แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศรัณย์วันศุกร์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ศรัณย์วันศุกร์ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2568

เมื่อเด็กไร้เดียงสาคุยกับลุง (อา) สามานย์

niece-talks-to-evil-uncle
ภาพโดย ChatGPT

#ศรัณย์วันศุกร์ วันนี้ คงต้องขอคุยเรื่องที่น่าจะฮอตที่สุดประจำสัปดาห์นี้นะครับ ก็คือเรื่องคลิปเสียงของนายกของไทยที่คุยกับผู้นำสูงสุดตัวจริงของกัมพูชาไอ้ฮุนเซ็น ขอใช้สรรพนามว่าไอ้แล้วกันนะครับ เพราะก็ไม่เคยนับถือมันอยู่แล้ว ยิ่งมีเหตุการณ์แบบนี้ ยิ่งสะท้อนว่าคนแบบมันคบไม่ได้ 

เวลามีปัญหาในประเทศมัน มันเอาเรื่องประเทศมาเล่น เราตกเป็นเหยื่อมันมาตั้งแต่ยุคที่มีการกล่าวหาว่ากบ สุวนันท์ ว่าไปให้สัมภาษณ์ด่าประเทศมัน มันทำเรื่องขึ้นมาเพราะตอนนั้นคะแนนนิยมในตัวมันตกมาก สองประเทศแทบลุกเป็นไฟ เกือบเกิดสงครามกัน มันก็ไม่สน เพราะที่สุดคะแนนนิยมก็กลับมาที่ตัวมัน ตอนนี้ในประเทศมัน ลูกชายมันก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับมันในตอนนั้น มันจึงหยิบยกเรื่องชายแดนขึ้นมาเป็นประเด็นอีก

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เกิดจากการรับมือของฝั่งเรา ที่ดูจะตัดสินใจช้า และเป็นฝ่ายตั้งรับตลอด โดยนายกของเรานี่นอกจากเป็นผู้ไร้ประสบการณ์แล้ว ยังไร้เดียงสาจนคิดว่าความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครอบครัวตัวเองกับของไอ้ฮุนเซน จะทำให้เจรจากันได้ ซึ่งตรงนี้ไม่เข้าใจว่าคนรอบตัวนายกที่มีประสบการณ์มากกว่า ได้พูดให้ฟังไหม หรือพูดให้ฟังแล้วแต่นายกไม่เชื่อ หรือพ่อตัวเองก็บริฟมาว่าคุยกับไอ้ลุง (อา) สามานย์นี้ได้ อันนี้ไม่รู้จริง ๆ นะ

เมื่อรัฐบาลโต้ตอบช้า กองทัพโดยแม่ทัพภาคก็เลยต้องโต้ตอบก่อน อันนี้พอเข้าใจได้ แต่ส่วนตัวก็มองว่าบางทีการโต้ตอบโดยไม่ผ่านกลไกรัฐบาล มันก็ทำให้ไอ้คนเฮงซวยอย่างฮุนเซ็น มันเอาไปเป็นประเด็นปลุกปั่นยุยงได้ แต่ก็เข้าใจอีกแหละว่า มันไม่มีตัวกลางที่ประสานได้ระหว่างกองทัพและรัฐบาล อย่างรัฐมนตรีกลาโหมก็ไปเอา ภูมิธรรม มานั่ง ซึ่งไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เอาจริง ๆ สุทิน ยังดูดีกว่า นี่คือปัญหาของการมองแต่การเมือง แล้วยิ่งได้นายกที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความพร้อม ยิ่งไปกันใหญ่ 

แต่ตอนหลังพอทางฝั่งเราเริ่มปรับตัวได้ รัฐบาลกับกองทัพเริ่มไปทางเดียวกัน มีการปิดด่านที่เป็นหัวใจของไอ้ฮุนเซนมันก็คือเรื่องกาสิโน และรัฐบาลยังไปทางเดียวกับกองทัพอีก มันก็เดือดร้อนตีโพยตีพาย อาละวาดฟาดงวงฟาดงา ไม่สนใจอะไรแล้วปล่อยคลิปออกมา ซึ่งจะเห็นว่ามันไม่สนใจแล้ว ลุง (อา) หลาน อะไร แล้วยังเอาไปประโคมได้อีกว่าเรื่องความสัมพันธ์เป็นเรื่องรอง เรื่องประเทศสำคัญกว่า โกยคะแนนไปอีก ในขณะที่นายกไทยต้องมาเคลียร์กับประชาชนตัวเอง เคลี่ยร์กับกองทัพ เรามีแต่เสียกับเสีย แต่นอกจากความเลวของไอ้ฮุนเซนแล้ว ก็ต้องบอกว่าเพราะความไร้เดียงสาของนายกเราด้วย

คือในส่วนตัวมองว่าการคุยกันโดยใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวมันทำได้ และก็เข้าใจได้ว่าไม่คิดว่ากำลังคุยกันกับคนสามานย์ที่ตัวเองหลงนับถือ แอบอัดเสียงแล้วเอามาใช้ประโยชน์ส่วนตัว แต่วิธีการพูดจาที่ใช้นี่ มันไม่เหมาะสมไง คือไม่ว่าจะมีคลิปหรือไม่ มันก็ไม่ควรพูดแบบนี้ 

ประการแรก ถ้าเข้าใจสถานการณ์ว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดสงครามหรอก โดยเฉพาะฝั่งกัมพูชามันไม่อยากรบกับเราหรอก เพราะมันรู้ว่ามันสู้กำลังรบเราไม่ได้ แล้วถ้าปิดด่านกันจริง ๆ คนที่เดือดร้อนหนักกว่าคือกัมพูชา ถ้าเข้าใจประเด็นนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปพูดอ่อนน้อมแบบนั้น เราไม่มีความจำเป็นต้องไปง้อมันนะ แล้วมันก็เอาอันนี้ไปใช้ประโยชน์บอกไทยกลัวมัน  

ประการสอง การไปบอกว่าแม่ทัพภาคเป็นฝั่งตรงข้าม ในบริบทจะให้เข้าใจว่าไง พยายามมองในแง่ดีที่สุดแล้วกันว่า แม่ทัพภาคเป็นฝั่งตรงข้ามกับไอ้ฮุนเซน แต่ก็นั่นแหละมันก็ต้องมีคำถามนะว่านายกอยู่ฝั่งไหนถ้างั้น 

แต่ประโยคต่อมาบอกว่าเขาพูดจาเอาเท่ ไม่เกิดประโยชน์ เฮ้ยอันนี้มันไม่ได้นะ มันแสดงถึงความที่ส่วนตัวไม่ชอบกองทัพอยู่แล้ว เพราะยึดอำนาจทั้งพ่อ ทั้งอาหญิง แต่ตอนนี้ไม่ว่าคุณจะคุยในนามส่วนตัวหรืออะไร คุณเป็นนายกของประเทศ คุณไม่สามารถด่าผู้นำกองทัพที่ทำหน้าที่ของตัวเองแบบนี้ได้ ไม่ว่าคุณจะชอบกองทัพหรือไม่ก็ตาม แล้วไอ้ฮุนเซนมันก็เอาไปใช้ประโยชน์อีก โพสต์บอกประชาชนมันว่า ที่ด่านปิดประชาชนของมันเดือดร้อน เป็นเพราะไทยไม่สามารถคุมกองทัพได้ ไม่เหมือนมันที่คุมกองทัพได้ (จริง ๆ คุมได้หรือเปล่าไม่รู้นะ ได้ข่าวว่ากองทัพมันก็เริ่มจะไม่พอใจมันเหมือนกัน) แต่เอาเถอะเราไม่ควรเห็นด้วยกับการที่ทหารออกมายึดอำนาจนะ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน 

เอาจริง ๆ ก่อนมาเป็นนายก ก็มีกิจการเป็นของตัวเอง ก็น่าจะรู้นะว่ามันควรไหมที่จะไปด่าผู้จัดการบริษัทตัวเองที่กำลังพยายามรักษาผลประโยชน์บริษัท แต่ทำให้บริษัทคู่แข่งที่ตัวเองอยากจะเจรจาด้วยไม่พอใจให้เขาฟัง ถ้าเรื่องมันหลุดออกมา นอกจากอาจจะทำให้ผู้จัดการบริษัทตัวเองรู้สึกไม่ดีแล้ว ไอ้บริษัทคู่แข่งนี่เขาจะคิดว่าตัวเองเป็นคนยังไง นอกจากนี้ ลูกน้องอื่น ๆ ในบริษัทแน่นอนว่าต้องขาดความไว้ใจ เฮ้ยเขาจะเอาเราไปด่าประจาน เมื่อไรก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ เรากำลังทำเพื่อบริษัท 

ประการสาม ที่บอกว่าอยากได้อะไรให้บอก อันนี้มันสุ่มเสี่ยงต่อการตีความมาก ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าเขาจะขายชาติอะไร เหมือนพวกเกลียดทักษิณเข้าไส้พยายามจะโยงไปให้ได้ เผื่อจะจุดไฟประท้วงติด เอาประชาชนลงมาบนถนน ให้ทหารออกมาอีก บอกเลยนะ ถ้าทำแบบนี้เข้าทางไอ้ฮุนเซนมันเลย  ส่วนตัวพยายามเข้าใจว่าต้องการจะบอกว่า ไม่พอใจอะไรก็ให้โทรมาบอก โทรมาคุยกัน อย่าไปโพสต์ ถ้าพูดแบบนี้มันจะชัดเจนกว่า 

ประการที่สี่ อันนี้ฝั่งด่า ฝั่งเกลียดไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือ นายกไม่ได้ยอมเปิดด่านฝ่ายเดียวนะ แต่พยายามยืนยันว่าให้ทั้งสองฝ่ายแถลงร่วมกัน อันนี้ดี และก็ยังทิ้งท้ายว่า (คือไอ้ฮุนเซนมันไม่ยอมแถลง เพราะมันจะเอาแต่ได้ของมันฝ่ายเดียว) ขอไปคุยกับกลาโหมก่อน คือไม่ได้รับปากอะไรมัน ซึ่งก็โอเค เป็นการจบการเจรจาที่ดี แต่ถ้าจะดีกว่านี้คือ น่าจะถามไอ้ฮุนเซนไปด้วยเลยว่า แล้วจะไปยื่นศาลโลกทำไม กลับมาใช้กลไก JBC เหมือนเดิม แล้วก็เปิดด่านกันตามปกติ 

ที่ประชาชนคนไทยหลายคน โดยเฉพาะพวกที่เกลียดตระกูลชินวัตรสุดขีด ตีความไปว่าไปยอมทุกอย่างจะยกดินแดนให้มันก็ได้ อันนี้ก็เวอร์เกินไป คิดว่าพวกเกลียดจะยกเอามาเป็นข้ออ้างลงถนนมากกว่า ส่วนตัวตีความการติดต่อครั้งนี้แค่ว่า ยอมมันมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่สถานการณ์ไม่ว่าจะรบกัน หรือเลิกค้าขายกัน คนที่เสียมากกว่าคือกัมพูชา ถ้านายก เข้าใจสถานการณ์นี้ และเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวออกไปสักนิด ไม่น่าจะไปพูดแบบนี้ 

คราวนี้เมื่อพูดไปแล้ว คลิปออกมาแล้ว ควรทำยังไง ถ้าเป็นประเทศที่ผู้นำมีความรับผิดชอบสูง เขาคงลาออก เพื่อรับผิดชอบ หรือไม่ก็ยุบสภาเพื่อให้ประชาชนตัดสินว่า นายกพูดไปในแนวทางนี้พวกคุณยังสนับสนุนให้นายกทำหน้าที่ต่อไปไหม ซึ่งจริง ๆ เป็นวิธีที่จะวัดว่าที่ตัวเองทำนี่ประชาชนส่วนใหญ่จริง ๆ  เห็นว่ายังไง เพราะประชาชนไม่ได้มีแต่ด่าอย่างเดียว แต่ก็มีบางส่วนเห็นว่าทำดีแล้ว เพื่อสันติภาพ เลือกตั้งวัดกันไปเลย ถ้าได้กลับเข้ามาเป็นายกอีก คราวนี้ก็จะมั่นใจได้มากขึ้นว่าสิ่งที่ตัวเองทำประชาชนสนับสนุน พวกที่ด่านี่คือพวกที่เกลียดตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อะไรแบบนี้ 

แต่อดคิดไม่ได้นะ ว่าเรื่องราวนี้เบื้องหลังมันมีอะไรซับซ้อนกว่านี้หรือเปล่า เพราะพรรคภูมิใจไทย กำลังจะถูกยึดกระทรวงมหาดไทยคืน ซึ่งเขาไม่ยอม และจะถอนตัวอยู่แล้ว เพราะเกิดเรื่องคลิปนี่ ถ้าเป็นฟุตบอลก็คือมีคนแอสซิสต์ลูกสวย ๆ มาให้ยิงประตูเลย รีบแถลงการณ์เลย บอกว่าอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว เพราะไม่รักษาอธิปไตยของชาติ ได้ใจคนเกลียดทักษิณ แต่ไม่ตามข่าวการเมืองไปเต็ม ๆ  

แต่ถึงตอนนี้คิดว่านายกก็คงทั้งไม่ลาออก และยุบสภา ถ้ามองในมุมมองที่ว่า แผนที่ไอ้ฮุนเซนมันจะปั่นไทย ก็ยังไม่สำเร็จร้อยเปอร์เซนต์ ก็โอเคนะ แต่ก็ไม่ควรอยู่นาน ถ้าผ่านงบประมาณได้ ก็ยุบสภาเถอะ 

แต่ก่อนจะยุบสภา หรือจะลากอยู่ยาวก็ตาม ควรจะตอบโต้ไอ้ฮุนเซ็น โดยใช้วิธีทางการทูต ลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชา เรียกทูตไทยกลับ เหลือแต่อุปทูต ถ้ามันยังจะทำท่าทีไม่ดีต่อ ก็ปิดสถานทูต ปิดด่านเน้นตรงที่เป็นหัวใจของมัน ทำเรื่องปราบปรามแกงค์คอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง คือทำให้กระทบกับไอ้ฮุนเซนมากที่สุด น่าเศร้าใจแทนคนกัมพูชานะประเทศต้องมีผู้นำแบบไหนถึงมีรายได้หลักจากแกงค์คอลเซ็นเตอร์ หวังว่าไทยจะไม่ตกต่ำลงไปถึงจุดนี้นะ เพราะอยู่กับนายกทหารที่ยึดอำนาจมาเกือบสิบปี ซึ่งก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร พอมาได้เลือกตั้งก็ถูกมรดกจากการยึดอำนาจ คนที่พร้อมก็ไม่ได้เป็น สุดท้ายได้นายกแบบคนปัจจุบันนี้มา เศร้าใจจริง ๆ ...

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2568

คุยกันเรื่องยานอนหลับในมุมมองของคนที่เกือบต้องติดยานอนหลับ

#ศรัณย์วันศุกร์วันนี้ ขอมาคุยเรื่องยานอนหลับครับ จริง ๆ ผมว่าจะเขียนเรื่องนี้อยู่นานแล้ว เพราะตัวเองมีประสบการณ์ที่ต้องใช้ยานอนหลับ จนน่าจะเกือบติด หรือติดไปแล้วก็ไม่รู้ แล้วพอดีช่วงนี้ก็มีข่าวหมอชือดังรพ.ตำรวจ มีการสั่งซื้อยานอนหลับตัวหนึ่งแล้วอาจจะแอบเอามาขายอย่างไม่ถูกต้อง ขอใช้คำว่าอาจไว้ก่อนนะครับ เพราะคดียังไม่สิ้นสุด 

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนสำหรับผู้ที่อาจยังไม่ทราบนะครับว่า ไอ้ทีเราเรียกว่ายานอนหลับที่รู้จักกันนี่ ส่วนใหญ่มันเป็นยาที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อรักษาคนป่วยที่มีภาวะทางจิต อย่างซึมเศร้า วิตกกังวล หรือโรคตื่นตระหนก (pannic) เป็นต้น แต่ผลของยาอย่างหนึ่งก็คือมันช่วยให้เรานอนหลับได้ คอนเซปต์ง่าย ๆ ก็คือเราจะนอนหลับได้ เราก็ต้องผ่อนคลายก่อนถูกไหมครับ ยาพวกนี้มันจะช่วยให้ผ่อนคลาย แล้วก็นำไปสู่การนอนหลับ ดังนั้นมันจึงถูกนำมาใช้ช่วยในการรักษาคนที่มีอาการนอนไม่หลับ ซึ่งผมเพิ่งรู้ว่ามีคนป่วยเป็นโรคนี้กันเยอะมาก จากช่วงที่ตัวเองมีปัญหาการนอนหลับมาก ๆ นี่แหละครับ เพราะค้นหาข้อมูลเรื่องนี้เยอะ 

จากการค้นคว้าของตัวเอง ก็ทำให้ได้ไปเจอช่อง Youtube ของคุณหมอธนีย์ (Dr. Tany) ซึ่งให้ความรู้เกี่ยวกับยานอนหลับในกลุ่มที่มักจะถูกนำมาใช้กัน ซึ่งยานอนหลับในกลุ่มนี้ปัญหาอันหนึ่งของมันก็คือ ถ้าเราใช้มันเป็นหลักต่อเนื่องกันเพื่อช่วยให้เรานอนหลับ โดยไม่คิดจะหาต้นตอสาเหตุของปัญหา มันจะติดได้ง่ายมาก คือถ้าไม่กินก็นอนไม่หลับ และอาจจะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนี้ถ้ากินไปนาน ๆ ก็จะมีผลกระทบกับสมองด้วย  ถ้าอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ก็ดูวีดีโอของคุณหมอได้เลยครับ 



ยาที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ ก็อยู่ในกลุ่มยาที่คุณหมอพูดถึงด้วยนะครับ และคุณหมอได้มีคลิปเร็ว ๆ นี้ เกี่ยวกับข่าวแพทย์หญิงรพ.ตำรวจด้วยนะครับ ถ้าสนใจก็เข้าไปดูกันได้ 



พวกยานอนหลับเหล่านี้จะต้องถูกสั่งโดยแพทย์นะครับ หรือบางตัวอาจจะสั่งโดยเภสัชกรได้ เราจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปหาซื้อเองตามชอบไม่ได้นะครับ ผิดกฎหมาย  โดยหมอ หรือเภสัชกรที่มีความรับผิดชอบ จะเตือนเราก่อนเสมอนะครับว่าให้กินเท่าที่จำเป็นจริง ๆ คือถ้าพอจะนอนหลับได้เอง ก็พยายามนอนไปก่อน และหมอจะสั่งปริมาณไม่เยอะนะครับ ประมาณ 10 เม็ด อะไรแบบนี้ คือให้เราไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน ถ้า 10 เม็ดยังไม่หาย ก็ต้องมารักษา หาสาเหตุกันจริง ๆ จัง ๆ แล้ว 

คราวนี้มาดูกันครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ทำไมผมถึงต้องมากินยานอนหลับ ต้องบอกว่าปี 2025 นี้เป็นปีที่ไม่ดีของผมเลย ด้านสุขภาพ คือผมมีอาการไอมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว พอเริ่มต้นปีมามันก็ยังไออยู่ และหลังปีใหม่ไม่กี่วัน ผมมีอาการแน่นท้อง ชนิดที่ว่าล้มตัวลงนอนไม่ได้เลย เลยต้องเข้ารพ. ซึ่งผลจากการเข้าโรงพยาบาล เป็นอะไรมากกว่าที่ผมคาดไว้ครับ คือหนึ่งผมมีอาการปอดอักเสบ สองจากการทำ CT Scan พบนิ่วในถุงน้ำดี และอาการจุกเสียดแน่นท้องนี้อาจมาจากนิ่วนี่แหละ 

แต่ผมจะยังผ่านิ่วไม่ได้ ถ้าไม่รักษาอาการไอ อาการปอดอักเสบให้หายก่อน  ผมต้องกินยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาปอดอักเสบนี่เป็นเวลาสองเดือนครับ ปัญหาที่เกิดกับผมก็คือ ด้วยอาการปวดแน่นท้องที่เกิดเป็นช่วง ๆ นี่ มันทำให้ผมเรียกว่ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ แล้วยังมีอาการไอมารบกวน กลางคืนนอนไม่หลับ พอเช้าตื่นขึ้นมา ยังมีอาการแน่นท้องคลื่นไส้อีก เรียกว่าทรมานมาก 

ก็กลับไปหาคุณหมอที่รักษานิ่ว ซึ่งคุณหมอก็ยังยืนยันว่าผ่าไม่ได้ เพราะถ้าผ่า แล้วปอดผมไม่ปกติ มันมีความเสี่ยงมาก และคุณหมอมองว่าเคสของผมมันยังรอได้ไม่ต้องรีบผ่า ก็ให้ยาแก้คลื่นไส้อีกตัวมาแทน และพอผมปรึกษาว่าผมนอนไม่ได้ คุณหมอก็สั่งยากลุ่มยานอนหลับตัวหนึ่งมา 10 เม็ด และก็บอกว่าให้กินเท่าที่จำเป็นนะ  

กลับมาบ้านกินเข้าไปหนึ่งเม็ด หลับสบายมากในรอบหลายวันครับ รู้สึกดีใจ และตื่นมาด้วยความสดใสที่เราได้หลับเต็มที่ อาการปวดแน่นท้องมันมันก็ดูดีขึ้นในตอนเช้า แต่พอตกบ่ายมันก็กลับมาอีกนะครับ แต่ก็ยังดีคือมีช่วงดี ๆ ให้พัก ให้ได้ทำงานแบบไม่ทรมานบ้าง  

ตอนนั้นผมยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับยานอนหลับเลยนะครับ แต่ด้วยความที่ตัวเองเป็นอาจารย์ ก็เลยอยากค้นดูสักหน่อยว่ายาที่เรากินเข้าไปมันคืออะไร และมันทำงานยังไง ก็เจอข้อมูลเยอะมาก และที่ชัดเจนที่สุดก็คือของคุณหมอธนีย์ ก็เลยรู้ว่าคุณหมอที่รักษานิ่ว ได้พยายามสั่งยาตัวที่น่าจะเบาที่สุดแล้ว และโดสน้อยที่สุดแล้ว แต่ถ้ากินไปเยอะ ๆ มันก็ติดอยู่ดี 

คืนถัดมาผมก็เลยลองไม่กินดู ปรากฎว่านอนไม่ได้เหมือนเดิม คืออาการไอ อาการแน่นท้องนี่มันยังอยู่ คืออย่างที่บอกไปแล้วนะครับ ยากลุ่มนี้มันทำให้เราผ่อนคลาย ผมวิเคราะห์ว่า อาการของผมมันน่าจะเกิดจากการที่อวัยวะในช่องท้องของผมนี่ มันน่าจะมีอาการบีบเกร็ง จนทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง ประกอบกับการไอด้วย   ซึ่งยาที่กินเข้าไป มันน่าจะทำให้อวัยวะของเราไม่บีบเกร็งด้วย เราก็เลยนอนหลับ 

พวกเราหลายคนน่าจะเคยมีอาการนอนไม่หลับกันบ้างใช่ไหมครับ แน่นอนว่าวันถัดมามันก็จะไม่สดชื่น อาจง่วง ๆ มาก แต่ก็ยังไม่เป็นอะไรมากนักใช่ไหมครับ ถ้ามันอดนอนแค่คืนเดียว หรือสองคืน แต่สำหรับผมมันทรมานมากครับ เพราะผมมีอาการปวดท้องคลื่นไส้อยู่แล้ว ยิ่งกลางคืนไม่ได้นอน ก็ทรมานทั้งคืน แล้วยังมาต่อด้วยทรมานทั้งวันอีก 

สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้กินยาต่อเนื่องกันไปเพื่อให้มันนอนหลับ แต่ด้วยการกลัวว่ามันจะติดยา ก็เลยโทรไปที่รพ. เพื่อขอนัดคุณหมอเรื่องนอนไม่หลับโดยตรง ซึ่งตรงนี้ผมว่ามันเป็นปัญหาประการหนึ่งนะครับ เพราะพอเราแจ้งอาการไปปุ๊ปว่านอนไม่หลับ เจ้าหน้าที่จะคิดถึงแต่คุณหมอจิตเวช เพราะอย่าที่บอกไปแล้ว ยานอนหลับจริง ๆ แลัว มันคือใช้ผลของยาด้านจิตเวช  และคิวของหมอจิตเวช นี่นานมากครับ อย่างผมเมื่อโทรไปนัดนี่คือคิวเร็วที่สุดคือ 3 เดือน ซึ่งผมก็ต้องทำนัดไป 

จริง ๆ ผมมาค้นคว้าทีหลังนะครับว่า คุณหมออายุรกรรมประสาท ก็สามารถที่จะรักษาการนอนไม่หลับที่เพิ่งเริ่มได้ และถ้าหมอวิเคราะห์แล้ว ไม่เกี่ยวกับอาการทางจิตเวช คุณหมอในกลุ่มนี้ก็นาจะรักษาได้ และการรักษาโรคนอนไม่หลับถ้าไม่เกี่ยวกับจิตเวช อีกอันหนึ่งที่ทำได้ก็คือการปรับพฤติกรรมการนอน

ซึ่งผมก็ได้ใช้การปรับพฤติกรรมการนอนของตัวเองด้วยนะครับ คือต้องบอกว่าก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนที่มีความสุขเรื่องการนอนมาก คือนอนเมื่อไหร่มันก็หลับ ดังนั้นก็จะเข้านอนตามใจชอบ บางทีก็หลับเร็วหน่อย แล้วตั้งนาฬิกาปลุกตื่นมาดูบอล บางคืนทำงานดึกถึงตีหนึ่งตีสอง หรือบางทีตีสี่เข้านอนก็มี ซึ่งช่วงหลัง ๆ ทำงานไม่ทัน ก็จะนอนดึกมากขึ้น เรียกว่าหลับเที่ยงคืน หรือตีหนึ่งตีสองเป็นปกติ และนี่น่าจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งนอกจากกอาการเจ็บป่วยที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ

ดังนั้นผมก็กินยา และปรับพฤติกรรมการนอนไปพร้อม ๆ  กัน แต่มันก็ไม่ได้เห็นผลทันใจ นะครับ คือผมกินยาติดกันไปสักสองคืน ผมก็ลองหยุดกินดู แต่มันก็ยังนอนไม่หลับ และมันก็ทรมานเหมือนเดิม ผมก็เลยพยายามนัดกับคุณหมอจิตเวชอีกโรงพยาบาลหนึ่ง (ตอนนั้นยังไม่รู้เรื่องหมออายุรกรรม) ซึ่งอันนี้เร็วขึ้นหน่อยคือหนึ่งเดือน ก็เลยนัดไว้ก่อน 

ช่วงนั้นมีนัดกับคุณหมอรักษานิ่วอีก ก็เลยขอให้คุณหมอลองสงต่อคุณหมอจิตเวช ที่ต้องรอสามเดือน เผื่อถ้ามีการส่งต่ออาจเร็วขึ้น คุณหมอก็พยายามส่งต่อให้ แต่ปรากฎว่าไม่ได้ ก็ต้องรอสามเดือนหมือนเดิม ก็เลยขอคุณหมอช่วยจ่ายยาช่วยนอนหลับมาให้ก่อน บอกคุณหมอว่าไม่ได้กินทุกวัน พยายามหยุดกินแล้ว แต่ถ้ามีวันไหนต้องทำงาน ก็จะกินคืนก่อนหน้านั้น เพราะถ้าไม่ได้นอนมันทำงานไม่ได้ ซึ่งคุณหมอก็จ่ายมาให้อีก 20 เม็ด

ผ่านมาหนึ่งเดือนก็ได้เวลานัดเจอกับจิตแพทย์ที่นัดไว้ของอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมก็ได้ดูคลิปของคุณหมอธนีย์ เกี่ยวกับยานอนหลับในกลุ่มที่จะไม่ทำให้เราติดยา ตามคลิปนี้เลยครับ 

  


 แต่มันก็มีปัญหาของมันเหมือนกันนะครับ และมีราคาค่อนข้างแพงด้วย 

ผมก็เลยว่าจะลองคุยกับคุณหมอเรื่องถ้าผมจะกินยาตัวนี้แทนดีไหม ปรากฎว่าผิดหวังมากครับ คือคุณหมอมองว่าที่ผมเป็นนี่มันจิ๊บจ๊อยมาก เดียวพอรักษานิ่วหายมันก็หายไปเอง แล้วก็ให้ยาตัวเดิมที่ผมเคยได้จากคุณหมอรักษานิ่วมานั่นแหละครับ แล้วให้มา 30 เม็ด ซึ่งผมก็ประหลาดใจมาก คือเขาไม่คิดว่าผมจะติดยาเลยหรือ แล้วไม่นัดดูอาการต่อด้วยนะครับ 

เมื่อเป็นอย่างนั้นผมก็ต้องใช้วิธีเดิมครับ คือพยายามไม่กินทุกวัน แต่คนเรายังไงมันก็ต้องทำงานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 5 วันนะครับ ถ้าไม่กินเลยแล้วไม่ได้นอนมันทำงานไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเราเป็นโรคอยู่ แล้วร่างกายไม่ได้พักผ่อนมันก็ไม่หาย 

ดังนั้นสัปดาห์หนึ่งก็ต้องกินประมาณสามวันถึงสี่วัน แต่สิ่งที่ผมสังเกตดู บางคืนมันเริ่มไม่ได้ผลเหมือนเดิมนะครับ แต่ผมก็ไม่ปรับยาเองนะครับ คือถ้าค้นในเว็บเขาบอกว่าเราเพิ่มโดสได้ถ้าต้องการให้นอนหลับเขาจะใช้โดสนี้กัน แต่ผมไม่เพิ่มครับ หลับก็หลับ ไม่หลับก็ทนเอา 

แต่เมื่อร่างกายได้พักผ่อน และยารักษาโรคได้ผลอาการไอมันก็เริ่มหาย อาการปวดแน่นท้องมันก็ดีขึ้นด้วย แต่ก่อนที่ต้องกินยาแก้จุกเสียดแน่นสามเวลาก่อนอาหาร ก็เหลือมื้อเดียวก่อนอาหารเย็น ดังนั้นถ้าคืนไหนอดนอน ตื่นมาความทรมานมันก็เริ่มน้อยลง ดังนั้นถ้าคืนไหนไม่หลับ มันก็ไม่ทรมานเหมือนเดิมแล้วครับ ก็แค่ง่วง ๆ 

เมื่อครบสองเดือนของการรักษาปอด อาการไอไม่มีแล้ว อาการแน่นท้องไม่มีแล้วแล้ว ผมก็ลดลงอีก เหลือสัปดาห์ละสองวัน หรือหนึ่งวัน ซึ่งถ้าไม่กินการนอนมันก็ยังไม่ปกตินะครับ คือมันอาจจะหลับได้ แต่ตื่นมากลางดึก แล้วหลับต่อยาก หรือบางทีก็หลับยาวแต่ไปไม่สุดทาง คืออาจจะตื่นมาสักตีห้า แทนที่จะเป็นหกโมงอย่างที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ (ที่แย่ ๆ คือบางคืนตีสาม แล้วหลับต่อไม่ได้) แต่ผมว่ามันก็เริ่มดีขึ้น  และต่อให้อดนอนบ้าง แต่ถ้าร่างกายเราแข็งแรงมันก็ยังทำงานได้ แล้วคืนถัดไปมันก็เหมือนนอนชดเชยกัน

สุดท้ายก็ได้เจอหมอจิตเวชที่รอมานานสามเดือนซะที ก็เล่าอาการต่าง ๆ ให้ฟัง ซึ่งคุณหมอก็บอกว่าผมปฏิบัติตัวถูกแล้ว แต่กว่าที่จะได้เจอคุณหมอนี่ผมก็กินยามาสามสิบกว่าเม็ดแล้ว ซึ่งคุณหมอบอกว่ามันอาจติดแล้วก็ได้ เพราะถ้าไม่กินมันก็ยังนอนไม่ดีอยู่ คุณหมอก็เลยสั่งยากลุ่มที่ไม่ติดให้ และให้กินคู่กับตัวเดิมไป แต่ลดปริมาณลง โดยอาจจะกินตัวเดิมวันเว้นวัน หรือวันเว้นสองวัน (ซึ่งจริง ๆ ผมก็ไม่ได้กินทุกวันอยู่แล้ว) โดยคุณหมอคิดว่าสาเหตุหนึ่งที่นอนหลับไม่ดีมันอาจมาจากความเจ็บป่วย (นิ่ว) ด้วย ถ้าจัดการตรงนี้ได้อาจดีขึ้น 

ซึ่งเมื่อผมลองมากินดูตามที่หมอบอก ก็ดีขึ้นบ้างนะครับ แต่มันก็ยังตื่นกลางดึก แต่ก็โอเคหลับต่อได้ดีกว่าตอนไม่กินยา (ในบางคืน) บางคืนก็หลับต่อได้แต่ใช้เวลาหน่อย แต่ก็มีบางคืนมันก็ไม่หลับนะครับ ต่อให้กินยา และก็ยังนอนไม่ได้สุดทางอย่างที่ตั้งใจไว้อยู่ดี  

ผ่านไปหนึ่งเดือนไปเจอคุณหมออีกรอบ คราวนี้คุณหมอให้ยากลุ่มเมลาโทนินมาปรับวงจรการนอน ให้วิตามิน B1 มาบำรุงสมอง และให้กินเฉพาะยาตัวที่ไม่ติดในกรณีที่ถ้าคืนก่อนหน้านอนไม่หลับ หรือนอนไม่ดี ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ นะครับ ไม่กินยานอนหลับเลย กินแต่เจ้าตัวเมลาโทนิน ก็หลับได้ดีขึ้น มีตื่นกลางดึกบ้าง นอนได้ยาวขึ้น แต่บางคืนก็ไม่หลับบ้าง หรือหลับแต่ก็ยังไม่สุดทาง เอาเป็นว่ายังไม่ปกติ  แต่ก็ดีขึ้นมาก ตอนนี้บางคืนก็ไม่กินเจ้าเมลาโทนินนี่เลยก็อาการเดียวกัน คือตอนนี้กินกับไม่กิน ก็เหมือนกันแล้ว เอาไว้เจอคุณหมออีกรอบในอีกสามเดือนก็คงต้องถามดู

สิ่งหนึ่งที่ผิดแผนคือ ผมควรจะได้ผ่านิ่วไปแล้วในเดือนพฤษภาคม ซึ่งจะเป็นการพิสูจน์ว่า การกังวลเรื่องนิ่วมีส่วนทำให้ผมนอนไม่หลับไหม แต่ปรากฏว่าคุณหมอขอเลื่อนผ่าไปเป็นเดือนสิงหาคม หลังจากกำหนดที่ต้องพบกับคุณหมอจิตเวชอีก ก็เลยไม่รู้ว่ามันยังไงกันแน่ ไอ้การที่เรากังวลเรื่องนิ่วของเรามันมีผลไหม 

อ่านมาตั้งนาน ผมอยากสรุปอย่างนี้นะครับ สำหรับคนที่ต้องใช้ยานอนหลับอยู่ อย่างแรกให้เราตระหนักว่ายาที่ใช้มันมีผลข้างเคียง และเราอาจติดยาได้ ดังนั้นให้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ ให้หาสาเหตุว่าอะไรที่ทำให้เรานอนไม่หลับ ปรับพฤติกรรมการนอน และถ้าจำเป็นต้องใช้ยาจริง ๆ เพื่อทำให้เราใช้ชีวิตต่อไปได้ หรือเพื่อการรักษาโรคของเรา ก็ใช้ไปก่อนครับ อย่าไปเครียดมาก เรื่องการติดนี่มันรักษาทีหลังได้ ถ้าเราตั้งใจจะเลิกใช้มันจริง ๆ 

ถ้าไม่จำเป็นอย่าได้พึ่งยานอนหลับเป็นดีที่สุดครับ ถ้าไม่ได้ป่วยเป็นโรคอะไร แค่มีพฤติกรรมการนอนไม่ดี ก็ปรับพฤติกรรมการนอนครับ เข้านอน และตื่นให้ตรงเวลา หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และที่สำคัญอย่าทำให้การนอนเครียดครับ คือพอไปดูอะไรมาเยอะอ่านอะไรมาเยอะ แล้วก็มาเครียดว่าต้องทำนู่นนี่ 

สิ่งที่ผมทำคือพยายามเข้านอนให้ตรงเวลา ไม่ต้องสี่ท่ม อย่างที่หลายคนบอก แต่ให้มีเวลาที่จะนอนต่อเนื่องได้สักเจ็ดชั่วโมง อย่างผมนี่ผมตั้งเอาไว้เที่ยงคืน พยายามให้มันง่วงอยากนอนในเวลาใกล้ ๆ เดิมทุกวัน คือสักครึ่งชั่วโมงก่อนเวลาที่จะนอน ก็ควรพร้อมที่จะนอน พอง่วงปุ๊ปก็เข้านอนเลย ถ้านอนสักครึ่งชั่วโมงแล้วไม่หลับก็ลุกขึ้นมาเดินรอบ ๆ ห้อง หรือเปิดไฟที่มีสีเหลืองอ่านหนังสือที่มันหนัก ๆ หัวครับ ใครไม่มีหาไว้สักเล่มครับ เทคนิคการอ่านกราฟหุ้นก็ได้ครับผมว่าหนักหัวดี มันมีสารพัดรูปแบบ :)  แล้วก็พยายามตื่นให้ตรงเวลา ตื่นแล้วก็ออกไปเดินรับแสดงแดดตอนเช้า หาเวลาออกกำลังกาย  แต่อย่าออกตอนก่อนนอนนะครับ ประมาณสองชั่วโมงก่อนนอนนี่ไม่ควรออกกำลังกายแล้ว 

อีกจุดหนึ่งก็คือ ช่วงที่ผมหาข้อมูลยานอนหลับ ผมเห็นกระทู้ในพันทิพย์หลายกระทู้ ที่มีความพยายามจะหาซื้อยานอนหลับมากินเอง ซึ่งผมแนะนำว่า อย่าทำเลยครับ ให้หมอดูแลดีที่สุด และเพราะความต้องการนี้แหละครับ ที่อาจทำให้หมอที่เป็นข่าวหรืออาจมีหมออีกหลายคนหากินกับตรงนี้ จากที่ผมได้รับยามา ยานอนหลับในกลุ่มที่ติดนี้ เม็ดหนึ่งถ้าสั่งจ่ายจากรพ.ตามปกติถูกมากนะครับ เม็ดละประมาณห้าสิบสตางค์เท่านัั้น แต่พอเอามาขายแบบผิดกฎหมาย ผมก็ไม่รู้ว่าเขาขายกันเม็ดละเท่าไร  อย่าไปเสียเงินแพง ๆ แล้วเสี่ยงชีวิตกันอีกเลยครับ 

อ้อมีอีกเรื่องหนึงครับ อยากฝากไปทางโรงพยาบาลหน่อยว่า เวลาโทรเข้าไปขอนัดคุณหมอจะปรึกษาเรื่องนอนไม่หลับนี่ ผมว่าอย่าเพิ่งโยนไปให้พบจิตแพทย์อย่างเดียวนะครับ เพราะส่วนใหญ่จะคิวยาวมาก ลองซักประวัติดูดี ๆ ว่าเขาเป็นมานานหรือยัง ถ้าเพิ่งเริ่มเป็นหลับไม่ได้มาแค่ไม่กีวัน ลองส่งปรึกษาคุณหมอทางอายุรกรรมประสาทก่อนอาจช่วยให้คนไข้ไม่ต้องรอนาน แล้วก็พยายามไปหายามาทานเอง เพราะมันทรมานถ้าไม่ได้นอนหลับ ส่วนพวกเราถ้าเขาจะโยนไปหาจิตแพทย์อย่างเดียว ก็ลองขอนัดคุณหมออายุรกรรมประสาทเองก่อนเลยก็ได้นะครับ เพราะน่าจะคิวไม่ยาวเท่า และการนอนไม่หลับมันไม่ได้มีสาเหตุมาจากด้านจิตใจอย่างเดียว มันอาจมีสาเหตุมาจากสารเคมีในสมองไม่สมดุลย์ หรืออาจจะเป็นเรื่องฮอร์โมน เรื่องขาดวิตามินบางตัวด้วยก็ได้ ซึ่งถ้าได้เจอคุณหมอด้านอายุรกรรมซะก่อน แล้วคุณหมออาจประเมินและส่งต่อไปด้านอื่นได้  

ซึ่งถึงตรงนี้ เอาจริง ๆ ผมยังหาสาเหตุที่ตัวเองนอนหลับไม่ได้เหมือนเดิมไม่ได้นะครับ ผมก็ยังไม่ได้กลับมาปกติ 100% นะครับ เพียงแต่มันดีขึ้นจากอาการหนัก ๆ ที่เป็นเมื่อต้นปีมาก คือตอนนั้นจะเริ่มนอนยังนอนไม่ได้เลย แต่ตอนนี้กลับมาหลับง่ายเหมือนเดิมแล้ว แต่ก็ว่าจะต้องหาสาเหตุให้ได้ต่อไปว่าทำไมมันยังหลับได้ไม่ดี คือยังตื่นกลางดึก ยังหลับไม่สุดทาง หลังผ่าตัดแล้ว ถ้ายังไม่หาย ก็ว่าจะลองไปเช็คทางฮอร์โมน หรือพวกวิตามินดูบ้างครับ ว่าเราขาดอะไรไหม หรืออาจไปทำ sleep test ดู  

ขอให้ทุกคนที่หลับดีอยู่แล้วก็หลับดีกันต่อไป ส่วนใครนอนไม่หลับก็ขอให้ดีขึ้นนะครับ ...

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

มุมมองคำพิพากษากรณียิ่งลักษณ์ และ True ล่ม

#ศรัณย์วันศุกร์ สัปดาห์นี้มีสองเรื่องที่จัดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจครับ และก็เกิดวันเดียวกันซะด้วย คือวันพฤหัสบดี ที่ 22 พ.ค. 25668 ครับ ก็เลยจะมาแชร์มุมมองสองเรื่องนี้ครับ 


Yingluck_Shinawatra
By Kremlin.ru, CC BY 4.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=59021177

เรื่มจากเรื่องของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ก่อนแล้วกันนะครับ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ยิ่งลักษณ์ต้องจ่ายเงินชดเชยหมื่นกว่าล้านบาท ในฐานะที่ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตจำนำข้าวในการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) ซึ่งคำตัดสินนี้ก็สร้างความตื่นเต้นดีใจให้กับคนเกลียดทักษิณและครอบครัวเป็นอย่างมาก ออกมาแสดงความเห็น เห็นด้วยกันใหญ่ ส่วนคนที่เป็นกองเชียร์ยังไม่เห็นออกมาแสดงอะไรนะ นอกจากตัวยิ่งลักษณ์เองที่้โพสต์ชี้แจง (ตัดพ้อแล้ว) แล้วก็มีแฟนคลับไปแสดงความเห็นใจ

คือต้องบอกนะครับว่าเรื่องจำนำข้าวนี่ ในความเห็นผมมันก็คือโครงการพยายามจะช่วยชาวนา แบบไม่ยั่งยืนเหมือนแทบทุกรัฐบาลที่ผ่านมาแหละ จะประกัน จะจำนำ มันก็คือกัน แต่โครงการจำนำข้าว เป็นโครงการที่บริหารจัดการได้แย่มาก เป็นโครงการที่คิดไม่สุดทาง ไม่มีแผนการ ไม่มีคนที่มีความสามารถมาดำเนินการ จนเปิดทางให้มีการทุจริต

และคดีนี้ในทางอาญามีการตัดสินไปแล้ว โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหนึ่งก็ได้ตัดสินลงโทษคนที่เกี่ยวข้องไปแล้ว พร้อมทั้งปรับเงินค่าเสียหายด้วย ยิ่งลักษณ์ก็โดนห้าปี แต่หนีไปก่อน แต่ศาลนี้ใช้ 157 กับยิ่งลักษณ์ ไม่ระงับยับยั้งจนเกิดความเสียหาย เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

ซึ่งผมก็ตั้งคำถามมาตั้งแต่ศาลนี้แล้วว่า ตกลงมาตรฐานการไม่ระงับยับยั้งนี่มันแค่ไหน เพราะเหตุผลมันก็เดิม ๆ เหมือนตอนนี้คือ มีการเตือนจาก สตง. ปปช. (สององค์กรนี้ ตอนนี้ก็...) หรือฝ่ายค้าน แต่ไม่เห็นว่าใครจะมีหลักฐานชัด ๆ ว่ามันโกงยังไง ฝ่ายค้านที่อภิปราย ถ้ามีหลักฐานทำไมไม่ยื่นฟ้องไปเลย และเมื่อมีคำเตือน เขาก็ตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ ซึ่งศาลอาญานี้ก็คงเห็นว่ามันไม่พอ ก็ลงโทษไปห้าปี 

ในความเห็นผม ยิ่งลักษณ์ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ไม่มีมือไม้ที่ไว้ใจได้มาช่วย เพราะคนที่เป็นตัวหลักตอนนั้นหลายคนก็ถูกตัดสิทธิทางการเมืองอยู่ ถ้าได้คนกลุ่มที่โดนตัดสิทธิอยู่มาทำโครงการ ส่วนตัวเชื่อว่ามันจะออกมาดีกว่านี้ ทักษิณก็อยู่ไกลไม่ได้คุมคนด้วยตัวเอง คนที่พอไว้ใจได้อย่างณัฐวุฒิ ก็เก่งแต่พูดปราศรัยบนเวที พอถูกตั้งเข้ามาทำงานก็ไม่รู้เรื่องรู้อะไร อย่างที่เห็นถูกนักข่าวต้อนตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง ซึ่งยิ่งลักษณ์ถ้าไม่พร้อมก็ไม่ควรเข้ามาแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นการที่โดนอย่างนี้ส่วนหนึ่งก็ต้องโทษตัวเองด้วย คือผมเชื่อว่ายิ่งลักษณ์ไม่ได้โกงเพื่อหาประโยชน์เข้าตัวเอง (อย่างที่ฝ่ายเกลี่ยด พยายามจะโยงให้ได้ว่าโกง) แต่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะจัดการดูแลได้ 

ดังนั้นในคดีนี้มันก็ย้อนกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจอะไร เพราะตัดสินกันแบบเดิม ๆ  คำว่าประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ก็ไม่ต่างจากการไม่ระงับยับยั้งจนเกิดความเสียหาย  ความเห็นก็เดิม ๆ มีคนเตือนแล้วไม่ฟัง  ไม่หยุดโครงการ ตั้งกรรมการแต่ไม่ดูแลติดตามใกล้ชิด 

สิ่งที่นักกฎหมายหลายคนให้ความเห็น ซึ่งผมว่ามันก็คงไม่ต่างจากตอนตัดสินคดีอาญาเท่าไหร่ก็คือ หลาย ๆ เรื่อง มันไม่มีมาตรวัดที่แน่นอน ประมาทเลินเล่อร้ายแรง ระดับไหนถึงจะเรียกว่าร้ายแรง บางคนก็มองว่าการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบนี่ก็ถือว่าทำหน้าที่แล้ว ไม่ร้ายแรงแล้ว แต่ก็เห็นชัดว่าส่วนใหญ่ในศาลนี้เห็นว่าไม่ใช่ (มีส่วนน้อยที่ไม่เห็นด้วย) ศาลนี้บอกว่าต้องลงไปกำกับอย่างใกล้ชิด ก็ไม่รู้อีกว่าต้องใกล้ชิดแค่ไหน มันมีฝ่ายปฏิบัติการอยู่ คนอำนวยการนี่ต้องลงไปแค่ไหน ใครที่เคยทำงานก็คงรู้นะว่าจริง ๆ ฝ่ายอำนวยการนี่เขาเคยลงไปใกล้ชิดจริง ๆ แค่ไหน 

มันก็ไม่ต่างจากผิดจริยธรรมร้ายแรง แบบใช้คำว่าวิญญูชนพึงรู้ ใครคือวิญญูชน?  เรื่องระดับความดีความไม่ดีนี่คนแต่ละคนก็มีมุมมองที่ต่างกัน ถ้าเรื่องนี้เราว่าไม่ดี แต่คนอื่นเห็นว่าไม่เป็นไรรับได้ เราจะบอกได้ไหมว่าเราเป็นวิญญูชน แต่เขาไม่ใช่ อ้อถ้าใครอ่านเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักร คงรู้จักวิญญูชนจอมปลอมนะ  

ฟังรายการวิทยุรายการหนึ่ง ค่อนข้างเห็นด้วยว่า มันถึงเวลาหรือยังที่เราจะต้องมีมาตรวัดให้มันชัดไปเลย ทำแบบนี้ประมาทเลินล่อร้ายแรง แบบนี้ประมาทเลินเล่อพอสมควร อะไรแบบนี้ แล้วก็ต้องรับผิดชอบกี่เปอร์เซนต์ ทุกคนจะได้รู้ และจะได้โดนแบบเดียวกัน ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ

เหมือนการเช็คล้ำหน้าในฟุตบอลตอนนี้ ซึ่งมีการพัฒนาจนตอนนี้มีระบบที่สามารถจะตัดสินได้เหมือน ๆ กันในทุกกรณีว่าล้ำหน้าหรือไม่ คือถึงแม้ผมจะไม่เห็นด้วยว่าการที่ปลายเท้าฝ่ายรุก มันเลยขาฝ่ายรับไปนิดหนึ่งมันจะทำให้ฝ่ายรุกได้เปรียบยังไง แต่ถ้าทุกคนอยู่ในกฎเดียวกัน ผมก็รับได้

ที่เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็ไม่ได้คิดจะเข้าข้างยิ่งลักษณ์ หรืออะไรนะครับ ผมไม่ได้ชอบเพื่อไทย นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ซึ่งไม่ได้เอาความชอบหรือไม่ชอบส่วนตัวเข้าไป ผมเขียนบทความที่เกี่ยวกับการเมืองมา โดนคนสองฝั่งด่าก็มีมาแล้ว ที่เขียนขึ้นมาเพราะเห็นว่าเออระบบของเรามันยังมีปัญหานะ ที่มันขัดแย้งกันอยู่ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องนี้ ถ้าทำให้มันเคลียร์ ทำให้เห็นว่าทุกคนถูกตัดสินอยู่บนมาตรฐานเดียวกัน มันอาจจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น 

True-Logo

สำหรับกรณี True ระบบล่ม ไปเมื่อวานเกือบทั้งวันนี่ ต้องบอกว่าโชคดีที่ผมมีสองระบบ และระบบหลักที่ผมใช้คือ AIS และเน็ตที่บ้านใช้ AIS ผมเลยไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่ แต่เข้าใจเลยครับว่าคนที่ใช้ True เสียหายมาก

ผู้ให้บริการควรตระหนักรู้ให้มากกว่านี้ได้แล้วนะครับว่าตอนนี้ระบบสื่อสารมันเป็นปัจจัยที่ 5 ของคนเราไปแล้ว คือมันไม่ได้ใช้แค่สื่ิอสารอย่างเดียว แต่การทำธุรกิจ และการดำเนินชีวิตประจำวัน มันขึ้นกับระบบสื่อสารนี้ บางคนเสียงานเสียการไปเลย บางคนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เพราะมีเคสที่รถพยาบาลติดต่อกับโรงพยาบาลไม่ได้ โชคดีที่ยังมีระบบวิทยุสื่อสาร 

การชดเชย ก็ควรจะไม่ใช่แค่ให้โทรฟรี 100 นาที แต่ต้องใช้ให้หมดในวันเดียว บ้าหรือเปล่า บางคนไม่ได้โทรศัพท์ปกติมาเป็นชาติแล้ว ให้เน็ต 10 GB บางคนเขาใช้ unlimit หรือใช้ 20 GB ในแต่ละเดือนก็ไม่เคยหมดอยู่แล้ว ดูพฤติกรรมลูกค้าแต่ละราย แล้วเสริมให้เขาไป หรือกล้าไหมลดค่าบริการให้เลย บางคนเขาเดือดร้อนหนักมากนะ ลดค่าบริการแล้วก็อาจไม่คุ้มด้วยซ้ำ 

ช่วงที่เขียนอยู่นี้ก็พยายามค้นดูว่า True ออกมาบอกสาเหตุหรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนเห็นแว็บ ๆ ตอนเช้าบอกว่าไฟขัดข้องกับอุปกรณ์อะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้หาไม่เจอแล้ว ถ้าเป็นแค่ไฟขัดข้องจริง ๆ นี่แย่มากเลยนะ คุณไม่มีระบบไฟสำรองเลยหรือ ตอนคุณจะควบรวมกับ DTAC เขายิ่งคิด ๆ กันอยู่ว่า เหลือผู้เล่นอยู่สองเจ้าแล้วต่อไปบริการมันจะไม่พัฒนา ราคาก็จะแพงเพราะการแข่งขันมันน้อย ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น ช่วยทำให้ดูหน่อยว่าประชาชนคิดผิด 

ส่วนกสทช. ครับ ช่วยทำอะไรให้ดูให้รู้ว่าองค์กรคุณยังมีประโยชน์ที่ควรจะมีต่อไปหน่อยนะครับ ...

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

คุยกันเรื่องพรพรรณและลีกวอลเลย์บอลสหรัฐ

สวัสดีครับ #ศรัณย์วันศุกร์ สัปดาห์นี้มาคุยกันเรื่องสบายใจกันดีกว่านะครับ หลังจากที่สัปดาห์ที่แล้วค่อนข้างเครียด อย่างที่หลาย ๆ คนทราบไปแล้วนะครับว่า พรพรรณ (ชมพู่) เกิดปราชญ์ ไปได้แชมป์ลีกวอลเลย์บอลสหรัฐ และได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่า (MVP) ในรอบชิงแชมป์อีกด้วย โดยลีกที่พรพรรณไปเล่นด้วยมีขื่อว่า PVF (Pro Volleyball Federation)  และต้นสังกัดของเธอก็คือทีม Orlando Valkyries

การแข่งขันจบลงตั้งแต่เช้าวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม 2568 ตามเวลาในประเทศไทยนะครับ และก็มีช่อง Youtube มามาย ตามติดนักกีฬาไทยที่ไปเล่นในลีกต่างประเทศ หรือตามกระแสก็มี ได้เล่นข่าวนี้ ชนิดว่าไล่ดูกันจนถึงวันนี้ก็ยังไม่จบเลยนะครับ เป็นความปลื้มใจและภูมิใจของคนไทยจริง ๆ ผมในฐานะแฟนคนหนึ่งของทีมนักวอลเลย์บอลสาวไทย ก็ดีใจและภูมิใจไปกับชมพู่ด้วย เรียกว่าตามดูหลาย ๆ ช่องเลย และช่องทีวีหลัก พอชมพู่ได้แชมป์แล้ว ได้ MVP แล้ว ถึงค่อยนำเสนอข่าว แล้วบางสื่อก็เอาข้อมูลจากช่อง Youtube นี่แหละไปนำเสนอ ซึ่งบางทีมันมีข้อมูลที่ผิดนะครับ ซึ่งอาจเกิดจากเจ้าของช่องไม่คุ้นกับอเมริกันเกมส์อย่าง NFL หรือ NBA และช่องหลักก็เอาตามนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองควรจะรู้ 

เอาจริง ๆ นักกีฬาเราแทบทุกคนที่ไปเล่นลีกต่างประเทศถือว่าประสบความสำเร็จนะครับ อย่างพิมพิชญา (บีม) ก็ได้แชมป์ลีกเยอรมันกับทีม Schwerin อาจไม่ได้เป็นตัวหลักในรอบชิง แต่ในฤดูกาลปกติเธอก็ได้ MVP ประจำสัปดาห์อยู่หลายครั้ง ปิยนุช (ปลาวาฬ) ก็เล่นอยู่ในอีกลีกหนึ่งของอเมริกาคือ LOVB (League One Volley Ball) กับทีม LOVB Atlanta เป็นลิเบอร์โรที่อยู่ในท้อปเทนของลีก ทีมผ่านเข้ารอบชิงแชมป์เหมือนกัน เป็นทีมอันดับหนึ่งในรอบปกติด้วย แต่ไปพลาดในรอบชิงแชมป์นี่แหละครับ เลยไม่ได้แชมป์ งั้นเราอาจมีแชมป์ลีกอเมริกาสองคน ยังมีผู้เล่นที่่ไปเล่นที่เกาหลี และญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่ก็โชว์ฟอร์มกันได้ดี ได้รับคำชิ่นชม ชัชชุอร (บุ๋มบิ๋ม) ถึงแม้ไม่ได้แชมป์ลีก ก็ได้แชมป์ถ้วยจักพรรดิ์ 

ยังไม่เข้าเรื่องลีกอเมริกันเลยนะครับ แต่ขออีกนิดแล้วกัน คือเรื่องที่บอกว่ามีข้อมูลบางอย่างผิด คือตอนวันแรก ๆ ผิดจริง ๆ ครับ แต่ตอนนี้หลายช่องก็รู้แล้ว และแก้ไขกันแล้ว แต่ทีผิดมีอะไรบ้าง อันแรกก็คือ MVP ที่ชมพู่ได้ หลายช่องตอนแรกนำเสนอว่าเป็น MVP of the year และยังมีคอมเมนต์ประมาณว่าได้ยินกับหู MVP of the year งั้นมาลองฟังกันดูครับว่าชมพู่เป็น MVP อะไร 



นาทีที่ 12.40 นะครับ แต่ถ้าไม่อยากฟังผมจะสรุปให้ 

"and MVP of this year championship weekend, Chompoo"

มันมีคำว่า championship weekend ตามหลัง this year ด้วย ไม่ได้จบแค่ this year 

ถ้าแปลเป็นไทยก็จะได้ความประมาณว่า "และผู้เล่นทรงคุณค่าประจำสุดสัปดาห์ชิงแชมป์ของปีนี้ ชมพู่" 

บอกตามตรงนะครับ ผมดูซีนนี้หลายรอบมาก คือมันภูมิใจและดีใจไปกับเธอ คือเท่าที่ตามข่าวเธอเล่นได้โดดเด่นมาทั้งฤดูกาล มีแต่เสียงชื่นชมจากผู้บรรยายเกม และเพื่อน ๆ แต่เธอยังไม่ได้รางวัลส่วนตัวเลย ผู้เล่นประจำสัปดาห์ก็ไม่ได้ แต่เวลาโปรโมทแมทช์การแข่งขันก็เอารูปพรพรรณขึ้นปก แสดงว่าต้องเด่นนะ  แต่ทำไมไม่เลือกให้เป็นผู้เล่นประจำสัปดาห์บ้าง best setter ก็ไม่ได้ เพราะมีเซ็ตเตอร์จากทีมคู่ชิงทำสถิติต่อเซ็ตได้ดีกว่าในรอบการแข่งขันปกติ (ทั้งสองคนส่งลูกให้เพื่อนทำคะแนน เกิน 1000 ลูก) แต่สถิติพรพรรณเป็นอันดับสอง 

ผมเฝ้าถามตัวเองว่า เฮ้ยเล่นได้แบบนี้จะไม่ได้รางวัลส่วนตัวอะไรบ้างเลยหรือ จนมาได้รางวัล MVP นี่แหละครับ  และยิ่งฟินหนักขึ้นเวลาเพื่อนร่วมทีมร่วมกันตะโกน MVP MVP MVP... และตำแหน่ง MVP นี้ต้องบอกว่าตำแหน่งเซ็ตเตอร์นี่นาน ๆ จะได้สักทีนะครับ เพราะส่วนใหญ่ไม่ว่ากีฬาอะไรมักจะมุ่งไปที่คนทำแต้ม ดังนั้นเซ็ตเตอร์ที่ได้นี่คือต้องผลงานเด่นจริง ๆ ซึ่งพรพรรณก็เล่นได้ดีจริง ๆ 

ถ้าใครงงว่าแล้วทำไมมันสรุปไม่ได้หรือว่าเป็น MVP ของปีนี้ คือต้องบอกอย่างนี้ครับ ถ้าใครคุ้นกับอเมริกันเกมส์อย่างอเมริกันฟุตบอล NFL หรือบาสเก็ตบอล NBA นี่ เขาจะมีตำแหน่ง MVP อยู่สองตำแหน่งคือ MVP ในรอบการแข่งขันปกติ คือหลาย ๆ ทีมมาเจอกันเพื่อจัดอันดับ แล้วเอาทีมที่ได้อันดับตามกำหนดเข้าสู่รอบชิงแชมป์ ซึ่งในรอบนี้ก็จะมี MVP อีกหนึ่งตำแหน่ง 

สำหรับ MVP ในรอบการแข่งขันปกติปีนี้คนที่ได้คือ อเบอร์ครอมบี้เพื่อนซี้ของพรพรรณ ส่วน MVP ในรอบชิงแชมป์คือพรพรรณ ทั้งสองตำแหน่งเป็น MVP ประจำปี 2025 นี้ ดังนั้นถ้าเรียกว่า MVP ประจำปี 2025 มันจะเกิดความสับสนว่ามันเป็น MVP อะไรกันแน่ ซึ่งผมว่า Youtuber หลายคนที่ทำข่าวพรพรรณ อาจไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนี้ (ในช่วงแรกนะ ตอนนี้ทุกคนคงรู้หมดแล้ว) 

คราวนี้มาคุยกันเรื่องลีกวอลเลย์บอลในอเมริกากันครับ หลายคนคงทราบว่าทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติสหรัฐ เป็นทีมชั้นนำของโลก แต่ไม่น่าเชื่อนะครับว่าลีกอาชีพที่มีการแข่งขันใช้กติกาวอลเลย์บอลปกตินี่จะเพิ่งก่อตั้งขึ้น และมีสองลีกโดยลีกแรกคือ LOVB ซึ่งเพิ่งก่อตั้งในปี 2020 และลีกที่สองคือ PVF ซึ่งเพิ่งก่อตั้งได้เป็นปีที่สอง ซึ่ง LOVB ปีนี้มีปิยนุช แป้นน้อยได้เข้าไปเล่น อย่างที่บอกไปแล้ว ส่วน PVF ปีแรกมีนุศรา ต้อมคำ เซ็ตเตอร์ระดับตำนานของไทย เธอได้ best setter ในปีที่แล้วนะครับ และปีที่สองก็มีพรพรรณ และนุศรากลับมาเล่นในครึ่งหลังของฤดูกาลปกติ 

ส่วนอีกลีกหนึ่งซึ่งเป็นลีกที่มีกติกาการแข่งขันไม่เหมือนลีกทั่ว ๆ ไป คือ AU (Athelete Unlimited) Pro ลีกนี้ไม่ได้หาทีมที่เป็นแชมป์ แต่จะหาผู้เล่นที่เป็นแชมป์ หลัก ๆ คือจะเชิญนักกีฬาที่มีผลงานโดดเด่น 44 คน ให้เข้ามาร่วมลีก แล้วเข้ามาแข่งขันกันเก็บคะแนนสะสมส่วนตัว คะแนนก็จะได้มาจากทักษะส่วนตัวของนักกีฬา ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจวิธีคิดคะแนนเท่าไรนะครับ ถ้าใครสนใจกดูได้จากที่นี่เลยครับ โดยลีกนี้นุศราได้รับเชิญให้เข้าไปเล่นสองปีติดเลยนะครับคือ 2023 และ 2024 ส่วนปี 2025 นี้ ปิยนุช กับพรพรรณ ได้รับเชิญให้เข้าเล่นครับ   

ในปีหน้าตามข่าวจะมีลีกวอลเลย์บอลหญิงเกิดใหม่อีกหนึ่งลีกครับ คือ MLVB (Major League Volleyball) ซึ่งผู้ที่ก่อตั้งคือเจ้าของทีม Omaha Supernovas ทีมใน PVF ที่ได้อันดับหนึ่งในฤดูกาลปกติปีนี้ และเป็นแชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถ้าตามการสรุปของ Youtue ช่องนี้ Sport Thailand (ซึ่งเป็นช่องที่ผมชอบฟังมากในการแปลคำบรรยายของผู้บรรบายเกม) ในคลิปนี้ 




บอกว่าที่แยกไปตั้งลีกใหม่เพราะทะเลาะกับผู้บริหาร PVF (นาทีที่ 14.09) และในลีกนี้จะมีทีมถึง 10 ทีมเลยนะครับ ส่วน PVF จะมีทีมใหม่เข้ามาร่วมสองทีม 

จากที่เล่าให้ฟังลีกอาชีพที่มีการแข่งขันตามกฏิกาวอลเลย์บอลปกติในสหรัฐอเมริกา เพิ่งมีมาได้ 4 ปี ก็คือ LOVB ซึ่งทีมชาติสหรัฐส่วนใหญ่จะเล่นในลีกนี้ แล้วนักวอลเลย์บอลหญิงของสหรัฐก่อนหน้านี้ถ้าจะเล่นเป็นอาชีพไปเล่นกันที่ไหน จากคลิปด้านบน อเบอร์ครอมบีบอกว่า การมีลีกในประเทศมีข้อดีคือ นักกีฬาไม่ต้องไปเล่นต่างประเทศ (นาทีที่ 6.24 จากคลิป) นั่นแสดงว่าก่อนหน้านี้นักกีฬาหลายคนของอเมริกาเล่นอยู่ในลีกต่างประเทศนั่นเอง คิดดูนะครับว่าประเทศที่เพิ่งมีลีกอาชีพเป็นของตัวเองแต่กลับมีทีมชาติที่อยู่ในระดับโลกได้นี่ต้องขนาดไหน 

อีกคำสัมภาษณ์หนึ่งจากคลิปก็คือพิธีกรถามว่าพวกคุณเล่นวอลเลย์กันอย่างเดียว ไม่ต้องทำอาชีพอื่นก็อยู่กันได้เหรอ (สรุปความประมาณนี้นะครับ ไม่ได้เป๊ะ ๆ นาที่ที่ 9.30) ผมว่าคำถามนี้ตอนแรกก็ดูประหลาดดีกับประเทศที่มีกีฬาเป็นอาชีพอย่างอเมริกันฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือเบสบอล แต่มาคิดอีกทีมันแสดงว่าวอลเลย์บอลไม่ใช่กีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นหลักในอเมริกา คนสัมภาษณ์อาจไม่คิดว่านักกีฬาจะได้เงินเยอะเหมือนกีฬาประเภทอื่น หรืออาจเป็นเพราะกว่าฤดูกาลหน้าของลีกจะเริ่มก็คือมกรา 2026 พิธีกรอาจคิดว่าแล้วเธอจะไม่ทำอะไรกันเลยหรือช่วงที่เหลือของปี พิธีกรอาจไม่รู้ว่าสำหรับวอลเลย์บอลช่วงนี้คือช่วงเวลาของทีมชาติ แต่ก็อีกนั่นแหละนะขนาดกีฬาไม่ได้เป็นที่นิยมในประเทศ ก็ยังมีทีมชาติที่อยู่ในระดับโลก

สรปก็คือปีหน้าวอลเลย์บอลหญิงอเมริกันจะมีลีกที่แข่งขันตามกติกาสากลอยู่สามลีกนะครับ LOVB, PVF. และ MLVB ดังนั้นนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยคนอื่น ๆ ที่โชว์ฟอร์มได้ดีในระดับนานาชาติปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น VNL หรือชิงแชมป์โลก อาจมีโอกาสที่จะได้เข้าไปร่วมเล่นในลีกเหล่านี้

ตื่นเต้นนะครับ VNL ใกล้เริ่มแล้ว เตรียมตัวเชียร์สาวไทยกันครับ แต่ข่าวร้ายคือปีนี้เราอาจไม่ได้ดูผ่านฟรีทีวีครับ :(







วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เมื่อประชาชนไม่ได้อยู่ในสมการของผู้มีอำนาจ

ไม่ได้เขียนคอลัมน์ #ศรัณย์วันศุกร์ นี้มานานมาก จริง ๆ ตั้งใจว่าถ้ากลับมาเขียนก็จะเขียนเรื่องเบา ๆ สบาย ๆ แต่วันนี้ขอเขียนหน่อยเรื่องหนัก ๆ หน่อยแล้วกันครับ เพราะรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดของผู้คนที่บริหารบ้านเมืองอยู่ในช่วงนี้ ในสถานการณ์ที่ประเทศเรากำลังเผชิญปัญหาสารพัดด้าน ความคิดคำพูดของคนหลายคนที่เห็น ๆ ตามสื่อ เหมือนไม่ได้ตระหนักอะไรเลย  

ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ซึ่งก็แย่อยู่แล้ว และยังมีปัญหาเรื่องนโยบายของทรัมป์เข้ามาอีก สิ่งที่ผู้บริหารควรทำนอกจากจะบอกให้ประชาชนประหยัด ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นแล้ว ตัวเองก็ควรทำเป็นตัวอย่างด้วย ประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อนำมาสำรองไว้แก้ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง ถ้าจะใช้เงินลงทุนทำอะไร สิ่งที่ได้กลับมามันก็ควรคุ้มค่า แต่กลับไม่ทำกัน 

building-collapse

ภาพโดย Supanut Arunoprayote


เริ่มจาก สตง.  ซึ่งตึกใหม่ของตัวเองถล่มมาเนื่องจากแผ่นดินไหวที่พม่า ทำสถิติเป็นตึกเดียวในโลกที่อยู่ห่างจากจุดแผ่นดินไหวมากที่สุดที่ถล่ม และหลังจากตึกถล่มเราก็ได้รู้เห็นอะไรต่าง ๆ มากมายที่จริง เราก็อาจจะรู้กันอยู่ แต่เราอาจไม่คิดว่าองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเป็นองค์กรอิสระ ที่ควรจะช่วยตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศจะเละเทะได้ขนาดนี้ เมื่อตึกถล่มผู้บริหารก็ออกมาพูดถึงแต่องค์กรตัวเอง พยายามปัดความรับผิดชอบอะไรอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่เวลาไปตรวจชาวบ้านเขา ก็มักจะบอกว่าคุณจะไม่รู้ไม่ได้ ครูที่ไม่เคยทำการเงินแต่ต้องมาทำเพราะระบบห่วย ๆ ของประเทศเรา ก็ไปไล่บี้เขาต่าง ๆ นานา แต่ผมจะไม่พูดถึงประเด็นตรวจสอบเรื่องตึกถล่มนี่แล้วกันนะ แต่แค่อยากบอกว่า ถ้าเป็นประเทศที่ผู้บริหารของเขามีความรับผิดชอบ คงออกมาขอโทษที่ตรวจสอบไม่ดี ตั้งชุดทำงานขึ้นมาจัดเตรียมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตึกนี่ตั้งแต่แรกเลย เพื่ออำนวยความสะดวกกับหน่วยงานที่จะต้องใช้ตรวจสอบ เพราะตัวเองมีเอกสารทุกอย่าง ออกมาแถลงให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการนี้ ในส่วนที่ไม่ทำให้เสียรูปคดี อย่างน้อยคน องค์กร และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างตึกนี้มีใครบ้าง เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไรตอนไหน สาธารณะชนก็ควรได้รับรู้ ตั้งงบประมาณสำหรับเยียวยาผู้ที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ลาออกไปด้วยเมื่อทำทุกอย่างที่จำเป็นเรียบร้อย

chair-spec-90000-bahts-price
ภาพจาก https://www.sanook.com/news/9771778/

แต่สิ่งที่ตามมาที่น่าอนาถและผมอยากจะพูดถึงไปอีกก็คือ งบประมาณในการตกแต่ง เก้าอี้ผู้บริหารตัวละเก้าหมื่น ฝักบัวอาบน้ำหมื่นกว่าบาท พรมปูพื้นแสนบาท  อะไรแบบนี้ มันเกิดขึ้นกับหน่วยงานที่ควรเป็นต้นแบบของการใช้เงินได้อย่างไร และผู้บริหารก็ออกมาพูดเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ และยังบอกว่าถ้าคิดว่ามันหรูไป เดี๋ยวตึกใหม่ที่จะสร้างไม่เอาหรูก็ได้ ยังคิดที่จะสร้างใหม่ ทั้งที่ของเก่ายังหาสาเหตุไม่เจอเลยว่ามันเพราะอะไรและมีการประชดประชันด้วย และบางคนยังบอกว่าเข้าใจผิดหรือเปล่าไอ้ตัวเก้าหมื่นมันแค่ของผู้บริหาร ตัวที่เหลือก็ตัวละหมื่นเอง คือไม่ได้เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจประเด็นก็ไม่รู้ คือที่เขาสงสัยก็คือทำไมผู้บริหารต้องนั่งเก้าอี้ตัวละเก้าหมื่น นั่งแล้วมันทำให้ทำงานได้คุ้มค่ามากขึ้นหรือ ส่วนเก้าอี้ทำงานตัวละเป็นหมื่นก็ดูแพงอยู่เหมือนกันนะเอาจริง ๆ 

ถัดมาก็กสทช. ซึ่งก็สร้างตึกใหม่ราคาสองพันกว่าล้านเหมือนกัน และเท่าที่ตามข่าวก็น่าจะหรูหราหมาเห่าไม่แพ้กัน นี่คือองค์กรอิสระ ซึ่งตอนนี้ประชาชนเขาเริ่มสงสัยว่ามันอิสระจากอะไร อิสระจากประชาชนใช่ไหม ทั้ง ๆ ที่เงินที่ใช้ก็มาจากเงินภาษี

Sappaya-Sapasathan
ภาพโดย Supanut Arunoprayote

 ถัดมาก็สภา อันนี้เป็นคนที่ประชาชนเลือกเข้ามาด้วยซ้ำ แต่ก็ทำอะไรก็ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการเช่นกัน จะของบมาปรับปรุงรัฐสภานู่นนี่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ตึกใหม่ตัวเองเพิ่งสร้างเสร็จ และตรวจรับกันไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว จะของบปรับปรุงเป็นพันล้านอีกแล้ว ใช้กันยังไม่ทันคุ้มค่าเลย ปัญหาต่าง ๆ ที่เจอตอนเปิดใช้งาน ไปไล่เบี้ยคนสร้างให้รับผิดชอบได้หมดหรือยัง คนธรรมดาสร้างบ้านหลังนึงอยู่กันทั้งชีวิต อยู่กันไปเป็นสิบ ๆ ปี ถึงจะขยับขยายซ่อมแซมต่อเติมกันสักครั้งนึง ซึ่งเขาจะทำก็เพราะจำเป็นจริง ๆ อย่างโครงสร้างหรือวัสดุมันเสื่อมสภาพ หรือครอบครัวขยายมีจำนวนคนเยอะขึ้น ซึ่งแบบนี้อาจเป็นเพราะประชาชนหาเงินเอง รู้ว่าเงินมันหายาก ดังนั้นจะใช้เงินก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่ามันจำเป็น แต่พวกท่านทั้งหลายจะทำอะไรไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเอง ก็เลยไม่ต้องคิดอะไร  

ฟังเหตุผลแล้วก็ถามตัวเองว่านี่มันอะไรกัน บอกว่าตึกที่สร้างนี่มันยังมีฟังก์ชันไม่ครบ เช่นมีห้องขนาด 1,500 ที่นั่งสร้างไว้ แต่ยังใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีระบบเครื่องเสียง ต้องทำเพราะไม่งั้นห้องจะทิ้งร้างไว้เฉย ๆ งบสร้างนี่มันหมื่นกว่าล้านนะ ยังไม่พอที่จะทำให้ทุกอย่างมันฟังก์ชันได้อีกหรือ ศาลาแก้วที่สร้างแล้วไม่ได้ใช้เพราะมันร้อน ก็จะของบติดแอร์ จะย้ายห้องสมุดจากขั้นแปดขั้นเก้าโดยถมสระเพื่อมาสร้างห้องสมุด โดยบอกว่าสระน้ำเน่า และอ้างว่าห้องสมุดอยู่ตรงนี้จะได้ให้ประชาชนมาใช้ ก็คือสิ่งที่ออกแบบสร้างมามันไม่ฟังก์ชันใช่ไหม งบหมื่นกว่าล้านนะ และที่ตามไปอ่านข่าวมา บอกว่างบนี้รวมทุกอย่างแล้วนะ คือรวมระบบต่าง ๆ เรียบร้อย

ที่น่าเศร้าคือคนที่เขาออกแบบเขาออกมาค้านแล้ว เขาอธิบายว่าสระมันมีระบบเหมือนสระว่ายน้ำ คือถ้าดูแลรักษาตามปกติน้ำไม่มีทางเน่า ส่วนเรื่องน้ำซึมน้ำรั่วก็ไปไล่เอากับคนสร้างซิว่าทำยังไงมันถึงรั่ว แล้วสระนี้จะเป็นส่วนที่ช่วยระบายความร้อนด้วย ถ้าถมต้องติดแอร์กันมหัศจรรย์เลย (แต่เขาไม่ได้พูดถึงศาลาแก้วนะ ตามข่าว อันนี้อยากรู้จริง ๆ ว่ามีประโยชน์อะไร และทำไมถึงออกแบบแบบนั้น) นั่นคือคิดจะทำอะไรกัน ไม่มีการศึกษาหาข้อมูลเลย จะใช้เงินที่ไม่ใช่เงินตัวเองอย่างเดียว แล้วยังมาบอกอีกว่ารับรองว่าไม่มีการโกง เฮอะอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ แต่ประเด็นมันยังไม่ได้อยู่ที่โกง คำถามคือจะทำทำไมก่อน จำเป็นต้องทำตอนนี้ไหม 

สรุปการพูดจาการกระทำของคนที่มีอำนาจในการบริหารประเทศในตอนนี้ ไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็น สส. สว. หรือองค์กรอิสระอย่าง กสทช. และ สตง. คือประชาชนไม่อยู่ในสมการ มองประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ต้องหรูหรา สมตำแหน่ง ต้องใช้เงิน คำถามคือถ้าเป็นเงินพวกคุณเอง คุณจะจ่ายไหม คือจริง ๆ ไม่ได้เหมารวมว่าทุกคนคิดแบบนี้นะ เพราะก็มีกลุ่มสส. สว. ที่ค้านแล้ว แต่องค์กรอิสระนี่เงียบกริบ 

เฮ้อ วันศุกร์แบบนี้ ควรจะพูดกันเรื่องสบาย ๆ นะครับ ซึ่งคอลัมน์ของผมที่ไม่ได้เขียนมานานจริง ๆ ก็ตั้งใจอยากจะเล่าเรื่องที่มันสบาย ๆ หรือมาฟังเพลงกัน แต่วันนี้ขอระบายสักครั้งแล้วกันครับ เพราะเหลือจะทนกับคนพวกนี้จริง ๆ ขอให้ทุกคนมีพลังที่จะพาตัวเองผ่านสถานการณ์ช่วงนี้กันได้นะครับ  

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ความพอเพียง(อาจ)ต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอ

หายจาก #ศรัณย์วันศุกร์ ไปนานมาก ศุกร์ที่แล้วก็มีกระแสเรื่อง "พอเพียง" จากเดี่ยวล่าสุดของโน้ส อุดมที่เริ่มลงฉายทาง Netflix ก็เลยอยากจะแบ่งปันความเห็นของคำว่าพอเพียงในมุมมองของตัวเองบ้าง ซึ่งจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับที่โน้สพูดนะครับ จะขอแชร์ความเห็นของตัวเองเท่านั้น  

ก่อนอื่นคำว่าพอเพียงมักจะถูกเข้าใจผิด ๆ อย่างไม่ตั้งใจ หรืออาจจะอย่างตั้งใจที่จะเอาไว้แซะฝ่ายตรงข้าม ว่ามันเป็นเรื่องของการกลับไปทำเกษตร ใช้ชีวิตปลูกผักสวนครัวไว้กิน เลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ดไว้กินไข่และขาย อะไรแบบนี้ 

ที่มันเป็นแบบนี้ส่วนตัวมองว่าส่วนหนึ่งมันเป็นพราะภาครัฐนั่นแหละ คือเอาเศรฐกิจพอเพียงกับเกษตรทฤษฎีใหม่ที่เป็นคนละเรื่องกัน เอามาจับมัดรวมกันแล้วก็นำเสนอ จนกลายเป็นภาพจำของคนหลายคนว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็คือการเกษตร และก็จะเกี่ยวโยงไปถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ดังนั้นก็ไม่น่าแปลกอะไรที่ฝั่งโหนกับฝั่งแซะจะเล่นกันที่ประเด็นนี้ ลองค้นคำว่าพอเพียงจาก Google ดูแล้วไปคลิกดูที่ผลการค้นรูปภาพสิครับ นี่คือตัวอย่างสิ่งที่ผมได้ 

sufficient

ภาพจากการค้นหาด้วยคำว่าพอเพียงจาก Google

คราวนี้ความพอเพียงมันคืออะไร จริง ๆ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ตรัสไว้ชัดแล้วในปรัชญาญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน และพระองค์ท่านก็ไม่ได้ให้นิยามคำว่าพอเพียงขึ้นมาใหม่ ซึ่งผมขอสรุปคำว่าพอเพียงด้วยคำพูดของตัวเองแล้วกันนะครับว่า ความพอเพียงก็คือ การที่เราสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างเหมาะสมกับตัวเอง พึ่งพาความสามารถของตัวเองเป็นหลัก ไม่ต้องไปกราบไหว้อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคดโกงใคร มันไม่เกี่ยวกับคนจนก็ต้องเจียม ไม่ต้องไปทำเกษตร หรือห้ามรวย หรือคนรวยจะซื้อของฟุ่มเฟือยไม่ได้ จุดของความพอเพียงเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล

ความพอเพียงจะเกิดขึ้นได้ส่วนหนึ่งมันจะต้องเกิดจากการวางแผนชีวิตของตัวเองให้เหมาะสม ตัวอย่างเช่นเมื่อเราเริ่มต้นทำงานรายได้ยังไม่สูงนัก  เราก็ต้องวางแผนว่าถ้าเรามีรายได้เท่านี้ เราจะจัดสรรอย่างไรให้ตัวเองสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แบบพอเพียงภายใต้จำนวนเงินนั้น  และถ้าเราทำได้แล้ว ความพอเพียงก็ไม่ได้บอกว่าหยุดแค่นี้เถอะ ไม่ได้หมายความว่าเราจะอยากมีบ้านมีรถ มีนู่นมีนี่ไม่ได้ ถ้าอายุการทำงานของเรายังมีอีกเยอะ ร่างกายสมองยังไหว เราก็ควรคิดถึงการขยับขยาย ปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้มีความเจริญก้าวหน้า เพื่อให้คุณภาพชีวิตของตัวเองดีขึ้น ถ้าเราจะมีครอบครัวเราก็ต้องวางแผนให้ทั้งครอบครัวของเราอยู่ได้อย่างพอเพียง ซึ่งก็คือนิยามเดิม คืออยู่ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ ไม่ขึ้นกับใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน 

ความพอเพียงไม่ได้หมายความว่าเราจะไปกู้หนี้ยืมสินไม่ได้ แต่การกู้หนี้ยืมสินเราก็ต้องคิดแล้วว่าที่เรากู้มามันจะสร้างประโยชน์ให้กับเราได้อย่างคุ้มค่า และที่สำคัญคือเราจะต้องมั่นใจว่าเราจะสามารถจ่ายหนี้คืนได้ ซึ่งมันก็กลับมาอยู่ที่การวางแผนของเรา  

ความพอเพียงไม่ได้หมายความว่า เราจะซื้อของฟุ่มเฟือยไม่ได้ ถ้าการซื้อนั้นไม่ได้ทำให้เราเดือดร้อน ไม่ได้กระทบกับการดำรงชีวิตใด ๆ ของเรา จะซื้อก็ซื้อไป ดังนั้นถ้าคนรวย ๆ เหรือใครที่เขาไม่เดือดร้อนเขาจะซื้อลาบูบู้ มาเก็บสะสมไว้ หรือเขาจะสะสมซุปเปอร์คาร์ เขาย่อมทำได้ 

ถ้าชีวิตมันเกิดอุบัติเหตุไม่คาดหมาย เราก็ต้องวางแผนชีวิตใหม่ ลดระดับการใช้ชีวิตลง เพื่อให้อยู่แบบพอเพียงตามอัตภาพของเราให้ได้ ดังนั้นส่วนหนึ่งของความพอเพียงก็คือการวางแผนชีวืตของเรานั่นเอง ถ้าเราวางแผนชีวิตไว้เป็นอย่างดี เมื่อถึงจุดหนึ่งคือในวัยที่เราหมดพลังงาน ร่างกายแย่ลงแล้ว เราก็เข้าสู่ความพร้อมที่จะเกษียณ ไปใช้ชีวิตให้มีความสุขต่อไปตามอัตภาพของเรา ตามที่เราวางแผนชีวิตไว้

แต่สิ่งที่พูดมาทั้งหมดต้องบอกว่านี่คืออุดมคติ ที่อยากจะพูดถึงว่าความพอเพียงมันคืออะไรในมุมมองของตัวเอง เพราะจากสถิติมีคนไม่กี่เปอร์เซนต์เท่านั้นที่สามารถเกษียณและอยู่อย่างพอเพียงได้ ส่วนใหญ่ก็ยังต้องอาศัยการดูแลจากลูกหลาน 

ที่เป็นอย่างนี้เพราะอะไร อย่างที่บอกไปแล้วว่าส่วนหนึ่งของความพอเพียงคือการวางแผน แต่สำหรับบางคนที่ต้นทุนทางสังคมไม่ได้สูงหรืออาจติดลบ การวางแผนอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่อาจต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอด้วย ซึ่งที่จะพูดถึงก็คือการสนับสนุนจากภาครัฐ 

ความเพียงพอส่วนแรกก็คือค่าครองชีพกับเงินเดือนที่เหมาะสม รายรับจะต้องเพียงพอกับร่ายจ่าย และถ้าจะให้ดีมันควรจะต้องพอให้มีเหลือไว้ใช้กับสิ่งที่ไม่คาดหมายในชีวิตด้วย ข้าวของขึ้นมาตลอดเวลาเป็นสิบปี แต่ค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ขยับตาม ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ ผู้คนส่วนใหญ่อาจจะไม่สามารถก้าวสู่ความพอเพียงได้เลย คือทำทุกอย่างวางแผนทุกอย่างแล้ว มันก็ยังไม่พอจะดำรงชีวิตได้อย่างเหมาะสม เมื่อก่อนอาจจะมีข้าวไข่เจียวจานละ 10 บาทให้กิน เดี๋ยวนี้จะไปกินข้าวอะไรอาจต้องไปถามดี ๆ เพราะอาจเจอข้าวไข่ดาวสองฟอง 70 บาท ไหนจะค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นทุกวัน 

การขึ้นค่าแรงอย่างเดียว แต่ควบคุมค่าครองชีพพื้นฐานไม่ได้ส่วนตัวคิดว่ามีประโยชน์น้อยมาก  ค่าแรงขึ้นค่าครองชีพก็ขึ้นแบบนี้ระยะห่างมันก็เท่าเดิม และอย่าลืมว่าค่าครองชีพขยับขึ้นมาตลอด แต่ค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ขยับตามมาหลายปีแล้ว 

ไม่ได้เห็นด้วยกับค่าแรงราคาเดียวกันทั่วประเทศ แต่ต้องพิสูจน์ว่าค่าครองชีพมันมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทั่วประเทศจริง ๆ แล้วก็ขึ้่นให้เหมาะสม คือยังไงมันต้องทำให้เขาอยู่ได้กันก่อน ไม่ใช่ขนาดวางแผนกินแต่มาม่าเป็นหลักแล้ว ก็ยังอยู่ไม่ได้ เอาจริง ๆ เดี๋ยวนี้มาม่าก็แพงนะ 

ผู้ประกอบการบอกว่าค่าแรงต้องให้ตามความสามารถ อันนี้เห็นด้วย เพราะหลายคนชอบเอาคำว่าเท่าเทียมมาใช้แบบผิด ๆ ในความเป็นจริงใครเก่งกว่าก็ควรได้มากกว่า ไม่อย่างนั้นใครมันจะอยากเป็นคนเก่ง เพราะจะเป็นคนเก่งกว่าคนอื่น มันก็ต้องลงทุนลงแรงมากกว่าคนอื่น ซึ่งตรงนี้คิดว่ามันไม่ใช่ปัญหา ส่วนใหญ่นายจ้างก็ให้ค่าแรงคนเก่งมากกว่าอยู่แล้ว 

แต่ปัญหามันคือค่าแรงขั้นต่ำที่มันไม่พอกับค่าครองชีพ ทำยังไงที่จะทำให้คนที่สามารถทำงานขั้นพื้นฐานให้เจ้าของกิจการสามารถมีชีวิตอยู่ทำงานต่อไปได้แบบ  win-win คนเราถ้าต้องทำงานเช้าถึงเย็นที่หนึ่ง เย็นถึงค่ำอีกที่หนึ่ง เพื่อแค่ให้อยู่ได้ แล้วมาบอกว่าอยากได้เงินเพิ่มก็พัฒนาตัวเองสิ ไป upskill, reskill,  หรือหา new skill เขาก็อาจไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปทำ

เดี๋ยวจะหาว่าไม่ชมประยุทธ์เลย ในยุคประยุทธ์โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็เป็นความพยายามหนึ่งที่ตัวเองมองว่าก็พยายามช่วย แต่ถ้าจะให้ยั่งยืนกว่า ก็ต้องจัดสรรค่าแรงและค่าครองชีพให้เพียงอยู่กันได้ ถ้าทำได้เงินสวัสดิการนี้อาจไม่จำเป็น หรือใช้เงินน้อยลง หรือไม่ลดวงเงินแต่ถ้าจัดสรรให้คนจำนวนน้อยลง คนที่เดือดร้อนจริง ๆ  คนแก่ทำงานไม่ไหวและยังไม่สามารถพอเพียงได้ก็ได้เงินมากขึ้นจนอาจจะพอเพียง  

สำหรับเกษตกรจริง ๆ แทนที่จะเอาเงินไปช่วยโปะราคาซื้อให้เขา มันน่าจะช่วยลดต้นทุนให้เขา ลดค่าปุ๋ย สอนวิธีทีจะทำให้เขาได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ดูแลด้านชลประทาน ไม่ใช่ปล่อยไปตามธรรมชาติ เวลาเขาจะต้องถางไร่ถางนา จัดหารถไถให้เขา อาจจะฟรี หรือราคาถูกอะไรก็แล้วแต่ เขาอาจจะได้ไม่ต้องเผาด้วย ลดฝุ่น  PM ได้อีก สมัยผมเด็ก ๆ ยกย่องเกษตกรเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ถึงทุกวันนี้กระดูกสันหลังก็ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่แทบไม่ได้ดีขึ้นเลย  

เพียงพอถัดมาก็คือเรื่องสุขภาพ ไม่ว่าใครจะไม่ชอบทักษิณยังไง แต่ควรต้องยอมรับนะว่าโครงการ 30 บาท นี่ก็เป็นโครงการหนึ่งที่ชวยสนับสนุนให้เกิดความพอเพียงได้ อย่างน้อยแผนการที่อาจต้องออมเงินจำนวนมากเอาไว้เพื่อรักษาพยาบาล ก็อาจโยกไปไว้ในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วนกว่าได้ เอาจริง ๆ ถ้าทำได้อยากให้ลองรื้อระบบประกันสุขภาพของประเทศขึ้นมาให้เป็นระบบที่ดีกว่านี้ ส่วนตัวมองว่าถ้าคนเรามีความเพียงพอด้านสุภาพ มันก็อาจจะทำให้เขามุ่งหน้าไปสู่ความพอเพียงในระดับของเขาได้ง่ายขึ้น และเขาอาจสามารถจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับการดูแลด้านสุขภาพที่ดีขึ้นกว่าที่รัฐจัดให้

เพียงพอต่อมาคือด้านการศึกษา ที่มาเขียนไว้ลำดับนี้ ไม่ใช่มันไม่สำคัญนะ มันสำคัญน่าจะมากที่สุดเลย เพราะคนเราจะวางแผนชีวิตเพื่อไปสู่ความพอเพียงได้ มันก็เกิดจากการศึกษานี่แหละ ทำยังไงจะทำให้คนในประเทศมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน โดยได้คุณภาพที่ไม่แตกต่างกันมากนัก อันนี้ไม่ได้พูดถึงโรงเรียนทางเลือกอย่างโรงเรียนเอกชน หรือนานาชาตินะ คือถ้าใครมีปัญญาไประดับนั้นได้อย่างไม่ลำบากและคิดว่ามันคุ้มก็ไปทางนั้นได้ เพราะนั่นคือความพอเพียงในระดับของคนเหล่านั้น

โรงเรียนของรัฐจะปรับหลักสูตรยังไงให้เหมาะสมและเท่าเทียมกันให้มากที่สุดเทาที่เป็นไปได้ คือเข้าเรียนโรงเรียนไหนก็ได้ ถ้าเป็นแบบนี้คนก็จะเอาลูกหลานเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน นี่ก็ลดค่าครองชีพด้านการเดินทางแล้ว  การเรียนก็เน้นที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม คิดอย่างมีเหตุผล อ่านออกเขียนได้ สื่อสารได้ (ถ้าได้อย่างน้อยสองภาษาก็ดี) ในระดับชั้นประถม คือถ้าคนเราสื่อสารไม่ได้ พูดไม่รู้เรื่อง ฟังไม่รู้เรื่อง อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ มันก็ไปต่ออะไรยากนะ วิชาการต่าง ๆ ค่อยมาปรับมาเรียนในชั้นสูงขึ้นมา แทรกวิชาการวางแผน วิชาการเงินการลงทุนเข้าไป ทำให้เด็กคิดเป็นวางแผนชีวิตตัวเองเป็นตั้งแต่มัธยม ซึ่งเมื่อเขาวางแผนได้มันเขาจะได้วางแผนไปสู่ความพอเพียงตามแบบฉบับของเขา

อาจจะอุดมคติไปหน่อย แต่นี่คือความพอเพียงในความเข้าใจของตัวเอง ซึ่งก็คือการที่เราใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมตามอัตภาพของเรา ไม่คดโกงเบียดเบียนใคร จะรวยหรือจน จะประกอบอาชีพอะไรก็ได้ แต่การก้าวไปถึงความพอเพียงสำหรับหลายคนก็อาจต้องการการสนับสนุนที่เพียงพอจากภาครัฐด้วย ซึ่งถ้าภาครัฐไม่ทำอะไรเลย เราจะมีรัฐบาลกันไปทำไมล่ะ ใช่ไหมครับ...

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ความรู้สึกหลังเลือกตั้งจนได้รัฐบาลใหม่

ภาพจาก รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ


มาพบกับ #ศรัณย์วันศุกร์ กันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันนาน ในสัปดาห์นี้เราก็ได้ตัวนายกกันสักทีหลังจากที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วเกือบสามเดือน มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นมากมายที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ดังนั้นผมเลยคิดว่ามาลองสรุปความเห็น ความรู้สึกตัวเองไว้สักหน่อยดีกว่า

เริ่มจากผลการเลือกตั้งก่อนแล้วกันนะครับ ผลการเลือกตั้งออกมาต้องบอกว่าผมดีใจ และประหลาดใจ ซึ่งความประหลาดใจนี้ก็คงเหมือนกับหลายคนที่พรรคที่ชนะอันดับหนึ่งคือก้าวไกล โดยชนะเพื่อไทยไป 10 เสียง แต่เป็นสิบเสียงของบัญชีรายชื่อ ซึ่งถ้านับเสียงจริง ๆ ก็ราว ๆ สี่ล้านคะแนน ส่วนผลเขต ก้าวไกลได้เท่าเพื่อไทย และเอาชนะเพื่อไทยได้ในหลาย ๆ เขตที่ควรเป็นของเพื่อไทย ส่วนที่ดีใจคือผลเลือกตั้งคราวนี้ อย่างน้อยมันก็เป็นตัวบ่งชี้ระดับหนึ่งว่า คนไทยค่อนประเทศบอกว่าพอได้แล้ว ไม่เอาแล้วกับพวกยึดอำนาจ ซึ่งบริหารประเทศไม่ได้เรื่องด้วย คือถ้าบริหารประเทศได้เรื่อง อาจไม่แพ้ยับขนาดนี้

จากนั้นก็มีการจับมือกันของแปดพรรคนำโดยก้าวไกล และเพื่อไทย ซึ่งเอาจริง ๆ มันไม่น่าเกิดขึ้น แต่ผู้คนเชียร์ให้มันเกิดขึ้น เพราะคิดว่าสองพรรคนี้สู้กับฝั่งยึดอำนาจมาด้วยกันตอนเป็นฝ่ายค้าน แต่ความเป็นจริงสองพรรคนี้ต่างกันมาก ก้าวไกลยืนอยู่บนหลักการจนดูเหมือนไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ซึ่งก็ไม่ผิด เราควรคาดหวังว่าเราควรมีพรรคแบบนี้ไหม?  พวกที่ขัดขวางการเลือกตั้งจนประยุทธ์เข้ามา โดยอ้างว่าต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง จริง ๆ ควรดีใจด้วยซ้ำที่มีพรรคแบบนี้ แต่ข้อเสียคือด้วยระบบการเมืองแบบนี้ ถ้าพรรคแบบนี้ไม่ชนะขาด และไม่มีพรรคอื่น ๆ ที่มีหลักการเหมือนกัน โอกาสที่จะได้ทำงานมันก็ยาก ส่วนเพื่อไทยนั้นเป็นการเมืองแบบเก่า และเป็นมานานแล้ว คือสามารถประนีประนอม เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจบริหาร ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ เพราะในการเมืองแบบนี้ มันก็ต้องทำแบบนี้ ถึงจะได้อำนาจ ได้โอกาสเข้ามาทำงาน    

ดังนั้นการจับมือที่เกิดขึ้นคิดว่าเพื่อไทยอาจจะกำลังช็อคอยู่ที่แพ้ และด้วยเสียงเชียร์ก็เลยจำต้องตกลงเข้าร่วม ความเป็นจริงเพื่อไทยน่าจะคาดหวังว่าตัวเองควรจะได้เกิน 250 และก้าวไกลได้ไม่เกิน 100 ดังนั้นถ้าจับกับก้าวไกลแล้วมีปัญหาก็อาจจะไปเอาภูมิใจไทย ชาติพัฒนาอะไรพวกนี้มาร่วมแทน แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็เลยต้องตามน้ำไป    

และเราก็ได้เห็นกลไกการยึดอำนาจที่สืบทอดกันมาคือ สว. สำแดงเดช ซึ่งจริง ๆ กลไกนี้ ควรจะได้สำแดงเดชตั้งแต่สี่ปีที่แล้วแล้ว แต่บังเอิญเพื่อไทยไม่ได้ชนะขาดตามที่คาด ดังนั้นพวกสว.ก็อ้างว่าก็โหวตตามเสียงสส.นั่นแหละ แต่คราวนี้ใครที่มีใจเป็นธรรมก็คงเห็นแล้วว่าเขาโหวตกันยังไง  เรื่องต่าง ๆ ที่ยกมาเป็นข้ออ้างทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่อง ม.112 ซึ่งมันเป็นกฎหมายหนึ่งมาตรา ซึ่งต้องคุยกันในสภา ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินครึ่งเลยสักพรรค และสส.ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยเรื่องจะแก้ ยังไงมันก็ไม่ผ่านอยู่แล้ว ดังนั้นคราวที่แล้วใครที่เชียร์ประยุทธ์ และเถียงหัวชนฝาว่าใครรวมเสียงข้างมากได้สว.เขาก็โหวตให้ทั้งนั้น  หวังว่าจะเห็นแล้วนะ 

ด้วยความที่พรรคของประยุทธ์และประวิตรแพ้ขาด มันก็แทบจะปิดทางที่สองคนจะกลับมา ดังนั้นฝั่งอำนาจก็ต้องเลือก และเขาเลือกเพื่อไทย เพราะคิดว่ายังไงมันก็การเมืองแบบเก่า มันคุยกันได้ มันประนีประนอมกันได้ ถ้ายอมก้าวไกล โครงสร้างอำนาจต่าง ๆ ที่วางไว้มันก็คงพังหมด จึงเกิดปรากฏการณ์สลายขั้วแปดพรรคอย่างที่เห็น ซึ่งเพื่อไทยก็เอาด้วยอยู่แล้ว เพราะ(อาจ)ไม่อยากร่วมแต่แรก และอยู่กับก้าวไกลมันมองไม่เห็นทางเพราะพวกที่มีอำนาจเขายืนยันว่าไม่เอา ตัวเองเป็นพรรคพร้อมประนีประนอมเพื่อให้ได้อำนาจปกครองอยู่แล้ว  ก็จำยอมเสียมวลชนไปบางส่วน และคิดว่าจะบริหารให้ดี ถ้าทำดีได้ ก็อาจได้มวลชนกลับมา ซึ่งก็อาจจะจริงก็ได้นะ ก็ต้องรอดูกันไป 

ถามว่าตัวเองรู้สึกผิดหวังหรืออะไรไหม คำตอบคือไม่ ใครจะเป็นรัฐบาลก็ได้ เอาจริง ๆ ตัวเองไม่เดือดร้อนนะ แต่ขอให้มาตามหลักการตามกติกา และรู้จักรอ ไม่ใช่เกลียดใครพอเขาทำอะไรก็ผิดไปหมด ลงถนนประท้วงปิดบ้านปิดเมือง เขาให้ไปเลือกตั้งก็ไม่ไป ไอ้ไม่ไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ไปขัดขวางก่อความวุ่นวายจนเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วเปิดโอกาสให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ แล้วก็ไชโยโห่ร้องว่าชนะแล้ว แต่ฝ่ายที่ตัวเองชอบมีอำนาจ ทำเหมือนกันแต่เหมือนโดนสากอุดปาก ไอ้พวกโดนสากอุดปากไม่พูดอะไรนี่ก็ยังดี บางคนเอาสากออกจากปากมาแก้ตัวให้ข้าง ๆ คู ๆ อีก หลายครั้งต้องหงุดหงิดกับตรรกะประหลาด ๆ ของคนพวกนี้ 

ในกรณีนี้ที่ได้เพื่อไทยเป็นแกนนำ ถึงแม้จะต้องจับกับพรรคยึดอำนาจเก่า ยังไงมันก็อยู่ในกติกานะ ดังนั้นไม่เห็นด้วยถ้าจะประท้วงปิดบ้านปิดเมืองกัน ก็รอให้เขาทำงานไป แล้วดูผลงาน จริง ๆ ต้องเอาใจช่วยด้วยซ้ำว่าเขาจะเก่งเหมือนที่เคย เพราะเก้าปีที่ผ่านมาภายใต้ประยุทธ์ มันดูเละเทะมาก ถ้ามันยังเละต่อไปอีก คราวนี้ได้เดือนร้อนกันถ้วนหน้าแน่

แต่ถ้าถามว่าหงุดหงิดอะไรที่สุด คำตอบก็คือ กลไกยึดอำนาจนี้มันยังทำงานอยู่ ดึใจได้วันสองวันวันที่ผลเลือกตั้งออกมาว่าพวกยึดอำนาจแพ้ขาด นึกว่ามันจะสำนึกยอมแพ้ เพราะก็อยู่มาเก้าปีแล้ว แต่มันก็ไม่ยอมและสุดท้ายคนที่ชนะก็ยังเป็นพวกมันอยู่ดี ชี้ว่าจะเอาอะไร จะไม่เอาอะไรได้หมด และตอนนี้ก็ดูแล้วกัน ตามข่าวที่ออกมา (ุถ้าจริง) ก็ดูเหมือนว่าจะมีการชี้ว่าที่รมต.กลาโหม ซึ่งคือคนของประยุทธ์ ถ้าเป็นแบบนี้จริงก็เท่ากับว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ชนะ ประยุทธ์ที่บอกวางมือ อาจไม่ได้วางมือ และประวิตรก็อาจรอเสียบอยู่ 

ที่หงุดหงิดถัดมาก็เพื่อไทยนี่แหละ ทำไมยังสยบยอมมันทุกอย่าง ตอนนี้ตัวเองได้นายกแล้ว มันน่าจะแสดงความเข้มแข็งเด็ดขาดออกมาบ้างไหม อย่างแก้รัฐธรรมนูญ ตอนแรกก็เสียงแข็งแก้แน่ พอเข้ามาเป็นจะแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งสสร. ร่างใหม่ทั้งฉบับ คงหวังจะได้มวลชนคืนบ้าง (อ้างเหมือนประชาธิปัตย์ตอนเข้าร่วมกับประยุทธ์เป๊ะ ผ่านมาจนครบอายุ ไม่เห็นจะรณรงค์ให้แก้อะไรได้) แต่สุดท้ายตอนนี้เสียงอ่อนแล้ว "มันเป็นแค่การรณรงค์หาเสียง จริง ๆ ยังไม่ได้มีนโยบายอะไรออกมา" (ต่อไปเพื่อไทยหาเสียงอะไร ก็ไม่ต้องเชื่อแล้วสินะ เพราะเป็นแค่การรณรงค์)  

แล้วก็ยังคำว่าสลายขั้วสลายความขัดแย้งอีก เบื่อมาก มันสลายยังไง แค่หัวที่เคยขัดแย้งกันมารวมกันเพื่ออำนาจ มวลชนตัวเองเขาเอาด้วยหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วที่ถีบหัวที่มีคนสนับสนุนอย่างน้อย 14 ล้านเสียงออกมาแบบหาเรื่องเขานี่ คือถ้าเป็นคนนี้ยังไงก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่เอาเพราะพูดว่าจะแก้ 112  อีกคนก็พูดเหมือนกันแต่ไม่เป็นไรยอมได้ ตรงนี้นี่มันไม่ได้สร้างความขัดแย้งเลยใช่ไหม หรือคน 14 ล้านนี้ไม่ต้องสนใจมัน 

โอเคก็ขอบันทึกไว้แค่นี้แล้วกันครับ เอาใจช่วยรัฐบาลใหม่ฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ สภาช่วยกันแก้กฏหมายให้มันเป็นธรรม โละองค์กรอิสระที่ทำงานไม่ได้เรื่อง ไม่ทำหน้าที่ที่ึควรทำ และไม่มีความจำเป็นออกไป รอเวลาที่อำนาจจะกลับมาในมืออีกครั้ง ถึงวันนั้นก็หวังว่าเสียงที่เราโหวตไปมันจะเป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่มีเรื่องอะไรที่มันไม่ปกติมาขวางอีก หวังว่าจะไม่มีการปิดบ้านปิดเมืองเรียกทหารออกมาอีก และพวกสว.ชุดนี้ ควรจะมีสำนึกโดยเลิกกลับเข้ามาทำงานการเมืองกันได้แล้ว โดยเฉพาะคนที่เกาะสภามาเป็นสิบ ๆ ปี ปากบอกรักธรรมนูญเหลือเกินอย่ามาแตะต้อง แต่พอพวกทหารออกมาฉีกก็เงียบกริบ รอวันถูกเรียกใช้ไปเป็นสภาตรายาง และก็ทำทุกอย่างเพื่อช่วยสืบทอดอำนาจ ไม่รู้ว่าจะหวังมากไปไหมว่า ถ้ามีช่องทางจะเอาผิดคนพวกนี้ได้ก็อยากให้ทำ รวมถึงพวกยึดอำนาจด้วย นายกที่มีที่มาจากยึดอำนาจ ให้ไม่นับว่าเคยเป็นนายก  


วันศุกร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2566

มุมมองส่วนตัวกับกรณีการประท้วงของเด็กที่ชื่อหยก

ไม่ได้เขียน #ศรัณย์วันศุกร์ มานานมาก บางทีมีเรื่องอยากเขียนมันก็เลยวันศุกร์มาแล้ว ถ้าเขียนมันจะกลายเป็น #ศรัณย์วันอื่นๆ ไป จะไปเขียนอีกศุกร์หนึ่งเรื่องมันก็ไม่น่าสนใจแล้ว แต่วันนี้ขอเขียนเรื่องที่กำลังประเด็นอยู่ตอนนี้ ก็คือเรื่องนักเรียนคนหนึ่งที่กำลังทำอารยะขัดขืนเพื่อต่อต้านสิ่งที่เขาคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ก็คือเรื่องชุดนักเรียน และเสรีภาพในตัวเอง 

ส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ต้องแยกอออกเป็นหลายประเด็น ประเด็นที่หนึ่งคือเครื่องแบบกับเรื่องทรงผมอะไรพวกนี้มันมีผลอะไรกับการเรียนหรือไม่ ซึ่งทุกคนก็คงมีความเห็นเหมือนกันว่าเรื่องพวกนี้มันไม่เกี่ยวกับผลการเรียนเลย 

ประเด็นที่ต่อเนื่องถัดมาคือถ้ามันไม่สำคัญแล้วทำไมบางโรงเรียนถึงต้องให้ใส่เครื่องแบบ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าจริง ๆ มันเป็นสิทธิของโรงเรียนที่เขาจะวางกฏของเขา และเขาก็มีเหตุผลของเขา และไม่ใช่แค่โรงเรียนในไทยที่โรงเรียนมีเครื่องแบบ ในประเทศที่มีประชาธิปไตยเยอะ ๆ บางโรงเรียนเขาก็มีเครื่องแบบ ดังนั้นก่อนที่เราจะเข้าไป เราก็ต้องถามตัวเองก่อนว่าเรารับกฏเขาได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้องเข้าไป ซึ่งเขาจะมีเหตุผลอะไรก็แล้วแต่นะครับ แต่แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวกับผลการเรียนแน่

ประเด็นต่อเนื่องถัดมาคือทำไมถึงมีเด็กที่ต่อต้าน ส่วนตัวมองว่าเพราะมันมีการใช้อำนาจเกินขอบเขตและไม่มีเหตุผลในการควบคุมตรงนี้ คำถามคือมันมีเหตุผลอะไรที่ต้องตัดผมเกรียน หรือสั้นขนาดที่ต้องเอาไม้บรรทัดมาวัด ขาดไปไม่กีมิลก็ไม่ได้ คือมันไม่ใช่โรงเรียนฝึกทหารนะ โรงเรียนแบบนั้นเขาต้องการฝึกคนอีกแบบหนึ่ง ส่วนตัวอาจอคติเกินไปก็ได้เพราะคิดว่ามันเหมือนเป็นที่แสดงอำนาจเหนือเด็กของครูบางคน และก็ไม่ปรับตัวตามยุคสมัย ส่วนตัวมองว่าถ้าทำให้มันเป็นธรรมชาติ ไม่ไปบังคับเรื่องไร้สาระเกินไป มันไม่น่าจะมีประเด็นขนาดนี้ และวิธีการลงโทษก็ทำเกินเลยใช้อำนาจนิยม เช่นตัดผมจนแหว่ง กร้อนผม และอะไรต่ออะไร ซึ่งคนเป็นครูที่ควรจะมองเด็กเหมือนเป็นลูกตัวเองคนหนึ่ง เวลาจะทำอะไร ให้นึกว่าถ้าเป็นลูกตัวเองจะทำแบบนี้ไหม มันอาจจะช่วยให้ไม่ทำก็ได้ 

อีกอย่างก็ต้องยอมรับถึงยุคสมัยที่มันเปลี่ยนไปด้วย อย่างเรื่องย้อมสีผมอะไรแบบนี้ ส่วนตัวมองว่ามันก็เป็นแค่แฟชันที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมกัน และมันก็จะหายไปเมื่อเขาโตขึ้น  มันน่าแปลกที่ทุกคนก็ผ่านช่วงวัยรุ่นมาแล้วทั้งนั้น และมันก็มีเรื่องที่เราอึดอัดคับข้องใจ มีขนบบางอย่างทื่เราก็อยากแหก หรือบางคนก็แหกไปแล้ว ซึ่งเราก็อาจเคยตั้งคำถามว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงต้องห้าม และเราก็โกรธผู้ใหญ่ตอนนั้น แต่พอตอนเราโตขึ้นมาเรากลับลืม และกลับทำกับเด็กเหมือนกับที่เราโดนทำมา

เรื่องบางเรื่องแทนที่จะใช้การบังคับ เราใช้การพูดกับเขาด้วยเหตุผล ให้เขาคิดเองไหม อย่างเช่นถ้าเด็กใส่ประโปรงสั้นเกินไป หรือไม่ใส่เสื้อซับใน แทนที่จะลงโทษด้วยการประจาน ถ้าเราเปลี่ยนเป็นเตือนว่า ถ้าเธอนุ่งกระโปรงสั้นเวลาเดินทางเธอต้องระวังตัวนะ เดี๋ยวนี้มันมีพวกโรคจิตแอบถ่ายใต้กระโปรง แบบนี้มันอาจจะทำให้เขาคิดได้ว่า เออถ้าเราใส่กระโปรงให้มันยาวหน่อยก็น่าจะช่วยเซฟตัวเองจากพวกโรคจิตได้มากขึ้น

ประเด็นถัดมาก็คือประเด็นที่เด็กที่ชื่อหยกทำอยู่ตอนนี้ เริ่มจากตัวเด็กก่อน ถามว่าเด็กทำถูกไหม ถ้าจะมองในแง่ของกฏก็ต้องบอกว่าทำไม่ถูก เพราะกฏของโรงเรียนเด็กก็รับทราบมาก่อนแล้ว แต่สิ่งที่เด็กทำอยู่ตอนนี้คือสิ่งที่อาจเรียกว่าอารยะขัดขืน เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงกฏซึ่งเขามองว่ามันไม่มีเหตุผล 

ส่วนตัวมองว่าเด็กทำข้ามขั้นตอนไป เพราะก่อนที่จะไปถึงอารยะขัดขืน มันต้องเริ่มตามระบบก่อนไหม ถ้าทำตามระบบแล้ว ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นธรรมค่อยอารยะขัดขืน อะไรที่เรียกว่าทำตามระบบ ประการแรกเด็กต้องถามก่อนว่าคนในโรงเรียนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนกฏนี้ไหม ถ้ามีแค่ตัวเองคนเดียว หรือไม่กี่คน ก็ควรต้องหยุด นั่นคือเสียงส่วนใหญ่เขาไม่เอาด้วย แต่ถ้ามีคนเห็นด้วยก็เข้าชื่อกันยื่นข้อเรียกร้องต่อรองกับโรงเรียน ซึ่งก็อาจมีการเจรจากันถึงจุดที่ยอมรับได้ โดยทุกฝ่ายมีความสุข อันนี้ก็จบด้วยดี แต่ถ้าโรงเรียนไม่มีเหตุผล ไม่รับฟังเลย แถมใช้อำนาจว่าฉันเป็นผู้ใหญ่นะ อันนี้ก็อาจจะมีการอารยะขัดขืน และตอนนี้แทนที่จะทำคนเดียวก็อาจมีคนร่วมทำด้วย 

อีกอย่างที่อยากเตือนทุกคนคือ ความหยาบคายไม่เคยนำไปสู่ทางออก เพราะมันจะเบี่ยงเบนประเด็นที่ต้องการจะถกกัน และสุดท้ายจะไม่มีใครฟังใคร และจะจ้องโจมตีกันที่ตัวบุคคล

ประเด็นถัดมาคือโรงเรียน ประการแรกคือโรงเรียนนั้นดีที่ยอมให้หยกมารายงานตัวเข้าเรียน จากกรณีการโดนเอาไปกักขังในสิ่งที่เขามองว่าไม่เป็นธรรม แต่กลับมาจัดการเรื่องนี้ได้แย่มาก (ตอนที่เขียนอยู่นี้ได้ข่าวว่าโรงเรียนเรียกตำรวจมาจัดการ) จริง ๆ แล้วโรงเรียนควรเป็นคนเริ่มพูดคุยกับเด็กว่าต้องการอะไรในการทำแบบนี้ อธิบายว่าทุกที่มีกฏมีกติกาของตัวเอง ประโยชน์ของการมีกฏนี้คืออะไร ซึ่งประชาคมในกลุ่มต้องปฏิบัติตามกฏนี้ แต่ถ้ามีคนเห็นว่ากฏต้องมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องผ่านการเห็นชอบจากชุมชน จะยกตัวอย่างพรรคก้าวไกล (ซึ่งมีคนชอบโทษว่าเขาล้างสมองเด็กให้เป็นแบบนี้) ก็ได้ว่า กฏหมายต่าง ๆ ที่จะทำให้เกิดข้อโต้เถียงกัน เขายังจะใช้การโหวตในสภาเลย แล้วก็ยอมรับผลการโหวตนั้น

โรงเรียนควรเป็นผู้เสนอทางออกว่างั้นเรามาทำประชามติกันในโรงเรียนไหมว่ามีใครเห็นด้วยบ้าง แล้วจะแก้ยังไง แต่งธรรมดาสามวัน เครื่องแบบสองวันดีไหม อะไรแบบนี้ ผลออกมายังไงมันก็เป็นอย่างนั้นนะ แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนเห็นด้วยกับแนวทางประชาธิปไตย  ถ้าเด็กจะเคลื่อนไหวส่งเสริมประชาธิปไตยก็ควรยอมรับแนวทางนี้ และไม่ควรตัดสิทธิในการเข้าเรียนของเด็ก ให้เด็กต้องปีนเข้าไปเรียน อันนี้อาจมีคนเถียงว่างั้นเดี๋ยวก็มีคนทำตาม ถ้ามีคนทำตามแสดงว่าอะไรล่ะ มันก็แสดงว่ามีคนอยากทำแต่ไม่กล้าทำไง ดังนั้นถ้าโรงเรียนอยากจบเรื่องเร็ว ส่วนตัวมองว่าก็รีบทำประชามติไปเลย โดยต้องตกลงกับเด็กว่ายอมรับผลทั้งสองฝ่ายนะ เด็กจะไปรณรงค์หาเสียงอะไรก็ปล่อยเขาเต็มที่ 

ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง ซึ่งมองว่าปัญหาทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องที่มองต่างกัน ควรแก้ไขผ่านกลไกของระบบที่เป็นธรรม อย่าใช้แต่อำนาจ หรือคำว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ ฉันรู้ดีกว่า ซึ่งความคิดแบบนี้แหละที่มันทำให้ประเทศเรามีปัญหากันแบบทุกวันนี้ 

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

I Feel Fine

วันศุกร์นี้อยากมาชวนฟังเพลงกันครับ ไม่ได้ฟังกันมานานแล้ว เพลงที่จะมาชวนฟังก็เป็นเพลงของ The Beatles คือ I Feel Fine เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากครับ เพราะหนึ่งในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูลมาอย่างเหนียวแน่นมาสีสิบกว่าปีได้  ตามข่าวความสำเร็จของทีมจากหนังสือนิตยสารเป็นส่วนใหญ่ในยุค ปลาย  70 ต่อ 80 ที่ทีมครองความยิ่งใหญ่ เพราะในช่วงนั้นการสื่อสารยังไม่ดีเท่าทุกวันนี้ โอกาสจะมีบอลถ่ายทอดทีมโปรดมาให้ดูสักนัดก็ยากมาก ผ่านยุคตกต่ำที่ต้องมองความสำเร็จของแมนยูปีแล้วปีเล่าในยุค 90 ที่ได้เริ่มดูถ่ายทอดสดได้มากขึ้น แต่ก็ต้องมองทีมตัวเองมีได้แค่ลุ้นตอนต้น ๆ ของฤดูกาล แล้วก็ค่อย ๆ หายไปจนไม่มีเหลือลุ้นอะไร เหมือนที่แมนยูเป็นอยู่ตอนนี้

แต่ถึงตอนนี้คงต้องบอกว่ากองเชียร์ลิเวอร์พูลทุกคนคงจะอยู่ในสถานะ I Feel Fine เพราะผลงานของทีมที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การดูแลของชายที่ชื่อว่า เจอร์เก็น คลอปป์ ซึ่งกำลังพาลิเวอร์พูลกลับสู่ยุครุ่งเรื่องอีกครั้ง ในฤดูกาลนี้ก็ยังมีลุ้นทุกรายการที่ลงแข่ง เป็นทีมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของโลก และนอกจากนี้ยังมีข่าวดีอีกคือ คลอปป์ ยอมขยายสัญญาตัวเองออกไปจากที่จะหมดลงในปี 2024 เป็นปี 2026 ดูหมือนว่ามันจะขยายไปอีกไม่นาน แต่สำหรับแฟนลิเวอร์พูลแล้ว ผมว่าคลอปป์ยอมต่อสัญญาออกไปแม้จะเป็นแค่ปีเดียวก็ทำให้แฟน ๆ มีความสุขแล้ว เพราะมันหมายความว่าลิเวอร์พูลก็จะมีโอการประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปอีกตามจำนวนปีที่คลอปป์อยู่ต่อ

นอกจากจะรู้สึก Fine แบบชื่อเพลงแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากจะมาชวนฟังเพลงนี้ก็เพราะ กองเชียร์ลิเวอร์พูลที่อังกฤษได้แต่งเพลงสั้น ๆ ให้คลอปป์ โดยใช้ทำนองเพลง I Feel Fine นี้ครับ ไปฟังเพลงและดูเนื้อร้องของเพลงนี้กันก่อนครับ 


 Baby's good to me, you know

She's happy as can be, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine, mm

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine
She's in love with me and I feel fine

และนี่คือเพลงของคลอปป์ครับ



เนื้อเพลงก็สั้น ๆ ตามนี้ครับ

I'm so glad that Jurgen is a Red.

I'm so glad he delivered what he said.

Jurgen said to me, you know. We'll win the Premier League, you know. He said so.

I'm in love with him and I feel fine.


วันศุกร์นี้ก็ขอแสดงความ Fine ตามประสาเดอะค็อปสักวันนะครับ และก็ตามลุ้นให้ทีมทำภารกิจ 4 แชมป์ ที่แทบจะเป็น mission impossible ได้สำเร็จ 

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2565

ค่าไฟแบบ TOU จริง ๆ เดือนแรกมาแล้ว

TOU-meter
มิเตอร์ TOU

วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังต่อเนื่องจากบทความเรื่องไฟ TOU อันแรกนะครับ ถ้าใครยังไม่ได้อ่านก็อาจเข้าไปอ่านก่อนได้นะครับ  เรื่องวุ่น ๆ กับไฟ TOU  แต่ถ้าขี้เกียจอ่านผมสรุปให้ฟังคร่าว ๆ ก็คือ ผมได้ขอติดตั้งไฟแบบ TOU คือคิดอัตราตามเวลาการใช้งาน คือ 9.00-22.00 วันจันทร์ถึงศุกร์ก็แพงหน่อย แต่จาก 22.00-9.00 วันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดราชการก็ถูกหน่อย โดยการไฟฟ้าได้มาติดตั้งให้ในเดือนธันวาคม แต่ปรากฏว่ามิเตอร์ที่การไฟฟ้าเอามาติดเสีย การไฟฟ้าก็เลยประมาณ (มโน) ค่าไฟบ้านผมมาจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะต้องรอเบิกมิเตอร์ใหม่ 

แต่ในเดือนมีนาคมผมก็ได้ยอดใช้จ่ายจริงมาแล้วครับ วันนี้ผมก็เลยจะมาลองคำนวณให้ดูนะครับว่าค่าไฟถ้าคิดแบบ  TOU กับแบบเดิมมันประหยัดลงมากไหม เพราะในบทความแรกก็มีคนอยากรู้ เพราะถ้าคุ้มเขาก็อยากลองไปติดบ้าง ในบทความนี้ผมจะคิดเฉพาะค่าไฟนะครับ ไม่ได้คิดค่าบริการ ค่า FT และ VAT  โดยเดือนมีนาคมนี้ตามบิลค่าไฟบ้านผมใช้ไปแบบนี้ครับ on peak (ราคาแพง) 98 หน่วย off peak (ราคาถูก)  489 หน่วย ถ้าไม่คิดแยกเท่ากับบ้านผมใช้ไฟรวม 587 หน่วยนะครับ

โอเคคราวนี้มาดูอัตราค่าไฟกันครับ รายละเอียดตามลิงก์นี้ครับ  

เนื่องจากบ้านผมเป็นบ้านพักอาศัย และมีอัตราการใช้ไฟเกิน 150 หน่วยต่อเดือน ดังนั้นอัตราค่าไฟก็คือ 

 150 หน่วยแรก (หน่วยที่ 0 – 150) 3.2484

250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151 – 400)  4.2218

เกิน 400 หน่วยขึ้นไป (หน่วยที่ 401 เป็นต้นไป) 4.4217

ถ้าคิดตามสูตรนี้ก็คือ ผมจะต้องเสีย 150 * 3.2484 + 250 * 4.2218 + 187 * 4.4217 = 2369.56 บาท 

แต่ถ้าคิดแบบ TOU ของผมจะเข้า 1.2.2 อัตราก็คือ 

 แรงดันตํ่ากว่า 22 กิโลโวลท์ on peak 5.7982, off peak   2.6369

ค่าไฟที่ผมต้องจ่ายคือ 98 * 5.7982 + 489 * 2.6369 = 1857.66 บาท

ดังนั้นส่วนต่างก็คือ 2369.56-1857.66 = 511.9 บาท  เท่ากับประหยัดไปได้ประมาณ 500 บาท

สำหรับใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้วอยากจะเปลี่ยนมาใช้แบบนี้ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มอย่างนี้นะครับ มันมีค่าเปลี่ยนมิเตอร์อยู่ประมาณ 6600 บาท ซึ่งถ้าผมประหยัดได้เดือนละ  500 แบบนี้ จะใช้เวลาประมาณหนึ่งปีจึงจะได้จำนวนเงินเท่ากับค่ามิเตอร์ที่จ่ายไป นั่นคือจะประหยัดได้จริง ๆ ก็ต้องหนึ่งปีผ่านไปแล้ว และเราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟสักเล็กน้อยนะครับ อย่างเปิดแอร์ผมก็จะรอสี่ทุ่ม จะซักผ้าโดยใช้เครื่องซักผ้า อบผ้า ก็จะรอสี่ทุ่ม หรือรอวันหยุด อีกอย่างหนึ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือถ้าใครไปขอเปลี่ยนแล้ว แล้วปรากฏว่าค่าไฟมันแพงกว่าเดิม จะขอเปลี่ยนกลับเลยไม่ได้นะครับ จะต้องใช้แบบนี้ไปอย่างน้อยหนึ่งปีจึงจะขอเปลี่ยนกลับได้ 

ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากเปลี่ยนนะครับ อ้อเกือบลืมศุกร์นี้อยู่ในช่วงสงกรานต์พอดี ก็ขออวยพรให้มีความสุขกัน เดินทางปลอดภัย และรอดพ้นภัยโควิดนะครับ สุขสันต์เทศกาลสงกรานต์ ปีใหม่ไทยครับ...  

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2565

วันนี้ได้ใช้ M-Flow แบบลงทะเบียนแล้ว



M-Flow
M-Flow

หลังจากที่เมื่อสามสัปดาห์ก่อนผมได้เล่าประสบการณ์หลงเข้าไปใช้ M-Flow แบบไม่ได้ตั้งใจให้อ่านกันไปแล้วในบล็อกนี้ครับ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การใช้ M-Flow แบบลงทะเบียนแล้วให้อ่านกันครับ ก็คือหลังจากวันที่ผมหลงเข้าไปวันรุ่งขึ้นผมก็ตัดสินใจสมัครสมาชิก M-Flow ครับ 

ตอนแรกตั้งใจจะสมัครเต็มรูปแบบ แต่เนื่องจากรถที่ผมใช้ชื่อผู้ครองกรรมสิทธิ์เป็นชื่อคุณภรรยาครับ ซึ่งก็จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมจากบัตรประชาชน ทะเบียนรถ รูปถ่ายด้านหน้ารถ นั่นก็คือหนังสือยินยอมจากภรรยา ผมก็เลยขี้เกียจยุ่งยากครับ เลยตัดสินใจสมัครผ่าน Line @mflowthai ครับ ซึ่งง่ายอย่างไม่น่าเชื่อคือ add Line @mflowthai ก่อนจากนั้นก็สมัครโดยข้อมูลที่ต้องให้เขาก็คือ ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ และเลขทะเบียนรถ อ้ออีกอันหนึ่งก็คือเลขที่บัตรเครดิตที่เราจะให้ตัดครับ ใช้เวลาไม่น่าเกินห้านาทีก็เรียบร้อยครับ ไม่ต้องถ่ายรูปอะไรทั้งนั้น แต่สมัครแบบนี้จะไม่ได้สิทธิประโยชน์เหมือนสมัครเต็มรูปแบบนะครับ อย่างได้ลดค่าผ่านทาง 20% ผ่านฟรีสองครั้งแรก แล้วก็ยังเลือกวิธีจ่ายเงินได้หลากหลาย ไม่ใช่ตัดบัตรเครดิตอย่างเดียว แต่ก็สมัครยุ่งกว่า ใช้เอกสารมากกว่า ก็ลองเลือกกันดูนะครับ ถ้าเหมือนผมคือไม่ได้ผ่านบ่อย ๆ ไม่อยากยุ่งยาก และมีบัตรเครดิต จะสมัครแบบ Line ก็สะดวกดีครับ และอีกอย่างครับใน Line เขามีเมนูให้เราแก้ไขข้อมูลทะเบียนรถ และบัตรเครดิตด้วยนะครับ นั่นคือถ้าเราเปลี่ยนรถหรือจะเปลี่ยนบัตรเครดิตก็แค่ไปเปลี่ยนที่เมนูนี้สะดวกมาก  

หลังจากสมัครแล้วผมก็ไม่ได้ใช้บริการหรอกครับจนกระทั่งวันนี้ เมื่อไปถึงด่านธัญบุรี 2 ก็พบว่ามีรถไปคับคั่งอยู่ในด่านแบบจ่ายเงินและแบบ M-Pass ติดกันยาวเหยียดครับ  ซึ่งก็ไม่เข้าใจนะครับว่าทำไมทางกรมทางหลวงถึงยังแก้ปัญหาไม่ได้ คือเหมือนคนก็ยังไม่รู้ว่าเขาสามารถวิ่งผ่าน M-Flow ไปก่อนแบบไม่ลงทะเบียนแล้วไปจ่ายทีหลังได้ และอีกอันก็คือตู้ M-Pass เดิมสองอันขวาสุดก็ปิดไว้เฉย ๆ ไม่ให้เข้าไปใช้ และปัญหาคือการติดจากหน้าด่านตรงนั้นท้ายแถวมันมาขวางทางไป M-Flow ด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็มีคนที่ไม่รู้วิ่งเลน M-Flow มาก่อน แล้วพอรู้ตัวว่าวิ่งผิดก็พยายามไปแทรกเข้าช่องจ่ายปกติ ยังไงก็ฝากแก้ปัญหาด้วยนะครับ

เมื่อผมหลุดท้ายแถวที่ขวางมาได้ผมก็มาที่เลน M-Flow ครับ คราวนี้ผมวิ่งใช้ความเร็วปกติครับ ประมาณ 90 (คิดว่าไม่น่าวิ่งเกินนี้ได้นะครับ ตราบใดที่เข้ายังมีด่านที่ต้องเข้า ไม่กล้าวิ่งเร็วเกินนี้) ก็ผ่านมาได้โดยสะดวกครับ และเมื่อมาเช็คบัตรเครดิต ก็พบว่ามีการตัดยอดเข้ามาหลังจากวิ่งผ่านด่านมาประมาณ 10 นาทีครับ อันนี้แปลกใจหน่อย ๆ ครับ เพราะเท่าที่หาข้อมูลมาเขาจะตัดตอนเที่ยงคืนของวันที่ใช้งาน คือสมมติวันนั้นเราวิ่งไป แล้วก็วิ่งกลับ เขาจะตัดเป็นยอดเดียวคือ 60 บาท แต่นี่ผ่านปุ๊ปแทบจะตัดปั๊ป  แต่ก็โอเคครับ แสดงว่าระบบใช้ได้ อ่านเลขทะเบียนถูก ตัดเงินได้ และถ้าไม่ได้วิ่งผ่าน ก็ยังไม่มีการตัดมั่ว ๆ เข้ามา อ้อแล้วเขาก็แจ้งผ่าน Line ด้วยนะครับว่าเขาตัดบัตรเครดิตเราแล้ว  

ก็มาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกันอีกครั้งครับ เป็นข้อมูลให้เผื่อใครที่สนใจ อยากสมัครแบบง่าย ๆ และอยากย้ำอีกรอบนะครับ ไม่ลงทะเบียนก็ยังวิ่งผ่านได้ วิ่งไปก่อนจ่ายทีหลัง การจ่ายก็ไม่ยุ่งยากใช้ผ่าน  Mobile Banking เหมือนที่เราใช้กันทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาติดอยู่หน้าด่านครับ...    

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เรื่องวุ่น ๆ กับไฟ TOU

มิเตอร์ TOU


สวัสดีครับ #ศรัณย์วันศุกร์ วันนี้ผมขอนำเสนอเรื่องประสบการณ์กับค่าไฟ TOU ครับ จริง ๆ ว่าจะเขียนเรื่องนี้ตั้งแต่ศุกร์ที่แล้ว แต่บังเอิญมีเรื่อง M-Flow เข้ามาซะก่อน ซึ่งหลังจากเขียนไปก็เห็นว่ามีคนมีประสบการณ์วิ่งผ่านช่อง M-Flow แล้วถูกปรับกันเยอะแยะ ซึ่งโชคดีที่ตัวเองไม่โดนเพราะมองเห็นวิธีจ่ายพอดี และตอนนี้เท่าที่ตามข่าวมา M-Flow ก็จะคืนค่าปรับให้แล้วนะครับ 

มาเข้าเรื่องวันนี้กันดีกว่าวันนี้จะมาเล่าเรื่องประสบการณ์กับค่าไฟแบบ TOU ครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าค่าไฟแบบ TOU คืออะไร สรุปง่าย ๆ ก็คือการคิดอัตราค่าไฟฟ้าตามเวลาที่ใช้ TOU ย่อมาจาก Time of Use ครับ โดยการไฟฟ้าจะแบ่งการคิดอัตราค่าไฟออกเป็นสองช่วงเวลาคือช่วงเวลา Peak ก็คือช่วงที่มีการใช้ไฟเยอะ ก็คือจันทร์ถึงศุกร์ 9.00-22.00 (รวมวันพืชมงคล และวันแรงงานด้วย) ตรงนี้จะคิดค่าไฟแพง กับช่วง off-peak คือช่วงที่มีการใช้ไฟต่ำ คือจันทร์ถึงศุกร์ 22.00-9.00 เช้า วันเสาร์อาทิตย์ทั้งวัน วันหยุดราชการที่ไม่ใช่วันหยุดชดเชย วันพืชมงคล และวันแรงงานที่ตรงกับเสาร์อาทิตย์ ตรงนี้จะคิดค่าไฟถูก รายละเอียดสามารถดูได้จากที่นี่ครับ  

เอาจริง ๆ ตอนแรกผมก็ไม่รู้จักหรอกนะครับ แต่คุณภรรยาไปเจอมา แล้วก็ตัดสินใจสมัครไป รู้สึกจะมีค่าธรรมเนียมการสมัครด้วยนะครับ ผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร และการไฟฟ้าก็มาเปลี่ยนมิเตอร์เป็นแบบ TOU ให้เมื่อประมาณกลางเดือนหรือสัปดาห์ที่สามของเดือนธันวาคมปีที่แล้วนี่แหละครับ พอมาเปลี่ยนปุ๊ปบ้านผมก็เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟกันครับ อย่างผมปกติจะเริ่มเปิดแอร์ตอนประมาณสองทุ่มก็ยืดเป็นสี่ทุ่ม ยอมทนร้อนเพิ่มสองชั่วโมง 

คราวนี้ก็รอดูว่าค่าไฟจะถูกลงเท่าไร  ปรากฏว่าเมื่อบิลค่าไฟเดือนมกราคมมาถึงมันแพงขึ้นกว่าปกติครับ ซึ่งก็ทำให้ผมกับภรรยาประหลาดใจมาก (โดยเฉพาะผมอุตส่าห์ทนร้อนเพิ่ม) ขณะที่กำลังงง ๆ ว่าหรือมันจะคิดแบบเดิมรวมมาด้วยก่อนเปลี่ยน และจะรอดูอีกสักเดือนหนึ่ง ปรากฏว่าวันที่ 24 มกราคม มีรถการไฟฟ้ามาดูที่มิเตอร์ ซึ่งภรรยาผมก็ออกไปถามได้ความว่ามิเตอร์เสียครับ เสียตั้งแต่วันที่เอามาติดคือค่าไฟไม่เดินเลยเป็น 0 หมด และที่มานี่แค่มาดูนะครับ ยังไม่ได้มาเปลี่ยนเพราะยังเบิกของไม่ได้ 

คราวนี้ถ้ามิเตอร์เสียแล้วค่าไฟมาจากไหน คุณภรรยาก็เลยโทรไปการไฟฟ้า ซึ่งการไฟฟ้าแจ้งว่ามิเตอร์เสีย และคนที่มาจดคิดว่าเป็นบ้านไม่มีคนอยู่ก็เลยจดเป็นศูนย์ไปไม่ได้คิดอะไร คุณภรรยาก็เลยถามว่าแล้วค่าไฟเดือนที่แล้วมายังไง ก็ได้รับคำตอบว่าการไฟฟ้ารู้ครับว่ามันเป็นบ้านมีคนอยู่ และนี่คือสิ่งที่เขาทำครับ เขาบอกว่าเนื่องจากบ้านผมใช้ TOU เป็นเดือนแรก เขาไม่มีข้อมูลเก่า เขาเลยประมาณเลขขึ้นมาเองครับ (จะเรียกว่ามั่วก็น่าจะได้นะครับ) โดยเลขที่ประมาณขึ้นมาแบ่งเป็นช่วง peak 60% และช่วง off-peak 40% เจอคำตอบแบบนี้เข้าไปภรรยาผมถึงกับมึนเลยครับ ทำอย่างนี้ก็ได้หรือ ก็เลยบอกไปว่าอย่างนี้ไม่แฟร์นะ ถ้าเราจะใช้ช่วง peak เยอะ ๆ เราจะไปขอเปลี่ยนเป็น TOU ทำไม เปลี่ยนแล้วค่าไฟดันแพงขึ้น ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าเดี๋ยวถ้ามีข้อมูลแล้วจะเฉลี่ยคืนให้ 

และจากวันที่การไฟฟ้ามาดูว่ามิเตอร์เสีย เมื่อ 24 มกราคม ก็ยังไม่ได้มาเปลี่ยนนะครับ เพิ่งมาเปลี่ยนเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งในช่วงนั้นเราก็ใช้ไฟกันตามปกติแบบก่อนจะเปลี่ยนมิเตอร์ครับ เพราะไม่รู้จะพยายามใช้แบบ TOU ไปทำไม ในเมื่อเดี๋ยวเขาก็จะใช้ค่าประมาณของเขาเองอีก แต่ปรากฏว่าเดือนนี้เขาประมาณให้ถูกกว่าปกติครับ (ก็ไม่รู้ว่าถ้าคุณภรรยาไม่โทรไปถามจะคิดแบบไหนนะครับ) และพอมิเตอร์มาติดเราก็ไปเช็คกันปรากฏว่ามันเดินแล้วครับ คราวนี้ก็ได้ใช้กันแบบ TOU ซะที เดี๋ยวเดือนหน้ามาดูกันครับว่าค่าไฟจริง ๆ แบบ TOU มันจะเป็นเท่าไร ถูกลงแค่ไหน  

วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

เมื่อผมหลงเข้าไปใช้ M-Flow โดยบังเอิญ

สวัสดีครับ หลังจากไม่ได้เขียน #ศรัณย์วันศุกร์ มาซะนาน วันนี้พอจะมีเวลาบ้างและบังเอิญได้รับประสบการณ์การใช้งาน M-Flow เป็นครั้งแรก และเป็นแบบบังเอิญซะด้วย และก็เพิ่งอ่านข่าวว่ารู้สึกจะเมื่อวานหรือเมื่อวานซืนที่รถติดหน้าด่านมาก ๆ อาจมีสาเหตุมาจาก M-Flow ก็เลยจะมาเล่าให้ฟังกัน และมีข้อเสนอแนะบางอย่างเผื่อถ้าคนที่เกี่ยวข้องได้อ่านจะได้พิจารณาดูว่าจะไปปรับใช้ได้ไหมนะครับ

ก่อนอื่นมารู้จัก M-Flow กันก่อนครับ M-Flow เอาง่าย ๆ คือวิธีเก็บค่าผ่านทางพิเศษแบบใหม่ ซึ่งจะไม่มีไม้กันให้เราต้องจอดจ่ายเงิน หรือต้องชะลอรถเพื่อให้มีการอ่านบัตร Easy Pass หรือ M-Pass เพื่อหักเงินเราก่อนจะเปิดไม้กั้นให้เราผ่านไป ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการของกระทรวงคมนาคม ซึ่งตั้งใจจะนำมาใช้กับมอเตอร์เวย์ และทางด่วน ซึ่งเปิดตัวให้ใช้อย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ด่านทับช้าง 1 ทับช้าง 2 ธัญบุรี 1 และธัญบุรี 2 

โดยวิธีการของระบบนี้คือเขาจะมีกล้องจับทะเบียนรถเรา แล้วก็ไปเก็บเงินเราตามวิธีการที่เราระบุไว้ตอนเราลงทะเบียนใช้งานระบบ หรือในตอนนี้เราไม่ลงทะเบียนก็ใช้ได้วิ่งผ่านไปก่อน แล้วเขาจะมีเว็บไซต์ให้เราไปจ่ายเงินทีหลังโดยป้อนทะเบียนรถเราเข้าไป ซึ่งกรณีของผมเป็นแบบหลังนี้ครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง แต่ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ M-Flow สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ของ M-Flow ครับ 

จริง ๆ ผมได้รับอีเมลให้ลงทะเบียนสมัครใช้ M-Flow มาก่อนหน้านี้เป็นเดือนแล้วครับ แต่ไม่ได้สนใจจะสมัคร เพราะเหตุผลสองอย่าง อย่างแรกคือยังไม่ไว้ใจระบบอ่านเลขทะเบียนนี่สักเท่าไหร่ เพราะแค่ Easy Pass ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ แค่แสดงจำนวนเงินในบัตรตอนขับผ่านยังแสดงไม่ตรงเลย คือมันมักจะดีเลย์ไปแสดงของรถคันหน้าเรา อีกอย่างหนึ่งก็คือผมมองว่าวิธีนี้มันผูกติดกับตัวรถ คือถ้าผมเปลี่ยนรถ หรือมีวันหนึ่งสมมติต้องยืมรถภรรยามาขับ ถ้าเป็น Easy Pass ผมก็แค่เอามันไปใช้กับรถที่ผมจะใช้วันนั้น แต่ถ้าเป็นระบบนี้ผมก็ต้องลงทะเบียนรถทุกคัน ซึ่งขั้นตอนการลงทะเบียนถึงแม้จะดูไม่ยาก แต่ก็ดูยุ่ง ๆ และถ้าต้องลงทะเบียนรถหลายคัน ก็น่าจะยุ่งขึ้นไปอีก ก็เลยยังไม่สมัคร และคิดว่าจะใช้  Easy Pass ไปก่อน จนระบบมันลงตัว หรือเขายกเลิก Easy Pass ไปแล้ว หรือตัวเองพร้อมที่จะลงทะเบียน

บังเอิญวันนี้ผมมีธุระต้องไปแถวคลองหลวงตั้งแต่เช้า ก็ขับรถขึ้นมอเตอร์เวย์ไป โดยลืมสนิทเลยว่า M-Flow มันเปิดใช้แล้ว และตามทางที่วิ่งไปก็จะเจอข้อความบนบอร์ดประชาสัมพันธ์ของมอเตอร์เวย์พูดถึง M-Flow ว่ารถที่ไม่ลงทะเบียนห้ามวิงผ่าน M-Flow จะมีโทษนู่นนี่นั่น แอบวิ่งไม่จ่ายเงินเจอค่าปรับ 10 เท่า เห็นป้ายแบบนี้แล้วก็ยังไม่ได้คิดครับว่ามันเปิดใช้แล้ว กับด่านที่ผมจะต้องผ่านนี่แหละคือธัญบุรี น่าจะ 2 นะครับ ขาออกมุ่งหน้าบางปะอิน 

ถ้าใครเคยผ่านด่านธัญบุรีอันนี้คงจะรู้นะครับว่ามันจะมีช่อง Easy Pass อยู่ขวาสุดสองช่อง ผมซึ่งคุ้นเคยกับด่านนี้ดีก็ขับไปตามความเคยชินครับไม่ได้มองป้าย M-Flow อะไร พอขับเข้าไปก็เป็นงงครับเพราะมันว่างมากแทบไม่มีรถวิ่งเข้ามาด้านนี้เลย หนักกว่านั้นมีกรวยมาวางกั้นไม่ให้เข้าไปที่ตู้ Easy Pass คราวนี้ก็เริ่มระลึกได้ครับว่า เฮ้ย หรือนี่มันจะเป็น M-Flow แต่ตอนนั้นก็ตั้งคำถามกับตัวเองนะครับว่าต่อให้เป็น M-Flow แล้วทำไมถึงปิดตู้ Easy Pass แต่คิดอีกทีสุดท้ายเขาคงอยากให้เป็น M-Flow ทั้งหมดรถจะได้ไม่ต้องชะลอ แต่ผมว่าถ้ามีตู้อยู่มันก็ต้องชะลอกันอยู่ดีนะ แต่เอาเถอะครับในตอนนั้นปัญหาเฉพาะหน้าก็คือทำยังไงดี เพราะอ่านป้ายคำขู่ตามทางที่ผ่านมาว่ารถไม่ลงทะเบียนห้ามวิ่งผ่าน M-Flow 

แต่จะให้ถอยกลับก็คงไม่ใช่ ถ้าทำอย่างนั้นสงสัยจะถูกชนแบนอยู่บนมอเตอร์เวย์ ก็เลยชะลอรถเลือกผ่านเข้าไปที่ตู้หนึ่ง ก็เห็นป้ายเล็ก ๆ เขียนไว้ประมาณว่า รถที่ไม่ได้ลงทะเบียนให้ไปจ่ายเงินย้อนหลังได้ที่เว็บไซต์ของ M-Flow เห็นแล้วก็เลยโล่งใจขึ้น แล้วก็นึกในใจว่า ทำไมมันถึงไปโปรโมทแต่เรื่องจะลงโทษรถที่ไม่ลงทะเบียนแล้วใช้ M-Flow ในเมื่อมันก็มีระบบให้จ่ายทีหลังด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว 

จริง ๆ ควรจะโปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้มากกว่า เพราะอาจไม่ใช่ทุกคนที่จะผ่านมาใช้เป็นประจำ เขาอาจจะผ่านมาเป็นครั้งคราว พอผ่านเสร็จก็ไปจ่ายเงินย้อนหลัง ไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายลงทะเบียนอะไร และการโปรโมทแบบนี้ก็อาจเป็นการเชิญชวนให้คนที่ใช้ประจำแต่ไม่ได้ลงทะเบียนมาทดลองใช้ดูว่าระบบการอ่านเลขทะเบียนมันโอเคไหม ให้เขาลองใช้ดูแล้วก็ค่อยโปรโมทต่อว่าถ้าคุณลงทะเบียนคุณจะได้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง นี่เล่นขู่กันอย่างเดียวเลย และนี่อาจเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รถติดหนักหน้าด่านเมื่อวานหรือเมื่อวานซืน เพราะคุณลดด่านที่ต้องจ่ายเงิน กับด่าน Easy Pass กับ M-Pass ลง ทำให้รถซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้ลงทะเบียนต้องไปแออัดกันหน้าด่าน ทำให้ท้ายแถวติดยาวเหยียดจนคนที่ลงทะเบียน M-Flow ก็เข้าช่อง M-Flow ไม่ได้ ไม่ต่างกับคนที่ใช้ Easy Pass หรือ M-Pass ที่ต้องมาติดท้ายแถวจากคนที่จ่ายเงินสด อันนี้ก็เป็นคำแนะนำนะครับ ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพราะผมไม่ได้ไปติดอยู่กับเขา แต่คนที่ติดอยู่วันนั้นคงสรรเสริญคนที่คิดแต่เรื่องขู่แบบนี้ไปพอสมควรนะครับ :)

คราวนี้มาถึงเรื่องของผมต่อครับ หลังจากผมผ่านด่านมาแล้ว มาลงที่คลองหลวง ใช้เวลาผ่านจากด่านมาน่าจะประมาณ 20 นาที ผมก็ลองเข้าเว็บไซต์เพื่อเช็คดูว่าผมจะต้องจ่ายเงินยังไง เมื่อเข้าไปที่เว็บไซต์  ก็จะเจอเมนูตามรูปที่ 1 ครับ 

Mflow-pay-menu
รูปที่ 1 เมนูจ่ายเงิน M-Flow

ผมก็เลือกอันล่างสุดนะครับ "วิ่งช่องผ่านทาง M-Flow แต่ไม่ใช่สมาชิก" รู้สึกว่าคำพูดมันประหลาด ๆ ไหมครับ จริง ๆ มันน่าจะเป็น "วิ่งผ่านช่องทาง M-Flow แต่ไม่ใช่สมาชิก" ว่าไหมครับ หลังจากเลือกอันนี้มันจะพาเราไปที่หน้าจอดังรูปที่ 2 ครับ

find-car-by-id-mflow
รูปที่ 2 ค้นหารถยนต์เพื่อชำระเงิน

 
เราก็ป้อนเลขทะเบียนรถเราซึ่งต้องแบ่งเป็นสามส่วนนะครับ คือช่องแรกให้ใส่สามหลักแรก ช่องที่สองก็ให้ใส่เลขสี่หลัก (รถผมมีสี่หลัก แต่ถ้าใครมีกี่หลักก็น่าจะใส่ตามนั้นนะครับ) และช่องสุดท้ายก็คือจังหวัด จากนั้นกดปุ่มค้นหา 

ซึ่งในตอนแรกที่ผมป้อน มันหาไม่เจอนะครับ มันบอกไม่มียอดค้างชำระ ตอนแรกผมก็คิดว่าระบบอ่านเลขทะเบียนมันแย่หรือเปล่านี่ แล้วตอนนี้มันไปอ่านเป็นรถใครแทนหรือเปล่า แต่คิดอีกทีสงสัยมันต้องใช้เวลาบันทึกข้อมูลลงระบบ ก็เลยทำธุระไปก่อน ช่วงบ่ายลองค้นอีกทีคราวนี้มันเจอครับ ก็ขึ้นว่าต้องจ่าย 30 บาท ซึ่งเราสามารถจ่ายผ่านระบบพรอมท์เพย์ (prompt pay) ได้นะครับ มันจะสร้าง QR Code ขึ้นมา เราก็เอาไปสแกนจ่ายผ่านแอปธนาคารได้เลย หลังจากจ่ายไปแล้ว ผมลองทิ้งเวลาไปสักหนึ่งชั่วโมง ลองค้นดูอีกทีก็ปรากฏว่าไม่มีค้างชำระแล้ว 

สรุปก็คือระบบอ่านเลขทะเบียนใช้ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าตอนผมผ่านด่านผมชะลอรถช้า ๆ เพราะเข้ามาแบบงง  ๆ หวังว่าจะเจอเจ้าหน้าที่บ้างแต่ก็ไม่มี เจอแต่ป้ายบอกจ่ายทีหลังได้ ดังนั้นที่เขาตั้งใจว่าให้วิ่งผ่านได้ด้วยความเร็ว 120 ไม่ต้องชะลอรถมันจะโอเคไหม ระบบจ่ายเงินก็ใช้ได้ แต่ไม่รู้ว่าถ้ามีคนใช้เยอะกว่านี้จะเป็นยังไง 

ก็หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่านนะครับ ถ้าใครผ่านทับช้าง 1 ทับช้าง 2 ธัญบุรี 1 และธัญบุรี 2 และไม่ได้ลงทะเบียน M-Flow ไว้ก็ใช้ได้นะครับ ไม่ต้องไปติดอยู่ที่ด่านจ่ายเงิน ส่วนคำแนะนำสำหรับเจ้าหน้าที่ก็คือน่าจะโปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้นะครับ แทนที่จะขู่ว่าไม่ลงทะเบียนห้ามผ่าน การโปรโมทแบบนี้ผมว่าจะทำให้คนอยากลองใช้มากขึ้น จะช่วยลดรถติดหน้าด่าน ซึ่งน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของการใช้ระบบนี้ แล้วพอเขาเห็นว่าถ้าสมัครสมาชิกมันทำให้สะดวกสบายกว่าอย่างเช่นมันสามารถหักค่าผ่านทางโดยใช้เงินที่มีใน Easy Pass และ M-Pass ได้ด้วย หักจากบัตรเครดิตได้ หรือจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ เขาก็จะสมัครกันเอง แต่ถ้าไม่โปรโมทระบบจ่ายทีหลังนี้เพราะกลัวระบบจ่ายเงินล่มถ้าคนมาใช้เยอะอันนี้ก็คงไม่มีคำพูดอะไรต่อครับ ส่วนถ้ากลัวคนมาใช้แล้วไม่ยอมจ่ายเพราะไม่ลงทะเบียน จริง ๆ อันนี้น่าจะคิดไว้ก่อนแล้วนะครับ ถ้ายังไม่ได้ทำก็เสนอทำพร้อมกับระบบใบสั่งไปเลย คือให้ขนส่งดูให้ว่าถ้ามีใบสั่งที่ยังไม่จ่าย หรือไม่จ่ายค่าผ่านทางก็ไม่ต่อทะเบียนให้ แก้กฎหมายตรงนี้กันไปเลย