วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม

สวัสดีครับ คงยังไม่สายไปที่จะกล่าวคำว่า Merry X'Mas ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชาวพุทธอย่างที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกัน แต่เราชาวไทยทั้งหลายก็พร้อมที่จะร่วมฉลองกับทุกเทศกาลอยู่แล้ว ซึ่งผมมองว่านี่เป็นจุดที่น่ารักอีกประการหนึ่งของคนไทยเราครับ และก็ทำให้เราไม่เกิดสงครามศาสนาเหมือนกับประเทศอื่น ๆ แต่สิ่งที่ผมอยากจะเขียนวันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องคริสต์มาสนะครับ แต่อยากจะพูดถึงเรื่องที่หลัง ๆ นี้ผมว่าพวกเราหลายคนอาจจะลืม ๆ ไป หรือชินกับมันไปแล้วนั่นคือการที่เรายอมละเมิดกฏหรือระบบเพื่อให้ได้ตามที่ใจเราต้องการ

จริง ๆ ผมมีความคิดที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้นานแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่เขียนเพราะบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากจะพูดเรื่องการเมืองมากนัก ผมเคยเขียนบล็อกว่าพวกเสื้อเหลืองที่มาชุมนุมปิดสนามบิน และว่าพวกเสื้อแดงที่มาชุมนุมจนการประชุมอาเซ็มล่ม ซึ่งในบล็อกที่เขียนว่าเสื้อเหลืองก็มีคนคิดว่าผมเป็นเสื้อแดง พอเขียนว่าเสื้อแดงผมก็กลายเป็นเสื้อเหลือง ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ใช่สีไหนทั้งสิ้นผมเป็นคนไทยที่ไม่มีสี และจริง ๆ คนไทยก็ไม่เคยมีสี จนมาถึงยุคนี้แหละครับที่พวกเราถูกคนที่ต้องการอำนาจพยายามใช้เราเป็นเครื่องมือและแบ่งแยกคนไทยออกจากกัน และกลายเป็นว่าคุณต้องเป็นสีใดสีหนึ่งถ้าคุณบอกว่าคุณไม่เป็นสีใดนั่นคือคุณแอ๊บ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าไม่เขียนดีกว่า

พอเกิดเหตุการณ์โจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวที่ไปยิงน้องโตมี่ และในที่สุดก็นำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรมโจ๊ก (ทำไมต้องชื่อโจ๊กด้วยนะ ทำเสียคนชื่อโจ๊กหมด) ผมเลยคิดว่าน่าจะต้องเขียนถึงเสียหน่อย ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็มีความเห็นเหมือนกับพวกเราหลายคนคือคนอย่างพี่น้องสองคนนี้ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่เพือมาก่อกรรมทำชั่วกับใคร ๆ อีก ยิ่งฟังการให้สัมภาษณ์ของพ่อของทั้งสองคนแล้ว ก็ทำให้เห็นเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ชั่วขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสะกิดเตือนพวกเราในวันนี้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรมนี่แหละครับ ผมจะไม่เขียนเรื่องว่าตำรวจทำถูกหรือไม่ถูกนะครับ เพราะผมไม่เคยดูวีดีโอที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน หรือถึงจะดูก็อาจจะไม่สามารถวิจารณ์ได้อยู่ดี

สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือกระแสสังคมที่เหมือนจะสนับสนุนการทำวิสามัญฆาตกรรมของตำรวจ ซึ่งผมมองว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวครับ เพราะผมมองว่ามันคือการทำลายระบบยุติธรรมของไทย มันเหมือนกับว่าเราพร้อมที่จะสนับสนุนการทำผิดถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราถูกใจ จริง ๆ แล้วกระบวนการยุติธรรมมันมีบทบาทเฉพาะของมันอยู่แล้ว ตำรวจมีหน้าที่จับกุมถ้าคนร้ายต่อสู้ก็สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ตำรวจไม่มีอำนาจไปตัดสินว่าคนร้ายสมควรที่จะต้องตาย การตัดสินเป็นอำนาจของศาล

ในทำนองเดียวกันกับการชุมนุมของกลุ่ม พธม. (เสื้อเหลือง) ซึ่งทั้งปิดถนน เข้าไปยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน แต่พวกเราหลายคนก็พร้อมที่จะปิดหูปิดตาและบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้มาชุมนุมขับไล่คนที่เราไม่ชอบ เวลาทหารอกมาปฏิวัติถ้าเขาปฏิวัติเอาคนที่เราไม่ชอบออกไป เราก็เอาดอกไม้ไปให้ทหาร ขอบคุณทหารที่ออกมาปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นการทำลายระบบ พวกสื่อและนักวิชาการก็ช่วยให้การชุมนุมที่จริง ๆ นั้นผิดให้กลับกลายเป็นถูก มีการประดิษฐ์ถ้อยคำเช่น "ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" หรือคำประเภท "สิทธิของเสียงส่วนน้อย" ซึ่งในความเห็นผมผมก็เห็นด้วย แต่มันต้องมีการเติมให้สมบูรณ์ครับ เช่นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่คุณต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และคอยติดตามดูผลงานของคนที่คุณเลือกหรือไม่ได้เลือกเข้าไป ถ้าเขาทุจริตหรือคดโกงคุณก็ต้องใช้ช่องทางตามที่กฏหมายเปิดช่องไว้ เช่นการเข้าชื่อถอดถอน ยื่นฟ้องต่อองค์กรอิสระ หรือก็อาจต้องอดทนรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งอำนาจจะกลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง ถ้าเราเป็นเสียงส่วนน้อยเรามีสิทธิที่จะพูดแสดงความคิดเห็น และโน้มน้าวให้คนอื่น ๆ เห็นด้วยกับเราจนเรากลายเป็นเสียงข้างมาก แต่ถ้ามันไม่สำเร็จเราก็ต้องยอมตามเสียงข้างมาก นั่นคือระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่นั้นผิดและจะเป็นภัยร้ายแรง เราก็ต้องมาใช้สิทธิของเราในด้านอื่นตามช่องทางที่กฏหมายกำหนด

หลายคนอาจจะบอกว่าเลือกตั้งใหม่ก็ได้คนเดิมอยู่ดี เพราะเสียงคุณสู้ไม่ได้ (จนกลายไปเป็นไปดูถูกหรือด่าคนอื่นว่าโง่กว่าตัวเอง) แต่นี่คือระบอบประชาธิปไตยครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าคุณต้องโน้มน้าวหรือทำให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ คุณอาจจะคุยกับเพื่อน ๆ คุณบอกว่าควรเลือกพรรคนี้หรือพรรคนั้นเพราะอะไร  ส่วนนักการเมืองก็ควรจะนำเสนอนโยบาย และถ้าแพ้ก็ควรจะมาพิจารณาตัวเองว่ายังมีจุดบกพร่องอะไร ไม่ใช่พอแพ้เลือกตั้งมาก็พูดอยู่คำเดียวเป็นคาถาว่าแพ้เพราะอีกฝ่ายซื้อเสียงโดยไม่ได้มองตัวเองเลย แล้วก็เล่นเกมการเมืองไปเรื่อยโดยไม่คิดว่าที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีโดยเอาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก

พูดมาถึงตรงนี้หลายคนก็บอกว่าก็นี่ไงเพราะคุณภาพของนักการเมืองบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ก็เลยต้องใช้วิธีนอกระบบ แต่ผมกลับมองว่าถ้าเรารักษาระบบไว้คือไม่ว่านักการเมืองจะแย่ยังไง เราก็จะใช้วิธีที่อยู่ในระบบจัดการกับเขา ไม่มีการมาปิดสนามบินหรือยึดย่านเศรษฐกิจขับไล่ และไม่มีการปฏิวัติ ก็จะทำให้คนดี ๆ กล้าที่จะเข้ามาทำงานมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าจะไม่มีการใช้วิธีการนอกระบบมาจัดการกับเขา เพราะแม้แต่คนชั่ว ๆ เรายังอดทนที่จะอยู่ในระบบได้ ซึ่งผมคิดว่าสักวันวันนั้นจะมาถึงถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบ ไม่ไปหยุดมันกลางทางอย่างทีทำกันอยู่ในปัจจุบัน

แต่แน่นอนครับเมื่อระบบมันเสียไปจากการที่พวกเรายอมรับสิ่งที่ผิดถ้ามันตรงใจ จากเสื้อเหลืองมันก็เลยเกิดเสื้อแดง ก็ต้องบอกอีกครั้งว่าไม่ได้เห็นด้วยเลยกับการที่เสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกับเสื้อเหลือง เพราะตอนเสื้อเหลืองทำผิดกฏหมายบ้านเมืองพวกเสื้อแดงก็ด่าเสร็จแล้วก็มาทำเสียเอง ผมว่าไอ้คนที่ด่าเขาแล้วตัวเองมาทำเองนี่แย่กว่าอีกนะ คือรู้ว่าอะไรผิดแล้วยังทำ ผมเบื่อจริง ๆ กับคำว่าเขาทำผิดได้เราก็ต้องทำได้ จริง ๆ มันควรจะเป็นว่าเขาทำผิดเราจะไม่ทำผิดเหมือนเขาถึงจะถูก จริง ๆ ถ้าอยากชุมนุมก็ทำเหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้าคือชุมนุมโดยสงบตามสนามกีฬาที่ไม่เดือดร้อนใคร ชี้ให้เห็นการทำงานที่ผิดพลาดหรือสองมาตรฐานอะไรก็ตาม ซึ่งผมว่าถ้าคุณทำอย่างนี้นี่แหละจะเป็นการโน้มน้าวให้คนที่มีใจเป็นกลางให้เห็นด้วยกับคุณ และขณะที่กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่ก็มีข่าวแฟนบอลลงมาทำร้ายกรรมการในการแข่งขันระหว่างศรีสะเกษกับนครปฐม นี่ก็คือตัวอย่างของการทำนอกระบบ

ท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากให้พวกเราทุกฝ่ายคิดและยอมรับระบบ อะไรที่คิดว่าไม่ยุติธรรมก็ให้แก้ไขอยู่ในขอบเขตของระบบ และต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในข้ามวัน ขอให้มีความอดทนอดกลั้นเพื่อให้ประเทศเราได้เดินหน้าไปอย่างปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาครับ

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แนะนำฟอรัมเกี่ยวกับการเมืองให้อ่านกันครับ

สวัสดีครับสำหรับวันนี้ผมจะมาคุยเรื่องการเมืองครับ แต่เนื้อหานั้นจะไม่ได้มาจากที่ผมเขียนครับแต่มาจากฟอรัมในบล็อกนัน ผมคิดว่าพวกเราหลายคนก็คงเข้าไปอ่านข่าวไอทีจากบล็อกนันกันเป็นประจำอยู่แล้ว ผมก็ใช่ครับแต่วันนี้บังเอิญได้ไปอ่านฟอรัมในบล็อกนันในหัวข้อจริยธรรมนัการเมืองโกง,คนเล่นบล็อกนันใช้ของเถื่อน? ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรน่าสนใจมากมาย แต่ปรากฏว่าในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับหัวข้อดังกล่าว มีมุมมองที่น่าสนใจอยู่มากครับทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อ และแตกประเด็นไปถึงเรื่องระบอบประชาธิปไตยของไทย ซึ่งผมอยากให้ได้เข้าไปอ่านกันครับเพราะผมเชื่อว่าจะเปิดมุมมองของเราให้กว้างขึ้นได้อย่างมากมายครับ การอ่านความเห็นของคนที่ถกกันด้วยเหตุผลและหลักการผมว่ามันดีกว่าเข้าไปเว็บไซต์ที่เลือกข้างไว้แล้ว และพยายามปั่นหัวหรือยัดเยียดมุมมองด้านเดียวให้กับเรานะครับ เชิญชวนให้อ่านกันครับแต่แนะนำว่าควรจะต้องมีเวลาว่างพอสมควรนะครับ บางทีอาจต้องใช้เวลาอ่านมากกว่าหนึ่งวันครับ

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ขอขอบคุณนักกีฬาไทยในเอเชี่ยนเกมส์

ผมไม่ได้มาเขียนบล็อกเสียนานเพราะไม่ว่างจริง ๆ  ช่วงที่ไม่ได้มาเขียนมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งที่ดีและไม่ดี เรื่องดี ๆ ก็เช่นผลงานของนักกีฬาไทยในเอชี่ยนเกมส์  ส่วนเรื่องแย่ ๆ ก็เรื่องของนักการเมืองไทย เรื่องซากทารกที่เกิดจากการทำแท้งถึงสองพันกว่าศพที่พบที่วัดไผ่เงิน แต่วันนี้ขอพูดเรื่องดี ๆ ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะเป็นวันส่งท้ายของเอชี่ยนเกมส์พอดี ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ก่อนแล้วกันนะครับ

ก่อนอื่นผมก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนก่อนครับที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพวกเราชาวไทยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเราจะได้เหรียญทองน้อยกว่าคราวที่แล้ว แต่ผลงานโดยรวมก็ถือว่าดีนะครับ นักกีฬาทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจของนักสู้ โดยเฉพาะที่ประทับใจผมที่สุดก็คือทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรหญิง ซึ่งผมดูกี่ครั้งก็รู้สึกประทับใจทุกครั้ง ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็คลิกเข้าไปดูก่อนได้เลยครับ



ดูกันแล้วประทับใจไหมครับ นอกจากประทับใจแล้วผมว่าเรายังได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากทีมวิ่งผลัดหญิงทีมนี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดจากการแข่งขันครั้งที่แล้ว (ครั้งที่แล้วทีมวิ่งผลัดหญิงไม่ได้เหรียญอะไรเลยเพราะส่งไม้พลาด) การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อ ลองคิดดูนะครับ ในช่วงสุดท้ายใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้วเรายังตามจีนอยู่เลย ถ้านักกีฬาของเราคิดแค่ว่า "โอ้คนที่นำหน้าเราคือจีน เอาเถอะได้ที่สองก็ดีแล้ว" คนไทยก็คงไม่มีความสุขมากขนาดนี้

สุดท้ายก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนอีกครั้งไม่ว่าจะได้เหรียญรางวัลกลับมาหรือไม่ ขอขอบคุณที่ทุกคนได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาในการฝึกซ้อมและแข่งขันเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ ส่วนคนไทยก็ขออย่าเพียงชื่นชมเหรียญรางวัลที่นักกีฬาได้เท่านั้น เราทุกคนก็ควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อเพื่อประเทศของเราเช่นกันครับ

วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พนักงานเซ็นทรัลเหมือนกันแต่ต่างกัน

วันนี้มีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมาเล่าให้ฟังกันครับ จริงๆเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่แล้วแต่ผมเพิ่งจะว่างมาเขียนบล็อกเล่าให้ฟังวันนี้ คือเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ก็พอดีไปเจอเข็มขัดเข้าเส้นหนึ่งเห็นว่าสวยดีก็เลยหยิบมาดู ก็มีพนักงานขายคนหนึ่งเข้ามาดูแลแนะนำ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจซื้อเพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป ประกอบกับเส้นเก่าที่ใช้อยู่ก็ใช้มาสิบกว่าปีจนแตกลายงาหมดแล้ว พนักงายขายได้ถามผมว่ามีบัตร The One หรือไม่เพราะจะได้ส่วนลดและสะสมแต้ม ซึ่งผมก็บอกว่าไม่มีพนักงานก็ถามอีกว่าแล้วคนในครอบครัวมีไหม ผมก็นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวผมน่าจะมีเพราะเป็นขาประจำ ก็เลยได้ให้ชื่อน้องสาวกับพนักงานไป ซึ่งพนักงานก็ไปค้นมาแล้วก็เจอจริง ๆ จากเหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้ผมรู้สึกประทับใจกับพนักงานขายของคนนี้มาก และก็มีความรู้สึกดี ๆ กับเซ็นทรัลว่าอบรมพนักงานมาดี แต่แล้วเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันมาก็ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ต่อเซ็นทรัลของผมหายไปเกือบหมด

พนักงานขายได้นำผมมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ซึ่งตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวพม่าเป็นผู้หญิงดูค่อนข้างจะมีอายุแล้วกำลังจะทำเรื่องยกเว้น VAT สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งพนักงานขายที่ดูแลลูกค้าชาวพม่าคนนั้น ก็มาถามพนักงานเก็บเงิน ซึ่งเธอก็ตอบเสียงสะบัด ๆ เหมือนไม่พอใจว่า "ถามเขาสิว่ามีพาสต์พอร์ตไหม" ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวก็แสดงพาสต์พอร์ตให้ดู และก็ขอให้พนักงานขายช่วยกรอกแบบฟอร์มให้เธอหน่อย ซึ่งพนักงานขายก็บอกว่าพนักงานเก็บเงินว่าเขาจะให้กรอกฟอร์มให้ด้วย พนักงานเก็บเงินก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นไปอีก พร้อมทั้งตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ก็กรอกให้เขาไปซี" และก็ยังทำท่าทางเอามือแตะหน้าผากพร้อมทั้งบ่นว่า "จะให้ส่วนลดแล้วยังไม่ยอมกรอกเองอีก" ผมดูถึงตอนนี้แล้วต้องบอกว่าเสียความรู้สึกมาก คือตอนแรกผมก็คิดว่าพนักงานเก็บเงินอาจจะไม่พอใจพนักงานขายซึ่งมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็มาถาม แต่ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่พอใจลูกค้าด้วย โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะไม่พอใจอะไรพนักงานขายก็ไม่ควรจะมาแสดงความไม่พอใจต่อหน้าลูกค้า ถ้าไม่พอใจกันเองก็ไปหาเวลาพูดคุยกันทีหลัง ส่วนการไม่พอใจลูกค้านี่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ นี่ไม่ควรให้เกิดขึ้นเลย คือผมก็ไม่ได้ยึดติดว่าลูกค้าคือพระเจ้าหรอกนะครับ คือถ้าลูกค้างี่เง่ามากจนมาละเมิดสิทธิของเรานี่ก็เชิญเลย แต่ในกรณีนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการบริการนะครับ การที่ลูกค้าขอให้กรอกข้อมูลให้นี่ผมว่าก็ไม่เกินเลยนะครับเพราะตอนนั้นลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร และน่าจะคิดบ้างว่าลูกค้าก็มีอายุแล้ว เธออาจจะมองไม่เห็น หรืออาจจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานเก็บเงินก็ไม่ใช่คนที่ต้องไปกรอกข้อมูลเองก็ไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม การให้บริการดังกล่าวด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากจะทำให้เซ็นทรัลมีภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย พนักงานเก็บเงินคนนั้นอาจจะคิดว่าลูกค้าเป็นคนพม่าฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผมว่าภาษากายนี่มันเป็นภาษาสากลนะครับ ผมคิดว่าลูกค้าพม่าคนดังกล่าวรู้ครับว่าอะไรเป็นอะไร

เอาละ่ครับนั่นคือเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้วก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน ผมเชื่อว่านี่คงเป็นส่วนน้อยของพนักงานบริการที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมมีความเขื่อว่าพนักงานบริการส่วนใหญ่มีจิตใจบริการที่ดีเหมือนกับพนักงานขายของที่ขายของให้ผม แต่คนส่วนน้อยนี่ก็อาจจะทำให้สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาเสียหายได้นะครับ ดังนั้นก็อยากจะฝากเอาไว้ว่าก่อนจะทำอะไรให้คิดให้ดีก่อน อย่าไปคิดว่าเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมการกระทำคงไม่มีผลอะไร โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวนี่ผมว่าการที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยนี่ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไทยนะครับ แต่เขามาเที่ยวเพราะเขาประทับใจคนไทย ประทับใจความมีใจให้บริการของคนไทย ก็ขอให้พวกเราโดยเฉพาะส่วนที่มีหน้าที่บริการโดยตรงได้ตระหนักไว้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาตินะครับ นักท่องเที่ยวคนไทยก็ควรจะได้รับบริการในแบบเดียวกันด้วย ถ้าใครอยู่ในธุรกิจที่ต้องให้บริการแล้วคิดว่าไม่ชอบบริการใคร ก็ลาออกไปหางานอื่นทำเถอะครับ

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มุมุมองของผมจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553

จริง ๆ เรื่องน้ำท่วมนี้มีอะไรอยู่ในใจผมและตั้งใจว่าจะเขียนนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เขียนสักที จนตอนนี้พอจะมีเวลาบ้างก็ขอเขียนเลยแล้วกัน เพราะถ้าไม่เขียนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เขียนเมื่อไหร่ สำหรับเหตุูการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ก็มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป เอาสิ่งที่ดีก่อนแล้วกันสิ่งดีประการแรกก็คือผมยังเห็นว่าคนไทยยังรักกันครับ เราพร้อมที่จะช่วยเหลือกันเมื่อยามเดือดร้อนไม่ต้องคิดว่าใครเป็นสีไหน และหลังจากเหตุการณ์นี้ผมก็หวังว่าเราจะไม่ยอมให้พวกนักการเมืองหรือผู้ที่ต้องการครองอำนาจในบ้านเมืองมาชักนำให้พวกเราต้องมาแบ่งสีกันอีกนะครับ ผมมองเห็นการทำงานที่แข็งขันของภาคประชาชน การใช้เครือข่ายสังคมให้เกิดประโยชน์ ผมรู้สึกว่าประเทศเรายังมีความหวัง และขอขอบคุณอาสาสมัครทุกคนด้วยใจจริงครับ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกดีแต่อาจจะเป็นส่วนตัวสักเล็กน้อยนะครับก็คือลูก ๆ ของผมทั้งสองคนซึ่งยังไม่โตมากนัก แต่เขาก็มีความรู้สึกและพร้อมที่จะช่วยเหลือด้วย คือเมื่อวันเสาร์ (23 ต.ค. 2553) ที่ผ่านมา ผมและลูกได้ดูรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมไป และผมก็ได้พูดเปรย ๆ ว่า "คราวนี้น้ำท่วมหนัก สงสัยที่บริจาคไปแล้วจะน้อยไปพ่อจะไปบริจาคเงินช่วยเพิ่มเติม" ลูกของผมทั้งสองคนได้ยินอย่างนั้น ก็เดินไปเปิดกระเป๋าเงินของเขาและหยิบเงินออกมาคนละพัน บอกว่าเงินนี้คุณยายให้มาให้เขาเอาไว้ใช้ตอนเปิดเทอมให้ผมเอาเงินนี้ไปบริจาคด้วย ซึ่งทำให้ผมรู้สึกปลื้มใจมาก

ส่วนสิ่งที่ผมมองว่ายังไม่ดีประการแรกก็คือการทำงานของรัฐบาลนี่แหละครับ รัฐบาลไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการจัดการสถานการณ์วิกฤตเลย มันทำให้เห็นว่าตอนนี้การทำงานของภาครัฐนั้นล้าหลังภาคประชาชนไปมาก ผมว่าบล็อก ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก เขียนสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลได้ดีมาก ก็ลองไปอ่านกันดูแล้วกันครับ ผมคงไม่เพิ่มเติมอะไรเพราะผมว่าบล็อกดังกล่าวได้สะท้อนสิ่งที่น่าจะอยู่ในใจของหลาย ๆ คนออกมาอยู่แล้ว

อีกจุดหนึ่งก็คือพวกส.ส.ทั้งหลายครับ ตอนนี้พวกคุณทำอะไรกันอยู่บ้างครับ ผมไม่เห็นบทบาทที่โดดเด่นของพวกคุณในสถานการณ์นี้เลยครับ ตกลงพวกคุณยังมีตัวตนอยู่ไหม จริง ๆ มันไม่สำคัญว่าคุณจะเป็น ส.ส. ฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ตอนนี้ประชาชนที่เขาเลือกพวกคุณมากำลังเดือดร้อน คุณได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือพวกเขาบ้าง คุณเลิกทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองสักพักได้ไหม หรือจะตามสนใจแต่เรื่องคลิปจะยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค ก็ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ผมว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องรองนะครับ ส.ส. ฝ่ายค้านกับรัฐบาลลองทำเหมือนภาคประชาชนดูไหมครับ ลองหันมาจับมือกันเพื่อช่วยประชาชนให้ผ่านความทุกข์ยากครั้งนี้ไปให้ได้ แล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง

สุดท้ายก็คือเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาวครับ ลองถามตัวเองครับว่าประเทศของเราเกิดเหตูการณ์แล้ง-น้ำท่วมแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ต้นปีก็ปัญหาภัยแล้ง พอกลางปีถึงปลายปีก็มีปัญหาน้ำท่วม ผมคงไม่สามารถให้ความเห็นที่ดีได้ในเรื่องวิธีแก้ปัญหาเพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่คำถามก็คือประเทศเราไม่มีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลยหรือครับ หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้หรือครับ เท่าที่ผมฟังมาวิธีการหนึ่งที่อาจจะบรรเทาปัญหานี้ได้ก็คือการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น แต่ก็ถูกคัดค้านจาก NGO ซึ่งผมมองว่าถ้ามันแก้ได้จริง ๆ ก็น่าจะต้องทำนะครับ ก็ขอฝากรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยแล้วกันในเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาว

นั่นคือบางสิ่งที่อยู่ในใจผมจากสถานการณ์นี้ สำหรับท่านใดมีความเห็นอื่นใดต้องการจะมาแบ่งปันกันก็ยินดีครับ อ้อขอให้ลิงก์ไปยังเว็บที่ถือว่าเป็นศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้ไว้ด้วยนะครับ เผื่อใครยังไม่ทราบ และต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ http://www.thaiflood.com/