วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ระบบจำลองการผ่าฟันสำหรับนักศึกษาทันตแพทย์

Mainz University Medical Center ได้คิดระบบอีเลิร์นนิงเพื่อช่วยให้นักศึกษาทันตแพทย์ได้ฝึกการผ่าฟัน โดยนักศึกษาจะสามารถดาวน์โหลดกรณีศึกษาซึ่งจะมีทั้งฟิล์ม ภาพ และขั้นตอนการผ่าตัดมาลง iPhone iPad หรือโน้ตบุ๊ก เพื่อมาศึกษาได้ด้วยตัวเอง

น่าสนใจสำหรับทันตแพทย์ไทยนะครับ

ที่มา: JGU

HTML 5 จะช่วยให้เว็บเพจพูดและฟังได้

กลุ่มทำงานใหม่ใน W3C กำลังพิจารณาที่จะนำการรู้จำเสียง และส่วนติดต่อแบบสังเคราะห์เสียงพูดมาใช้กับหน้าเว็บ ซึ่งถ้าทำได้ก็จะทำให้บราวเซอร์อ่านหน้าเว็บเพจออกมาได้เลย และผู้ใช้สามารถกรอกฟอร์มได้โดยใช้เสียงพูด

น่าสนใจมาก ขอให้ทำเสร็จเร็ว ๆ นะครับ

ที่มา: Computer World

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

เรื่องน่ารู้ 10 ประการของการจีบ (flirt)

วันนี้วันศุกร์ขอเรื่องเบา ๆ สักเรื่องแล้วกันนะครับ อันนี้เป็นบทความที่เจอบนหน้าแรกของ Yahoo! ก่อนที่จะเข้าไปเช็คอีเมลครับลองอ่านดูเป็นการผ่อนคลายครับ

1. คนที่จีบกันจะมีจำนวนเซลเม็ดเลือดขาวมาก ซึ่งการที่มีเซลเม็ดเลือดขาวมากนี้จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย (อันนี้น่าจะใช้เป็นข้อแก้ตัวได้นะครับ เวลาถูกแฟนจับได้ว่ากำลังจีบคนอื่นอยู่ ก็บอกว่ากำลังเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย :) )
2. คนเราใช้สัญญาณที่แสดงการจีบกันอยู่ 52 สัญญาณ และสัญญานที่ใช้มากที่สุดคือการเสยผม (อย่างผมนี่เสยบ่อยเลย คือผมมันยาวเข้าตาน่ะ อย่างนี้สาว ๆ ครึ่งค่อนเมืองไม่คิดว่าผมจีบเขาอยู่หรือนี่)
3. ในบางแห่งการแสดงท่าทางการจีบกันบางอย่างเป็นเรื่องที่ผิด เช่นในนิวยอร์คผู้ชายที่จ้องมองผู้หญิงนาน ๆ โดยส่อเจตนาทางเพศจะถูกปรับ $25 (อันนี้คุ้น ๆ คล้ายกับกฏที่เพิ่งจะออกมาใช้กับข้าราชการเมื่อเร็ว ๆ นี้)
4. ไม่ต้องรอถึงวันศุกร์หรอกที่จะจีบ จากบทความเขาบอกว่าคนที่ขับรถ(ในอเมริกา) ร้อยละ 62 จะจีบกัน และร้อยละ 31 จากคนที่จีบกันนั้นจะจบลงด้วยการออกเดท (เอแล้วประเทศไทยล่ะ สงสัยตอนขับรถต้องสังเกตบางแล้วว่ามีใครกำลังจีบเราอยู่ไหม :) )
5. การจีบไม่ต้องเห็นหน้ากันก็ได้ จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 40 ของคนที่หาคู่ออนไลน์จะจีบกันผ่านทางอีเมลหรือการส่งข้อความ (ก็แหงล่ะ เรื่องอย่างนี้ต้องบอกด้วยหรือ)
6. ในยุควิคตอเรียการใช้พัดสื่อความหมายได้หลายอย่างเช่น การวางพัดไว้ที่ข้างหัวใจหมายความว่าคุณได้รักจากฉันแล้ว หรือการกางพัดออกครึ่งหนึ่งแล้วแตะที่ริมฝีปากหมายความว่าคุณจูบฉันได้ ซ่อนสายตาอยู่ข้างหลังพัดที่กางออกแล้วหมายความว่า ฉันรักคุณ การเปิดปิดพัดหลาย ๆ ครั้งหมายความว่า คุณใจร้ายมาก (ในบทความบอกยังว่าจะถือพัดไว้ทำไมนี่ไม่เห็นเอามาพัดเลย อันนี้เห็นด้วย)
7. ปัจจุบันคนใช้โทรศัพท์มือถือกว่าครึ่งส่งข้อความจีบกันกับชู้รักของตัวเองเมื่อต้องอยู่ห่างกัน (นั่นสิไทเกอร์ วู้ดส์ ถึงโดนเมียจับได้ )
8. ระวังอย่าทำมากเกินไป จากการวิจัยพบว่าหลาย ๆ ครั้งคนที่จีบกันนั้นทำผิดพลาดด้วยการสบตากันมากเกินไป (เอ แล้วมันเป็นยังไงหว่า หรือกลัวจับได้ว่ากำลังโกหกอยู่ว่ายังไม่มีแฟน)
9. บางครั้งเราอาจตีความหมายผิด ๆ เกี่ยวกับการจีบ จากการวิจัยพบว่าผู้ชายมักจะตีความหมายที่แสดงออกถึงมิตรภาพว่าเป็นการจีบ (เอ้าผู้ชายทั้งหลายเข้าข้างตัวเองให้น้อย ๆ หน่อย)
10. การจีบกันนั้นเป็นสากล ผู้คนที่มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ เวลาจะแสดงท่าทางจีบกันก็จะมีลักษณะเหมือน ๆ กัน เช่นยิ้ม หัวเราะคิกคัก แม้แต่สัตว์ก็มีการจีบกันเช่นกัน (ในบทความบอกว่าถ้าแม้แต่สัตว์ก็ยังจีบกัน ถ้างั้นจะรออะไรอยู่ จีบกันเลย เห็นด้วย แต่จีบแฟนตัวเองนะ ไม่งั้นอาจไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่ไปจีบใครอีกเลย)

ที่มา Math.com on Yahoo!

จะต้องมีคนตายอีกกี่รายจึงจะแก้ปัญหานักเรียนนักเลงได้

สวัสดีครับ วันนี้วันศุกร์จริง ๆ ควรจะเขียนเรื่องเบา ๆ นะครับ แต่จากข่าวที่เด็กอายุ 9 ขวบ ถูกยิงตายจากการไล่ล่ากันทะเลาะกันของพวกนักเรียนนักเลงนี่ทำให้ผมรุ้สึกหดหู่ใจและเศร้าใจมากจนอยากจะมาระบายความรู้สึก และเสนอความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เสียหน่อย ต้องบอกเลยว่าเด็กที่โดนยิงอายุเท่าลูกชายคนเล็กของผมเลยครับ และพี่ชายของเขาที่รอดมาได้ก็อายุเท่ากับเจ้าคนโตของผม มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่ามันมีความรู้สึกร่วมกับครอบครัวของผู้สูญเสีย ตอนนี้ผมกับภรรยายังขับรถไปส่งและไปรับทั้งสองคนอยู่ แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่งก็คงต้องให้เขาเดินทางกันเองโดยใช้ระบบขนส่งสาธารณะ แต่มาเห็นเหตุการณ์แบบนี้เข้าก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่อยากจะปล่อยให้เขาเดินทางกันเองเลยครับ ระบบขนส่งสาธารณะบ้านเราลำพังตัวรถเมล์เองก็ไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว เช่นออกรถจนเด็กตกลงมาบ้าง แข่งกันเข้าป้่ายจนไปชนคนรอรถตายบ้าง แล้วก็ยังเรื่องนักเรียนนักเลงพวกนี้อีก

สำหรับเรื่องนักเรียนนักเลงนี้จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยนะครับมันอยู่คู่กับสังคมเรามานานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็กคนพวกนี้ก็ยกพวกตีกันก่อความเดือดร้อนกับคนอื่นอยู่แล้ว แต่คำถามคือทำไมเราจึงยังแก้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้ ปล่อยจนมีคนไม่รู้เรื่องรู้ราวต้องตายไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ พอตายกันขึ้นมาทีก็มานั่งประชุมแก้ปัญหากันที ก็ไอ้เรื่องเดิม ๆ แหละครับ ประเภทจะต้องจับตาดูกลุ่มพวกหัวโจก ต้องดูแลไม่ให้มีการซ่องสุมอาวุธ เสร็จแล้วมันก็เงียบหายไป จนมีคนตายขึ้นมาใหม่ก็มาพูดกันเรื่องเดิมอีก ผมว่าเราต้องทำอะไรให้เด็ดขาดกว่านี้แล้วนะครับ เช่นถ้าจะต้องปิดโรงเรียนในฐานะควบคุมดูแลไม่ได้ก็ต้องทำ คนผิดเมื่อจับได้แล้วก็ต้องลงโทษตามกฏหมายอย่างเด็ดขาด หมดเวลาที่จะมาบอกว่าเป็นเยาวชนแล้วทำผิดต้องให้อภัย เพราะจากตัวอย่างที่ผ่านมาจะเห็นว่าแทนที่จะทำให้เด็กกลุ่มนี้ได้สำนึก กลับเป็นว่าเด็กกลุ่มนี้กลายเป็นรู้ว่าเดี๋ยวก็ได้รับการอภัย

ในความเห็นของผมผมว่าปัญหาหลักมันอยู่ที่รุ่นพี่บางกลุ่มครับ ซึ่งอาจารย์ในโรงเรียนน่าจะรู้ดีว่าเป็นกลุ่มไหน ทำไมผมจึ่งบอกว่าเป็นที่รุ่นพี่ เพราะลองคิดดูนะครับว่าเด็กนักเรียนอาชีวะนั้นก่อนจะมาเรียนอาชีวะเขาก็เรียนโรงเรียนธรรมดาใช่ไหมครับ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ยกพวกไปตีกับใครหรือไปยิงใครที่ไหน แต่ทำไมพอก้าวเข้าอาชีวะไปได้ไม่ถึงปีก็ไปมีเรื่องมีราวถึุงกับกล้าไปไล่ยิงคนอื่นได้ แสดงว่าต้องถูกล้างสมองจากรุ่นพี่ชั่ว ๆ นี่แหละ ดังนั้นทางโรงเรียนน่าจะต้องมีมาตรการกีดกันไม่ให้รุ่นพี่เลว ๆ เหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้องกับน้องใหม่ที่เข้ามา และถ้ามีหลักฐานอะไรก็ไล่ออกไปหรือแจ้งตำรวจจับเข้าคุกไปเลย แน่นอนครับคงจะไปโทษไอ้พวกรุ่นพี่ชั่ว ๆ ฝ่ายเดียวก็คงไม่ได้ ทางครอบครัวเองและโรงเรียนประถม-มัธยมจะต้องเสริมสร้างทุนชีวิตให้กับเด็กโดยสอนให้เขารู้จักเลือกที่จะคบคน กล้าที่จะปฏิเสธที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดี คือต้องให้เขามีสิ่งที่เรียกว่าหิริโอตัปปะ ซึ่งก็คือการละอายต่อการทำบาป และเกรงกลัวผลที่เกิดจากการทำบาป ผมคิดว่าคุณธรรมข้อนี้มันเริ่มจะเลือนหายไปจากสังคมของเรานะครับต้องนำมันกลับมา อีกจุดหนึ่งก็คือทางบ้านและโรงเรียนจะต้องสร้างความไว้ใจให้เขากล้่าที่จะไปปรึกษาเมื่อเกิดปัญหาขึ้น เขาจะได้ไม่ไปคบกับคนชั่วคนเลวที่ทำเป็นเข้าใจเขาแต่มีจุดประสงค์เลวร้ายที่จะเปลี่ยนเขาให้เป็นคนชั่วเหมือนตัวเอง

สุดท้ายนี้ผมก็อยากภาวนาว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ขอให้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายอย่าให้เกิดขึ้นอีกเลย ขอขอบคุณตำรวจที่จับคนยิงได้แล้ว และขอแสดงความเสียใจไปยังครอบครับของผู้สูญเสียด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไปลองแอร์พอร์ตลิงก์มาแล้วครับ

ผมได้มีโอกาสไปลองใช้บริการแอร์พอร์ตลิงก์หรือถ้าจะเรียกให้ถูกจริง ๆ ก็ต้องเรียกว่าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาครับ ว่าจะมาเขียนเล่าให้ฟังตั้งแต่วันที่ไปขึ้นมาแล้วครับ แต่ไม่มีเวลาเลย เลยลากยาวมาถึงวันศุกร์นี่แหละครับ เริ่มเลยแล้วกันนะครับ

วันจันทร์ที่ผมไปเป็นวันที่แอร์พอร์ตลิงก์เปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์เป็นวันแรก ซึ่งผมก็คาดหวังว่าอะไรต่าง ๆ น่าจะพร้อมแล้ว แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาดครับ เริ่มจากป้ายบอกทางต่าง ๆ ก็ยังดูสับสนอยู่ (แต่อันนี้อาจเป็นเพราะผมยังไม่ชินเองก็ได้) ต้องอาศัยเดิน ๆ ตามกันไป ส่วนขบวนที่ผมจะขึ้นก็เจอเลยครับสิ่งที่เกิดขึ้นกับรถไฟไทยมาทุกยุคทุกสมัยนั่นคือดีเลย์ครับ ก็คือช้ากว่ากำหนดไป 15 นาที แต่ทางการรถไฟเขาเข้าใจทำนะครับคือเขาประกาศว่ารถไฟจะมาถึงใน 5 นาที และอีก 5 นาทีต่อมาเขาก็ประกาศอีกว่ารถไฟจะมาถึงใน 5 นาที ทำอย่างนี้ 3 ครั้ง 15 นาทีพอดีครับ แต่ฟังเหมือนดีเลย์แค่ 5 นาที

หลังจากที่ได้ขึ้นรถไปสิ่งแรกที่สังเกตเห็นก็คือประตูปิดเสียงดังมากและดูเหมือนจะแรงมากครับ เรียกว่าเป็นการขู่พวกที่ชอบยืนขวางประตุได้ผลนะครับผมว่า เพราะถ้าใครลองไปยืนขวางและถูกหนีบนี่ดูแล้วน่าจะมีสิทธิขาดสองท่อนได้ แต่ที่ชอบก็คือเสียงตอนที่หยุดและเปิดประตุให้ผู้โดยสารขึ้นลงนี่เป็นเสียงระฆังรถไฟแบบเดิมครับซึ่งผมว่ามันคลาสสิกดี

สำหรับสภาพตัวรถก็ดูใหม่ดีครับ แต่พอลองมองออกไปตรงรางรถไฟตอนรถใกล้จะเข้าสถานีเห็นสนิมขึ้นเต็มเลย ก็เลยดูไม่ดีนิดหน่อย แต่ถ้าคิดจริง ๆ รางนี่เขาก็วางกันมาเป็นปีแล้วโดนฝนเข้าก็อาจเป็นสนิมได้ แต่ก็ทำให้ความรู้สึกเห่อว่าเป็นของใหม่หมดไปเล็กน้อย ส่วนในเรื่องของการวิ่งของรถไฟนี่ไม่นิ่มเหมื่อน BTS หรือ MRT บอกได้เลยว่ายังมีลักษณะเอกลักษณ์ของรถไฟธรรมดาอยู่มีกระตุกมีโคลงเคลงอยู่บ้างเป็นบางช่วง

ส่วนเจ้าหน้าที่ก็ให้บริการดีครับแม้ดู ๆ ว่าจะยังสับสนอยู่บ้าง แต่ที่ต้องรีบปรับปรุงนี่ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องหาเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษได้มาประจำไว้บ้าง เพราะผมเดินผ่านไปเห็นชาวต่างชาติไปสอบถามข้อมูลแต่เจ้าหน้ายังไม่สามารถสื่อสารได้ดีนัก อันนี้สำคัญนะครับเพราะแอร์พอร์ตลิงนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติใช้บริการเป็นจำนวนมาก

อีกจุดหนึ่งก็คือเรื่องของที่จอดรถเพื่อให้คนมาจอดรถทิ้งไว้แล้วเดินทางไปทำงานผมว่าก็น่าจะทำให้มากกว่านี้นะครับ ตอนนี้เท่าที่ทราบก็มีที่มักกะสัน แต่ที่อื่นถ้าสามารถทำได้ก็น่าจะทำให้คนหันมาสนใจมากขึ้น และอย่าคิดค่าจอดแพงนะครับ ตอนผมไปลองขึ้นนี่ผมเอารถไปจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนแรกว่าจะไปแป๊บเดียวแล้วรีบกลับมา ปรากฏว่าพอลงที่มักกะสันก็เลยลองเดินต่อไปขึ้น MRT เข้าไปหาอะไรทานแถว ๆ ย่านรัชดา ปรากฏว่าพอกลับมาขับรถออกจากสนามบินเจอค่าจอดรถไป 145 บาท :(

โดยสรุปผมก็ดีใจครับที่เราสามารถใช้เจ้าแอร์พอรต์ลิงก์นี้ได้เสียที เพราะน่าจะเป็นระบบขนส่งมวลชนที่มีประโยชน์มากอีกอันหนึ่ง และน่าจะเป็นก้าวใหม่ของรถไฟไทยที่จะพัฒนาบริการใหม่ ๆ เช่นรถไฟความเร็วสูงให้เราได้ใช้กันต่อไป ในการบริการวันแรก ๆ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นของเจ้าหน้าที่ทุกคนก็น่าจะช่วยให้ปัญหาต่าง ๆ หมดไปในอนาคตอันใกล้นี้ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ