วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อำนาจอยู่ในมือเราแล้วไปเลือกตั้งกันครับ

สวัสดีครับผมไม่ได้เขียนบล็อกมาซะนาน วันนี้ขอเขียนหน่อยเพราะอยากจะร่วมรณรงค์ให้ออกไปเลือกตั้งกันวันอาทิตย์ที่ 3 ก.ค. นี้ครับ จริง ๆ ผมก็ไม่ได้คิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมาเปลี่ยนแปลงประเทศของเราให้มันดีขึ้นมาได้ทันตาเห็นหรอกนะครับ เพราะนักการเมืองที่ลงเลือกตั้งก็หน้าเดิม ๆ มีแนวคิดแบบเดิม ๆ ที่บอกว่าจะปรองดองกันก็ทำได้แต่ปากพูด เพราะเท่าที่เห็นหาเสียงกันอยู่ตอนนี้ก็มีแต่สาดโคลนใส่กัน เอาเรื่องที่ยังไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงกล่าวหากันไปมา ฝ่ายหนึ่งก็กล่าวหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งสั่งฆ่าคน อีกฝ่ายก็กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเผาบ้านเผาเมืองทั้งที่ความจริงเป็นอย่างไรก็ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ชัดเจน ทำกันแบบนี้ประเทศชาติคงจะสงบได้หรอกเพราะประชาชนที่สนับสนุนแต่ละฝ่ายก็ออกมาตอบโต้กันไปมาสนับสนุนฝ่ายที่ตัวเชียร์อยู่ เขียนมาถึงตรงนี้หลายคนอาจถามว่าถ้าอย่างนั้นเราจะไปเลือกตั้งกันทำไม คำตอบคือการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการแสดงพลังอำนาจของประชาชนอย่างพวกเราที่ถูกปล้นไปโดยผู้คนหลายกลุ่ม (ถ้าใครลืมไปแล้วเดี๋ยวผมจะทวนให้ฟังต่อไป) และหวังว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ประเทศเรากลับมาสู่ระบบอีกครั้งถ้าทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้งตามที่บอกไว้ 

คราวนี้ผมจะทวนให้ฟังครับว่าอำนาจของเราถูกใครปล้นไปบ้าง เริ่มจากกลุ่มแรกเลยครับก็คือกลุ่มคนที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์กับทหารที่ทำปฏิวัติเมื่อปี 2549 จริง ๆ ผมเคยคิดนะครับว่าการปฏิวัติสมัย รสช. คงจะเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศแล้วไม่คิดว่าจะได้เห็นอีก จริง ๆ กลุ่มคนที่ใช้เสื้อเหลืองนี่ผมก็ไม่อยากจะเหมารวมไปทุกคนนะครับ เอาเป็นว่าขอเน้นไปที่แกนนำแล้วกัน แกนนำยุยงปลุกปั่นด้วยเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างให้ประชาชนออกมารวมตัวกัน จนทหารมีข้ออ้างออกมาปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเรากำลังจะมีการเลือกตั้งกันอยู่แล้ว ซึ่งคนเสื้อเหลืองและทหารไม่แน่ใจว่าถ้าปล่อยให้มีการเลือกตั้งแล้วพรรคที่ตัวเองต้องการจะได้มาบริหารประเทศหรือไม่ และที่น่าเศร้าที่สุดก็คือหลังจากการปฏิวัติแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ปัญหาที่มีอยู่ที่เป็นสาเหตุของการปฏิวัติก็ไม่ได้รับการแก้ไข สิ่งที่การปฏิวัติทิ้งไว้ให้เราคือความแตกแยก และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนยอมรับเพราะมีการลงมติ แต่การลงมติที่ว่านั้นอยู่ในบรรยากาศที่ว่าให้รับ ๆ ไปก่อนเพราะถ้าไม่รับคณะปฏิวัตินี้ก็จะยังคงปกครองประเทศเราอยู่ต่อไป และสุดท้ายเมื่อมีการเลือกตั้งพรรคการเมืองที่ทั้งเสื้อเหลืองและทหารไม่อยากให้เข้ามาก็ชนะได้เข้ามาอยู่ดี 

แต่เอาล่ะครับอย่างน้อยการเลือกตั้งครั้งนั้นก็ทำให้เราได้อำนาจคืนมาบ้าง แต่ก็ได้มาไม่นานส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาไม่รู้จักหลาบจำ ไปทำเรื่องที่เป็นเหตุให้คนเสื้อเหลืองหาเหตุระดมคนออกมาชุมนุมอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์บางอย่างที่ผมคิดว่าถ้าประเทศเราอยู่ในสถานการณ์ปกติมันไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่นการที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต้องถูกปลดเพราะไปออกรายการทำกับข้าว พอเปลี่ยนนายกมาเป็นอีกคนหนึ่งก็ยังไม่ถูกใจคนเสื้อเหลือง ก็เลยทำการชุมนุมเลยเถิดสร้างความเดือดร้อนไปทั่วไปยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นแรมเดือน จนถึงขั้นไปทำนากันอยู่ในนั้น และยังไปยึดสนามบินนานาชาติ ทำเอาเศรษฐกิจของชาติเสียหายไปมากมาย และที่น่าโมโหสำหรับผมก็คือคนเสื้อเหลืองอ้างอีกว่านี่คื่อเสียงของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปเพราะคนเสื้อเหลืองไม่ได้รับการเลือกตั้งมา ส่วนทหารก็ให้ความร่วมมือด้วยการอยู่เฉย ๆ ไม่่ิออกมาทำอะไรทั้งที่รัฐบาลมอบหมายหน้าที่ให้ แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ต้องจากไปแต่ไม่ใช่เพราะคนเสืิ้อเหลืองแต่เป็นเพราะสาเหตุอื่น นั่นคือการถูกยุบพรรคของแกนนำรัฐบาล 

คราวนี้การเมืองก็พลิกขั้วมาเป็นอีกฝ่ายหนึ่งได้เข้ามาเป็นรัฐบาล ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็พอจะทำใจรับได้ (ถึงแม้มันจะดูไม่โปร่งใสอยู่บ้าง) เพราะอย่างน้อยคนเหล่านั้นก็ยังได้รับเลือกตั้งเข้ามา เรียกว่ายังอยู่ในระบบ แต่อำนาจของเรากลับถูกโขมยไปอีกจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง (ขอเน้นที่แกนนำเช่นกัน) ที่ใช้เสื้อสีแดง คนกลุ่มนี้ที่เคยด่าเสื้อเหลืองไว้ว่าทำอะไรไม่คิดทำให้ประเทศชาติเสียหายก็ทำซะเอง เริ่มตั้งแต่ไม่ได้สนใจว่าตัวเราเองเป็นเจ้าบ้านจัดการประชุมสำคัญระดับนานาชาติ ไปประท้วงจนเกิดความวุ่นวายจนแขกบ้านแขกเมืองต้องหนีขึ้นเรือออกไปกลางทะเลเพื่อไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้านเป็นภาพที่อเนจอนาถเหลือเกิน หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น ความพยายามที่จะลดความขัดแย้งก็ทำอย่างไม่จริงใจ จนในที่สุดคนกลุ่มนี้ก็กลับมาอีกครั้ง และก็ประท้วงมาเลยเถิดไปยึดแยกราชประสงค์จนเกิดความเสียหายไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร และในที่สุดมันก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจนเป็นปัญหากันอยู่ตอนนี้ และเหมือนเดิมคนกลุ่มนี้ก็อ้างว่านี่คือความต้องการของคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่มันโขมยอำนาจของเราไปชัด ๆ นะครับ คนสองกลุ่มนี้เราไม่ได้เลือกเข้ามา (ถึงแม้ในแต่ละกลุ่มอาจมีส.ส.อยู่แต่ก็มีไม่กี่คน) 

ทั้งหมดก็คือการสรุปคร่าว ๆ ของกลุ่มคนที่มาเอาอำนาจที่อยู่ในมือเราออกไป ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้อำนาจได้กลับมาอยู่ในมือเราแล้ว ขอให้เราออกไปแสดงให้เขาเห็นครับว่าเราต้องการให้ประเทศเป็นไปอย่างไร ถึงแม้เราจะได้นักการเมืองหน้าเดิม ๆ กลับเข้ามา แต่ก็หวังว่าเขาจะทำตัวดีขึ้นและเราก็ติดตาม ถ้าเขายังทำตัวไม่ดีเราก็ใช้ช่องทางตามที่กฏหมายกำหนดเช่นการเข้าชื่อหรืออะไรก็ว่าไป ซึ่งฝ่ายค้านน่าจะมาชี้นำประชาชนในจุดนี้มากกว่าที่จะไปสนับสนุนคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเข้าข้างฝ่ายตัวเองบนถนน (หวังว่าจะไม่มีอีก) และถ้ายังทำอะไรไม่ได้จริง ๆ (ผมคิดว่าถ้ามันแย่จริง ๆ หรือมีหลักฐานชัดมันน่าจะทำได้) เราก็รอให้ครบเทอมครับจนอำนาจกลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง ทหารควรจะเอาคำว่าปฏิวัติทิ้งไปได้แล้ว ให้ระบบมันดำเนินไปได้อย่างถูกต้อง และผมเชื่ออย่างที่ผมเคยเขียนไปแล้วว่าถ้าเรายอมอยู่ในระบบจนคนดีมีความสามารถเขามีความมั่นใจเขาก็จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาของบ้านเมืองครับ 

สุดท้ายผมอยากบอกว่าประเทศเราโชคดีที่ยังไม่เป็นอย่างลิเบีย ซึ่งผมคิดว่าคนที่ออกมาประท้วงรัฐบาลตอนแรกอาจจะไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์มันจะบานปลายมาถึงขนาดนี้ ถ้าเขารู้เขาอาจจะไม่ทำ ดังนั้นพวกเราโชคดีครับที่ยังมีโอกาส ออกไปเลือกตั้งกันครับและยอมรับผลการเลือกตั้ง ติดตามดูผลงานของคนที่เราเลือกและไม่ได้เลือกเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกตั้งครั้งหน้า และขอฝากนักการเมืองทั้งหลายให้เปลี่ยนวิธีคิดวิธีทำงานโดยคิดถึงประเทศชาติเป็นหลัก เลิกสร้างความขัดแย้ง ทำงานให้สมกับที่ประชาชนไว้ใจเลือกเข้ามาเป็นตัวแทน ผมว่าถ้าเป็นได้อย่างนี้ประเทศเราจะเดินไปข้างหน้าได้โดยเริ่มจากการเลือกตั้งครั้งนี้ครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้พบในสัปดาห์ที่ผ่านมา

สวัสดีครับไม่ได้เขียนบล็อกมาเสียนาน วันนี้ขอเขียนเสียหน่อยเพราะอยากจะบันทึกเรื่องดี ๆ ที่ได้เจอในสัปดาห์นี้ไว้ก่อนที่จะเริ่มสัปดาห์ใหม่ ตอนนี้ต้องบอกว่าผมกำลังเริ่มเข้าสู่โหมดการเปิดเทอมเกือบเต็มรูปแบบ ที่ผมเรียกอย่างนี้ก็เพราะว่าผมเริ่มโหมดการเปิดเทอมตั้งแต่เมื่อกลางเดือนที่แล้วคือลูกเริ่มเปิดเทอมก่อนและผมก็ต้องเริ่มขับรถเข้าเมืองเพื่อรับส่งลูก จากนั้นเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมามหาวิทยาลัยที่เป็นอาจารย์ประจำก็เริ่มเปิดเทอม และอีกสักสองอาทิตย์จากนี้เมื่อมหาวิทยาลัยที่ผมได้รับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษอยู่เปิดทั้งหมดก็เท่ากับผมเข้าสู่โหมดเปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบครับ

ขนาดที่ยังไม่ได้เปิดเทอมแบบเต็มรูปแบบผมก็เริ่มเหนื่อยแล้วครับ เพราะเดี๋ยวนี้รถติดเหลือเกินและฝนยังตกอีกทำให้เพิ่มความติดมากขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผมได้ประสบมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วก็ทำให้มีความรู้สึกดีขึ้นครับ สิ่งนั้นก็คือผมพบว่าน้ำใจของคนไทยในเมืองหลวงยังมีอยู่ครับ เรื่องแรกเป็นน้ำใจของร้านขายอาหารครับ เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาลูกชายคนโตของผมมาบอกว่าเขาต้องใช้ใบกะเพราเพื่อทดลองวิทยาศาสตร์ จริง ๆ ในบ้านผมก็ปลูกกะเพราไว้เหมือนกัน ผมก็เลยดุเขาไปว่าทำไมไม่บอกตั้งแต่เย็นตอนนี้มันดึกแล้ว แล้วผมก็บอกลูกว่าให้เขียนกระดาษไปแปะไว้ที่ประตูหน้าบ้าน ตอนเช้าจะได้ไม่ลืมไปเก็บก่อนไปโรงเรียน ปรากฏว่าคุณลูกชายไม่ได้เขียนครับ ผลลัพธ์ก็คือ ... ใช่แล้วครับเราลืมครับ พอไปถึงโรงเรียนท่านลูกก็นึกขึ้นมาได้ครับ ทำยังไงดีล่ะครับทีนี้ ตอนแรกผมก็ว่าจะไม่ยุ่งแล้วเพราะจะปล่อยให้เขาได้รับผลจากการไม่รับผิดชอบของเขา แต่พอดีมันเป็นงานกลุ่มและเขารับปากว่าจะเอากะเพราไป ผมก็เลยพาเขาไปที่โรงอาหาร และก็ตั้งใจว่าจะไปขอซื้อใบกะเพราจากร้านอาหารตามสั่ง เมื่อไปถึงร้านผมก็ถามว่ามีใบกะเพราไหมจะขอซื้อให้นักเรียนไปทดลองวิทยาศาสตร์ ปรากฏว่าแม่ค้าก็เดินไปหยิบมาให้สองกิ่งใหญ่ครับและไม่คิดเงินด้วย ถึงแม้จะดูว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ผมคิดว่านี่คือน้ำใจของคนไทยครับ

เรื่องที่สองเป็นน้ำใจของร้านขายมือถือครับ คือผมเห็นว่าแผ่นกันรอยมือถือที่ผมใช้อยู่มันเริ่มเป็นรอยมากแล้ว และบังเอิญผมมีแผ่นกันรอยมือถืออยู่อีกแผ่นหนึ่ง ไอ้ครั้นจะติดเองผมก็เป็นคนมีฝีมือดีเกินไปจนโอเวอร์โฟลว์กลับไปอีกข้างหนึ่ง ก็เลยไปที่ร้านมือถือให้เขาช่วยติดให้และผมกะว่าจะให้ค่าเสียเวลาตามสมควร ต้องบอกว่าผมไม่เคยเป็นลูกค้าของร้านนี้มาก่อนนะครับ ปรากฏว่าเมื่อไปถามทางร้านก็บอกว่าเอามาเถอะเดี๋ยวติดให้ไม่คิดเงิน ซึ่งก็ใช้เวลาติดอยู่นานเหมือนกันนะครับ เสียดายที่ผมจำชื่อร้านไม่ได้ ถ้ายังไงเดี๋ยววันหลังผ่านไปจะเอาชื่อร้านมาฝากครับ

เรื่องที่สามอันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งก็ไม่ได้คิดว่าจะเป็นเรื่องอะไรมากมาย เรื่องก็คือรถผมติดไฟแดงอยู่ที่แยกร่มเกล้าตัดกับรามคำแหง ซึ่งผมกำลังจะรอเลี้ยวขวาซึ่งไฟแดงมันนานมากจนหางแถวจนถึงคันที่ผมอยู่นี่มันก็เริ่มจะขวางทำให้รถที่ต้องการกลับรถไม่สามารถเข้าไปในช่องทางกลับรถได้ ซึ่งผมสังเกตุเห็นคันข้างหลังผมเขาต้องการจะกลับรถ ผมก็เลยพยายามขยับรถให้ติดไปที่คันหน้ามากที่สุดเพื่อเปิดช่องทาง ซึ่งคันหน้าผมพอเห็นอย่างนั้นก็ขยับเดินหน้าไปมากขึ้นผมก็ขยับตาม จนในที่สุดรถคันหลังผมก็สามารถเข้าช่องทางกลับรถได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ปรากฏว่ารถคันนั้นมาจอดข้างรถผมลดกระจกลงและกล่าวขอบคุณผม

จากเรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดดูเหมือนเหตุการณ์จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ซึ่งคนที่ทำให้อาจไม่ได้นึกอะไร แต่คนที่ได้รับนั้นเขาได้รับรู้ถึงน้ำใจที่แฝงอยู่ในการกระทำนั้น ดังนั้นผมอยากจะเชิญชวนให้พวกเราลองหันไปมองรอบ ๆ ตัวและลองแสดงน้ำใจเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับคนรอบข้าง ผมว่าสังคมเราจะน่าอยู่ขึ้นมากครับ        

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ส่งท้ายกับเรยา

ก็จบไปแล้วนะครับสำหรับละครดอกส้มสีทอง ก็คงเป็นละครเรื่องแรก(หรือเปล่าไม่รู้นะครับ)ที่ต้องมีพระมาเทศน์ให้ฟังตอนจบของละคร ตรงนี้ผมว่ามันสะท้อนอะไรในด้านสังคมของเราหลายอย่างซึ่งผมจะพูดต่อไป ละครเรื่องนี้ได้รับการกล่าวถึงในด้านเนื้อหาและพฤติกรรมของตัวละครมากที่สุดเรื่องหนึ่งในรอบหลายปีมานี้ อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในบล็อก เรยาในมุมมองของผม แล้วว่านี่คือละครที่ผมติดตามมากทีสุดในรอบหลายปี เหตุผลหลักไม่ใช่ภาพรวมของเนื้อเรื่องนะครับ เพราะผมว่าละครเรื่องนี้ถ้าดูเฉพาะภาพรวมแล้วมันก็คือเรื่องตบตีแย่งผัวแย่งเมียซึ่งก็พบได้ทั่วไปตามละครไทยอยู่แล้ว แต่ที่ทำให้ตัวละครเรื่องนี้น่าสนใจน่าจะเป็นนักแสดงที่แสดงได้สมบทบาท และการเขียนบทที่ปรับให้เข้ากับการดำเนินชีวิตของคนในปัจจุบัน อีกจุดหนึ่งที่ส่งให้ละครเรื่องนี้ดังขึ้นไปอีกก็คือการที่มีผู้คนให้ความเห็นในเชิงลบต่อพฤติกรรมของตัวละคร และผู้บริหารบ้านเมืองบางคนของเราตอบสนองด้วยสิ่งที่ผมเห็นว่าเกินเหตุ เช่นเรื่องการที่คิดจะแบนละครเรื่องนี้เลยเถิดไปจนถึงการที่จะพิจารณาสัมปทานกับทางช่องสามใหม่อะไรอย่างนี้ สุดท้ายก็ยังดีที่ยังหาข้อยุติที่พอจะยอมรับได้ ถึงแม้มันจะดูประหลาด ๆ เช่นต้องมีตัววิ่งบอกว่านี่เป็นการแสดงตามบทประพันธ์ที่ผู้เขียนเขียนไว้ ไม่ใช่เรื่องจริง และจบด้วยการเอาพระมาเทศน์สอน ผมขอออกความเห็นเพิ่มเติมเรื่องตัววิ่งหน่อยแล้วกันครับ จริง ๆ แทนที่จะขึ้นบอกว่ามันเป็นการแสดงไม่ใช่เรื่องจริง ผมว่าถ้าใช้คำเตือนเหมือนกับรายการประเภทเล่าเรื่องผีซึ่งมักจะบอกว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคลโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม  ละครเรื่องนี้ก็อาจจะขึ้นว่าพฤติกรรมของตัวละครเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมขัดต่อศีลธรรมอันดีงาม ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำกับบุตรหลาน อะไรประมาณนี้ ผมว่าน่าจะดีกว่านะ

จริง ๆ เหตุผลที่ผมอยากจะเขียนเกี่ยวกับละครเรื่องนี้อีกครั้งเป็นเพราะสิ่งที่ผมได้เห็นจากไทม์ไลน์บนทวิตเตอร์ของตัวเอง มีทั้งที่บอกว่าแหมเรยากับคุณนายที่สองทำชั่วมาตั้งเยอะได้รับผลกรรมแค่ต้องอยู่คนเดียวไม่มีใครคบ  บางคนบอกว่ามาได้รับกรรมตอนท้ายเรื่องแต่เกือบทั้งเรื่องมีความสุขงั้นคนไม่ดูตอนจบก็ไม่รู้สิ บางคนก็บอกว่าการที่ต้องมีพระมาเทศน์สรุปสอนคนนี่ก็คือการที่ชนชั้นปกครองของเราไม่เชื่อว่าประชาชนจะมีความสามารถในการคิดหรือเรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง  และก็มีที่บอกว่าต่อไปเดี๋ยวก็ทำละครมีเนื้อหาเลวร้ายออกมาอีกแล้วก็อ้างว่าทำมาให้ข้อคิดเอามาสอนคน และยังบอกว่าถ้าจะให้แง่คิดสอนคนน่ะเอาโดเรม่อนมาฉายก็ได้ (อันนี้ชอบมาก)เรามาดูกันทีละประเด็นแล้วกันนะครับ สำหรับเรื่องผลที่ตัวละครได้รับ ตอนแรกผมก็นึกว่ามันจะเป็นรูปธรรมกว่านี้ แต่ในส่วนตัวผมก็ว่าใช้ได้นะครับเพราะตัวละครได้รับความทุกข์ใจจากการกระทำของตัวเอง ผมมองว่าการลงโทษที่แรงที่สุดก็คือการที่เราถูกลงโทษด้วยจิตใจของตัวเราเองนี่แหละครับ ลองคิดดูครับว่าถ้าคนเราต้องอยู่กับความเสียใจในสิ่งที่ตัวเองได้ทำมาไปตลอดชีวิตก็เปรียบได้กับการตกนรกทั้งเป็นนั่นเอง ส่วนคนที่บอกว่ามาลงโทษตอนจบใครไม่ได้ดูก็ไม่รู้น่ะสิอันนี้ต้องขอเถียงหน่อยครับ ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของละครเรื่องนี้ ที่บอกว่าติดตามมากที่สุดก็คือเป็นเรื่องที่ดูมากที่สุด เพราะผมบางทีกว่าจะกลับถึงบ้านบางทีก็สามทุ่มกว่าละครผ่านไปครึ่งเรื่องแล้ว แต่ทุกครั้งที่ผมได้ดูผมก็พบว่าตัวละครที่ทำความผิดในเรื่องไม่ใช่แค่เรยา รวมถึงคุณใหญ่ และคนอื่น ๆ ด้วย ไม่ได้มีความสุขครับ ละครเกือบทุกตอนแสดงให้เห็นเลยว่าทุกคนได้รับผลได้รับความทุกข์ใจจากการกระทำของตัวเอง ตอนจบเป็นเพียงการขมวดปมของเรื่องเท่านั้น

ส่วนกรณีที่บอกว่าผู้ปกครองบ้านเมืองไม่เชื่อว่าคนเราจะมีความคิดได้ด้วยตัวเอง อันนี้ผมค่อนข้างเห็นด้วยครับ เพราะจากการกระทำหลาย ๆ อย่าง สื่อให้เห็นไปในทางนั้นจริง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นการทำเบลอฉากที่มีเหล้าหรือบุหรี่ในละครหรือหนังโดยมีความคิดว่าถ้าไม่เห็นซะก็คงไม่สูบหรือไม่ดื่ม ตรงนี้ผมไม่ได้บอกว่าอยากจะให้มีฉากเหล้าหรือบุหรี่ในหนังนะครับ คือถ้าผู้สร้างหนังหรือละครใหม่ ๆ สามารถหลีกเลี่ยงไปได้ก็จะดี เพราะถ้าเห็นการกระทำบ่อย ๆ ก็อาจจะทำให้เกิดความเคยชินได้ แต่ไอ้การไปทำภาพเบลอกับสิ่งที่เด็กดูก็รู้ว่าตัวละครทำอะไรอยู่ผมว่ามันไม่ได้ช่วยอะไร ยิ่งตอนนี้เรามีการจัดเรตละครแล้ว ถ้ามีฉากเหล้าบุหรี่ก็จัดเรตหนัก ๆ ไปเลย ถ้าไม่อยากให้มีเอามาก ๆ ก็อาจจะกำหนดไปว่าถ้ามีเหล้าบุหรี่ต้องฉายดึก ๆ นะจะให้เรต ฉ. อะไรก็ว่าไป คนสร้างเขาจะได้หลีกเลี่ยง  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการอบรมจากบ้านและโรงเรียนมีผลมากกว่าครับ ผมไม่เชื่อว่าถ้าเราอบรมเลี้ยงดูลูกหลานเราเป็นอย่างดี แล้วเขาจะเสียคนเพราะไปดูหนังหรือดูละคร ถ้าเราสอนพื้นฐานให้เขาว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี เขาก็จะสามารถแยกแยะได้ด้วยตัวเอง คุณเคยเห็นพ่อแม่จูงลูกตัวเล็ก ๆ  เดินข้ามถนนใต้สะพานลอยคนข้ามไหมครับผมว่านั่นคือสิ่งที่แย่กว่าอีกครับ เพราะมันคือการเพาะนิสัยที่ไม่มีวินัยลงไปในตัวลูก เรามารณรงค์ในเรื่องนี้กันดีกว่าไหมครับ ครอบครัวมีส่วนสำคัญครับเมื่อละครมีการจัดเรตแล้ว ถ้าด้วยเหตุใดก็ตามที่เราจะต้องให้ลูกที่ยังเล็กกว่าที่เรตกำหนดดูละครด้วย เราก็มีหน้าที่ในการให้คำแนะนำกับลูกครับ  พูดถึงเหล้าบุหรี่ก็อดจะพูดถึงเรื่องกีฬาไม่ได้  มีรายการกีฬาหลายรายการนะครับ(ไม่ใช่ถ่ายทอดสด) ที่มักจะเบลอป้ายโฆษณาเหล้าและบุหรี่ที่ติดอยู่ข้างสนาม เบลอจนดูภาพการแข่งขันไม่รู้เรื่อง อันนี้ช่วยเลิกเถอะครับ ผมถามจริง ๆ เถอะครับว่า เวลาคนเขาดูกีฬากันนี่ มีใครสักกี่คนครับที่จะไปสังเกตป้ายโฆษณา  ทำยังกับว่าถ้าเห็นโฆษณาปุ๊บก็จะเกิดอยากขึ้นมาจนต้องรีบไปซื้ออย่างนั้นแหละ อ้าวชักนอกเรื่องแฮะ กลับมาที่เรยา สิ่งหนึ่งที่เห็นก็คือสังคมของเรามีสิ่งที่เรียกว่า moral panic (ซึ่งบางครั้งอาจไม่ดีก็ได้) มีการช่วยกันเฝ้าระวังดูแลสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม แต่ผู้บริหารประเทศจะต้องตอบสนองอย่างมีสติ ไม่ใช่โหนกระแสหรือทำเพื่อหวังผลทางการเมือง ผมว่าส่วนหนึ่งที่ละครเรื่องนี้ดังขึ้นมาอย่างมากก็เพราะการตอบรับในลักษณะที่จะแบนละคร คนที่ไม่เคยดูละครเรื่องนี้เลยก็อาจจะเกิดความสนใจและหันกลับมาดู ดังนั้นผมว่าผู้บริหารบ้านเมืองอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่ครับ ลองกำกับดูแลอย่างที่ให้ประชาชนได้คิดหรือมีวิจารณญาณด้วยตัวเองบ้าง ไม่ต้องคิดเผื่อเขาหมดทุกอย่าง  ขอโยงเข้าการเมืองสักหน่อยแล้วกัน โดยผมอยากจะตั้งคำถามทิ้งไว้ว่าการที่เกิดความขัดแย้งในบ้านเมืองทุกวันนี้ ส่วนหนึงมันมาจากการที่คนบางกลุ่มไม่เชื่อในความคิดของคนบางกลุ่ม และคนบางกลุ่มคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนบางกลุ่มใช่ไหมครับ

มาดูที่ประเด็นสุดท้ายครับว่าต่อไปก็จะมีการสร้างละครทีมีเนื้อหาไม่ดีออกมาแล้วก็จะบอกว่ามาสอน อันนี้น่าสนใจมากครับ เพราะผมว่าอาจมีผู้สร้างละครหลายคนกำลังคิดอย่างนี้อยู่ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่าไม่ใช่ ถ้ามีคนมาถามผมว่ายังอยากจะดูละครแนวนี้อีกไหมโดยมาบอกว่ามันเป็นคติสอนใจนะ ผมก็จะตอบว่าผมดูละครเพื่อการผ่อนคลาย ไม่ได้คิดจะเอาเรื่องจากละครซึ่งก็รู้ว่ามันแต่งขึ้นเอามาสอนตัวเองหรือใครอย่างจริงจัง และถ้าจะให้เลือกละครอย่างดอกส้มสีทอง กับละครอะไรสักเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงการสู้ชีวิตของตัวละครที่มีความมานะบุกบั่นฟันฝ่าอุปสรรคจนประสบความสำเร็จ ผมก็คงเลือกเรื่องหลัง เพราะมันให้แง่คิดที่ดีและเราสามารถวางใจให้ลูกเราดูได้โดยไม่ต้องมาคอยนั่งชี้แนะ ถ้าละครสามารถสอนคนได้จริงเราก็คงสร้างละครขึ้นมาให้พระเอกนางเอกเป็นคนดีมาก ๆ แล้วทุกคนก็เรียนรู้จากละครแล้วทำตามบ้านเมืองคงสงบสุขไปแล้ว แต่ในชีวิตจริงมันไม่ใช่ พฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวงส่วนใหญ่ของเราได้มาจากกการเรียนรู้การอบรมจากครอบครัวโรงเรียนและสังคมรอบตัว  ละครทุกเรื่องที่เราได้ดูมีทั้งดีและร้าย การศึกษาอบรมที่เราได้รับจะทำให้เราแยกแยะว่าอะไรดีหรือไม่ดี ซึ่งแต่ละคนก็อาจมีมุมมองไม่เหมือนกันก็ได้  ยกตัวอย่างการ์ตูนโดเรม่อน ถ้าจะให้จัดเรตผมอาจจะให้จัดเรต น.13 ก็ได้ :) เพราะตัวละครอย่างไจแอนท์มีพฤติกรรมเป็นอันธพาลชอบใช้กำลังรังแกคน หรือซูเนโอะเป็นคนปลิ้นปล้อน แต่ถ้าเราดูไปจนจบเราก็จะพบสิ่งดี ๆ ที่อยู่ในตัวของคนทั้งสอง ซึ่งมีความรักเพื่อนถ้าเพื่อนตกอยู่ในอันตรายทั้งสองก็พร้อมที่จะไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่  สำหรับละครเรื่องดอกส้มสีทองอย่างที่บอกไปแล้วผมบอกแล้วว่าโดยภาพรวมเนื้อหาของละครเรื่องนี้ก็คือละครแย่งผัวแย่งเมียนั่นแหละ แต่มันมาปรับเนื้อหาให้เข้มข้นขึ้น จริง ๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากละครที่ฉายกันอยู่เต็มจอทุกวันนี้

สุดท้ายก็คือละครจบแล้วครับถ้าเราคิดว่าเราจะได้อะไรดี ๆ ไปใช้ในชีวิตได้ก็นำไปใช้ ถ้าคิดว่าไม่ได้อะไรก็ดูมันเป็นละครเรื่องหนึ่ง จบแล้วเราก็หาเรื่องอื่นที่เราชอบดูต่อไป

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ครึ่งคืนกับครึ่งวันกับการล็อกอินเน็ตทรู

สวัสดีครับวันนี้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการที่ต้องใช้บริการฝ่ายสนับสนุนเน็ตทรูมาเล่าให้ฟังกันครับ เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อคืนวันที่ 4 พ.ค. ขณะที่ผมนั่งดูเรยาอยู่อย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งต้องอ่านตัววิ่งคอยย้ำเตือนตัวเองให้รู้ว่าสิ่งที่เห็นในจอภาพคือการแสดงอยู่นั้น (ผมว่าคนชาติอื่นถ้าเขาอ่านภาษาไทยออกคงประหลาดใจนะครับว่าคนไทยไม่รู้หรือไงว่าที่อยู่ในทีวีคือการแสดง ถึงต้องมีตัววิ่งบอก) ลูกชายก็มาบอกให้ช่วยดูหน่อยว่าเน็ตเป็นอะไร ผมก็ขึ้นมาดูปรากฏว่าที่หน้าจอคอมพิวเตอร์มันขึ้นข้อความว่าชื่อล็อกอินผิดพลาด ถึงตรงนี้คงต้องเล่าให้ฟังก่อนว่าเมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปทำเรื่องย้ายอินเทอร์เน็ตจากเบอร์หนึ่งมาอีกเบอร์หนึ่ง ผมตัดสินใจไม่เอาเราต์เตอร์ที่ทรูจะให้ เพราะไม่อยากที่จะต้องผูกพันว่าจะต้องใช้ทรูไปอีกปีครึ่ง (จริง ๆ จะเอามาก็ได้ เพราะตอนนี้แถวบ้านผมมันแทบไม่มีตัวเลือกอื่น แต่รู้สึกว่าที่เราเตอร์ที่เรามีอยู่มันก็ดีอยู่แล้ว) ทรูก็ให้บัตรมาใบหนึ่งซึ่งต้องขูดเพื่อดูรหัส และบอกว่าประมาณ 4 วัน (นับจากวันที่ผมไปขอ) จึงจะใช้ได้ โดยทรูไม่คิดที่จะโทรมาหรือ SMS มาบอกเลยว่าใช้ได้แล้ว เอาเป็นว่าผมก็นับเอาว่า 4 วันแล้วก็ย้ายเราเตอร์มาต่อกับเบอร์ใหม่และก็ต่อเข้าไป ก็พบข้อความว่าให้ลงทะเบียนชื่อล็อกอินและรหัสผ่าน ขูดบัตรมาดูปรากฏว่าเป็นเลขอะไรไม่รู้ชุดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ล็อกอินและรหัสผ่าน ก็เลยโทรไปถามทาง call center ของทรูเบอร์ 1686 ได้รับคำชี้แจงว่า ไม่ต้องใช้รหัสผ่านอะไรแล้ว ตอนนี้ทรูจะเช็คจากเบอร์โทรศัพท์ ผมก็ถามว่าที่เราเตอร์ผมมีล็อกอินและรหัสผ่านของเบอร์เก่าอยู่ต้องไปลบทิ้งหรือทำอะไรไหม ทางทรูก็บอกว่าไม่ต้อง จากนั้นก็เซ็ตค่าให้ผมใช้อินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งผมก็ใช้ได้มาปกติจนถึงคืนวันที่ 4 พ.ค. อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นนั่นแหละครับ

เมื่อเกิดปัญหาผมก็โทรไปหา call center จากการโทรครั้งนี้ทำให้ผมได้รับทราบว่ามีคนที่มีปัญหาการใช้งานอินเทอร์เน็ตของทรูมากมาย เพราะมีข้อความบอกประมาณว่า "เนื่องจากมีลูกค้าแจ้งปัญหาการใช้บริการเข้ามาเป็นจำนวนมากดังนั้นท่านอาจต้องคอยนานหน่อย" ซึ่งผมก็คิดว่าสงสัยเน็ตทรูจะล่ม ลูกค้าที่โทรเข้าไปอาจเป็นอาการเดียวกับผม แต่ก็ตัดสินใจรอคุยดูให้รู้แน่ คิดว่ารออยู่สักประมาณเกือบสิบนาทีได้ครับ ก็มีพนักงานมารับสายผมก็แจ้งอาการให้ทราบ พนักงานก็เช็คให้และบอกว่ายังไม่เห็นมีการติดต่อเข้ามาในระบบ (ตอนนั้นผมเปิดเราเตอร์ไว้) อาจเป็นปัญหาที่เราเตอร์ของผม บอกว่าให้ผมเซ็ตค่าเราเตอร์ใหม่ พร้อมทั้งถามว่าผมจำชื่อล็อกอินและรหัสผ่านของทรูได้ไหม อ้าวไหนตอนเปิดใช้ก็บอกว่าไม่ต้องใช้แล้ว ตอนนี้จะมาถามอะไรถึงถามผมก็ไม่มีให้ แต่ก่อนที่ผมจะได้ตอบอะไรไปปรากฏว่าสายหลุดครับ ซึ่งผมก็คาดว่าเดี๋ยวเขาคงจะโทรกลับมา ก็เลยไปจัดเตรียมเครื่องและอุปกรณ์เพื่อเตรียมเซ็ตเราเตอร์ เตรียมอุปกรณ์เสร็จ ดูเรยาจบไปอีกตอนก็ไม่มีใครโทรมา ก็เลยโทรกลับไปอีกครั้ง เหมือนเดิมครับรอไปประมาณสิบนาที ก็มีพนักงานน่าจะอีกคนนะครับมารับเรื่องต่อให้ คนนี้ไม่ถามล็อกอินรหัสผ่านครับแต่จัดการเซ็ตให้เลย ให้ผมใส่ค่าไปตามที่เธอบอก ผมก็เลียบ ๆ เคียง ๆ ถามว่า "ไม่ต้องใช้แล้วไม่ใช่หรือครับ" เธอก็บอกว่าต้องใช้ (โอเคใช้ก็ใช้) เมื่อใส่เสร็จผมก็รีบูตเราเตอร์ปรากฏว่ายังมีอาการเดิมครับคือเข้าเน็ตไม่ได้ พนักงานก็บอกว่าแปลกตอนนี้ก็เห็นข้อมูลต่อเข้ามาแล้วนี่ ผมก็เลยลองเช็คสถานะเราเตอร์ดูก็ปรากฏว่าได้รับหมายเลข IP และ ค่า Gateway กับ DNS มาเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็บอกผมอีกว่าให้ลองเช็คค่า IP ของเครื่องดู (ขอให้ความรู้นิดหนึ่งครับตรงนี้จะเป็นการเช็คครับว่าตัวเราเตอร์จ่าย IP ให้กับเครื่องหรือไม่) ซึ่งผมก็เช็คดูก็ปรากฏว่าตัวเราเตอร์จ่าย IP ปกติดี สักครู่หนึ่งพนักงานก็บอกว่า "เอ๊ะทำไมดูเหมือนว่าล็อกอินจะหลุดไปอีกแล้ว สงสัยเราเตอร์ของคุณจะมีปัญหา" ผมก็งงว่าเกิดอะไรขึ้น (ตอนนั้นยังไม่รู้ แต่ตอนหลังมานั่งคิดดูสงสัยขาเก้าอี้ที่ผมนั่งมันอาจจะเลื่อนไปชนปลั๊กเราเตอร์ ทำให้ไฟมันดับไปแป๊บหนึ่ง) พนักงานก็ถามว่าผมมีเราเตอร์ตัวอื่นไหม จริง ๆ ตอนนั้นผมคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับเราเตอร์แต่จะให้ลองดูก็ได้ ผมก็บอกว่างั้นเดี๋ยวผมจะไปเอาเราเตอร์ที่ทรูให้มาตอนสมัครเบอร์เก่ามาลองเซ็ตดูตามค่าที่ให้มา แล้วถ้าไม่ได้ยังไงจะโทรกลับไปอีกทีหนึ่ง

หลังจากเซ็ตเราเตอร์เสร็จลองต่อใหม่ก็อาการเดิมครับ ถึงตอนนี้ผมมั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซนต์ว่าปัญหาอยู่ที่ระบบตรวจสอบผู้ใช้ของทรูนั่นแหละ เพราะทุกอย่างก็ได้รับมาถูกต้อง เราเตอร์ก็ทำงานปกติ ก็เลยตั้งใจว่าโทรไปคราวนี้จะขอให้ลองทำขั้นตอนแอ็กติเวตผู้ใช้ใหม่อีกครั้ง โทรไปรอประมาณสิบนาทีเหมือนเดิม ก็ได้พูดกับพนักงาน(น่าจะ) อีกคนหนึ่ง ก็แจ้งอาการให้ทราบ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร เธอก็บอกประมาณว่าผมโทรมาหลายครั้งแล้วด้วยอาการเดิม สงสัยอาจเป็นปัญหาที่ชุมสายหรือที่บ้านยังไงให้ทิ้งเรื่องไว้แล้วจะให้ช่างไปดูให้ภายใน 24 ชั่วโมง ผมก็เลยชวนคุยเกริ่นนำไปว่าก่อนหน้านั้นไม่นานก็ยังปกติดีอยู่เลยไม่น่าจะเกี่ยวกับชุมสายนะ แต่คำตอบที่ผมได้รับทำให้ผมตัดสินใจที่จะไม่เดินเรื่องต่อในคืนนั้นครับ เพราะเธอพูดประมาณว่าตอนกลางคืนมีความชื้นสูงกว่าตอนกลางวันอาจทำให้มีปัญหาได้ บอกตามตรงผมไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำชี้แจงแบบนี้ นี่ระบบของทรูอ่อนไหวขนาดนี้เลยหรือครับ อย่างนี้
ถ้าฝนตกก็คงไม่ต้องใช้กันเลยสิ ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นคำตอบที่เธอได้รับการอบรมมา เธอเข้าใจอย่างนั้นจริง ๆ หรือเธอคิดว่าผมนี่อาจจะเซ็ตอะไรไม่เป็นก็เลยพูดปัด ๆ ไปผมจะได้รอช่าง เอาเป็นว่าผมก็ตัดสินใจว่าเดี๋ยวตอนเช้าค่อยโทรใหม่ อาจจะได้พูดกับเจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่แก้ปัญหาได้เก่งกว่านี้ อีกอย่างหนึ่งตอนนั้น ดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืนข้ามคืนนี้ก็เป็นเวลาของปีใหม่ เอ๊ยไม่ใช่ ลูก ๆ ก็หลับหมดแล้ว ส่วนผมถ้าอยากใช้เน็ตจริง ๆ ก็ยังมีช่องทางอื่น แล้วผมก็เข้านอนครับ

แต่สรุปว่าผมไม่ได้โทรหา call center หรอกครับในวันรุ่งขึ้น เพราะทางฝ่ายช่างของทรูต้องขอชมว่าทำงานเร็วมาก เพราะโทรมาปลุกผมตั้งแต่ 8.00 น. ถามว่าใช้เน็ตได้หรือยังผมก็ไปเช็คดูปรากฏว่ายังไม่ได้ เขาก็บอกว่างั้นอีก 15 นาทีถึงบ้านผม เมื่อมาถึงเขาก็มาเช็คเราเตอร์ต่าง ๆ ตามที่ผมเซ็ตไว้เมื่อวาน ก็ปรากฏว่าทุกอย่างถูกต้อง และเขาก็สรุปตรงกับผมว่าปัญหาน่าจะอยูที่ระบบล็อกอินนั่นแหละ และเขาจะโทรไปให้ทางทรูจัดการเรื่องนี้  ผมก็สบายใจแล้วช่างมายืนยันเองว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ฮาร์ดแวร์หรือการตั้งค่าไม่ถูก และผมก็ไม่ต้องโทรเข้า call center เอง เพราะตอนกลางวันนี่ไม่รู้ต้องรอกี่นาที แต่แล้วช่างก็ทำให้ผมประหลาดใจครับ คือเขาใช้โทรศัพท์ของเขาโทรเข้า call center แล้วก็รอสายเหมือนลูกค้าทั่วไป ผมก็ถามว่านี่ทรูไม่มีเบอร์พิเศษสำหรับช่างหรือเขาบอกว่าไม่มี ต้องบอกว่าตอนกลางวันรอนานกว่ากลางคืนมากครับ และปัญหาคือเมื่อรอไปพักหนึ่ง ประมาณเกือบ 20 นาทีได้สายก็หลุดครับ หลุดก็โทรใหม่เป็นอย่างนี้ไปสองสามครั้งก็ล่อไปเกือบชั่วโมงแล้วครับ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดช่างก็โทรไปขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าของเขาเพื่อขอเบอร์ตรงของวิศวกรที่ดูแลเรื่องนี้ และก็ขอให้จัดการเรื่องรหัสผ่านให้ใหม่ ซึ่งก็ได้ผลครับเรียบร้อยผมใช้เน็ตได้เหมือนเดิมหลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน

นี่แหละครับประสบการณ์ที่ได้รับ ซึ่งต้องบอกว่าเป็นครั้งแรก (และขอให้เป็นครั้งสุดท้าย) ครับที่มีปัญหาอินเทอร์เน็ตหลังจากใช้งานทรูมาได้หลายปีแล้ว ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียนะครับ และก็ได้เข้าใจแล้วว่าทำไมคนเขาถึงได้ต่อว่าต่อขานเรื่องบริการหลังการขายของทรูกันนัก หวังว่าผมคงไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกนะครับ หมดไปครึ่งวันกับครึ่งคืนแค่ไอ้เรื่องล็อกอิน ซึ่งตอนนี้ผมก็ยังงอยู่นะครับว่าตอนแรกก็ไม่ต้องใช้แล้วทำไมตอนหลังถึงกลับมาต้องใช้อีกจะเอายังไงกันแน่ ปวดหัวยิ่งกว่าดูเรยาหันมาไล่จับคุณเล็กอีก

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรยา ในมุมมองของผม

สวัสดีครับ ไม่ได้เขียนบล็อกนี้มาเสียนาน จริง ๆ ก็มีหลายเรื่องที่อยากจะเขียนถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เรื่องการทำงานของรัฐบาลหรือการยุบสภา แต่ก็ไม่คิดอยากจะเขียนเพราะมันค่อนข้างจะเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ซึ่งผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะได้เคยพูดไปแล้วบ้างในบล็อก เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม เอาไว้ถ้ารู้สึกอึดอัดคับข้องมากกว่านี้ก็อาจจะมาเขียนระบายให้ฟังเพิ่มเติมอีก แต่ตอนนี้ขอรอไปลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ก็แล้วกัน (หวังว่าจะมีการเลือกตั้งนะ ถ้าใครทำให้มันไม่มีขอให้มีอันเป็นไปไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด)

เรื่องที่อยากเขียนในวันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะฮอตฮิตที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือเรื่องละครดอกส้มสีทอง โดยเฉพาะตัวละครเรยา ต้องบอกว่าละครเรื่องนี้เป็นละครที่ผมค่อนข้างจะติดตามมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เพราะความเข้มข้นของเนื้อหา และผู้แสดงเกือบทุกคนแสดงได้สมบทบาทมาก และอาจจะเพราะความสมบทบาทนี้ทำให้เกิดกระแสที่พูดถึงละครเรื่องนี้อย่างมากมายทั้งทางที่ดีและไม่ดี ผมก็เลยอยากจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้าง เน้นนะครับว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัว และผมไม่ได้คิดว่าคนที่คิดตรงข้ามกับผมจะเป็นฝ่ายที่ผิด สังคมที่ดีควรจะมีความคิดเห็นที่หลากหลายแตกต่างและนำมาแลกเปลี่ยนกันอย่างสร้างสรรค์ เราควรจะคิดต่างและอยู่ร่วมกันได้ อย่าให้เหมือนการเมืองซึ่งตอนนี้ถ้าใครคิดไม่เหมือนฉันนั่นคือศัตรูที่จะต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง  อ้าวว่าจะไม่พูดถึงการเมืองไหงลากเข้าไปจนได้ มาเข้าเรื่องดีกว่า

ในส่วนตัวผมบอกได้เลยว่าผมไม่เห็นด้วยเลยกับเสียงที่ออกมาให้แบนละครเรื่องดังกล่าวหรือจะไปตัดฉากที่เป็นการแสดงออกที่ไม่ดีของเรยาออกไป แต่ก็มีฉากอย่างเลิฟซีนบางฉากก็มากเกินไปเหมือนกัน ซึ่งผมว่าฉากแบบนี้อาจทำให้เบาลงพอที่ผู้ชมเข้าใจก็น่าจะพอแล้ว นอกจากฉากเลิฟซีนที่กล่าวถึงไปแล้วผมว่าโดยภาพรวมเนื้อหาถึงจะแรงแต่มันก็มีเหตุผลของมันอยู่ และเราต้องยอมรับว่าในสังคมของเราคนอย่างเรยาอาจจะมีอยู่จริง รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงทางช่องสามที่ผมได้ดูเมื่อเช้านี้ก็ได้นำบทสัมภาษณ์จากหนังสือพิมพ์มติชน (ถ้าจำไม่ผิด) ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยทำตัวเหมือนเรยามาเล่าให้ฟัง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้ แต่เราต้องยอมรับกันว่าสังคมทุกสังคมมีด้านมืดอยู่มีคนไม่ดีปะปนอยู่ในสังคมของเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าลูกหลานเราหรือแม้แต่ตัวเราจะไปเจอะเจอคนแบบนี้เมื่อไร ดังนั้นเมื่อมีละครนำมานำเสนอเราก็น่าจะนำมาคิดและวิเคราะห์ และก็หยิบยกมาคุยกับลูกหลานว่าถ้าเราเจอคนแบบนี้เราควรจะทำอย่างไร และเราก็สามารถชี้ให้เห็นตัวอย่างจริง ๆ ของการทำตัวไม่ดีให้กับลูกหลานเราได้เห็นได้ ซึ่งผมได้ใช้มาแล้วกับลูกชายของผมเอง ลูกผมเขาไม่ได้ติดตามละครเรื่องนี้นะครับเพราะเขายังเด็กและเนื้อหามันค่อนข้างหนักสำหรับเขา แต่มีวันหนึ่งเขาเดินผ่านทีวีมาเห็นฉากที่เรยากำลังพูดจาระเบิดอารมณ์ใส่แม่ของตัวเอง ซึ่งเขาดูแล้วเขาก็รู้โดยผมไม่ต้องสอนเลยว่ามันไม่ดี เพราะเขาถามว่าทำไมเรยาพูดกับแม่อย่างนั้น ผมก็เลยได้โอกาสสอนเขาไปว่าเวลาเขาโมโหเขาก็ลืมตัว และบางทีก็พูดจาไม่ดีกับแม่ของเขาเหมือนกัน ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนเรยาก็ให้ระวังตัวเองด้วย  

ส่วนที่มีคนออกมาบอกว่าถ้าปล่อยให้เด็กหรือเยาวชนดูละครเรื่องนี้แล้วจะนำไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีเหมือนที่เรยาทำ ผมคิดว่าเราอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่นะครับ ทำไมเราถึงคิดว่าละครเรื่องเดียวจะทำให้ลูกหลานที่เราเลี้ยงมาอย่างดีเป็นปี ๆ กลายเป็นคนไม่ดีไปได้ ผมว่าเด็กจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไรมันมาจากการอบรมเลี้ยงดูจากทางบ้านและโรงเรียนมากกว่า ถ้าเราสั่งสอนลูกหลานกันมาดีเด็กที่เห็นเรยาทำตัวไม่ดีกับแม่ ก็อาจจะถามเหมือนกับที่ลูกผมถามว่าทำไมเรยาทำกับแม่แบบนั้น  ผมมองว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่ยอมให้ลูกตัวเล็ก ๆ ไปเต้นท่ายั่วยวนบนหลังคารถจากข่าวที่เห็นในช่วงสงกรานต์ ผมว่าอันนั้นน่ากลัวกว่านะครับ การที่เรามีความคิดแบบปิดกั้นนี้ไงครับ ทำให้เราคิดวิธีการป้องกันอะไรแบบประหลาด ๆ เช่นฉากเบลอขวดเหล้าหรือบุหรี่ในละคร หรือหนักกว่านั้นไปเบลอป้ายโฆษณาบุหรี่หรือเหล้าที่อยู่ในสนามกีฬาจนดูไม่รู้เรื่อง

มีคำกล่าวว่าดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ละครหลายเรื่องเป็นละครเบา ๆ สนุกสนานดูได้อย่างมีความสุขทั้งครอบครัว บางเรื่องก็มีแต่เรื่องความฟุ้งเฟ้อ บางเรื่องตื่นเต้นสืบสวนหรือบู๊ดุเดือดเลือดพล่าน หรือบางเรื่องก็หนักสะท้อนสังคม ดังนั้นละครนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้วก็อาจให้ข้อคิดในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ อย่างละครเรื่องดอกส้มสีทองนี้ ผมมองว่ามันได้สะท้อนด้านมืดของสังคม ซึ่งแทนที่จะเราจะปิดกั้นลูกหลานของเราโดยไม่ให้เขารับรู้ว่าในสังคมมีสิ่งนี้อยู่ แล้วปล่อยให้เขาไปเผชิญกับสิ่งนี้โดยเขาอาจไม่มีภูมิคุ้มกันอยู่เลย ทำไมเราไม่นำสิ่งละครนำเสนออกมานำมาสอนให้เขาระมัดระวังในการใช้ชีวิต และถ้าใครได้ติดตามดูละครเรื่องนี้มาโดยตลอดจะพบว่าเรยาไม่เคยมีความสุขที่ยั่งยืนจากการกระทำของตัวเองเลย และในตอนจบเท่าที่ทราบมาก็จะมีบทสรุปว่าผลที่เรยาจะได้รับจากการกระทำนี้คืออะไร หลายคนให้ความเห็นว่าแหมเลวมาตั้งนานมาสรุปแค่ตรงท้ายเรื่องว่าผลกรรมเป็นอย่างไรมันน้อยไป แต่ผมถามจริง ๆ เถอะครับ ละครหรือหนังส่วนใหญ่มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ ที่ตัวร้ายก็กลั่นแกล้งพระเอกหรือนางเอกมาค่อนเรื่องแล้วก็มาแพ้หรือตายตอนเรื่องจบ ดังนั้นผมว่านี่มันก็คือละครธรรมดาเรื่องหนึ่ง

สำหรับบทสรุปของการแก้ปัญหาของละครเรื่องนี้เมื่อสักครู่ที่ดูจากข่าวช่องสามก็คือ จะมีการขึ้นข้อความว่าเป็นการแสดง และอาจมีการตัดฉากบางฉากซึ่งไม่เหมาะสมออก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นฉากอะไรเหมือนกันนะครับ ก็อาจจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้วก็ได้ครับ...