แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิคและงาน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีวิคและงาน แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2565

I Feel Fine

วันศุกร์นี้อยากมาชวนฟังเพลงกันครับ ไม่ได้ฟังกันมานานแล้ว เพลงที่จะมาชวนฟังก็เป็นเพลงของ The Beatles คือ I Feel Fine เหตุผลก็ไม่มีอะไรมากครับ เพราะหนึ่งในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูลมาอย่างเหนียวแน่นมาสีสิบกว่าปีได้  ตามข่าวความสำเร็จของทีมจากหนังสือนิตยสารเป็นส่วนใหญ่ในยุค ปลาย  70 ต่อ 80 ที่ทีมครองความยิ่งใหญ่ เพราะในช่วงนั้นการสื่อสารยังไม่ดีเท่าทุกวันนี้ โอกาสจะมีบอลถ่ายทอดทีมโปรดมาให้ดูสักนัดก็ยากมาก ผ่านยุคตกต่ำที่ต้องมองความสำเร็จของแมนยูปีแล้วปีเล่าในยุค 90 ที่ได้เริ่มดูถ่ายทอดสดได้มากขึ้น แต่ก็ต้องมองทีมตัวเองมีได้แค่ลุ้นตอนต้น ๆ ของฤดูกาล แล้วก็ค่อย ๆ หายไปจนไม่มีเหลือลุ้นอะไร เหมือนที่แมนยูเป็นอยู่ตอนนี้

แต่ถึงตอนนี้คงต้องบอกว่ากองเชียร์ลิเวอร์พูลทุกคนคงจะอยู่ในสถานะ I Feel Fine เพราะผลงานของทีมที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การดูแลของชายที่ชื่อว่า เจอร์เก็น คลอปป์ ซึ่งกำลังพาลิเวอร์พูลกลับสู่ยุครุ่งเรื่องอีกครั้ง ในฤดูกาลนี้ก็ยังมีลุ้นทุกรายการที่ลงแข่ง เป็นทีมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดทีมหนึ่งของโลก และนอกจากนี้ยังมีข่าวดีอีกคือ คลอปป์ ยอมขยายสัญญาตัวเองออกไปจากที่จะหมดลงในปี 2024 เป็นปี 2026 ดูหมือนว่ามันจะขยายไปอีกไม่นาน แต่สำหรับแฟนลิเวอร์พูลแล้ว ผมว่าคลอปป์ยอมต่อสัญญาออกไปแม้จะเป็นแค่ปีเดียวก็ทำให้แฟน ๆ มีความสุขแล้ว เพราะมันหมายความว่าลิเวอร์พูลก็จะมีโอการประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นไปอีกตามจำนวนปีที่คลอปป์อยู่ต่อ

นอกจากจะรู้สึก Fine แบบชื่อเพลงแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากจะมาชวนฟังเพลงนี้ก็เพราะ กองเชียร์ลิเวอร์พูลที่อังกฤษได้แต่งเพลงสั้น ๆ ให้คลอปป์ โดยใช้ทำนองเพลง I Feel Fine นี้ครับ ไปฟังเพลงและดูเนื้อร้องของเพลงนี้กันก่อนครับ 


 Baby's good to me, you know

She's happy as can be, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine, mm

Baby says she's mine, you know
She tells me all the time, you know
She said so
I'm in love with her and I feel fine

I'm so glad that she's my little girl
She's so glad, she's telling all the world
That her baby buys her things, you know
He buys her diamond rings, you know
She said so
She's in love with me and I feel fine
She's in love with me and I feel fine

และนี่คือเพลงของคลอปป์ครับ



เนื้อเพลงก็สั้น ๆ ตามนี้ครับ

I'm so glad that Jurgen is a Red.

I'm so glad he delivered what he said.

Jurgen said to me, you know. We'll win the Premier League, you know. He said so.

I'm in love with him and I feel fine.


วันศุกร์นี้ก็ขอแสดงความ Fine ตามประสาเดอะค็อปสักวันนะครับ และก็ตามลุ้นให้ทีมทำภารกิจ 4 แชมป์ ที่แทบจะเป็น mission impossible ได้สำเร็จ 

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563

ศรัทธาเกิดจากผลงาน

วันศุกร์กลับมาอีกแล้วครับ และเป็นศุกร์ 13 ซะด้วย แต่ไม่ว่าจะศุกร์อะไรผมว่าช่วงนี้ประชาชนคงไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่นะครับ ศุกร์นี้เห็นนายกออกมาพูดด้วยมุมความคิดเดิม ๆ ขอให้เชื่อใจรัฐบาล ขอให้ช่วยกัน ขออย่าด่าทุกเรื่อง ผมถามจริง ๆ เถอะครับ ถ้าคนเราทำดี แสดงให้เห็นว่าสามารถแก้ปัญหาได้ ยังไม่ต้องสำเร็จก็ได้ แต่แสดงให้เห็นว่ามาถูกทางแล้ว ใครมันจะออกมาด่าครับ อาจจะยกเว้นพวกอคติ หลับหูหลับตาด่าอย่างเดียว อย่างพวกเกลียดทักษิณ ซึ่งก็คงมีอย่างนั้นเช่นกันในฝั่งเกลียดประยุทธ์

แต่ตอนนี้หลายคนที่เขาออกมาพูดออกมาตำหนิ บางคนเคยเชียร์ด้วยซ้ำ เพราะเขาเห็นแล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแก้ปัญหาไม่ถูกทาง มันไม่เป็นระบบ มันมั่ว จะให้เขาทำยังไง ผมถามจริง ๆ เหอะ สมมติประชาชนหุบปาก ไม่โวยวายเรื่องฝุ่น เรื่องหน้ากาก ถามจริง ๆ เถอะว่าพวกท่านจะรู้สึกรู้สม จะออกมาแก้ปัญหากันหูตาเหลือกอย่างนี้จริง ๆ หรือ ขนาดประชาชนออกมาโวยวายตอนแรก ยังหาว่าเป็น Fake News เกิดจากการทำลายกันทางการเมือง ถึงตอนนี้พรรคพวกท่านบางคนยังคิดแบบนี้อยู่เลย

แล้วก็ไอ้แนวคิดว่าประชาชนต้องช่วยตัวเองด้วยนี่ ท่านคิดว่าประชาชนเขางอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย รอท่านอย่างเดียวจริง ๆ หรือครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมว่าดีไม่ดีตายกันไปหลายคนแล้ว ประชาชนเขาช่วยตัวเองเท่าที่จะทำได้แล้วครับ แต่บางเรื่องมันก็เกินความสามารถของเขา เอาง่าย ๆ เรื่องหน้ากากเรื่องเจลล้างมือนี่ ผมว่าประชาชนก็ไม่ได้คิดจะรอแจกจากท่าน หลายคนเขาก็พร้อมจะซื้อ แต่เขาไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหน จะให้เขาเดินทางไปทั่วเมืองโดยไม่รู้ว่าจะซื้อได้หรือเปล่านี่มันใช่ไหมล่ะครับ ถ้าต้องทำเรื่องที่มันไม่ควรจะลำบากแบบนี้ด้วยความยากลำบาก มันก็สมควรไหมที่เขาจะตั้งคำถามว่า แล้วเราจะมีรัฐบาลไปทำไม ทางแก้ปัญหาหลายอย่างก็มาจากภาคประชาชน หรือพรรคที่เพิ่งถูกยุบไป อย่างเว็บไซต์แสดงจุดที่มีหน้ากากขายอะไรแบบนี้ หน่วยงานที่ควรจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำเรื่องนี้อย่างกระทรวง DE ทำอะไรอยู่ครับ หรือกระทรวงนี้มีหน้าที่แค่ไปเที่ยวไล่ฟ้องคนที่ด่ารัฐบาล ยัดเยียดข้อหาสร้าง Fake News ตั้งแต่ไวรัสเริ่มระบาด พวกท่านทำอะไร ท่านคิดแต่ห่วงรายได้จากการท่องเที่ยว ท่านคิดแต่ห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่ประเทศบางประเทศเขาเล็กกว่าเราอีก เขายังมีมาตรการที่เด็ดขาดกว่าในการคัดกรองคนเข้าประเทศ

ท่านขอความเชื่อใจและศรัทธา มาตั้งแต่ท่านยึดอำนาจ ท่านบริหารด้วยอำนาจพิเศษมากว่า 5 ปี ผมบอกเลยนะท่านทำลายความศรัทธามากกว่าสร้างความศรัทธา ผมคิดว่าตอนที่ท่านเข้ามาใหม่ ๆ คนคงคาดหวังกับท่านไว้มาก แต่ยิ่งอยู่ไปคนยิ่งเสื่อมศรัทธา และหลังจากเลือกตั้ง ท่านคิดว่าท่านชนะเลือกตั้ง ท่านคิดอย่างนี้จริง ๆ หรือครับ หรือท่านชอบหลอกตัวเอง พรรคที่สนับสนุนท่าน ไม่ใช่พรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งนะครับ พรรคที่สนับสนุนท่านแพ้ แพ้พรรคที่ที่ท่านยึดอำนาจเขามานั่นแหละ แต่ด้วยกลไกต่าง ๆ ที่ท่านวางไว้ ท่านจึงได้เป็นนายก ถ้าไม่มีกลไกเหล่านี้ ท่านไม่ได้กลับมาเป็นนายกหรอก แต่เอาเถอะท่านก็มาตามกติกาที่ท่านร่างขึ้นมาเองละนะ แต่ท่านบริหารยังไงล่ะครับมันถึงได้เป็นแบบนี้ ท่านขอให้เชื่อใจมาแล้ว 5 ปี ซึ่งก็เห็นแล้วว่ามันไม่ได้เรื่อง ท่านยังจะขอให้เชื่อใจไปอีกกี่ปีหรือครับ 20 ปี ตามยุทธศาสตร์ชาติของท่านหรือครับ ถึงตอนนั้นคนไทยจะจนกันหมดประเทศ หรือตายกันหมดประเทศดีล่ะครับ

ผมขอยกตัวอย่างคนที่สร้างความศรัทธาให้เกิดสักคนหนึ่งก็แล้วกัน เจอร์เกน คลอปป์ครับ ผู้จัดการทีมทีมรักของผมลิเวอร์พูล ก่อนที่เจอร์เกน คลอปป์เข้ามา ลิเวอร์พูลอยู่ในสภาพยักษ์หลับ และดูเหมือนไม่มีใคร แม้แต่แฟนบางคนของทีมจะเชื่อว่ายักษ์ตัวนี้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง เมื่อคลอปป์เข้ามา เขาบอกว่า เขาจะเปลี่ยนให้คนที่สงสัยไม่เชื่อมั่นกลับมาเป็นคนที่เชื่อมั่นในทีมให้ได้ From Doubters to Believers คือคำที่คลอปป์ใช้ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากเพลง "ขอเธอจงเชื่อใจและศรัทธา" หรอก แต่ความแตกต่างคือคลอปป์ทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่แต่งเพลง  คลอปป์สร้างทีมตามแนวทาง ลิเวอร์พูลไม่ได้แชมป์อะไรเลยในช่วงสองสามปีแรกที่คลอปป์เข้ามา แต่สิ่งที่แฟน ๆ เห็น คือแนวทางการเล่นของทีม แฟน ๆ เห็นการพัฒนาของทีม ดังนั้นแฟน ๆ ก็กลับมาเชียร์มาศรัทธาและเชื่อมั่น คลอปป์ไม่เคยออกมาเรียกร้องว่าแฟน ๆ อย่ามาด่าเขานะ ขอให้เชื่อใจนะ แต่เขาแสดงให้เห็นด้วยผลงาน และสุดท้ายปีที่แล้วลิเวอร์พูลก็ได้แแชมป์ถ้วยใบใหญ่ที่สุดในยุโรป และเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่มีแต้มสูงสุดในประวติศาสตร์ ได้แชมป์โลก ได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในขณะนี้ และปีนี้กำลังจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยผลงานที่ทิ้งคู่แข่งในลีกไปไกลมาก เห็นไหมล่ะครับว่าผลงานเท่านั้นเป็นตัวสร้างศรัทธา

พูดถึงลิเวอร์พูลก็อดกังวลไม่ได้ มันจะอะไรนักนะ กำลังจะเป็นแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 30 ปี ก็มีไอ้ไวรัสบ้าบออะไรไม่รู้มาทำเรื่องจนต้องลุ้นว่าจะแข่งจนจบได้แชมป์หรือเปล่าซะอีก อ้าวเริ่มด้วยการเมือง ดันมาจบด้วยเรื่องบอลซะได้ เฮ้อ แสดงว่ามันกังวลอยู่ในจิตใต้สำนึกนะนี่...



วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

การแก้ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์เริ่มได้ที่ตัวเรา

สวัสดีครับสำหรับวันนี้พอดีอ่านเจอเรื่องที่น่าสนใจจาก CNET เกี่ยวกับความพยายามแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ของค่ายหนังค่ายเพลงในอเมริกาครับ เห็นว่าน่าสนใจดีเลยเอามาเล่าให้ฟังกัน สำหรับวิธีแก้ปัญหานี้เขามุ่งไปที่ตัวผู้ใช้ครับแทนที่จะไปไล่ตามจับผู้ละเมิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไปไล่จับผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดไฟล์ละเมิดนะครับ แต่เขาจะใช้วิธีที่เรียกว่าให้ความรูู้กับผู้ใช้บริการครับ วิธีนี้นี้มีชื่อว่าระบบแจ้งเตือนการละเมิดลิขสิทธิ์ (Copyright Alert System)  หรือเรียกย่อ ๆ ว่าซีเอเอส (CAS) ลักษณะการทำงานของระบบก็คือ  จะให้ผู้บริการอินเทอร์เน็ตแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ว่าขณะนี้ผู้ใช้กำลังดาวน์โหลดไฟล์ที่ละเมิดลิขสิทธิอยู่  ซึ่งทางระบบมองว่าถ้าเป็นผู้ใช้ที่ดีและไม่รู้เรื่องจริง ๆ ก็จะหยุดการกระทำดังกล่าว แต่เขาจะให้โอกาสผู้ใช้โดยการเตือนถึงหกครั้งนะครับ ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกระบบนี้คือ  "เตือนหกครั้ง (six strikes)"   ถ้าเตือนไปขนาดนี้แล้วแต่ผู้ใช้ยังคงละเมิดต่อไปก็แสดงว่าผู้ใช้คนนี้อาจเกินเยียวยาแล้ว ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตก็มีสิทธิที่จะระงับการให้บริการชั่วคราวได้ แต่การยกเลิกสัญญากับผู้ใช้นี่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของระบบนี้นะครับ แต่ถ้าผู้ใช้คิดว่าตัวเองไม่ได้ละเมิดก็สามารถแสดงหลักฐานกับทางผู้ให้บริการได้นะครับ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าของลิขสิทธิ์ก็จะต้องลงมาดำเนินการฟ้องร้องกับผู้ใช้เองต่อไป ระบบนี้เริ่มใช้แล้วในอเมริกาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 ครับ จริง ๆ ระบบนี้มีกำหนดการที่จะต้องเสร็จและใช้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วครับ แต่ก็ต้องเลื่อนมาเพราะพายุเฮอริเคนแซนดี้กับเรื่องที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตยังลังเลที่จะให้ความร่วมมือด้วย 

จากประเด็นนี้เราคงเห็นนะครับว่าไม่ใช่เฉพาะคนในประเทศเราที่ละเมิดลิขสิทธิ์ แม้แต่ในประเทศที่ถูกมองว่าเจริญแล้วอย่างอเมริกาก็ยังมีปัญหานี้ ในส่วนตัวผมว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ก็มาถูกทางแล้วระดับหนึ่งคือเริ่มจากการให้ความรู้  แต่ที่น่ารังเกียจกว่าพวกประเภทไปเอาของเขามาคือพวกที่เอาของเขามาฟรี ๆ แล้วเอามาหากำไรต่อหรือเอามาเคลมว่าเป็นของตัวเองครับ อย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้อ่านเว็บดรามาเรื่องมีคนไปโหลดเกมมาฟรี ๆ แล้วก็เอามาให้คนอื่นโหลดต่อแต่ดันทำลิงก์โฆษณาครอบไว้ประเภทว่าต้องคลิกผ่านลิงก์นี้ก่อนถึงจะโหลดไฟล์ได้ ดังนั้นคนพวกนี้ก็จะได้ค่าโฆษณาครับ แต่คนเขียนเกมไม่ได้อะไรเลย ส่วนเขาจะดราม่าอะไรกันนั้นก็ลองไปอ่านกันดูเองนะครับ หรือที่เจออีกอันหนึ่งก็คือมีคนสร้างฟอนต์ที่ให้นักพัฒนาแอพบน iOS เอาไปใช้ ก็มีคนเอามาเผยแพร่แล้วก็บอกว่าเป็นของตัวเอง ลองอ่านดูที่นี่ครับ และอีกอันหนึ่งที่ยุคนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างมากมายและอยู่ในวงการวิชาชีพของผมซะด้วย ก็คือพวกนักวิชาการที่ไปโขมยผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเอง 

ข้ออ้างที่คนเหล่านี้มักจะนำมาใช้ซึ่งผมว่ามันน่าเศร้าใจมากก็คือคำว่า "สังคมแห่งการแบ่งปัน" จริงครับสังคมแห่งการแบ่งปันเป็นสังคมที่ดีแต่ก็ควรจะให้เกียรติกับเจ้าของผลงาน และไม่ควรเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้แบ่งปันเอามาแบ่งปัน หนักไปกว่านั้นดันไปเอาของเขามาหาประโยชน์ และบางครั้งพอเจ้าของเขามาทวงถามหรือขอให้ให้เครดิตเขาบ้างดันไปด่าเขาอีกว่าเห็นแก่ตัว จริง ๆ นะครับพออ่านความคิดเห็นอะไรแบบนี้แล้วรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ 

วิธีการแก้ปัญหานี้ที่ดีที่สุดผมว่าต้องเริ่มที่ตัวเราครับ ระบบอะไรที่สร้างขึ้นมาผมว่ามันกันคนที่ตั้งใจจะละเมิดไม่ได้หรอก อย่างมากก็ทำให้ลำบากขึ้นบ้าง ตัวเราเองต้องสำนึกครับ เริ่มจากไม่ทำงานหรือรายงานด้วยการตัดปะงานคนอื่น และให้คิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนที่นั่งหลังขดหลังแข็งสร้างงานขึ้นมา แต่มีใครไม่รู้ที่ใช้เพียงการคลิกไม่กี่คลิกก็ได้งานของเราไปใช้แบบฟรี ๆ หรือมาหาประโยชน์จากงานของเราแล้วเราจะรู้สึกอย่างไร เราภูมิใจไหมกับการที่ได้รับตำแหน่งเพิ่มขึ้นหรือได้รับความชื่นชมด้วยการไปลอกผลงานของคนอื่นมา แล้วเราจะมีความสุขไหมที่ต้องมานั่งกังวลว่าจะมีคนมาเจอไหมว่าเราลอกงาน 

เราควรจะเริ่มต้นให้ความรู้กับคนที่อาจจะยังไม่รู้ครับว่าเนื้อหาที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต หรือที่ไหนก็ตามถึงแม้บางอย่างเจ้าของเขาอาจจะประกาศให้เรานำไปใช้ได้ฟรี แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องเคารพ ถ้าเราต้องการจะนำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นแค่ประโยคเดียวเราก็ควรจะต้องให้เกียรติกับเจ้าของ ยิ่งของอะไรที่ผู้ใช้ไม่ได้บอกว่าให้ฟรีนี่ก็ไม่ควรจะไปเอามาใช้

ซอฟต์แวร์ก็เหมือนกันครับ เดี๋ยวนี้ราคาก็ถือว่าถูกลงจนพอหาซื้อมาใช้ได้ และถ้าเราไม่อยากซื้้อเราก็ยังมีทางเลือกอื่น อย่างชุด Microsoft Office ในสมัยก่อนเราอาจไม่มีทางเลือก แต่ในปัจจุบันเราอาจใช้ OpenOffice ซึ่งใช้ได้ฟรี หรือใช้บริการอย่าง Google Docs ก็ได้ มันอาจจะมีคุณสมบัติไม่ครบเท่า Microsoft Office แต่คุณสมบัติพื้นฐานก็มีครบถ้วน หรือถ้าจะตกแต่งรูปถ้าเราไม่ใช่มืออาชีพ อยากตกแต่งรูปเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจไม่ต้องไปหาโปรแกรมอย่าง Photoshop มาใช้ก็ได้ มีเว็บให้เราใช้แต่งภาพแบบฟรีมากมาย แม้แต่ Photoshop เองก็มีเครื่องมือออนไลน์อย่าง PhotoshopExpress  แต่ถ้าเป็นมืออาชีพและต้องการใช้งานคุณสมบัติในระดับสูงของโปรแกรม ผมก็แนะนำว่าควรซื้อโปรแกรมแบบถูกลิขสิทธิ์มาใช้นะครับ เพราะคุณนำโปรแกรมเขาไปหาผลประโยชน์ 

เรามาเริ่มที่ตัวเราสร้างสังคมให้เป็นสังคมแห่งการแบ่งปันที่อยู่บนฐานของการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ (และสิทธิ) ของคนอื่นกันเถอะครับ... 

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วิศวกรซอฟต์แวร์:อาชีพยอดเยี่ยมประจำปี 2012

เมื่อวานนี้ผมได้โพสต์ลิงก์นี้ Software Engineer: 2012's Top Job ลงในเฟซบุ๊คของผม ซึ่งโดยสรุปก็คือจากการสำรวจของ careercast พบว่าอาชีพที่ยอดเยี่ยมที่สุดประจำปี 2012 คือวิศวกรซอฟต์แวร์ ในวันนี้ผมอยากจะมาขยายความหน่อยครับสำหรับคนที่อาจไม่อยากอ่านรายละเอียดเป็นภาษาอังกฤษเอง

การจัดอันดับนี้เขาไม่ได้วัดจากรายได้สูงสุดนะครับ แต่เขาวัดจากปัจจัย 5 ประการด้วยกัน คือด้านกายภาพ สภาพแวดล้อมการทำงาน รายได้ ความเครียดและแนวโน้มการได้งาน อีกประการที่อยากจะนำมาขยายความก็คือภาระหน้าที่ของวิศวกรซอฟต์แวร์จากการสำรวจนี้ครับ หน้าที่ของตำแหน่งนี้คือวิจัย ออกแบบ พัฒนาและดูแลระบบซอฟต์แวร์ตลอดจนฮาร์ดแวร์ สำหรับงานด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ   รายได้เฉลี่ยต่อปีของอาชีพนี้อยู่ที่ 88, 142 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ตกราว 2,732,402 บาท ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าอาชีพเภสัชกรที่อยู่ที่ 112,070 เหรียญสหรัฐ (3,474,170 บาท) แต่อาชีพเภสัชกรอยู่ถึงอันดับที่ 14 ครับ

คราวนี้มาดูว่าทำไมอาชีพวิศวกรซอฟต์แวร์ถึงได้การจัดอันดับยอดเยี่ยมเป็นอันดับที่หนึ่ง ก็มีเหตุผลหลัก ๆ อยู่ห้าประการครับ

  1. เวลาที่ยืดหยุ่นมาก  วิศวกรซอฟต์แวร์สามารถเลือกเวลาทำงานได้ด้วยตัวเอง หรือแม้แต่อยากจะทำงานอยู่ที่บ้านก็ได้
  2. ได้ร่วมงานกับคนเก่ง ตำแหน่งนี้ต้องทำงานแบบลองผิดลองถูก ซึ่งก็จะดึงดูดพวกที่ชอบแก้ปัญหาแบบมีหลักการ จากการสำรวจมองว่าคนพวกนี้คือคนเก่ง และคนที่มาทำงานตำแหน่งนี้อาจไม่จำเป็นต้องจบด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์มาโดยตรง ก็คือเปิดโอกาสให้คนเก่ง ๆ จากหลากหลายสาขาเข้ามาร่วมกันทำงาน
  3. มีสภาพแวดล้อมการทำงานแบบทำงานเป็นทีม ตำแหน่งนี้จะต้องช่วยกันทำงานเป็นทีมเพื่อช่วยให้โครงการเสร็จในเวลาที่กำหนด ในข่าวนี้เขาเปรียบเทียบกับตำแหน่งนักเขียนโปรแกรมว่ามักจะทำงานคนเดียว
  4. มีโอกาสที่จะคิดสร้างสรรค์ อย่างที่บอกในข้อสองคือตำแหน่งนี้ต้องทดลองและแก้ปัญหา ซึ่งปัญหานั้นอาจไม่สามารถค้นหาคำตอบได้ง่าย ๆ จาก Google 
  5. มีอิสระที่จะทำพลาด จากข้อสองอีกนั่นแหละครับคือทดลองวิธีแก้ปัญหาที่คิดได้ ถ้ามันไม่สำเร็จก็กลับไปคิดใหม่ 
อย่างไรก็ตามนี่คือการสำรวจในต่างประเทศนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าในเมืองไทยเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า  ใครที่ทำงานในตำแหน่งนี้อยู่อยากจะแสดงความคิดเห็นก็ยินดีครับ



ที่มา: Information Week

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

ต้องจ้างเท่าไรให้หยุดใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งปี

เวลาผ่านไปเร็วมากเผลอแป๊บเดียวเดือนที่สามของปีกำลังจะผ่านไปแล้ว ที่ตั้งใจไว้วางแผนไว้ก็ยังไม่ได้ทำตามเป้าหมายสักเท่าไรเลยครับ เรื่องบล็อกก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ยังทำไม่ได้ จริง ๆ ตั้งใจจะเขียนอย่างน้อยสัปดาห์ละเรื่องแต่ตอนนี้ก็เว้นไปจะสามเดือนแล้วครับ เอาน่าคราวนี้ขอตั้งมาตั้งใจใหม่รับปีใหม่ไทยที่กำลังจะมาถึงแล้วกันครับ

สำหรับวันนี้้ผมอยากจะตั้งคำถามตามชื่อบทความวันนี้ให้คิดกันครับว่า จะต้องจ้างเราสักเท่าไรดีเพื่อให้เราหยุดใช้อินเทอร์เน็ตหนึ่งปี ซึ่งคำถามนี้ผมได้มาจากการอ่านบทความชื่อ How Much Money Would It Take For You to Give Up The Internet For a Year?   ซึ่งผู้เขียนบทความได้นำผลสำรวจจาก Boston Consulting Group (BCG) ซึ่งได้สอบถามคำถามนี้กับประชาชนในกลุ่มประเทศ G-20 ซึ่งผลลัพธ์ออกมาเป็นดังนี้ครับ ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ $1,430 หรือประมาณ 44,330 บาท ถ้าแยกเป็นประเทศก็มีตัวอย่างดังนี้ครับ $323 ในตุรกี $1,215 ในแอฟริกาใต้ $1,287 ในบราซิล $4,453 ในฝรั่งเศส $3,450 ในอังกฤษ และ $2,500 ในสหรัฐอเมริกา

เห็นข้อมูลนี้แล้วคิดยังไงกันบ้างครับมากไปหรือน้อยไป สำหรับผมกับเจ้าของบทความคิดตรงกันครับว่ามันค่อนข้างจะน้อยเกินไป และที่น่าประหลาดใจก็คือที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศแห่งเทคโนโลยี ค่าเฉลี่ยต่ำมากครับคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 77,500 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ามาจ้างผมเท่านี้ผมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดเลยครับ

คราวนี้มาดูว่าทำไมผมถึงคิดว่ามันต่ำครับ ก่อนอื่นต้องแยกประเด็นก่อนนะครับว่ากรณีนี้ไม่ใช่กรณีที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้ แต่เป็นกรณีที่มีให้ใช้ คนอื่นใช้แต่เราไม่ได้ใช้ ถ้าเป็นกรณีที่ไม่มีใช้นี่ผมอยู่ในยุคนั้นมาแล้ว ยุคที่การหาข้อมูลยังต้องพึ่งพาอาศัยห้องสมุดเป็นหลัก ต้องสั่งหนังสือผ่านร้านหนังสือรอกันทีเป็นเดือน ยุคที่ต้องถ่ายเอกสารรูปจากหนังสือมาลงแผ่นใสเพื่อสอน ดังนั้นผมเชื่อว่าผมอยู่ได้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่คนอื่นเขาใช้และเราไม่ได้ใช้ผมคิดว่ามันทำให้เราเสียประสิทธิภาพในการทำงานและการดำเนินชีวิตไปเลยนะครับ ในขณะที่คนอื่นเขาสามารถค้นข้อมูลที่ต้องการได้ภายในไม่กี่นาที สามารถสั่งอีบุ๊คมาอ่านได้ทันที สามารถติดต่อสื่อสารได้ตามต้องการ เราต้องขับรถ ขึ้นรถไฟฟ้า ปั่นจักรยานหรือเดินไปห้องสมุด ซึ่งข้อมูลที่ได้จากห้องสมุดก็อาจไม่ทันสมัย เราต้องรอหนังสือที่สั่งไปประมาณอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์  เราต้องติดต่อธุรกิจกับคนอื่นผ่านทางไปรษณีย์แบบด่วนทันใจ (ems) :) ซึ่งคงไม่ทันใจเท่าไรแล้วในยุคนี้ แค่คิดก็เหนื่อยแล้วครับ :(

ถ้าถามว่าเท่าไรถึงจะจ้างผมได้  ผมยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดครับแต่คิดว่าไม่น่าต่ำกว่าเจ็ดหลัก (มากไปเปล่าเพ่...) และมันขึ้นอยู่กับอีกคำถามหนึ่งซึ่งเจ้าของบทความเขาก็ถามทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า "แล้วจะทำได้หรือ?" นั่นสิแล้วผมจะทำได้หรือ ผมจะทนพลาดดราม่าต่าง ๆ บน twitter และ facebook ได้ยังไงกัน!

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

พนักงานแมคโดนัล(อเมริกา)ถูกไล่ออกหลังจากยอมให้ดาราอเมริกันฟุตบอลใช้ห้องน้ำ

พอดีไปเจอเรื่องนี้เข้าก่อนจะเข้าไปอ่านอีเมลของ Yahoo! เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง เรื่องก็มีอยู่ว่าผู้ช่วยผู้จัดการร้านแมคโดนัลสาขาหนึ่งในอเมริกาถูกไล่ออกหลังจากที่ยอมให้นักกีฬาระดับซุปเปอร์สตาร์ของทีมอเมริกันฟุตบอลทีม Minnesota Vikings ที่ชื่อ Adrian Peterson เข้าใช้ห้องน้ำ หลังเวลาที่ร้านปิดไปแล้ว พนักงานดังกล่าวเล่าว่า Peterson ได้มาขอเข้าใช้ห้องน้ำของร้านตอนประมาณตีสาม ซึ่งเธอเห็นว่าเป็น Peterson (ตามเรื่องบอกว่าคนนี้เป็นนักกีฬาที่เก่งที่สุดเท่าที่ทีมเคยมีมา ผมก็ไม่รู้จักนะครับ เพราะไม่ได้เป็นแฟนอเมริกันฟุตบอล) จึงยอมให้ใช้ห้องน้ำ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าผิดกฏของร้าน เธอบอกว่าเธอไม่คิดว่าการกระทำครั้งนี้เธอต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการตกงาน แต่ท้ายสุดแล้วเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดีครับ คือหลังจากสื่อท้องถิ่นรายงานเรื่องนี้แมคโดนัลก็รับเธอเข้าทำงานตามเดิมครับ

จากเรื่องนี้ถ้ามองในแง่ของกฏก็ถือว่าพนักงานทำผิดกฏ แต่เธอก็ให้เหตุผลว่าคนนี้เป็นซุปเปอร์สตาร์ เธอรู้จักคนคนนี้มากกว่าช่างที่มาซ่อมบำรุงอุปกรณ์ในร้านซะอีก นี่คือโอกาสในการโฆษณาร้านซึ่งฟังดูก็มีเหตุผลดีเหมือนกัน ผมลองอ่านความเห็นของคนที่เข้ามาอ่านบทความต้นฉบับก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทั้งแมคโดนัลและพนักงาน พวกเราเห็นเป็นอย่างไรครับ

สุดท้ายก็คงต้องถามพนักงานแมคโดนัลของไทยแล้วล่ะครับว่าถ้าพี่เบิร์ดมาขอเข้าห้องน้ำแบบนี้จะให้หรือไม่ถ้ามีโอกาสต้องตกงาน... 


ที่มา: Yahoo! Sports    

สีไว้ทุกข์ในรัชกาลที่ 5

สวัสดีครับ สำหรับวันนี้ขอนำเรื่องไทย ๆ ที่พวกเราหลายคน(รวมทั้งผมด้วย)อาจไม่เคยทราบมาก่อนมาเล่าให้ฟังกันครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสีเสื้อผ้าสำหรับไว้ทุกข์ครับ ในปัจจุบันเวลาเราไปงานศพสีเสื้อผ้าที่เราใส่ก็คือสีขาวหรือสีดำเป็นหลักนะครับ แต่จริง ๆ แล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการแบ่งสีไว้ทุกข์ไว้ตามนี้ครับ


  1. สีดำ ผู้ที่สวมใส่คือญาติที่มีอายุมากกว่าผู้ตาย 
  2. สีขาว ผู้ที่สวมใส่คือญาติที่มีอายุน้อยกว่าผู้ตาย
  3. สีม่วงแก่หรือน้ำเงินแก่ ผู้ที่สวมใส่คือผู้ที่ไม่ได้เป็นญาติกับผู้ตาย  
ที่มา: Brainfood New Edition เล่ม 4 ปี 2553

วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บล็อกส่งท้ายปีเสือดุ: พลังของ Social Network

ปีหนึ่ง ๆ ผ่านไปเร็วมากนะครับ มันเหมือนกับว่าเพิ่งจะผ่านปีใหม่ไปไม่นานนี้เอง ปีนี้จริง ๆ แล้วก็คงต้องบอกว่าเป็นปีเสือดุจริง ๆ นะครับ มีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทางการเมืองและมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย มาจนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ กรณีซากเด็กทารกที่เกิดจาการทำแท้ง กรณีโจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวและเหตุการณ์ล่าสุดที่กำลังเป็นเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้ก็คือกรณีอุบัติเหตุรถซีวิคชนกับรถตู้โดยสารจนมีผู้เสียชีวิตหลายคน และเด็กสาวที่ขับรถซีวิคก็กลายเป็นจำเลยของสังคมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายอยู่ในตอนนี้ กรณีโจ๊ก-จิ๊บผมได้เขียนไปแล้วในเรื่องที่แล้ว วันนี้ผมก็ขอส่งท้ายด้วยมุมมองของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ซีวิคนี้ก็แล้วกันครับ โดยจะเน้นให้เห็นถึงพลังของ Social Network ซึ่งมีทั้งที่ดีและไม่ดี

ผมได้ติดตามเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้มาเรื่อย ๆ จากหลายสื่อด้วยกัน โดยสื่อแรกที่ผมได้ทราบเรื่องนี้ก็คือจาก twitter ซึ่งตอนแรกนั้นข่าวเป็นเหมือนว่ารถตู้ตกโทลเวย์ จนในที่สุดก็เป็นเรื่องอย่างที่เราทราบกันอยู่ก็คือรถซีวิคชนรถตู้จนผู้โดยสารกระเด็นจากรถออกมา และมีผู้โดยสารเสียชีวิตซึ่งในขณะที่เขียนอยู่นี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเก้าคน ส่วนคนที่ชนนั้นเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี และมีนามสกุลใหญ่โต ผมก็ได้ติดตามข่าวนี้จากหลาย ๆ สื่อ รวมทั้งอ่าน Timeline ของผมใน Twitter ด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจมากก็คือกระแสจาก Social Network นี่แหละครับเพราะบอกตามตรงว่ามันรุนแรงมากถึงกับขั้นที่สร้างความเกลียดชังกับตัวเด็กคนนั้นกันทีเดียว และจากกระแสนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมสังคมไทยมันถึงเกิดการแตกแยกกันขนาดนี้

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็เสียใจไปกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกคน และผมไม่ได้จะออกมาเข้าข้างคนขับรถซีวิค แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนเพราะเข้าใจว่ามีคนที่มีความเห็นคล้าย ๆ ผมนี่โดนมาแล้ว นี่ก็คือปัญหาหนึงตอนนี้เหมือนกับว่าสังคมเรายอมรับความเห็นต่างไม่ได้แล้ว ถ้าใครเห็นต่างจากตัวเองก็กลายเป็นคนเลวหรือกลายเป็นอีกฝ่ายหนึ่งไป ทั้ง ๆ ที่การรับฟังความเห็นของคนอิ่นนั้นน่าจะมีประโยชน์ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นหรือมองปัญหาได้รอบด้านขึ้น

แน่นอนอยู่แล้วครับที่เด็กที่ขับซีวิคนั้นมีความผิดในส่วนของการขับรถทั้งที่ไม่มีสิทธิขับตามกฏหมาย และพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนอบรมเลี้ยงดูลูก และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจนป่านนี้พ่อแม่ของเด็กจึงยังไม่ออกมากล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจในส่วนนี้ คือจากคำสัมภาษณ์เหมือนกับจะรอให้ชัดเจนก่อนว่าในเรื่องอุบัติเหตุใครถูกหรือผิด แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันในส่วนที่ตัวเองผิดนี่ก็ยอมรับไปก่อน ผมว่ามันจะช่วยลดกระแสสังคมลงได้ส่วนหนึ่ง ดีกว่าออกแถลงการมาเป็นสกุล มันยิ่งทำให้ดูเหมือนการแบ่งชนชั้นมากขึ้น

กลับมาถึงเรื่องที่ผมอยากให้เราตั้งสติกันครับ จากกระแสที่กำลังสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้อยู่ตอนนี้ ผมว่าสังคมไทยในยุคที่มี Social Network และการรับข่าวสารแบบทันทีทันใดนี้นี่น่ากลัวมากครับ ถ้าคนรับข่าวสารไม่ตั้งสติและใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารให้ดี วิพากษ์วิจารณ์ตามกระแส หรือเห็นคล้อยตามกับคนมีชื่อเสียงที่ใช้ Social Network และอาจจะมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น และเราก็ตามกระแสไปจนผมขอใช้คำว่าถึงขั้นเลยเถิด  และถ้าเรายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปผมว่าสังคมไทยก็จะเกิดความขัดแย้งแบบนี้ไปอีกนาน

ดังนั้นผมอยากให้พวกเราตั้งสติและพิจารณาเหตุการณ์นี้ให้ดีครับลองมาพิจารณาเป็นข้อ ๆ นะครับ  ข้อแรกเหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดได้กับทุกคนที่ขับรถ เด็กคนนั้นในแง่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผิดจริงหรือไม่ก็ต้องรอการพิสูจน์ เด็กคนนั้นผิดแน่ในแง่การขับรถโดยไม่มีใบขับขี่และขับรถเร็วเกินกฏหมายกำหนด แต่ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะผิดจริงหรือไม่สิ่งที่เราต้องตั้งสติและพิจารณาให้ดีก็คือ เด็กคนนั้ีนคงไม่ได้ตั้งใจทีจะขับรถพุ่งชนใส่รถตู้ ดังนั้นสมควรแล้วหรือที่เราจะต้องสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้ถึงขนาดนั้น จริง ๆ เราไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้ด้วยซ้ำก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น

ข้อสองหลายคนอาจบอกว่าที่ไม่พอใจก็เพราะเด็กคนนั้นหลังจากชนแล้วยังออกไปกดบีบีเล่นไม่สนใจคนเจ็บ คำถามก็คือเราทราบได้อย่างไรว่าเด็กคนนั้นทำอะไรอยู่ แค่ดูจากรูปที่มีคนถ่ายแล้วส่งมา ซึ่งดูจากรูปแล้วมันจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ดูเหมือนจะสรุปได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังโทรศัพท์ ซึ่งถ้าโทรศัพท์ก็คงเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทุกคนคงต้องทำเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หรือถ้ากดบีบีจริงผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเธอจะใช้เป็นช่องทางเพื่อติดต่อหรือแจ้งให้คนอื่น ๆ ทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว

ข้อสามหลายคนอาจถามว่าทำไมไม่ไปดูแลคนเจ็บ ผมอยากให้ลองคิดอย่างนี้ครับว่าถ้าเราเป็นคนขับรถคันนั้น และเราเป็นคนชนเราจะเป็นยังไงครับ เราจะตกใจไหม รถที่ขับก็พังยับทั้งคัน เราถูกงัดอกมาจากรถ เราไม่เห็นรถคู่กรณี เราอาจจะนึกว่าเราแค่ขับชนท้ายรถก็เหมือนรถชนธรรมดา เราไม่รู้ว่ามีคนเจ็บคนตาย ประเด็นก็คือผมเองแม้จะอายุเยอะแล้วถ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็อาจทำอะไรไม่ถูกก็ได้ นับประสาอะไรกับเด็กอายุ 16

ข้อสี่คนมีนามสกุลใหญ่จะต้องได้รับอภิสิทธิ์ พวกคนตระกูลใหญ่จะต้องใช้เส้นสายเพื่อให้พวกตัวเองพ้นผิด เรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานหรือเอาใจคนใหญ่คนโตนี้ผมเห็นด้วยครับว่ามันมีอยู่ในสังคมเราจริง  ๆ  แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนใหญ่คนโตทุกคนจะต้องใช้เส้นสายหรือใช้สิทธินี้ และมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปเกลียดหรือเข้าข้างใคร ๆ เพียงเพราะเขามีนามสกุลใหญ่โตและทำผิด เรื่องการแบ่งแยกนี้มันทำให้เกิดปัญหาระดับชาติมาแล้วนะครับ พวกชนชั้นกลางหลายคนก็ไปดูถูกคนต่างจังหวัดว่าโง่เลือกผู้แทนที่ไม่มีคุณภาพ คนต่างจังหวัดก็ถูกปลุกปั่นให้เห็นว่าคนชั้นกลางเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้นผมอยากเสนอว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ให้เราพิจารณาที่คนคนนั้น เหตุการณ์นั้นโดยไม่เอาอคติในเรื่องชนชั้นมาเกี่ยวข้องด้วยก็น่าจะทำให้เรามองปัญหาด้วยใจที่เทียงธรรมมากขึ้นครับ

กรณีเรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานนี้ถ้าจะโทษผมอยากให้โทษที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมากกว่า ลองถามตัวเองดูว่าปฏิบัติเหมือนกันไหมระหว่างคนธรรมดากับคนตระกูลใหญ่ ถ้าคนที่ขับรถชนเป็นคนนามสกุลธรรมดาตำรวจจะปล่อยตัวไปโดยไม่ควบคุมอะไรเลยแบบนี้ไหม แต่ถ้ามองในแง่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานก็อาจน่าเห็นใจว่าเขาอาจถูกกดดันจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ถ้าเขาทำตามหน้าที่ตรงไปตรงมาก็อาจมีปัญหาได้โดยไม่มีใครช่วยเขา ตรงนี้แหละครับที่ผมมองว่า Social Network อาจเข้ามาช่วยได้ คือถ้ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงโดยไม่กลัวเกรงกับอิทธิพลใด ๆ ก็ให้เราใช้พลัง Social Network ช่วยเขาครับ ส่วนเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันอะไรที่รัฐบาลเสนอเข้ามา ผมก็ภาวนาขอให้มันสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่แค่นโยบายหาเสียงไปวัน ๆ ก็แล้วกัน    

เขียนมาซะยืดยาวและเป็นเรื่องหนัก ๆ ทั้งนั้นในวันส่งท้ายปีแบบนี้จริง ๆ ไม่อยากเขียนเลย แต่ที่ต้องเขียนเขียนก็เพราะอยากเห็นคนไทยในยุค Social Network ตั้งสติและพิจารณาข่าวสารให้ดี ให้เราเข้าใจว่าข้อมูลที่เราได้รับจากสื่อต่าง ๆ มันอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมด ให้แยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือข้อวิจารณ์ซึ่งบางทีอาจเกิดจากอารมณ์ก็ได้ 

สุดท้ายผมอยากให้เราใช้ Social Network ในทางสร้างสรรค์เช่นการรวมตัวกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างที่ผ่านมา หรือสนับสนุนคนดี ๆ มากกว่าที่จะมาใช้ Social Network เพื่อทำลายล้างกันหรือสร้างกระแสให้เกลียดชังกัน ซึ่งถ้าเราทำอย่างนี้ได้ผมว่าเราจะใช้ประโยชน์จาก Social Network ได้คุ้มค่า และประเทศของเราก็น่าจะเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความสงบสุขเหมือนที่ผ่านมาได้ครับ สวัสดีปีใหม่ครับ ...

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม

สวัสดีครับ คงยังไม่สายไปที่จะกล่าวคำว่า Merry X'Mas ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชาวพุทธอย่างที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกัน แต่เราชาวไทยทั้งหลายก็พร้อมที่จะร่วมฉลองกับทุกเทศกาลอยู่แล้ว ซึ่งผมมองว่านี่เป็นจุดที่น่ารักอีกประการหนึ่งของคนไทยเราครับ และก็ทำให้เราไม่เกิดสงครามศาสนาเหมือนกับประเทศอื่น ๆ แต่สิ่งที่ผมอยากจะเขียนวันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องคริสต์มาสนะครับ แต่อยากจะพูดถึงเรื่องที่หลัง ๆ นี้ผมว่าพวกเราหลายคนอาจจะลืม ๆ ไป หรือชินกับมันไปแล้วนั่นคือการที่เรายอมละเมิดกฏหรือระบบเพื่อให้ได้ตามที่ใจเราต้องการ

จริง ๆ ผมมีความคิดที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้นานแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่เขียนเพราะบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากจะพูดเรื่องการเมืองมากนัก ผมเคยเขียนบล็อกว่าพวกเสื้อเหลืองที่มาชุมนุมปิดสนามบิน และว่าพวกเสื้อแดงที่มาชุมนุมจนการประชุมอาเซ็มล่ม ซึ่งในบล็อกที่เขียนว่าเสื้อเหลืองก็มีคนคิดว่าผมเป็นเสื้อแดง พอเขียนว่าเสื้อแดงผมก็กลายเป็นเสื้อเหลือง ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ใช่สีไหนทั้งสิ้นผมเป็นคนไทยที่ไม่มีสี และจริง ๆ คนไทยก็ไม่เคยมีสี จนมาถึงยุคนี้แหละครับที่พวกเราถูกคนที่ต้องการอำนาจพยายามใช้เราเป็นเครื่องมือและแบ่งแยกคนไทยออกจากกัน และกลายเป็นว่าคุณต้องเป็นสีใดสีหนึ่งถ้าคุณบอกว่าคุณไม่เป็นสีใดนั่นคือคุณแอ๊บ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าไม่เขียนดีกว่า

พอเกิดเหตุการณ์โจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวที่ไปยิงน้องโตมี่ และในที่สุดก็นำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรมโจ๊ก (ทำไมต้องชื่อโจ๊กด้วยนะ ทำเสียคนชื่อโจ๊กหมด) ผมเลยคิดว่าน่าจะต้องเขียนถึงเสียหน่อย ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็มีความเห็นเหมือนกับพวกเราหลายคนคือคนอย่างพี่น้องสองคนนี้ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่เพือมาก่อกรรมทำชั่วกับใคร ๆ อีก ยิ่งฟังการให้สัมภาษณ์ของพ่อของทั้งสองคนแล้ว ก็ทำให้เห็นเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ชั่วขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสะกิดเตือนพวกเราในวันนี้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรมนี่แหละครับ ผมจะไม่เขียนเรื่องว่าตำรวจทำถูกหรือไม่ถูกนะครับ เพราะผมไม่เคยดูวีดีโอที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน หรือถึงจะดูก็อาจจะไม่สามารถวิจารณ์ได้อยู่ดี

สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือกระแสสังคมที่เหมือนจะสนับสนุนการทำวิสามัญฆาตกรรมของตำรวจ ซึ่งผมมองว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวครับ เพราะผมมองว่ามันคือการทำลายระบบยุติธรรมของไทย มันเหมือนกับว่าเราพร้อมที่จะสนับสนุนการทำผิดถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราถูกใจ จริง ๆ แล้วกระบวนการยุติธรรมมันมีบทบาทเฉพาะของมันอยู่แล้ว ตำรวจมีหน้าที่จับกุมถ้าคนร้ายต่อสู้ก็สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ตำรวจไม่มีอำนาจไปตัดสินว่าคนร้ายสมควรที่จะต้องตาย การตัดสินเป็นอำนาจของศาล

ในทำนองเดียวกันกับการชุมนุมของกลุ่ม พธม. (เสื้อเหลือง) ซึ่งทั้งปิดถนน เข้าไปยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน แต่พวกเราหลายคนก็พร้อมที่จะปิดหูปิดตาและบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้มาชุมนุมขับไล่คนที่เราไม่ชอบ เวลาทหารอกมาปฏิวัติถ้าเขาปฏิวัติเอาคนที่เราไม่ชอบออกไป เราก็เอาดอกไม้ไปให้ทหาร ขอบคุณทหารที่ออกมาปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นการทำลายระบบ พวกสื่อและนักวิชาการก็ช่วยให้การชุมนุมที่จริง ๆ นั้นผิดให้กลับกลายเป็นถูก มีการประดิษฐ์ถ้อยคำเช่น "ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" หรือคำประเภท "สิทธิของเสียงส่วนน้อย" ซึ่งในความเห็นผมผมก็เห็นด้วย แต่มันต้องมีการเติมให้สมบูรณ์ครับ เช่นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่คุณต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และคอยติดตามดูผลงานของคนที่คุณเลือกหรือไม่ได้เลือกเข้าไป ถ้าเขาทุจริตหรือคดโกงคุณก็ต้องใช้ช่องทางตามที่กฏหมายเปิดช่องไว้ เช่นการเข้าชื่อถอดถอน ยื่นฟ้องต่อองค์กรอิสระ หรือก็อาจต้องอดทนรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งอำนาจจะกลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง ถ้าเราเป็นเสียงส่วนน้อยเรามีสิทธิที่จะพูดแสดงความคิดเห็น และโน้มน้าวให้คนอื่น ๆ เห็นด้วยกับเราจนเรากลายเป็นเสียงข้างมาก แต่ถ้ามันไม่สำเร็จเราก็ต้องยอมตามเสียงข้างมาก นั่นคือระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่นั้นผิดและจะเป็นภัยร้ายแรง เราก็ต้องมาใช้สิทธิของเราในด้านอื่นตามช่องทางที่กฏหมายกำหนด

หลายคนอาจจะบอกว่าเลือกตั้งใหม่ก็ได้คนเดิมอยู่ดี เพราะเสียงคุณสู้ไม่ได้ (จนกลายไปเป็นไปดูถูกหรือด่าคนอื่นว่าโง่กว่าตัวเอง) แต่นี่คือระบอบประชาธิปไตยครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าคุณต้องโน้มน้าวหรือทำให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ คุณอาจจะคุยกับเพื่อน ๆ คุณบอกว่าควรเลือกพรรคนี้หรือพรรคนั้นเพราะอะไร  ส่วนนักการเมืองก็ควรจะนำเสนอนโยบาย และถ้าแพ้ก็ควรจะมาพิจารณาตัวเองว่ายังมีจุดบกพร่องอะไร ไม่ใช่พอแพ้เลือกตั้งมาก็พูดอยู่คำเดียวเป็นคาถาว่าแพ้เพราะอีกฝ่ายซื้อเสียงโดยไม่ได้มองตัวเองเลย แล้วก็เล่นเกมการเมืองไปเรื่อยโดยไม่คิดว่าที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีโดยเอาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก

พูดมาถึงตรงนี้หลายคนก็บอกว่าก็นี่ไงเพราะคุณภาพของนักการเมืองบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ก็เลยต้องใช้วิธีนอกระบบ แต่ผมกลับมองว่าถ้าเรารักษาระบบไว้คือไม่ว่านักการเมืองจะแย่ยังไง เราก็จะใช้วิธีที่อยู่ในระบบจัดการกับเขา ไม่มีการมาปิดสนามบินหรือยึดย่านเศรษฐกิจขับไล่ และไม่มีการปฏิวัติ ก็จะทำให้คนดี ๆ กล้าที่จะเข้ามาทำงานมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าจะไม่มีการใช้วิธีการนอกระบบมาจัดการกับเขา เพราะแม้แต่คนชั่ว ๆ เรายังอดทนที่จะอยู่ในระบบได้ ซึ่งผมคิดว่าสักวันวันนั้นจะมาถึงถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบ ไม่ไปหยุดมันกลางทางอย่างทีทำกันอยู่ในปัจจุบัน

แต่แน่นอนครับเมื่อระบบมันเสียไปจากการที่พวกเรายอมรับสิ่งที่ผิดถ้ามันตรงใจ จากเสื้อเหลืองมันก็เลยเกิดเสื้อแดง ก็ต้องบอกอีกครั้งว่าไม่ได้เห็นด้วยเลยกับการที่เสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกับเสื้อเหลือง เพราะตอนเสื้อเหลืองทำผิดกฏหมายบ้านเมืองพวกเสื้อแดงก็ด่าเสร็จแล้วก็มาทำเสียเอง ผมว่าไอ้คนที่ด่าเขาแล้วตัวเองมาทำเองนี่แย่กว่าอีกนะ คือรู้ว่าอะไรผิดแล้วยังทำ ผมเบื่อจริง ๆ กับคำว่าเขาทำผิดได้เราก็ต้องทำได้ จริง ๆ มันควรจะเป็นว่าเขาทำผิดเราจะไม่ทำผิดเหมือนเขาถึงจะถูก จริง ๆ ถ้าอยากชุมนุมก็ทำเหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้าคือชุมนุมโดยสงบตามสนามกีฬาที่ไม่เดือดร้อนใคร ชี้ให้เห็นการทำงานที่ผิดพลาดหรือสองมาตรฐานอะไรก็ตาม ซึ่งผมว่าถ้าคุณทำอย่างนี้นี่แหละจะเป็นการโน้มน้าวให้คนที่มีใจเป็นกลางให้เห็นด้วยกับคุณ และขณะที่กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่ก็มีข่าวแฟนบอลลงมาทำร้ายกรรมการในการแข่งขันระหว่างศรีสะเกษกับนครปฐม นี่ก็คือตัวอย่างของการทำนอกระบบ

ท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากให้พวกเราทุกฝ่ายคิดและยอมรับระบบ อะไรที่คิดว่าไม่ยุติธรรมก็ให้แก้ไขอยู่ในขอบเขตของระบบ และต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในข้ามวัน ขอให้มีความอดทนอดกลั้นเพื่อให้ประเทศเราได้เดินหน้าไปอย่างปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาครับ

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มุมุมองของผมจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553

จริง ๆ เรื่องน้ำท่วมนี้มีอะไรอยู่ในใจผมและตั้งใจว่าจะเขียนนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เขียนสักที จนตอนนี้พอจะมีเวลาบ้างก็ขอเขียนเลยแล้วกัน เพราะถ้าไม่เขียนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เขียนเมื่อไหร่ สำหรับเหตุูการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ก็มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป เอาสิ่งที่ดีก่อนแล้วกันสิ่งดีประการแรกก็คือผมยังเห็นว่าคนไทยยังรักกันครับ เราพร้อมที่จะช่วยเหลือกันเมื่อยามเดือดร้อนไม่ต้องคิดว่าใครเป็นสีไหน และหลังจากเหตุการณ์นี้ผมก็หวังว่าเราจะไม่ยอมให้พวกนักการเมืองหรือผู้ที่ต้องการครองอำนาจในบ้านเมืองมาชักนำให้พวกเราต้องมาแบ่งสีกันอีกนะครับ ผมมองเห็นการทำงานที่แข็งขันของภาคประชาชน การใช้เครือข่ายสังคมให้เกิดประโยชน์ ผมรู้สึกว่าประเทศเรายังมีความหวัง และขอขอบคุณอาสาสมัครทุกคนด้วยใจจริงครับ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกดีแต่อาจจะเป็นส่วนตัวสักเล็กน้อยนะครับก็คือลูก ๆ ของผมทั้งสองคนซึ่งยังไม่โตมากนัก แต่เขาก็มีความรู้สึกและพร้อมที่จะช่วยเหลือด้วย คือเมื่อวันเสาร์ (23 ต.ค. 2553) ที่ผ่านมา ผมและลูกได้ดูรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมไป และผมก็ได้พูดเปรย ๆ ว่า "คราวนี้น้ำท่วมหนัก สงสัยที่บริจาคไปแล้วจะน้อยไปพ่อจะไปบริจาคเงินช่วยเพิ่มเติม" ลูกของผมทั้งสองคนได้ยินอย่างนั้น ก็เดินไปเปิดกระเป๋าเงินของเขาและหยิบเงินออกมาคนละพัน บอกว่าเงินนี้คุณยายให้มาให้เขาเอาไว้ใช้ตอนเปิดเทอมให้ผมเอาเงินนี้ไปบริจาคด้วย ซึ่งทำให้ผมรู้สึกปลื้มใจมาก

ส่วนสิ่งที่ผมมองว่ายังไม่ดีประการแรกก็คือการทำงานของรัฐบาลนี่แหละครับ รัฐบาลไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการจัดการสถานการณ์วิกฤตเลย มันทำให้เห็นว่าตอนนี้การทำงานของภาครัฐนั้นล้าหลังภาคประชาชนไปมาก ผมว่าบล็อก ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก เขียนสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลได้ดีมาก ก็ลองไปอ่านกันดูแล้วกันครับ ผมคงไม่เพิ่มเติมอะไรเพราะผมว่าบล็อกดังกล่าวได้สะท้อนสิ่งที่น่าจะอยู่ในใจของหลาย ๆ คนออกมาอยู่แล้ว

อีกจุดหนึ่งก็คือพวกส.ส.ทั้งหลายครับ ตอนนี้พวกคุณทำอะไรกันอยู่บ้างครับ ผมไม่เห็นบทบาทที่โดดเด่นของพวกคุณในสถานการณ์นี้เลยครับ ตกลงพวกคุณยังมีตัวตนอยู่ไหม จริง ๆ มันไม่สำคัญว่าคุณจะเป็น ส.ส. ฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ตอนนี้ประชาชนที่เขาเลือกพวกคุณมากำลังเดือดร้อน คุณได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือพวกเขาบ้าง คุณเลิกทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองสักพักได้ไหม หรือจะตามสนใจแต่เรื่องคลิปจะยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค ก็ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ผมว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องรองนะครับ ส.ส. ฝ่ายค้านกับรัฐบาลลองทำเหมือนภาคประชาชนดูไหมครับ ลองหันมาจับมือกันเพื่อช่วยประชาชนให้ผ่านความทุกข์ยากครั้งนี้ไปให้ได้ แล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง

สุดท้ายก็คือเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาวครับ ลองถามตัวเองครับว่าประเทศของเราเกิดเหตูการณ์แล้ง-น้ำท่วมแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ต้นปีก็ปัญหาภัยแล้ง พอกลางปีถึงปลายปีก็มีปัญหาน้ำท่วม ผมคงไม่สามารถให้ความเห็นที่ดีได้ในเรื่องวิธีแก้ปัญหาเพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่คำถามก็คือประเทศเราไม่มีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลยหรือครับ หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้หรือครับ เท่าที่ผมฟังมาวิธีการหนึ่งที่อาจจะบรรเทาปัญหานี้ได้ก็คือการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น แต่ก็ถูกคัดค้านจาก NGO ซึ่งผมมองว่าถ้ามันแก้ได้จริง ๆ ก็น่าจะต้องทำนะครับ ก็ขอฝากรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยแล้วกันในเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาว

นั่นคือบางสิ่งที่อยู่ในใจผมจากสถานการณ์นี้ สำหรับท่านใดมีความเห็นอื่นใดต้องการจะมาแบ่งปันกันก็ยินดีครับ อ้อขอให้ลิงก์ไปยังเว็บที่ถือว่าเป็นศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้ไว้ด้วยนะครับ เผื่อใครยังไม่ทราบ และต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ http://www.thaiflood.com/

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ความเห็นเกี่ยวกับข่าวฮอตประจำสัปดาห์

สำหรับสัปดาห์นี้ข่าวร้อนแรงที่สุดก็คงมีอยู่ 3 เรื่องนะครับ คือเรื่องที่การประมูลใบอนุญาต 3G ถูกระงับ เรื่องฟิล์ม และเรื่องเปิดตัวไอโฟน 4 อย่างเป็นทางการในไทย ก็ขออนุญาตเกาะกระแสเขียนถึงทั้ง 3 เรื่องนี้บ้างแล้วกันนะครับ

เริ่มจากเรื่อง 3G ก่อน จริง ๆ เรื่องนี้ผมเขียนถึงไปสองครั้งแล้ว คงต้องบอกว่าผิดหวังเหมือนกับหลาย ๆ คนในประเทศนี้ แต่คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ายังไงศาลก็คงไม่ยอมให้เดินหน้าต่อเพราะมีปัญหาเรื่องข้อกฏหมายจริง ๆ แต่ถ้าถามว่าปัญหาน่าจะเกิดจากอะไร ผมคิดว่าเป็นปัญหาด้านการบริหารจัดการของรัฐบาล รัฐบาลไม่รู้ว่าองค์กรใดมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง ไม่รู้ว่าเคยปรึกษากับกฤษฎีกาหรือเปล่า (จริง ๆ ถ้ายังไม่แน่ใจนี่น่าจะรีบดันเรื่อง กสทช.ออกมาให้เร็วที่สุด มาเร่งทำตอนนี้ก็ค่อนข้างสายแล้วครับ) อีกอย่างหนึ่งยังไม่สามารถควบคุมองค์กรที่อยู่ในสังกัดของตัวเองให้ทำตามนโยบายของรัฐบาลได้ อ้อแต่รับฟังมาอีกกระแสหนึ่งเห็นเขาบอกว่าจริง ๆ รัฐบาลไม่อยากให้การประมูล 3G สำเร็จโดยกทช. ครับ เพราะมีข้อไม่เห็นด้วยกับ กทช. (ทำนองว่า กทช. มีความไม่โปร่งใสอะไรบางอย่าง) แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะกทช. เป็นองค์กรอิสระ อันนี้แค่ฟังมานะครับไม่รู้จริงหรือเปล่าเอามาเล่าให้ฟังไว้เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง สรุปเรื่องนี้ก็คือตอนนี้ TOT กับ กสท. ก็สมหวังแล้วในการที่ยับยั้งไม่ให้มี 3G รายอื่นเกิดขึ้นมาในประเทศ ก็ช่วยพัฒนาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์กับประเทศชาติสูงสุดด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องฟิล์มนี่ผมจะไม่แตะเลยครับ ถ้าคุณระเบียบรัตน์ไม่ออกมาให้สัมภาษณ์อะไรซึ่งในส่วนตัวผมฟังแล้วรู้สึกแย่มาก ผมไม่ใช่แฟนของฟิล์ม และติดตามผลงานของฟิล์มน้อยมาก และผมไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ที่เขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะคุณระเบียบรัตน์จริง ๆ ก่อนอื่นผมบอกเลยนะครับว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนสองคน เขารู้ดีที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร เราเป็นบุคคลนอกไม่มีสิทธิที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เขาในทางที่เหมือนต่อว่าคนที่เราไม่เห็นด้วยอย่างเสีย ๆ หาย ๆ สิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือยกเอามาเป็นตัวอย่างในการสั่งสอนลูกหลานของเราให้ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิต ในการให้สัมภาษณ์คุณระเบียบรัตน์ได้ต่อว่าคุณพจน์ อานนท์ที่มาพูดให้ข่าวเหมือนเชิงแก้ตัวแทนฟิล์มว่าไม่ควรพูดเพราะเป็นคนนอก แต่ตัวเองกลับทำเสียเอง ไปพูดเป็นเชิงว่าฟิล์มไม่สนใจไม่ดูแลไม่รับผิดชอบ แถมยังมาพูดเป็นเชิงประชดประชันแดกดันว่าไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ ให้บอกว่าเด็กเป็นลูกฟิล์ม ให้จำไว้จนวันตายอะไรประมาณนี้ (การให้สัมภาษณ์เต็ม ๆ ฟังได้จากจากคลิปนี้ครับ) คำถามคือคุณระเบียบรัตน์ถือสิทธิอะไรในการไปพูดจาว่ากล่าวคนอื่นแบบนี้ ทั้งที่ความจริงตัวเองก็ไม่น่าจะรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไง ปัญหาของประเทศเราส่วนหนึ่งก็มาจากวิธีคิดและการกระทำแบบนี้แหละครับ เที่ยวไปตัดสินคนอื่นโดยรับฟังข้อมูลข้างเดียว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่คิดไตร่ตรองว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด

ส่วนเรื่องไอโฟน 4 กระแสแรงจริง ๆ ครับ แสดงว่าคนไทยหลายคนก็อดทนรอที่จะได้ใช้เจ้าโทรศัพท์ตัวนี้ ส่วนคนที่รอไม่ได้นี่ได้ข่าวว่ายอมซื้อเครื่องหิ้วที่เข้ามาตอนแรก ๆ ถึงสี่-ห้าหมื่น สำหรับตอนนี้ก็เปิดขายแล้วโดยทั้งสามค่ายใหญ่ เครื่องเปล่าราคาเท่ากันหมด เริ่มต้นที่สองหมื่นกว่า รายละเอียดดูได้ที่บล็อกของคุณพัชร แว่ว ๆ ว่าขายดีเหมือนแจกฟรี ถ้าจะใช้ครอบคลุมจริง ๆ คือได้ใช้ทั้ง 3G และ Wifi นี่ตอนนี้ก็คงไม่มีใครสู้ True ได้ ดังนั้นผมคิดว่า AIS และ DTAC ก็คงต้องเปิด 3G ให้ได้บนเครือข่ายเดิมที่ตัวเองมีอยู่เพื่อจะให้การใช้งานเครื่องให้ได้คุ้มค่าที่สุด เห็นว่ารัฐบาลอาจจะผลักดัน 3G ตามแนวนี้ด้วยเหมือนกันครับ แต่ก็แปลกดีนะครับบริษัทที่มี 3G อยู่แล้วอย่าง TOT กลับไม่กระตือรือร้นที่จะนำไอโฟนเข้ามาขาย บริษัทที่นำมาขายกลับยังไม่มี 3G

สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้นะครับ ขอให้มีความสุขในวันศุกร์ครับ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ความจริงที่ผมได้รู้จากการที่ศาลสั่งระงับการประมูลใบอนุญาต 3G

ขอเขียนถึงเรื่อง 3G นี้อีกสักวันแล้วกันนะครับในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่รออยู่แล้วก็ต้องผิดหวังไม่รู้ว่าจะต้องรอต่อไปอีกนานเท่าไร จริง ๆ แล้วถ้าพูดถึงเรื่อง 3G ประเทศเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใช้นะครับ เพียงแต่ว่าคุณภาพบริการมันยังไม่ดี สัญญาณมา ๆ หาย ๆ และไม่สามารถตอบสนองต่อประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ ดังนั้นถ้าการประมูลนี้สำเร็จจะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติในหลาย ๆ ด้าน ความไม่เท่าเทียมกันด้านข้อมูลข่าวสารระหว่างคนเมืองกับคนชนบทจะน้อยลง แต่เมื่อมีอันต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่รู้อนาคตอย่างนี้ ก็ทำให้ประเทศเราเสียโอกาสไปหลาย ๆ อย่าง น่าอิจฉาประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าเราอย่างลาวหรือกัมพูชา ประเทศเหล่านี้มี 3G ใช้กันแล้ว

คราวนี้มาดูว่าผมพบความจริงอะไรบ้างจากเรื่องที่เกิดขึ้น ความจริงที่ผมพบประการแรกเป็นความจริงที่น่ากลัวมากครับ คือประเทศของเรานี้ทำงานและบริหารงานกันโดยไม่มีใครรู้อะไรจริง ๆ เลย หน่วยงานที่ทำหน้าที่ประมูลคือ กทช. ก็ไม่ได้รู้จริงว่าตัวเองมีอำนาจหรือเปล่า รัฐบาลก็ไม่รู้เพราะถ้ารู้ก็คงไม่ปล่อยให้ กทช. ดำเนินงานมาถึงขนาดนี้ ปัญหาคือมันมีองค์กรต่าง ๆ ถูกตั้งขึ้นมาเต็มไปหมด อย่าง กทช. และกสทช. ซึ่งก็มีชื่อคล้ายกันมาก ผมยังเข้าใจผิดเลยว่า กทช. ก็คือ กสทช. แต่เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง แต่ประเด็นคือรัฐบาลต้องรู้สิครับ เพราะเท่าที่ผมติดตามข่าวมาอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่มันเป็นของ กสทช. รัฐบาลจะต้องรู้และควรจะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น โดยรีบสรรหากรรมการ กสทช. เพื่อมาดำเนินการ ส่วนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ICT ก็ออกมาทำได้แค่ขอโทษและยังให้ข้อมูลผิด ๆ อีก เช่นผู้ให้บริการอย่าง AIS หรือ DTAC ได้ให้บริการ 3G กับคนในกรุงเทพทั่ว ๆ ไปแล้ว ทั้งที่จริง ๆ มันไม่ใช่ ถ้าผมเป็นนายกผมคงต้องขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ลาออก หรือถ้าผมเป็นรัฐมนตรีเองผมจะขอลาออกครับ

ความจริงประการที่สองก็คือรัฐวิสาหกิจที่ชอบออกมาโวยวายตอนที่มีรัฐบาลหนึ่งจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ บอกว่าประเทศชาติและประชาชนจะเสียประโยชน์อย่างนู้นอย่างนี้ ตอนนี้พวกเราคงเห็นนะครับว่าเขาเห็นกับประโยชน์ของใครมากกว่า จริง ๆ ถ้าออกมาคัดค้านเพราะรู้เรื่องว่า กทช. ไม่มีอำนาจ ถ้าตัวเองไม่คัดค้านจะกลายเป็นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่อ้างมา ก็น่าจะทำแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่ กทช. เขาเริ่มดำเนินการ ป่านนี้รัฐบาลก็คงจะรู้ตัวและรีบเริ่มดำเนินการสรรหา กสทช.ไปแล้ว นี่จนเขาจะทำเสร็จอยู่แล้วเพิ่งจะออกมาคัดค้าน ประเทศชาติต้องเสียงบประมาณไปเปล่า ๆ ไม่รู้เท่าไร แถมยังบอกด้วยว่าการดำเนินการนี้ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์จึงต้องออกมาคัดค้าน

ขอฝากรัฐวิสาหกิจหน่วยงานที่มี 3G ของตัวเองอยู่ตอนนี้เมื่อออกมาคัดค้านเขาแล้วก็ช่วยคิดถึงประเทศชาติโดยปรับปรุงระบบของตัวเองที่มีอยู่ให้ดี และให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ใช้ด้วยนะครับ

จริง ๆ วันศุกร์แล้วไม่อยากเขียนเรื่องเครียด แต่ก็ขอเขียนบอกเล่าความรู้สึกหน่อยแล้วกันครับ เพราะรู้สึกแย่จริง ๆ กับเรื่องนี้

ป.ล. ขอเพิ่มเติมลิงก์ไปยังบล็อกนี้ นะครับเพราะมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับหลาย ๆ เรื่องที่ผมคิดว่าหลายคน(รวมถึงผมด้วยยังเข้าใจผิดอยู่) และจะทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหานี้มากขึ้น

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยและมุมมองของผมเกี่ยวกับการรับบริจาค

สวัสดีครับผมหายไปไม่ได้เขียนบล็อกเสียนานเลย เหตุผลก็คือไม่ว่างเช่นเดิม จริง ๆ เรื่องที่จะเล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วครับ แต่ไม่ว่างมาเขียนเลย ก่อนที่จะดองเอาไว้ให้ผ่านไปเป็นเดือนหรือเป็นปี ก็เลยหาช่องมาเล่าให้ฟังกันซะหน่อยครับ ก่อนอื่นผมจะมาแนะนำให้รู้จักกับมูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์กันครับ หลักการดำเนินงานของมูลนิธิก็คือสร้างครอบครัวให้กับเด็กกำพร้า คือเขาจะปลูกบ้านให้ และหาแม่ให้ สรุปก็คือเด็กกำพร้าเหล่านั้นจะมีบ้านและมีแม่ ถ้าใครสนใจรายละเอียดการดำเนินงานของมูลนิธิก็คลิกเข้าไปดูได้เลยครับ

ผมคิดว่าหลายคนอาจรู้จักมูลนิธินี้อยู่แล้ว แต่ก็คงมีอีกหลายคนที่ยังไม่รู้จักเช่นผมเป็นต้น ผมได้รู้จักมูลนิธินี้เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วครับ โดยผมตั้งใจจะได้ไปดูอาหารตาที่ห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว ผมแวะไปทานข้าว (อาหารกาย) ที่โลตัสลาดพร้าวก่อน และเดินข้ามสะพานลอยหน้าโลตัสมาลงหน้าโรงเรียนหอวังแล้วเดินต่อมาที่เซ็นทรัล ก็ปรากฏว่าได้พบกลุ่มคนที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิมาขอประชาสัมพันธ์ (จะเป็นเจ้าหน้าที่จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ แต่เอาเป็นอันว่าคิดบวกไว้ก่อนว่าเป็นเจ้าหน้าที่จริงแล้วกัน) ผมก็เลยลองรับฟังดู ก็ได้ทราบว่าจุดประสงค์ของมูลนิธิดังที่ได้บอกไปแล้ว  ซึ่งผมฟังดูแล้วก็คิดว่าเป็นโครงการที่ดีมาก  และสนใจที่จะช่วยเหลือ แต่ด้วยความที่ไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับมูลนิธินี้มาก่อน  ก็เลยบอกว่าจะขอมาศึกษาโครงการดูก่อน และขอพวกเอกสารแผ่นพับ หรือใบบริจาคที่สามารถกรอกและส่งกลับไปทางไปรษณีย์ได้ ปรากฏว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่มีครับ มีแต่แบบฟอร์มใบบริจาคซึ่งผมจะต้องกรอกและคืนให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งในแบบฟอร์ดังกล่าวผมก็ต้องให้รายละเอียดส่วนตัว และหมายเลขบัตรเครดิต ซึ่งผมไม่สบายใจ และรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะให้ข้อมูลในส่วนนั้น เพราะก็เห็นข่าวกันบ่อย ๆ เรื่องกลโกงทั้งหลาย จะขอใบบริจาคมากรอกและส่งกลับไปเอง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ได้เพราะมีหมายเลขกำกับไว้ และเมื่อเห็นผมทำท่าไม่เชื่อเขาก็พยายามแสดงจดหมายราชการจากกระทรวงการคลังเกี่ยวกับมูลนิธินี้ให้ผมดูอีก (ซึ่งเขาคงไม่รู้หรอกว่ายิ่งให้ผมดูเท่าไรแทนที่ผมจะเชื่อผมกลับไม่เชื่อมากขึ้น) ผมถามเขาว่ามูลนิธิมีเว็บไซต์ไหมเขาก็บอกว่ามีผมก็เลยบอกว่างั้นเดี๋ยวผมมาศึกษาข้อมูลจากเว็บ และอาจจะบริจาคผ่านทางหน้าเว็บ ก็ได้รับคำชี้แจงอีกว่าการบริจาคผ่านหน้าเว็บยังไม่สามารถบริจาคได้ อยากจะให้ผมบริจาคไปเลย ซึ่งตอนนั้นในความรู้สึกผมเหมือนกับเขามาขายของและพยายามจะปิดการขายให้ได้ แต่หลังจากนั้นก็พยายามเข้าใจครับว่าเขาคงอยากจะทำยอดบริจาคให้มูลนิธิ  แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้บริจาค และกลับมามาค้นข้อมูลจากเว็บก็ได้พบหน้าเว็บไซต์ของมูลนิธิตามที่ได้กล่าวไปในตอนต้นแล้ว

ประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นในแง่การประชาสัมพันธ์มูลนิธิหรือโครงการอะไรที่เป็นสาธารณกุศลแบบนี้ในความเห็นของผมก็คือ แทนที่จะให้เจ้าหน้าที่มาเน้นเงินบริจาค ผมว่าน่าจะเน้นประชาสัมพันธ์ให้รู้จักกับโครงการมากกว่า มูลนิธิน่าจะจัดทำแผ่นพับซึ่งมีแบบฟอร์มบริจาคที่สามารถส่งกลับทางไปรษณีย์ได้   หรืออีกวิธีหนึ่งก็อาจจะแนบใบบริจาคมากับใบแจ้งยอดบัตรเครดิต อีกจุดหนึ่งก็คือเรื่องสถานที่ที่เขาไปขอรับบริจาค ถ้าใครมาที่เซ็นทรัลลาดพร้าวบ่อยๆ คงจะทราบนะครับว่า บริเวณทางเดินจากหอวังมาเซ็นทรัลนั้น จะเป็นที่ซึ่งมูลนิธิต่าง ๆ นา ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาขอรับบริจาค ผมขอใช้คำว่าผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนครับ เพราะเหมือนเขาจะตกลงกันไว้จะไม่มาพร้อมกัน เช่นสัปดาห์นี้รับบริจาคเรื่องโลงศพ สัปดาห์ต่อมาจะมีเด็กนักเรียนใส่ชุดนักเรียนเอาตุ๊กตาบ้าง เอาสติ๊กเกอร์บ้างมาขายเป็นต้น ซึ่งเราก็ไม่รู้นะครับว่าที่มายืน ๆ ขอบริจาคกันนี่มันจริงหรือไม่จริง ดังนั้นเมื่อมูลนิธิมาใช้พื้นที่ตรงนี้ก็เลยอาจจะถูกเหมารวมว่าเป็นเรื่องไม่จริงไปด้วย

ส่วนตัวผมจริง ๆ แล้วเรื่องบัตรเครดิตที่กลัวนี่ไม่ได้กลัวว่าเขาจะเอาไปซื้ออะไรเยอะแยะหรอกครับ  กลัวเขาจะโทรกลับมาด่าเอาว่าเสียเวลาพูดล่อหลอกอยู่ตั้งนานแม่..มีวงเงินในบัตรแค่นี้เองเหรอ...

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ทักษะด้าน IT 6 อย่างที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในปี 2010

วันนี้พอดีได้มีโอกาสอ่านบทความจาก Computer World ซึ่งคิดว่าน่าสนใจสำหรับคนที่ทำงานด้าน IT ครับ นั่นก็คือทักษะด้าน IT ที่ยังจะเป็นที่ต้องการมากที่สุดในปี 2010 นี้ ซึ่งการสำรวจนี้ถึงแม้จะไม่ได้ทำในประเทศเรา แต่ผมก็เชื่อว่าผลลัพธ์ส่วนใหญ่น่าจะออกมาคล้าย ๆ กัน ผลออกมาดังนี้ครับ โดยลำดับจะเรียงจากความต้องการมากที่สุดครับ

1. ทักษะด้านการพัฒนาโปรแกรม
2. ทักษะการสนับสนุนด้านเทคนิค
3. ทักษะด้านเครือข่าย
4.ทักษะด้านการจัดการโครงการ
5.ทักษะด้านความมั่นคง (security)
6.Business Intelligence

จะเห็นว่าทักษะด้านการพัฒนาโปรแกรมก็ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นลำดับแรกทางด้านไอที นั่นหมายถึงจะยังมีความต้องการที่จะพัฒนาโปรแกรมใหม่ ๆ อีกมากมาย โดยทักษะด้านการพัฒนาโปรแกรมนี้จะเน้นไปที่ .Net, Java, การพัฒนาเว็บ, open source, เทคโนโลยีอย่างพวก Microsoft's Sharepoint และภาษาและแพลตฟอร์มที่จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นก็คือ Ruby on Rails และ Ajax

ทางด้านการสนับสนุนด้านเทคนิคนั้น จากการสำรวจพบว่าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนั้น มีการปลดคนในตำแหน่งนี้ออกไปค่อนข้างมาก ดังนั้นในปีนี้จะมีการรับตำแหน่งนี้กลับเข้าไปมากขึ้น (อันนี้เป็นข้อมูลจากต่างประเทศนะครับ ไม่รู้ว่าเมืองไทยจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า เพราะเราไม่ได้วิกฤตหนักเท่าเขา)

ส่วนทักษะด้านเครือข่ายนั้น เนื่องจากกระแสของเทคโนโลยีอย่าง cloud computing หรือ software as a service ทำให้้มีความต้องการคนทางด้านนี้มากขึ้น

ส่วนทางด้านการจัดการโครงการนั้น เขาบอกว่ามืออาชีพที่เข้าใจเทคโนโลยีและสามารถที่จะนำมาใช้ในกลยุทธทางธุรกิจได้ คือสุดยอดฝีมือที่ใคร ๆ ก็ปรารถนา

ทางด้านความมั่นคง (หลายคนคงแปลกใจว่าทำไม่ไม่ใช้ ความปลอดภัย เพราะมาจากคำว่า security แต่คำ ๆ นี้ทางราชบัณฑิตเขาใช้คำว่าความมั่นคงครับ) อันนี้คงไม่ต้องพูดอะไรมากนะครับ เพราะทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าปัจจุบันระบบเครือข่ายที่เราใช้ยังไม่ปลอดภัยอยู่มาก ดังนั้นคนที่มีความสามารถทางด้านนี้จะเป็นที่ต้องการเพื่อเก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญของบริษัท

สำหรับ BI นั้นตามนิยามในสมัยเก่าก็คือการนำข้อมูลที่มีอยู่มาวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันมีความต้องการข้อมูลที่เป็นแบบ real time มากขึ้น ในการสำรวจยังบอกว่าทักษะที่สำคัญที่สำคัญกว่าผู้เชี่ยวชาญทาง BI ก็คือนักเขียนโปรแกรมหรือนักวิเคราะห์ที่สามารถนำเอาข้อมูลพื้นฐานจากตารางต่าง ๆ มารวมกันเพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้ ซึ่งตรงนี้เองจะเป็นพื้นฐานของการทำ BI

เอาละครับ เห็นอย่างนี้แล้วนักศึกษาที่กำลังจะจบก็น่าจะหาความรู้พื้นฐานอันใดอันหนึ่งไว้บ้างนะครับ อย่างน้อยก็น่าจะมีความรู้ด้านการพัฒนาโปรแกรมโดยใช้เทคโนโลยีใดเทคโนโลยีหนึ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว ส่วนคนที่ยังเรียนอยู่อาจจะปี 2 หรือปี 3 ผมว่าก็ควรจะเริ่มเลือกสิ่งที่ตัวเองสนใจทางด้านต่าง ๆ เหล่านี้ไว้บ้างนะครับ เพราะถึงการสำรวจจะบอกว่าเป็นของปีนี้ แต่ผมว่าความต้ิองการด้านต่าง ๆ เหล่านี้จะยังเป็นที่ต้องการอยู่อีกหลายปี และอย่าลืมว่าประเทศเรานั้นน่าจะตามหลังเทคโนโลยีของต่างประเทศอยู่บ้าง เมื่อพวกคุณเรียนจบกัน ก็อาจเป็นเวลาที่ประเทศของเรากำลังต้องการกำลังคนทางด้านนี้พอดีก็ได้....

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สรุปการสัมมนา vmware virtualization series 2009

วันนี้ (19 พ.ย. 2552) ผมได้ไปฟังสัมมนา Virtualization Seminar Series โดย vmware ที่โรงแรม Conrad ก็ขอถือโอกาสมาเล่าให้ฟังแล้วกันครับ สำหรับบรรยากาศทั่ว ๆ ไปของงานน่าจะเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อให้บริษัทได้นำเสนอเทคโนโลยีการทำ Virtualization และ Cloud computing ซึ่งใช้ vmware เป็นฐานในการทำงาน สรุปง่าย ๆ คือเป็นการมาขายของ โดยให้ความรู้ประกอบ ซึ่งเดี่ยวนี้จะเห็นการตลาดในลักษณะนี้เยอะพอสมควร ตัวอย่างหนึ่งก็คือวารสารไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งเดี๋ยวนี้บทความส่วนใหญ่จะเขียนโดยบริษัท คือจะเป็นเชิงให้ความรู้ และโฆษณาสินค้าของตัวเองไปในตัว กลุ่มเป้าหมายของการสัมมนาครั้งนี้ก็คือฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัทต่าง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นลูกค้าของ vmware ในอนาคต ส่วนผมไปก็คงเป็นส่วนเกิน ไปกินข้าวฟรี น้ำฟรีและขนมฟรี และก็ไม่ได้ซื้อของอะไรเขา เพราะตัวเองผลิตภัณฑ์ vmware ที่ใช้ก็คือ vmware player ที่ฟรี ส่วน vmware Workstation ก็โหลดมาใช้ตอนที่ต้องการจะสร้าง Virtual Machine เท่านั้น ก็เห็นเขาส่งอีเมลมาเชิญ ก็เลยลงทะเบียนไป สงสัยงวดต่อไปเขาไม่เชิญแล้ว

คราวนี้ลองมาสรุปประเด็นต่าง ๆ ที่ ผมได้มาจากการสัมมนาครั้งนี้บ้าง เริ่มต้นจาก vSphere 4.0 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ vmware สำหรับ Cloud Computing สำหรับตัวนี้ใครสนใจก็คลิกดูเลยแล้วกันครับ

ส่วนที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ vmware View 4.0 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับ cloud computing ในระดับ desktop สำหรับตัวนี้ขอขยายความหน่อยแล้วกันครับ เพราะอาจจะเป็นตัวที่มีโอกาสได้ใช้มากกว่า หลักการคร่าว ๆ ของ vmware View เป็นดังนี้ครับ ปกติเวลาเราสร้าง virtual machine เราก็จะต้องนำมาทำงานบนเครื่อง client โดยทำงานผ่าน vmware player แต่สำหรับแนวคิดของ vmware View คือเป็นการขยายแนวคิดของ cloud computing มาสู่ desktop คือจะสร้าง virtual machine ขึ้นมาแล้วเก็บไว้บน server จากนั้นผู้ใช้ก็ใช้โปรแกรม vmware View ติดต่อเข้ามาเพื่อใช้งาน virtual machine ซึ่งข้อดีของการทำอย่างนี้ก็มีหลายประการคือ ตอนนี้ผู้ใช้จะสามารถใช้เครื่องไหนก็ได้ ที่มี vmware View ติดตั้งอยู่ ในการใช้งาน virtual machine หรืออาจจะใช้แค่ thin client ซึ่งมีราคาถูก ก็สามารถใช้งาน virtual machine ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังง่ายต่อการดูแลเพราะ virtual machine ถูกเก็บไว้ที่ server ทาง vmware ยังได้คิดโพรโตคอลของตัวเองคือ PCoIP ซึ่งมีจุดประสงค์ให้การทำงานต่าง ๆ เช่นการถอดรหัสวีดีโอทำที่ server และส่งผลลัพธ์เป็น pixel มายัง client ซึ่งจะทำให้ client แสดงผลลัพธ์ได้ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นวีดีโอในรูปแบบใด

ในงานมีการสัมภาษณ์ลูกค้าที่ใช้ vmware คือ ปตท. และบริษัท NetApp ซึ่งเป็น Solution Provider ที่เป็นพันธมิตรกับ vmware ทาง IBM ก็ได้มาพูดถึง Solution ทางด้าน cloud computing ที่ทาง IBM ได้เตรียมไว้ เช่น Lotus Live ซึ่งเป็นบริการในรูปการทำงานร่วมกันในองค์กร ซึ่ง IBM ให้ทดลองใช้ฟรีได้ 30 วัน ซึ่งตรงนี้ผมว่าพวกเราที่ใช้ Google Application คงจะเฉย ๆ นะครับ เพราะใช้กันมาตั้งนานแล้ว และฟรีด้วย Solution ที่น่าสนใจจริง ๆ ผมว่าน่าจะเป็น IBM cloudburst ซึ่งเป็น Solution สำเร็จรูปสำหรับองค์กรที่ต้องการทำ cloud computing นอกจากนี้ก็มี EMC มาพูดเรื่องเกี่ยวกับการจัดการ Storage และ Dell กับ HP ก็มาพูดถึง Solution ที่ได้เตรียมไว้สำหรับ Cloud computing จริง ๆ แล้วยังเหลืออยู่อีกสอง session ซึ่งผมไม่สามารถอยู่จนจบได้ เนื่องจากติดธุระในช่วงเย็น เสียดายจริง ๆ ครับ เขาจะมีการจับรางวัลด้วย โดยรางวัลจะเป็น โน้ตบุ๊ก Fujitsu กับเครื่อง Wii ว่าจะไปลุ้นเครื่อง Wii มาให้ลูกเล่นเสียหน่อยอดเลย

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่างานนี้ก็เป็นงานสัมมนาขายสินค้าแบบหนึ่ง แต่ที่ผมได้จากการเข้าสัมมนาครั้งนี้ก็คือการได้เห็น Solution ทางด้านการทำ virtualization และ Cloud computing ซึ่งตัวผมเองนั้นไม่ได้มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้จริง ซึ่งก็พอจะทำให้มองเห็นภาพจากสิ่งที่รู้มาในภาคทฤษฎีมากขึ้น

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เมื่อผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อพิมพ์เอกสาร Word 23 หน้า (ภาค 2 ตอนสาเหตุ จบ )

กลับมาแล้วครับหลังจากห่างหายไปหลายวัน ไม่คิดเลยครับว่าจะยุ่งได้ขนาดนี้ แล้วยังมาเกิดอุบัติเหตุส่วนตัวอีก เอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะครับ มาที่บทความดีกว่า...

สำหรับบทความนี้ก็สืบเนื่องมาจากบทความก่อนหน้านี้ครับ จะเรียกว่าเป็น CSI (Thailand & Blogger) ก็น่าจะได้นะครับ คือมีผู้ที่ได้อ่านบทความได้สอบถามเข้ามาทั้งในบล็อก และนอกบล็อกว่า สาเหตุมันคืออะไร .rtf มันคืออะไร ทำไมมันถึงใหญ่จัง และทำไมมันถึงแก้ปัญหาได้ วันนี้ก็เลยจะมาเล่าให้ฟังกันครับ



เริ่มจากไฟล์นามสกุล .rtf ก่อนแล้วกันนะครับ ชื่อเต็มของ .rtf คือ rich text format ครับ ถ้าอ้างอิงตามเว็บของไมโครซอฟต์ http://msdn.microsoft.com/en-us/library/aa140277.aspx ก็จะได้ว่าจุดประสงค์ของรูปแบบไฟล์แบบนี้คือจัดเตรียมรูปแบบสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นข้อความและภาพกราฟิกส์ ให้ใช้ได้บนอุปกรณ์แสดงผลที่ต่างกัน หรือทำงานในสภาพแวดล้อมและระบบปฏิบัติการที่ต่างกัน



ในปัจจุบันโปรแกรมประมวลผลคำ (word processor) หลายตัวสนับสนุนรูปแบบไฟล์แบบนี้ครับ ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่เราจะสามารถแลกเปลี่ยนเอกสารระหว่างโปรแกรมประมวลผลคำต่าง ๆ (แม้แต่ของ MS-Word แต่คนละรุ่นนี่ถ้าเป็น .doc ก็อาจคุยกันไม่ได้นะครับ) ก็คือให้จัดเก็บเป็นนามสกุลแบบ .rtf สำหรับเอกสารที่เราจัดเก็บเป็น .rtf แล้ว (และไฟล์ไม่ใหญ่มากจนเกินไป) เราอาจใช้ โปรแกรมอ่านแฟ้มข้อความอย่าง Notepad เปิดขึ้นมาอ่านได้เลยครับ ซึ่งตัวอย่างหน้าตาของข้อมูลที่เก็บอยู่ใน .rtf ที่ลองเปิดขึ้นมาโดยใช้โปรแกรม Notepad ก็เป็นดังนี้ครับ



\rsid12662449\rsid13787157\rsid14054252}{\*\generator Microsoft Word 11.0.6359;}{\info{\title This is a test document for rich text
format}{\author user}{\operator user}{\creatim\yr2008\mo6\dy20\hr17\min30}{\revtim\yr2008\mo6\dy20\hr17\min30}{\version2}


เห็นแล้วเวียนหัวไหมครับ ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดก็เชิญตามลิงก์ที่ให้ไว้ด้านบนได้เลยนะครับ สำหรับผมขอบายครับ...


เอาละครับคราวนี้ก็มาถึงคำถามว่าแล้วทำไมมันใหญ่จัง เอกสาร Word ต้นฉบับแค่ 2 เมกะไบต์กว่า ๆ ทำไมมันถึงขยายได้เป็น 34 เมกะไบต์ คำตอบก็คือวิธีการที่มันใช้ในการเข้ารหัสรูปภาพครับ เพราะมันจะเอารูปภาพในเอกสารของเรามาเข้ารหัสโดยตัวอักษรครับ อย่างผมลองสร้างเอกสาร MS-Word 1 หน้า ที่มีรูป 1 รูป จัดเก็บเป็น .doc มีขนาดแค่ 165 กิโลไบต์ครับ แต่พอจัดเก็บเป็น .rtf มีขนาด 2.7 เมกะไบต์ ลองใช้
Notepad เปิดดูจึงเห็นว่าส่วนที่เป็นรูปภาพมีการใช้ตัวอักษรเข้ารหัสแทนรูปภาพดังกล่าวอยู่เต็มไปหมด ส่วนเอกสารที่ภรรยาผมส่งมาให้พิมพ์ 23 หน้ามีรูปทุกหน้าครับ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจกับขนาดที่เพิ่มขึ้นนะครับ


ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไรทำไมถึงพิมพ์ไม่ออก ครับปัญหาน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของการจัดเก็บเป็น .doc ครับ คือต้องบอกตามตรงว่าผมก็ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ผมได้ลองไปค้นหาคำแนะนำสำหรับปัญหาต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของไมโครซอฟต์ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเอกสาร .doc ก็ได้เห็นคำแนะนำอย่างเช่น ให้คัดลอกข้อความในเอกสารไป แต่อย่าเอาการจัดหน้าหน้าสุดท้ายไปนะ แสดงว่าปัญหาอาจเกิดจากการเข้ารหัสของการจัดหน้า (แอบดีใจครับ แสดงว่าเรามั่วอย่างมีหลักการเพราะที่ผมตัดสินใจตัดสองหน้าแรกทิ้งไปก็เพราะคิดว่าการจัดหน้าของสองหน้าแรกอาจทำให้ไฟล์มีปัญหา) และยังมีคำแนะนำให้จัดเก็บแฟ้มเป็น .rtf ด้วยนะครับ (มั่วถูกอีกแล้ว) ซึ่งผมเข้าใจว่าที่การจัดเก็บเป็นแฟ้ม .rtf จะช่วยได้ก็เพราะมันต้องมีการเขียนข้อมูลในใหม่ทั้งหมดในรูปของข้อความ ดังนั้นข้อมูลที่มีปัญหาจึงน่าจะถูกกำจัดออกไปครับ


ผมอยากแนะนำอย่างหนึ่งครับ จากประสบการณ์ที่ผมใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์มาถ้าเกิดปัญหากับไฟล์วิธีการที่ผมใช้แก้ปัญหาได้ส่วนใหญ่คือจัดเก็บมันเป็นไฟล์ใหม่ อย่างเช่นผมเคยใช้ Powerpoint ทำไสลด์เตรียมสอน มีสไลด์ไม่กี่หน้าเองครับ แต่มีรูปเยอะหน่อย แล้วผมก็แก้ไปแก้มา อยู่ ๆ ขนาดของไฟล์มันกลายเป็นเกือบ 30 เมกะไบต์ ผมก็เลยลองจัดเก็บเป็นไฟล์ใหม่ ได้ผลครับขนาดลดลงเหลือ 5 เมะไบต์ ดังนั้นถ้ามีปัญหาผมก็จะลองใช้วิธีนี้ก่อน ซึ่งมีคราวล่าสุดนี่แหละครับที่ไม่ได้ผล แต่จริง ๆ ก็เกือบได้ผลเพียงแต่ต้องเปลี่ยนประเภทของไฟล์ด้วยเท่านั้น


สำหรับข้อคิดหลัก ๆ ที่ผมได้จากเรื่องนี้คือให้ใจเย็น ๆ ครับ ทำอะไรก็ให้มีสติไว้ อย่างผมนี่ถ้าจริง ๆ ตั้งสติให้ดีหน่อยคิดหาวิธีแก้อย่างเป็นระบบไม่ลองมั่วไปมั่วมาตั้งแต่ต้น อาจไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงก็ได้


อ้อมีเรื่องตื่นเต้นปิดท้ายครับคือภรรยาของผมเธอส่งเอกสาร Ms-Word มาให้พิมพ์อีกแล้วครับคราวนี้ 3 หน้าครับ... ไม่ต้องตกใจครับคราวนี้พิมพ์ออกปกติ เธอบอกว่าขี้เกียจเปิดเครื่องพิมพ์ที่บ้านครับ ดู่ดู๊ดูดูเธอทำ....

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

การ์ตูนและนวนิยายกับการเขียน

วันนี้ดูจากหัวข้อแล้วอาจจะรู้สึกแปลก ๆ นะครับว่าจะมาไม้ไหน เดี๋ยวคอยติดตามแล้วกันนะครับ...


ความคิดที่จะเขียนเรื่องนี้ของผมเริ่มจาก เมื่อสักประมาณปลายสัปดาห์ก่อนผมได้รับอีเมล์จากเพื่อน ซึ่งในอีเมล์นั้นก็ได้แนบพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ฉบับการ์ตูนมาด้วย ซึ่งผมก็ได้ไปโพสต์ไว้ให้ดาวน์โหลดกันผ่านทางลิงค์นี้นะครับ http://www.beupload.com/download/?0092d074e10b35469302f7ede58306e8
ลองไปอ่านกันดูนะครับ สนุกและเข้าใจได้ง่ายดี

ซึ่งผมเห็นว่านี่คือการใช้การ์ตูนให้เป็นประโยชน์อย่างมาก การ์ตูนสามารถสื่อความเข้าใจจากเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายได้ ดังนั้นจะเห็นว่าในช่วงที่ผ่าน ๆ มา จะมีการ์ตูนอย่างเช่น ร่างรัฐธรรมนูญฉบับการ์ตูน บทพระราชนิพนธ์คุณทองแดงฉบับการ์ตูน บทพระราชนิพนธ์พระมหาชนกฉบับการ์ตูนเป็นต้น ซึ่งตรงนี้ก็ต้องบอกว่าดีมากครับ เพราะทำให้คนไทยหลาย ๆ คนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือได้อ่านงานที่มีคุณค่า หรือทำให้ชาวบ้านอย่างพวกเราเข้าใจประเด็นข้อกฏหมายในรัฐธรรมนูญได้มากขึ้น (ไม่ทราบพวกที่จะไปเยิ้ว ๆ ให้แก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญนี่ได้อ่านบ้างหรือเปล่า) ในปัจจุบันจะมีการ์ตูนซึ่งเป็นลักษณะที่สอนวิทยาศาสตร์ ไม่ทราบเคยได้ยินกันไหมครับ (ส่วนผมรู้เพราะลูก ๆ ผมชอบอ่านครับ) เช่นเอาชีวิตรอดบนเกาะร้าง เอาชีวิตรอดในป่าลึก หรืออย่างนวนิยายนักสืบอย่างเช่นเชอร์ลอกโฮล์มก็ทำเป็นการ์ตูน ซึ่งต้องบอกว่าลูกทั้งสองคนของผมชอบมาก ไปร้านหนังสือทีไรก็จะต้องซื้อกันคนละเล่มสองเล่ม ซึ่งในสมัยผมเป็นเด็กไม่มีนะครับ ตัวผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ประมาณ ป. 3 นี่ก็อ่านหนังสือแตกแล้ว ถ้าจำไม่ผิดหนังสือนิยายเล่มแรกที่อ่านนี่คือ พล นิกร กิมหงวนของ ป.อินทรปาลิต (อันนี้คนที่เป็นเด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้จักแล้วนะครับ) จากนั้นผมก็อ่านเรื่อยมา เช่นเพชรพระอุมาของพนมเทียน และก็นิยายจีนกำลังภายของโก้วเล้ง กิมย้งนี่ก็อ่านมาจนหมดครับ ส่วนการ์ตูนก็มีนะครับ แต่จะเป็นพวกขายหัวเราะ หรือหนูจ๋า (หลายคนคงไม่รู้จัก) ผมมาเริ่มอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างที่เด็กสมัยใหม่อ่านกันนี่ตอนเรียน ป.ตรีครับ ในช่วงนั้นก็รู้สึกจะมีสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจเป็นเจ้าหลักครับ ที่ชอบอ่านก็เช่น โดเรมอน ดราก้อนบอล ซึบาสะ และซิตี้ฮันเตอร์ เด็ก ๆ รุ่นใหม่คุ้นไหมครับ พวกคุณก็ยังรู้จักเรื่องพวกนี้อยู่ใช่ไหมครับ

ประเด็นที่ผมต้องการจะสื่อในวันนี้คือ การ์ตูนมีประโยชน์ในการทำให้เรื่องยากเข้าใจได้ง่ายและอ่านสนุก ดังนั้นผมรู้สึกดีใจที่เด็กรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ที่มีประโยชน์ผ่านทางการ์ตูนได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะไม่ได้จากการ์ตูนก็คือภาษาที่เป็นการบรรยาย เพราะการ์ตูนจะบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยภาพเป็นหลัก และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเราหลาย ๆ คนที่อ่านแต่การ์ตูน เมื่อถึงเวลาที่ต้องเขียนหนังสือหรือรายงานจะทำได้ด้วยความยากลำบาก เพราะตัวเองไม่เคยได้สัมผัสว่าการบรรยายด้วยตัวอักษรนั้นเขาทำกันอย่างไร จากประสบการณ์ของผมในฐานะที่เป็นอาจารย์ และควบคุมงานวิจัยมาเป็นสิบ ๆ ปี ผมพบว่านักศึกษาไม่ว่าจะเป็นระดับป.ตรี ป.โท หรือ ป.เอก มีปัญหานี้ครับ ซึ่งจากการสอบถามก็คือส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้อ่านหนังสืออื่น ๆ จะอ่านแต่ตำรา (ถูกบังคับให้อ่าน) และการ์ตูนเป็นหลัก ซึ่งหนังสือตำราบางเล่มที่วางขายกันในท้องตลาดปัจจุบันนี้คุณลองอ่านดูซิครับว่ามันอ่านรู้เรื่องไหม คนเขียนต้องการจะสื่ออะไร บางทีก็ไปแปลฝรั่งมาทั้งประโยคโดยไม่ได้ขัดเกลาเลย

ดังนั้นผมจึงอยากจะเชิญชวนครับว่า นอกจากคุณจะหาความเพลิดเพลินจากการ์ตูนแล้ว ยังมีหนังสือนวนิยาย หรือความรู้ดี ๆ ที่ไม่ใช่การ์ตูนอีกมากมาย หนังสือเหล่านี้นอกจากจะให้ความบันเทิงแล้วยังให้ทักษะในด้านการบรรยาย การใช้สำนวนภาษาที่สละสลวย ซึ่งผมมั่นใจครับว่าจะช่วยให้ทักษะในการเขียนของพวกคุณดีขึ้นอย่างแน่นอน

วันนี้คุณอ่านนิยายหรือยังครับ...