิบัติการนี้มีชื่อว่า Ethos OS ซึ่งเขาตั้งใจจะให้มันเป็นหลักการในการพัฒนาระบบปฏิบัติการยุคต่อไปซึ่งจะสามารถป้องไวรัส หรือโปรแกรมประสงค์ร้าย ต่าง ๆ โดย Ethos OS นั้นจะทำงานในลักษณะที่เป็นจักรกลเสมือน (virtual machine) โดยโปรแกรมที่ไม่ได้ต้องการเรื่องความมั่นคงก็จะทำงานไปตามปกติ ส่วนโปรแกรมที่ต้องการเช่นธนาคารออนไลน์ก็จะถูกควบคุมโดย Ethos OS ข้อดีของการมีระบบปฏิบัติการในลักษณะนี้ก็คือ นักพัฒนาโปรแกรมสามารถทุ่มเทเวลาให้กับตรรกกะของโปรแกรมได้โดยไม่ต้องสนใจกับ
ปัญหาเรื่องความมั่นคง

ได้อ่านแล้วอยากใช้ OS แบบนี้เร็ว ๆ จังครับ

อ้างอิง UIC News Bureau

ระบบติดต่อกับผู้ใช้แบบลูกผสม

ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาระบบต้นแบบการติดต่อกับผู้ใช้แบบใหม่ที่ใช้ได้ทั้งการสัมผัสด้วยมือ และใช้ปากกาเขียนได้ ระบบนี้เรียกว่า Manual Deskterity ซึ่งจากบทความต้นฉบับแสดงวีดีโอการใช้งานระบบดังกล่าว

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่ดีที่เดียวครับ

อ้างอิง Technology Review

เทคโนโลยี Augmented Reality เพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยว

นักวิจัยยุโรปสร้างระบบ CINeSPACE ซึ่งเป็นอุปกรณ์แบบ Augmented Reality ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในรูปภาพในลักษณะที่เป็นสื่อผสม โดยเมืองต่าง ๆ ในยุโรปมีข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่สำคัญในลักษะที่เป็นเสียง และในรูปแบบสารคดีอยู่มากมาย ซึ่งเมื่อนำมาใช้กับเทคโนโลยีของ Augmented Reality จะทำให้นักท่องเที่ยวได้ประสบการณ์ที่ดีกว่าการเยี่ยมชมธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นระบบนี้ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวสามารถป้อนข้อมูลหรือความเห็นเกี่ยวกับสถานที่เข้าสู่ระบบได้ด้วย

อยากให้ประเทศไทยเริ่มต้นพัฒนาระบบนี้จังเลยครับ

อ้างอิง ICT Result

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

เราลืมสอนเรื่องการใช้ชีวิตให้นักศึกษากันหรือเปล่า

วันนี้ขออนุญาตเขียนเรื่องราวที่อาจไม่เกี่ยวกับไอทีสักวันนะครับ และอาจจะดูเป็นการบ่น ๆ หรือระบายบ้าง คือในภาคการศึกษานี้ในมีเรื่องที่ผมอยากจะมาเล่าสู่กันฟังสองเรื่อง เรื่องแรกเกิดในระหว่างที่ผมกำลังตัดเกรด และเรื่องที่สองเกิดขึ้นหลังจากผมตัดเกรดและทางมหาวิทยาลัยได้ประกาศเกรดไปแล้ว

เริ่มจากเรื่องแรกครับต้องขอเกริ่นก่อนว่าในวิชาที่ผมสอนส่วนใหญ่แล้วผมจะให้โครงงานประจำวิชาด้วย ซึ่งโครงงานนี้จะให้ทำเป็นกลุ่มและนักศึกษาจะต้องมานำเสนอรายงานด้วย ซึ่งหลังจากที่นักศึกษาทุกกลุ่มนำเสนอรายงานเสร็จแล้วผมก็นำเอาคะแนนโครงการมารวมกับคะแนนสอบเพื่อที่จะตัดเกรด ขณะที่ผมไล่รายชื่อไปก็พบว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งที่ไม่มีรายชื่ออยู่กับกลุ่มใดเลย และคะแนนสอบของนักศึกษาคนนี้ก็อยู่ในเกณฑ์ปานกลางคือพอผ่าน แต่ถ้ารวมคะแนนโครงการเข้าไปเขาจะได้เกรดที่ดีขึ้น ผมจึงได้ประกาศให้นักศึกษาติดต่อผมผ่านทางอีเมล และเขาก็ติดต่อมาซึ่งผมก็ได้แจ้งไป และให้โอกาสเขาโดยบอกให้เขารีบทำงานมาส่งโดยผมจะให้ติด I ไว้ก่อน แต่คำตอบที่ผมได้รับคือเขาจะไม่ทำเพราะเขาไม่ได้ชอบสาขาที่เรียนอยู่ตอนนี้แต่พ่อแม่บังคับให้เรียน ขอแค่สอบผ่านก็พอใจแล้ว จากเรื่องนี้มีสองจุดที่ผมอยากจะพูดถึงครับ จุดแรกเรื่องพ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนในสาขาที่เขาไม่ชอบ คือพ่อแม่ก็หวังดีเห็นว่าสาขาทางคอมพิวเตอร์นี้จบออกไปแล้วมีงานทำแน่นอนมีเงินเดือนดี แต่ในความเป็นจริงคนที่เรียนคือลูกนะครับไม่ใช่พ่อแม่ ซึ่งจากประสบการณ์ของผมพบว่ามีนักศึกษาหลายคนที่เป็นแบบนี้ครับ และส่วนใหญ่ที่จบไปก็เกรดไม่ค่อยดีนัก และบางคนก็ไม่ได้ทำงานในสาขานี้หรือไปเรียนต่อในสาขาอื่น ดังนั้นอยากฝากพ่อแม่ครับว่าอย่าบังคับลูกเลย ถ้าเขาได้เรียนในสิ่งที่เขาชอบและเขามีความถนัดจริงผมเชื่อว่าเขาก็จะมีทางไปของเขาได้ จุดที่สองในส่วนของนักศึกษาเอง ผมอยากจะบอกว่าเมื่อเราได้ทำอะไรแล้วไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบเราก็น่าจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด อยากให้นักศึกษามองไปไกล ๆ หน่อยครับอย่ามองแค่ใกล้ ๆ สมมติว่าถ้าต้องอดทนเรียนไปจริง ๆ ทำไมถึงไม่พยายามทำให้ดีที่สุด เพราะเกรดที่เราได้ในวันนี้แน่นอนครับว่าจะมีผลต่อการเรียนต่อในสิ่งที่เราสนใจในอนาคตอย่างแน่นอน และไม่แน่ครับถ้าเราได้ตั้งใจทำให้ดีที่สุดแล้วเราอาจจะค้นพบก็ได้ว่า๊จริง ๆ เราก็ชอบสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่เหมือนกัน สรุปสิ่งที่อยากฝากไว้สำหรับเรื่องนี้ก็คือสู้ครับทำทุกอย่างให้เต็มกำลัง

เรื่องที่สองหลังจากที่มีการประกาศเกรดแล้ว ผมก็ได้รับข้อความถามจากนักศึกษาว่าทำไมเขาจึงได้เกรดน้อย ทั้ง ๆ ที่ตอนกลางภาคเขาก็ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี ซึ่งตรงนี้ผมโอเคนะครับ คือผมยินดีที่จะให้นักศึกษาเข้ามาดูและมาสอบถามได้เสมอ เพราะผมก็อาจพลาดได้ แม้ว่าผมจะตรวจทานการป้อนคะแนนและการตัดเกรดถึง 3 ครั้ง ก่อนที่ผมจะส่งเกรดไป แต่สิ่งที่ผมทำใจยอมรับได้ยากสักหน่อยและตั้งคำถามกับตัวเองว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น เพราะนักศึกษาคนนี้ให้เบอร์โทรให้ผมโทรกลับ และบอกว่าถ้าอาจารย์ไม่ติดต่อกลับเขาจะเข้ามาหาในวันเสาร์ (จากนั้นมาขอแก้ไขบอกว่าจะเข้ามาวันอาทิตย์) ตกลงนักศึกษาคนนี้เขาเป็นเจ้านายผมหรือครับ เขาจะมาหาผมวันไหนที่เขาอยากมาก็ได้ (แม้แต่วันหยุด) และผมจะต้องมาพบเขาตามวันที่เขาระบุใช่ไหม นักศึกษาคนนี้ไม่ได้รับการสั่งสอนจากที่ใดมาเลยหรือครับว่าเวลาที่จะนัดหมายกับผู้ใหญ่จะต้องทำอย่างไร

นี่คือสองเรื่องที่เกิดขึ้นและผมก็เลยเกิดคำถามขึ้นว่าในการเรียนการสอนในปัจจุบันของเรานั้น เราเน้นกันที่จะให้แต่ความรู้วิชาการและแข่งขันกันด้วยเกรดอย่างเดียว จนลืมที่จะอบรมให้เด็กให้เป็นคนที่มีความรอบรู้ มีคุณธรรมจริยธรรม และสู้ชีวิตหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะเอามาแบ่งปันกันในวันนี้โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ เพราะผมคิดว่าจะใช้กรณีตัวอย่างนี้ในการสอนลูกผมเช่นเดียวกัน

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ทักษะด้าน IT 6 อย่างที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในปี 2010

วันนี้พอดีได้มีโอกาสอ่านบทความจาก Computer World ซึ่งคิดว่าน่าสนใจสำหรับคนที่ทำงานด้าน IT ครับ นั่นก็คือทักษะด้าน IT ที่ยังจะเป็นที่ต้องการมากที่สุดในปี 2010 นี้ ซึ่งการสำรวจนี้ถึงแม้จะไม่ได้ทำในประเทศเรา แต่ผมก็เชื่อว่าผลลัพธ์ส่วนใหญ่น่าจะออกมาคล้าย ๆ กัน ผลออกมาดังนี้ครับ โดยลำดับจะเรียงจากความต้องการมากที่สุดครับ

1. ทักษะด้านการพัฒนาโปรแกรม
2. ทักษะการสนับสนุนด้านเทคนิค
3. ทักษะด้านเครือข่าย
4.ทักษะด้านการจัดการโครงการ
5.ทักษะด้านความมั่นคง (security)
6.Business Intelligence

จะเห็นว่าทักษะด้านการพัฒนาโปรแกรมก็ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นลำดับแรกทางด้านไอที นั่นหมายถึงจะยังมีความต้องการที่จะพัฒนาโปรแกรมใหม่ ๆ อีกมากมาย โดยทักษะด้านการพัฒนาโปรแกรมนี้จะเน้นไปที่ .Net, Java, การพัฒนาเว็บ, open source, เทคโนโลยีอย่างพวก Microsoft's Sharepoint และภาษาและแพลตฟอร์มที่จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นก็คือ Ruby on Rails และ Ajax

ทางด้านการสนับสนุนด้านเทคนิคนั้น จากการสำรวจพบว่าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนั้น มีการปลดคนในตำแหน่งนี้ออกไปค่อนข้างมาก ดังนั้นในปีนี้จะมีการรับตำแหน่งนี้กลับเข้าไปมากขึ้น (อันนี้เป็นข้อมูลจากต่างประเทศนะครับ ไม่รู้ว่าเมืองไทยจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า เพราะเราไม่ได้วิกฤตหนักเท่าเขา)

ส่วนทักษะด้านเครือข่ายนั้น เนื่องจากกระแสของเทคโนโลยีอย่าง cloud computing หรือ software as a service ทำให้้มีความต้องการคนทางด้านนี้มากขึ้น

ส่วนทางด้านการจัดการโครงการนั้น เขาบอกว่ามืออาชีพที่เข้าใจเทคโนโลยีและสามารถที่จะนำมาใช้ในกลยุทธทางธุรกิจได้ คือสุดยอดฝีมือที่ใคร ๆ ก็ปรารถนา

ทางด้านความมั่นคง (หลายคนคงแปลกใจว่าทำไม่ไม่ใช้ ความปลอดภัย เพราะมาจากคำว่า security แต่คำ ๆ นี้ทางราชบัณฑิตเขาใช้คำว่าความมั่นคงครับ) อันนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมากนะครับ เพราะทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าปัจจุบันระบบเครือข่ายที่เราใช้ยังไม่ปลอดภัยอยู่มาก ดังนั้นคนที่มีความสามารถทางด้านนี้จะเป็นที่ต้องการเพื่อเก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญของบริษัท

สำหรับ BI นั้นตามนิยามในสมัยเก่าก็คือการนำข้อมูลที่มีอยู่มาวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันมีความต้องการข้อมูลที่เป็นแบบ real time มากขึ้น ในการสำรวจยังบอกว่าทักษะที่สำคัญที่สำคัญกว่าผู้เชี่ยวชาญทาง BI ก็คือนักเขียนโปรแกรมหรือนักวิเคราะห์ที่สามารถนำเอาข้อมูลพื้นฐานจากตารางต่าง ๆ มารวมกันเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้ ซึ่งตรงนี้เองจะเป็นพื้นฐานของการทำ BI

เอาละครับ เห็นอย่างนี้แล้วนักศึกษาที่กำลังจะจบก็น่าจะหาความรู้พื้นฐานอันใดอันหนึ่งไว้บ้างนะครับ อย่างน้อยก็น่าจะมีความรู้ด้านการพัฒนาโปรแกรมโดยใช้เทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว ส่วนคนที่ยังเรียนอยู่อาจจะปี 2 หรือปี 3 ผมว่าก็ควรจะเริ่มเลือกสิ่งที่ตัวเองสนใจทางด้านต่าง ๆ เหล่านี้ไว้บ้างนะครับ เพราะถึงการสำรวจจะบอกว่าเป็นของปีนี้ แต่ผมว่าความต้ิองการด้านต่าง ๆ เหล่านี้จะยังเป็นที่ต้องการอยู่อีกหลายปี และอย่าลืมว่าประเทศเรานั้นน่าจะตามหลังเทคโนโลยีของต่างประเทศอยู่บ้าง เมื่อพวกคุณเรียนจบกัน ก็อาจเป็นเวลาที่ประเทศของเรากำลังต้องการกำลังคนทางด้านนี้พอดีก็ได้....