วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมื่อผมได้รับคำขอโทษเป็นคำกลอน

วันนี้ขอใช้บล็อกทำหน้าที่ของมันด้วยการทำหน้าที่เป็นไดอารี่ออนไลน์สักวันแล้วกันนะครับ จากการสอนหนังสือมากว่า 20 ปี ผมได้รับคำขอโทษจากนักศึกษามากมายในความผิดพลาดที่เขาได้ทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่งงานช้า ทำงานไม่เสร็จ หรืออีกหลายสาเหตุ นักศึกษาที่มาขอโทษส่วนใหญ่ก็จะมาหามาพูดคุยกัน ถัดมาก็ใช้อีเมล หรือตอนนี้บางคนก็ใช้ส่งข้อความผ่านทาง Facebook Messenger หรือ Line แต่ไม่ว่าจะเป็นช่องทางใดสิ่งที่ผมได้รับก็จะเป็นคำพูดที่เป็นร้อยแก้วธรรมดาครับ แต่วันนี้ผมได้รับคำขอโทษผ่านทางอีเมลเป็นกลอนครับ เขาเขียนมาขอโทษที่เขาส่งงานช้า ไม่สามารถนำเสนอในเวลาที่กำหนดได้ และงานไม่ค่อยดี และอธิบายถึงเหตุผล ลองอ่านกลอนของเขาดูครับ

ประนมมือ ทั้งสอง ก้มลงกราบ
เพราะหนูทราบ ความผิด อันมหันต์
ความผิดที่ ทำงาน ส่งไม่ทัน
แม้นผลัดวัน มากี่ครั้ง ยังละเลย
อาจารย์คะ พวกหนู มาขอโทษ
อย่าได้โกรธ โปรดเถิด อย่าวางเฉย
กลับมาดี ต่อกัน เหมือนอย่างเคย
แย้มยิ้มเปรย โปรยให้หนู เหมือนวันวาน
มีเรื่องหนึ่ง หนูอยากขอ สารภาพ
อยากจะกราบ เรียนบอก อย่างฉะฉาน
พวกหนูนั้น ไม่ได้เที่ยว เริงสำราญ
และปล่อยกาล เวลา ล่วงเลยไป
แต่เป็นเพราะ งานอื่น ที่มีมาก
พวกหนูอยาก เรียนบอกให้ คลายสงสัย
งานอาจารย์ มิได้ด้อย กว่าใครใคร
หนูใส่ใจ ในงาน ทุกวิชา
เพราะเวลา ที่มีอยู่ มันจำกัด
หากจะมัด งานรวมไว้ คงจะหนา
จึงทำการ แตกงาน ตามวิชา
แบ่งเวลา จัดไว้ อย่างลงตัว
แต่ปัจจัย รอบข้าง ไม่ช่วยเอื้อ
ทั้งยังเผื่อ แผ่ความมืด อันสลัว
มอบแต่สิ่ง ที่ทำ ให้หนูกลัว
เหมือนว่าตัว ปีศาจ มาเดินตาม
ถึงแม้ว่า งานของหนู จะดูขาด
ดูแล้วปราศ จากบีน น่าเกรงขาม
แต่หนูก็ มีของแทน ที่งดงาม
อย่าห้ามปราม โปรดรับไว้ แต่โดยดี
อาจารย์ขา หนูมา ขอโอกาส
จะไม่พลาด ซ้ากันให้ ไร้ศักดิ์ศรี
จะมุ่งทำ แต่คุณ งามความดี
โอกาสนี้ จะถนอม ดั่งดวงใจ
กลอนบทนี้ หวังใจว่า คงจะชอบ
คงจะมอบ ความสุข ความสดใส
ให้อาจารย์ แย้มยิ้มยิ่ง กว่าวันใด
ด้วยรักใน อาจารย์ ศรัณย์เอย....

เป็นไงบ้างครับ เขาแต่งได้ดีทีเดียวว่าไหมครับ ผมอ่านแล้วก็ประหลาดใจและอดขำไม่ได้ แล้วก็คิดว่าเออเนอะใครว่าคนเรียนทางคอมพิวเตอร์จะเป็นคนแห้งแล้ง ไม่มีสุนทรียะในหัวใจ ดูจากกลอนนี้นี่ไม่จริงเลย

จากนั้้นผมก็ลองไล่ตรวจงานของเขาดู ซึ่งก็ไม่ค่อยดีอย่างที่เขาสารภาพไว้แหละครับ และแน่นอนผมก็ต้องตอบกลับงานของเขาไป และไหน ๆ เขาก็จัดเต็มเป็นกลอนมาแล้ว ผมก็คิดว่าคงต้องปลุกวิญญาณศิลปินในตัวตอบกลับไปซะหน่อย ก็เลยแต่งกลอนตอบเขาไปดังนี้ครับ

อ่านกลอนแล้วต้องกลั้นใจ ก่อนไปตรวจ
เมื่อได้ตรวจยิ่งปวดใจ เหมือนไข้ถาม
พวกเธอนี้ทำอะไร ไม่อยากตาม
โปรแกรมงามทำอะไร หรือพวกเธอ
ดูเหมือนว่ามีแต่พิมพ์ ผลลัพธ์ออก
ตัดสต๊อกตรวจบัญชี ตรงไหนหรือ
ส่งให้บีนแล้วบีนทำ อะไรฤา
หรือเพียงแต่พิมพ์ซื่อซื่อ บื้อออกมา
เข้าใจว่ามีงานมาก ยากจะเสร็จ
แต่เด็ดเด็ดมีให้ได้ แค่นี้หรือ
ทำไมเพื่อนทำกันได้ สบายมือ
หรือเขาถืออุปกรณ์ วิเศษใด
เอาเวลาที่แต่งกลอน ไปถามเพื่อน
เผื่อจะช่วยเพิ่มความรู้ ดีกว่าไหม
ขอโปรแกรมเขามาลอง ไล่ดูไป
เพื่อจะได้แก้สงสัย หายงวยงง
ถึงตอนนี้ขอบอกว่า ไม่ได้โกรธ
อาจารย์โหดต้องทำใจ ให้วางเฉย
ขอเตือนให้ทุกคนไป ทบทวนเลย
อย่าทำเฉยปล่อยจนแย่ แพ้ตัวเอง


รู้สึกว่าแต่งสู้พวกเขาไม่ได้นะครับ แต่ก็พอได้ใจความที่ต้องการจะสื่อกับเขาแล้วนะครับ ก็เห็นว่าเป็นเรื่องสนุก ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ

สุดท้ายอันนี้ส่วนตัวหน่อย ขอสื่อถึงนักศึกษากลุ่มนี้ที่เข้ามาอ่านนะครับว่า อาจารย์ไม่ได้โกรธอะไรนะ แต่คะแนนก็ได้ตามผลงานที่ทำมานะครับ...




วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ขอเล่นบ้าง โจทย์ปัญหาวันนี้คือวันอะไร?

จากโจทย์ปัญหายอดฮิตในไทยในช่วงเวลานี้ (จริง ๆมันฮิตในโลกมาได้สักปีหนึ่งแล้ว) ที่ว่าอยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวานจังวันนี้จะได้เป็นวันศุกร์ และก็มีคนพยายามเฉลยมาหลายวิธี ซึ่งบางวิธีก็ดูซับซ้อนเข้าใจยาก วันนี้ผมจะลองเสนอวิธีของผมบ้างนะครับ ซึ่งจะใช้วิธีแก้สมการง่าย ๆ ก็หวังว่าจะเข้าใจได้ง่ายขึ้น (มั้ง)ครับ

ผมจะกำหนดให้วัน
จ.  = 1  อ. = 2 พ. = 3  พฤ. = 4  ศ. = 5  ส. = 6 และ อา. = 7

กำหนดให้วันนี้เป็น x  จากโจทย์ที่บอกว่า  อยากให้พรุ่งนี้เป็นเมื่อวานจังวันนี้จะได้เป็นวันศุกร์  ตีความได้ว่าต้องการย้อนเวลาถอยหลังกลับไปสองวัน เพื่อให้วันนี้กลายเป็นวันศุกร์ ดังนั้นตั้งสมการได้ว่า

 x - 2 = 5 (หมายเหตุวันศุกร์ คือ 5 ตามที่กำหนดไว้) ดังนั้นเมื่อแก้สมการนี้จะได้ว่า x = 7 ซึ่งคือวันอาทิตย์

อย่างไรก็ตามโจทย์นี้ถ้าเขียนใหม่ว่า อยากให้เมื่อวานนี้เป็นวันพรุ่งนี้จังวันนี้จะได้เป็นวันศุกร์ ถ้าตีความตามนี้จะได้ว่าต้องการให้เวลาเดินหน้าไปสองวันเพื่อให้วันนี้เป็นวันศุกร์ ดังนั้นจะตั้งสมการได้ว่า
x + 2 = 5 ซึ่งเมื่อแก้สมการแล้วจะได้ว่า x = 3 ซึ่งคือวันพุธ

เป็นยังไงครับ พอเข้าใจกันบ้างไหมครับ หรือยิ่งงงหนักเข้าไปอีก ...

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เมืองที่มีการจราจรแย่และดีเป็นอันดับหนึ่งของโลก

ถ้าถามถึงเมืองที่มีการจราจรหนักหนาสาหัสและน่าจะเป็นอันดับหนึ่งของโลก ผมคิดว่าพวกเราหลายคนคงจะนึกถึงกรุงเทพเมืองฟ้าอมรของเราใช่ไหมครับ เพราะดูเหมือนว่าไม่ว่าจะออกจากบ้านตอนไหนรถก็ติดไปหมด ที่ที่แต่ก่อนไม่เคยติดเดี๋ยวนี้ก็เริ่มติด แต่จากการคำนวณโดยใช้ดัชนี Castrol's Magnatec Stop-Start ซึ่งใช้ข้อมูลที่รวบรวมมาจากผู้ใช้เครื่องนำทาง Tom Tom โดยข้อมูลที่เขานำมาคือการหยุดและการเคลื่อนที่ของรถ (นี่คือที่มาของคำว่า stop-start) ในระยะทาง 1 กิโลเมตร จากนั้นนำค่านี้มาคูณกับระยะทางเฉลี่ยที่รถวิ่งได้ในหนึ่งปี ซึ่งต่อไปผมจะขอเรียกดัชนีนี้ว่าดัชนีกระตึกกระตักแล้วกันนะครับ โดยเขาเก็บข้อมูลจากทั้งหมด 78 ประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเมืองที่มีการจราจรแย่ที่สุดในโลกได้แก่... กรุงจาร์การ์ตาประเทศอินโดนีเซียครับ โดยมีดัชนีกระตึกกระตักอยู่ที่ 33,240 นั่นคืออัตราการหยุดแล้วก็เคลื่อนต่ออยู่ที่ 33,240 ครั้งต่อปี ดีใจใช่ไหมครับที่ไม่ใช่กรุงเทพ แต่สำหรับคนที่ชอบให้เราอยู่ในอันดับการจัดทุกครั้งก็ไม่ต้องเสียใจไปนะครับ เพราะกรุงเทพของเราก็ติดหนึ่งใน 10 ครับ โดยอยู่ที่อันดับ 8 โดยมีดัชนีกระตึกกระตักอยู่ที่ 27,480 ครับ สำหรับ 10 อันดับของเมืองที่มีการจราจรแย่ที่สุดในโลกก็ตามนี้ครับ

  1. จาร์การ์ตา อินโดนีเซีย: 33,240
  2. อิสตันบูล ตุรกี: 32,520
  3. กรุงเม็กซิโก เม็กซิโก: 30,840
  4. สุราบายา อินโดนีเซีย: 29,880
  5. เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก รัสเซีย: 29,040
  6. มอสโคว์ รัสเซีย: 28,680
  7. โรม อิตาลี: 28,680
  8. กรุงเทพ ไทย: 27,480
  9. กัวดาลาจารา เม็กซิโก: 24,480
  10. บัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา: 23,760

เห็นอย่างนี้แล้วต่อไปตอนเจอรถติดก็ให้นึกซะนะครับว่ายังมีเมืองที่แย่กว่าเราอยู่อีกเจ็ดเมือง เผื่อจะรู้สึกดีขึ้น ยิ่งกรุงเทพตอนนี้มีโครงการเปิดไฟเขียวผ่านตลอดอะไรสักอย่างนี่ อาจจะดีขึ้นก็ได้นะครับ ใครมีข้อมูลว่ามันดีขึ้นไหมก็มาแบ่งปันกันได้นะครับ

ส่วนเมืองที่มีการจราจรคล่องตัวที่สุด 10 อันดับแรกก็มีดังนี้ครับ


  1. แทมเปอร์ (Tampere) ฟินแลนด์: 6,240
  2. รอตต์เตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์: 6,360
  3. บลาติสสลาวา สโลวาเกีย: 6,840
  4. อาบูดาบี สหรัฐอาหรับอิมิเรสต์: 6,840
  5. บริสเบน ออสเตรเลีย: 6,960
  6. Antwerp เบลเยียม: 7,080
  7. ปอร์โต โปรตุเกส: 7,200
  8. Brno สาธารณรัฐเชค: 7,320
  9. โคเปนเฮเกน เด็นมาร์ค: 7,440
  10. Kosice สโลวาเกีย: 7,440 

ดัชนีกระตึกกระตักของเมืองเหล่านี้นี่ยังไม่ถึง 8,000 เลยนะครับ เทียบกับสิบอันดับบนแล้วต่างกันราวฟ้าดิน แต่อย่าไปอิจฉาเขาเลยครับ ผู้คนในเมืองเหล่านี้จะไม่มีประสบการณ์ที่น่าตื่นใจ อย่างอั้นอุจาระปัสสาวะ หรือต้องใช้คอมฟอร์ต 100 เพื่อขับถ่ายในรถเหมือนคนกรุงเทพแน่นอน นับว่าชีวิตขาดสีสันว่าไหมครับ...

ที่มา: THE WORST TRAFFIC IN THE WORLD IS IN... 

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

เรื่องสั้น:ศาลรัฐธรรมนูญกับ Hate Speech

บล็อกแรกของปีนี้ขอแต่งเรื่องสั้นให้อ่านสักเรืองหนึ่งนะครับ เรื่องสั้นนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากข่าวนี้ http://news.voicetv.co.th/thailand/154995.html คือข่าวที่จะมีการบรรจุเรื่อง Hate Speech ซึ่งก็คือคำพูดหรือความเห็นที่ก่อให้เกิดความเกลียดชังซึ่งกันและกันลงในรัฐธรรมนูญ โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้กำหนดบรรทัดฐาน พออ่านข่าวปุ๊บผมก็ได้พล็อตเรื่องสั้นในหัวเลยครับ เลยจะลองเขียนมาให้อ่านกันเผื่อจะยึดเป็นอาชีพหลังเกษียณได้ ขอย้ำนะครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นทั้งหมด ตัวละครที่ปรากฏอยู่ในเรื่องนี้มิได้มีความสัมพันธ์กับบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง

แนะนำตัวละคร
นายเหลือง: ผู้นำกลุ่มการเมืองที่เกลียดอีปูวและครอบครัวเป็นอย่างมาก
นายแดง: ผู้นำกลุ่มการเมืองที่รักชอบอีปูวและครอบครัว และเกลียดนายมากเป็นอย่างยิ่ง
อีปูว: นักการเมืองหญิงที่นายเหลืองเกลียดชังเป็นอย่างมาก
นายมาก: นักการเมืองขั้วตรงข้ามกับอีปูว ซึ่งนายแดงเกลียดเป็นอย่างมาก นายเหลืองก็ไม่ได้ชอบนายมากเท่าไร แต่ก็ยังเกลียดน้อยกว่าอีปูว
ศาล1 และศาล2: ตัวแทนของ ตลก. ศาลรัฐธรรมนูญแห่งประเทศสารขัณฑ์

เรื่องนี้เกิดขึ้นในประเทศสารขัณฑ์ หลังจากที่ประชาชนชาวสารขัณฑ์ได้ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับริดรอนสิทธิ โดยให้คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งมีสิทธิเหนือกว่าคนที่มาจากการเลือกตั้ง และเรื่อง Hate Speech ก็ถูกบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย โดยมอบให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ดูแลเรื่อง Hate Speech นี้ การที่ชาวสารขัณฑ์จำเป็นต้องรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็เพราะเริ่มเบื่อหน่ายกับการฟังเพลงจำได้ไหม... หลังหกโมงเย็นเกือบทุกวัน และต้องฟังท่านผู้นำทุกสองทุ่มวันศุกร์ ถ้าไม่รับรัฐธรรมนูญท่านผู้นำก็จะอยู่ต่อไป ก็เลยออกไปลงมติรับรัฐธรรมนูญกัน

เรื่องนี้เริ่มจากนายเหลืองได้โพสต์ข้อความลงในเครือข่ายสังคมที่เป็นที่นิยมในประเทศสารขัณฑ์ได้แก่ FeetBook ว่า "อีปูว อีโง่" และนายแดงได้เห็นข้อความนี้จึงได้นำเรื่องไปยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในประเด็น Hate Speech โดยได้กล่าวหานายเหลืองว่าได้โพสต์ข้อความที่แสดงความกลียดชังต่ออีปูว และจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในชาติ ศาลรัฐธรรมนูญจึงได้เรียกนายแดงมาไต่สวน

ศาล1: "ศาลคิดว่าเรื่องที่โจทย์ยื่นมาน่าจะหมดอายุความแล้วนะ"
นายแดง: "ยังไม่หมดมั้งครับ เขาโพสต์เมื่อวานวันนี้ผมก็ยื่นเลย"
ศาล1: "เออจริง ขอโทษทีศาลดูปฏิทินผิดไป"
ศาล2: "ทำไมโจทย์ถึงรีบยื่นฟ้องจัง ทำไมไม่รอให้ถนนลูกรังในประเทศหมดไปก่อนล่ะ"
นายแดง: ????
ศาล1: "คงไม่เกี่ยวกับถนนลูกรังมั้งครับท่าน มันคนละคดีกัน คดีนั้นมันรถไฟความเร็วสูง"
ศาล2: "เออจริง ผมเผลอไป เอาอย่างนี้ศาลขอรับเรื่องนี้ไว้พิจารณาสัก 6 เดือนนะ มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องใช้เวลาพิจารณา"

6 เดือนผ่านไป ถึงวันพิพากษา

ศาล1: "โจทย์และจำเลยรับฟังคำพิพากษา หลังจากที่ได้พิจารณาอย่างกว้างขวางมา 6 เดือน โดยศาลได้สอบถามจากภรรยา และลูกสาวของศาลได้ความว่าในหนังซีรีย์ต่างประเทศการใช้คำว่าโง่นั้นไม่ได้มีความหมายเป็นคำด่า แต่เป็นคำเรียกกันด้วยความเอ็นดูเช่นเด็กโง่เอ๊ย หรือรักนะเด็กโง่เป็นต้น ดังนั้นการที่นายเหลืองโพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ FeetBook ว่าอีปูว อีโง่นั้นจึงเป็นการเรียกอีปูวด้วยความเอ็นดูไม่ใช่การใช้ Hate Speech แต่อย่างใด ดังนั้นพิพากษายกฟ้อง"

หลังจากนั้นนายแดงจึงไปโพสต์ข้อความใน FeetBook ว่า "นายมาก ไอ้โง่" เมื่อนายเหลืองเห็นข้อความดังกล่าวจึงไปบื่นฟ้องศาลรัฐธรรมนูญด้วยข้อหาเดียวกัน

นายแดง: "แกจะไปยื่นฟ้องฉันทำไม ศาลก็เพิ่งตัดสินมาว่าคำว่าโง่เป็นการเรียกด้วยความเอ็นดู"
นายเหลือง: "แกคอยดูก็แล้วกัน"

ซึ่งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญได้รับเรื่องก็รีบดำเนินการทันที เนื่องจากมีความเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่ซึ่งอาจสร้างความขัดแย้งในชาติได้ โดยได้นัดกันประชุมตอนเช้าและรีบเขียนคำพิพากษาให้เสร็จในตอนบ่าย ซึ่งคำพิพากษามีดังนี้

ศาล1: "ศาลพิเคราะห์จากคำฟ้อง และดูจากละครไทยที่ตัวละครมักจะด่ากันด้วยคำว่าโง่ ดังนั้นคำว่าโง่จึงมีความหมายทำให้ผู้ที่ถูกด่าและผู้ที่สนับสนุนเกิดความไม่พอใจ จนอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในชาติ ดังนั้นการที่นายแดงไปโพสต์ข้อความในเครือข่ายสังคมอย่าง FeetBook ว่านายมาก ไอ้โง่ จึงเข้าข่ายการใช้ Hate Speech สร้างความขัดแย้งในชาติ พิพากษาให้นายแดงมีความผิดต้องประหารชีวิต หวังเฉา หม่าฮั่น เตรียมเครื่องประหารหัวสุนัข"

อ้าวไปกันใหญ่แล้ว ทำไมมาจบที่ศาลไคฟงได้ สงสัยเราคงหากินทางนักเขียนไม่ได้จริง ๆ แฮะ จบตรงนี้เลยแล้วกันนะครับ...







วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความแตกฉานสี่ด้านที่เราพึงมี

อยากเขียนบล็อกมาเป็นเดือนแล้วแต่ไม่ว่างเลย แต่จะปีใหม่ทั้งทีก็คงต้องเขียนสักหน่อยนะครับ ถึงแม้เพื่อน ๆ ผู้ติดตามอาจจะหายไปหมดแล้วเพราะไม่ได้เขียนมาสักครึ่งปีได้ ปีใหม่นี้จะพยายามเขียนให้บ่อยขึ้นครับ เป็นปณิธานข้อหนึ่งเลยแล้วกัน

บล็อกต้อนรับปีใหม่นี้ก็ขอเป็นทางธรรมะหน่อยแล้วกันนะครับ และผมเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเราโดยเฉพาะกับครูและนักเรียนครับ เรื่องที่เล่าให้ฟังนี้ได้มาจากหนังสือเรียนพุทธศาสนาของลูกคนเล็กครับ คือเขาจะสอบแล้วผมก็ช่วยติวก็เลยได้รู้เรื่องและเห็นว่าน่าสนใจดี และน่าจะเป็นประโยชน์ก็เลยนำมาถ่ายทอดต่อให้ฟังกันครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธสาวิกาซึ่งก็คือพระอริยบุคคลฝ่ายหญิงซึ่งยังทันได้พบกับพระพุทธองค์ พุทธสาวิกาคนนี้คือพระเขมาเถรีครับ

บอกตามตรงว่าก่อนหน้าที่จะช่วยติวลูกนี้ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยครับ และคิดว่าพวกเราหลายคนก็อาจไม่รู้จักนะครับ ก็เลยขอเล่าประวัติให้ฟังคร่าว ๆ ก่อนแล้วกันครับ ส่วนใครที่รู้จักอยู่แล้วก็ทนอ่านนิดหนึ่งแล้วกันนะครับ พระเขมาเถรีนี้ก่อนจะออกบวชมีนามว่าพระนางเขมาเทวีซึ่งเป็นพระมเหสีผู้เลอโฉมของพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งพระเจ้าพิมพิสารนี้พวกเราอาจจะทราบดีว่าเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง และพระองค์ก็ต้องการให้พระมเหสีได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า แต่พระนางเขมาเทวีไม่ยอมไปฟังครับ เพราะพระนางได้รับฟังมาว่าพระพุทธเจ้ามักจะทรงสั่งสอนเกี่ยวกับโทษของร่างกายก็เลยไม่ยอมไปฟัง แต่สุดท้ายพระเจ้าพิมพิสารก็ออกอุบายให้ไปฟังจนได้ครับ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรมให้เห็นถึงว่าร่างกายเป็นของไม่เที่ยงจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ซึ่งพระนางเขมาเทวีพอได้ฟังแล้วก็เลิกยึดติดกับความงามและบรรลุโสดาบัน จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมต่อจนพระนางตัดกิเลสได้จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ซึ่งตามที่หนังสือบอกไว้คนธรรมดาที่สำเร็จอรหันต์จะต้องออกบวชมิฉะนั้นจะต้องนิพพานใน 7 วันครับ ดังนั้นพระเจ้าพิมพิสารจึงต้องให้พระนางออกบวชครับ (ถ้าผมเป็นพระเจ้าพิมพิสารผมอาจคิดว่าไม่น่าหาเรื่องเลยตู ซวยเลยต้องเสียภรรยาแสนสวยไปคนหนึ่ง :) )

เมื่อพระนางออกบวชแล้วก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยจนแตกฉานครับ และได้รับการแต่งตั้งจากพระพุทธเจ้าให้เป็นพระอัครสาวิกาเบื้องขวาครับ โดยพระนางได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นภิกษุณีที่เป็นเลิศทางปัญญา ซึ่งพระนางมีความแตกฉานในสี่ด้าน ซึ่งผมคิดว่าเป็นสี่ด้านที่พวกเราโดยเฉพาะที่เป็นครูและนักเรียนควรจะมีครับ มาดูกันครับว่าสี่ด้านที่ว่ามีอะไรบ้าง


  1.   ความแตกฉานในความหมาย ในข้อนี้หมายความว่าพระนางเพียงเห็นหัวข้อธรรม ก็สามารถอธิบายได้โดยละเอียด ดังนั้นนักเรียนทั้งหลายถ้าสามารถเรียนหนังสือจนสามารถทำแบบนี้ได้ ย่อมจะเรียนหนังสือได้ดีจริงไหมครับ ส่วนครูอาจารย์ถ้าทำแบบนี้ได้ก็แสดงว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาที่ตัวเองสอน
  2. ความแตกฉานในหลักการ ข้อนี้หมายความว่าเมื่อได้รับฟังรายละเอียดของเรื่องราวใดก็สามารถจับใจความหรือตั้งเป็นหัวข้อได้ ซึ่งเรื่องนี้ก็คือการจับประเด็นนั่นเอง ดังนั้นนักเรียนหรือใครก็ตามที่ฟังบรรยายแล้ว และสามารถจับใจความสำคัญได้นั่นก็แสดงว่าเข้าใจในหลักการที่ผู้บรรยายต้องการนำเสนอ ส่วนครูอาจารย์โดยเฉพาะที่คุมงานวิจัย ถ้ามีความแตกฉานในข้อนี้ก็จะสามารถบอกถึงหลักการที่นักศึกษานำเสนอ และสามารถให้ความเห็นได้ว่ามีข้อดีหรือข้อเสียอย่างไร
  3. ความแตกฉานในภาษา อันนี้ก็หมายความว่าสามารถอธิบายคำศัพท์ หรือคำบัญญัติให้ผู้อื่นเข้าใจได้ ซึ่งอันนี้ก็คงจะตรงกับที่ไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าคุณอธิบายเรื่องราวให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ไม่ได้ นั่นคือคุณไม่เข้าใจเรื่องนั้นดีพอ
  4. ความแตกฉานในปฏิภาณ อันนี้ก็คือความมีไหวพริบสามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม นักเรียนที่เรียนภาคทฤษฎีมาแล้วและไม่สามารถนำมาประบุกต์ได้ก็อาจทำข้อสอบไม่ได้ อาจารย์ที่ดีก็ควรจะมีความสามารถในการยกตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบให้นักศึกษาเห็นภาพได้
นี่คือสี่ข้อที่พระเขมาเถรีมีครับ ทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เป็นเลิศในทางปัญญาอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งผมคิดว่าเป็นประโยชน์ก็เลยเอามาฝากกันเป็นของขวัญปีใหม่ครับ  ส่วนตัวเองผมก็ขอตั้งปณิธานว่าจะพยายามพัฒนาตัวเองให้มีความแตกฉานในสี่ด้านนี้ให้ได้มากที่สุด สวัสดีปีใหม่ 2558 ครับทุกคน...