วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

มุมมองส่วนตัวหลังพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ

วันศุกร์นี้มีข่าวใหญ่อีกแล้วครับ สำหรับศุกร์นี้คือการตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งบอกตามตรงมันไม่ผิดจากความคาดหมายของผมหรอกนะครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะแสดงความเห็นบ้าง เพราะมันไม่ได้มีกฎหมายห้ามแตะศาลรัฐธรรมนูญเหมือนปัจจุบันนี้ ถึงแม้เขาจะบอกว่าวิจารณ์อย่างสุจริตได้ แต่บอกตามตรงผมไม่ไว้ใจกับการตีความของผู้คนในประเทศนี้ครับ ตราบใดที่คนหลายคนโดยเฉพาะพวกที่มีอำนาจอยู่ในมือ ยังแยกความแตกต่างระหว่างไม่เห็นด้วยกับคำตัดสิน กับไม่ยอมรับคำตัดสินไม่ได้ สามารถลากเอาการวิจารณ์รัฐบาล วิจารณ์ผู้นำกองทัพ ว่าเป็นพวกชังชาติ พวกหนักแผ่นดิน  หรือการเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารเปลี่ยนเป็นระบบสมัครใจ เป็นการจะไม่ให้มีกองทัพ มันก็ยากที่จะพูดคุยกันต่อไป

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะอยู่ในประเทศนี้ในยุคนี้ น่าจะเป็นพยายามอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ หุบปาก ก้มหน้าก้มตาทำงานไป อ้ออาจแลกเงินเป็นสกุลต่างประเทศที่มีความมั่นคงไว้ด้วยก็คงดีนะครับ เพราะหลังจากก้มหน้าก้มตาทำงานไป ไม่สนใจอะไรพวกนี้แล้วเพราะมันสิ้นหวัง ถ้าเงยหน้ามาอีกทีเงินเรามีค่าเป็นกระดาษไปแล้ว เราจะได้ไม่ลำบากมาก หรือถ้าใครอายุยังน้อยอยู่ ยังมีเรี่ยวมีแรง และรู้สึกทนไม่ไหวลองย้ายไปอยู่ต่างประเทศสักพักก็ได้ครับ เก็บเงินจนคิดว่าจะกลับมาอยู่ประเทศนี้ได้โดยไม่เดือดร้อนไม่ว่ารัฐบาลมันจะเป็นยังไงค่อยกลับมาก็ได้ครับ

คราวนี้ผมอยากเสนอมุมมองส่วนตัวหลังจากกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ครับ

1. ที่ผมเป็นห่วงคือคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะพวกที่เคยไปเลือกตั้งครั้งแรก และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เลือกอนาคตใหม่ คนกลุ่มนี้อาจหันหลังให้การเมืองไปเลยก็ได้ เพราะเขาอาจไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพรรคที่เขาเลือกโดนกระทำอยู่ฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งทำอะไรก็ดูเหมือนจะมีข้อยกเว้นเต็มไปหมด

2. ผมยังยืนยันว่ากฎหมายยุบพรรคนี่เป็นเรื่องแย่มาก บางคนอาจคิดว่ามันเป็นยาแรง เพราะคนจะได้ไม่ทำผิด  แต่ผมกลับมองว่ามันเหมือนพ่อไปค้ายา ลูกเมียไม่รู้เรื่อง แต่แทนที่จะตัดสินให้พ่อติดคุกคนเดียว แต่ดันตัดสินให้ทุกคนในบ้านติดคุกไปด้วย กรณีนี้ถ้ากรรมการบริหารทำผิดก็ลงโทษกรรมการไป หรือจริง ๆ ถ้าจะยุบพรรคมันก็ต้องเป็นคดีที่ร้ายแรงจริง ๆ อย่างพยายามล้มล้างการปกครอง ไอ้พรรคที่แพ้เลือกตั้งซ้ำซาก แล้วลากคนไปลงถนน ขัดขวางการเลือกตั้ง จนทหารเข้ามายึดอำนาจ แบบนั้นน่าจะโดนยุบมากกว่า

3. อนาคตการเมืองไทยต่อจากนี้น่าจะว้าเหว่ครับ เรามีนักการเมืองที่มีความคิดแบบเก่า ๆ ทำการเมืองแบบเก่า ๆ อยู่เต็มสภาไปหมด คุณภาพของสส.พลังประชารัฐก็เห็นกันอยู่ คนที่อยู่เพื่อไทยที่ด่า ๆ กันพลังประชารัฐก็อ้าแขนรับ แถมยังไม่ได้มีความคิดที่จะศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย หันไปดูเพื่อไทยก็เศร้าครับ นักการเมืองรุ่นเก่า ๆ ความคิดเก่า ๆ แทบทั้งนั้น คนที่มีประวัติไม่ดีก็ยังมีอยู่เยอะ ประชาธิปัตย์ไม่ต้องพูดถึง เมื่อก่อนก็แย่อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีก ส่วนพรรคกล้าที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ บอกตามตรงไม่ศรัทธาครับ ส่วนตัวคิดว่ากรณ์ก็ไม่ต่างอะไรกับอภิสิทธิ์ ยิ่งมีอรรถวิชด้วย บอกตามตรงยิ่งสิ้นหวัง ก็ขอให้คิดผิดแล้วกัน ส่วนพรรคอื่นไม่อยากพูดถึงครับ อย่างภูมิใจไทยพอให้จับงานใหญ่ก็ไม่ได้แสดงความมีประสิทธิภาพอะไร ยิ่งชาติไทยพัฒนาอะไรนี่พรรคตัวประกอบคอยเสียบเข้ากับฝ่ายชนะ ที่พูดนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคอนาคตใหม่จะดีเลิศอะไรนะครับ พรรคนี้ก็มีจุดอ่อนอยู่เยอะ แต่ก็ดูพอที่จะเป็นทางเลือกได้ ถ้าให้โอกาสเขาได้ทำงานการเมืองสักพัก

4. อ.ปิยบุตรในช่วงถูกตัดสิทธิ์นี่ ถ้าจะกลับไปสอนหนังสือนี่คงต้องไปสอนต่างประเทศครับ เพราะหลักกฎหมายที่อ.เอามาพูดเอามาโต้แย้งมันดูจะไม่เข้ากับกฎหมายไทยนะครับ ประเทศนี้คงต้องให้อย่างวิษณุ หรือตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นคนสอน

5. อย่าได้คาดหวังว่าการตัดสินวันนี้จะเป็นบรรทัดฐานให้มีการยุบพรรคอื่น ๆ ที่มีกรณีการกู้เงินเหมือนกันนะครับ เพราะคุณจะได้รับคำวินิจฉัย (ที่คุณห้ามแตะต้อง) ว่ามันไม่เหมือนกัน ดูกรณีเสียบบัตรแทนกันที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างก็ได้ครับ

6. รัฐบาลนี้ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็คงอยู่ไปอีกนานละครับ ยิ่งฝ่ายค้านเหลือเสียงน้อยลงแบบนี้ และพรรคเพื่อไทยไม่น่าจะเป็นฝ่ายค้านที่เข้มแข็งอะไร ผมไม่เห็นด้วยที่จะไปลงถนนกันอีกแล้วนะครับ ก็หวังว่าเราจะได้ให้ระบอบประชาธิปไตยมันทำงานของมัน ถ้ารัฐบาลมันห่วยจริง ผมก็หวังว่าประชาชนจะเห็น และคงคิดได้ระหว่างกลัวแต่ทักษิณจะกลับมา กับประเทศดิ่งลงเหวเราจะเลือกอะไร

7. สุดท้ายผมอยากให้เราเอาใจช่วยรัฐบาลให้ประคองตัวให้ผ่านปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาไวรัส ปัญหาฝุ่น และปัญหาอื่น ๆ แบบไม่บอบช้ำเกินไปนะครับ ช่วยกันภาวนาให้มีคนในรัฐบาลนี้มีคนที่มีความคิดดี ๆ ก้าวหน้าในการแก้ปัญหาประเทศชาติกันบ้าง เพราะยังไงนี่มันก็ประเทศของเรา และถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมันก็กระทบกับเราซึ่งไม่ใช่คนรวย 0.01% ของประเทศนี้แน่ เพราะถ้ามันแย่มาก ๆ ต่อให้สุดท้ายได้คนเก่ง ๆ เข้ามา มันอาจจะสายเกินแก้ หรืออาจต้องใช้เวลาเหมือนกับทีมรักของผมคือลิเวอร์พูล ซึ่งแม้จะได้คนเก่งสุด ๆ อย่างเจอร์เกน คลอปป์มา ก็ต้องใช้เวลาตั้ง 4 ปี กว่าจะกลับมาเป็นเหมือนตอนนี้









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น