วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2562

เหลียวหลังมองปี 2018

สวัสดีปีใหม่ครับ หวังว่าคงจะยังไม่ช้าเกินไปที่จะสวัสดีปีใหม่กันนะครับ บล็อกแรกของปี และตั้งใจว่าจะเขียนให้มากขึ้นในปีนี้ แต่ก็ไม่อยากตั้งเป้าไว้มาก เพราะปีที่แล้วก็ตั้งเป้าไว้แบบนี้แต่ก็ทำไม่ได้

จริง ๆ ผมไม่เคยคิดที่จะมาเขียนรีวิวปีที่แล้วเลยนะครับ แต่บังเอิญ Google ส่ง Goole Maps Timeline ซึ่งเป็นการสรุปการเดินทางของผมในปีที่แล้วมาให้ ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจคือปีที่แล้วผมใช้เวลาอยู่บนรถ 736 ชั่วโมง เฉลี่ย 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ต่อวัน และเดินทางด้วยรถไปเป็นระยะทาง 23,499 กิโลเมตร ส่วนการเดินทางด้วยการเดินคือ 77 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินทางด้วยการเดิน 17 ชั่วโมง ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามั่วบ้างหรือเปล่านะครับ เพราะเข้าไปดูรายละเอียดมีการแสดงว่าผมเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ด้วย แต่ปีที่แล้วผมแน่ใจว่าไม่เคยนั่งมอเตอร์ไซค์เลยปีที่แล้ว และสถานที่ที่อยู่ก็ไม่น่าจะมีมอเตอร์ไซค์ให้นั่ง ไม่รู้ Google ดูจากอะไรว่าผมนั่งมอเตอร์ไซค์

หลังจากที่ได้ข้อมูลจาก Google ก็เลยทำให้ผมได้มองย้อนกลับไปในปีที่แล้ว และก็ถามตัวเองว่าปีที่แล้วของผมเป็นยังไง ซึ่งคำตอบที่ได้คือเป็นปีที่ทุ่มเทเวลาไปกับการสอนหนังสือ และเตรียมตัวสอนหนังสือ จริง ๆ ผมเป็นคนที่สอนหนังสือด้วยจำนวนชั่วโมงต่อปีมากอยู่แล้ว แต่ปีที่แล้วใช้เวลามากขึ้น เพราะได้รับเชิญให้ไปสอนที่วิทยาลัยนานาชาติ อีก 3 วิชา ซึ่งนอกจากวิชาจะเพิ่มแล้วก็ต้องเตรียมตัวสอนเพิ่มขึ้นอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นผมยังคิดอะไรไม่รู้ไปเปิดวิชาใหม่ขึ้นมาหนึ่งวิชาคือวิชาที่เกี่ยวกับบล็อกเชน ซึ่งต้องเตรียมสอนเยอะมาก ผมไม่ได้สอนวิชาที่ใหม่ ๆ ไม่เคยสอนมาก่อนเลยนี่นานมากแล้วนะครับ ย้อนกลับไปเป็นสิบปีได้ ถึงแม้จะมีความรู้ มีวัตถุดิบอยู่พอสมควรแล้ว แต่การนำมาเรียบเรียงนี่ใช้เวลามากจริง ๆ ครับ ถ้าใครเคยเตรียมสอนวิชาใหม่ ๆ ผมว่าน่าจะเข่้าใจดี วิชาเก่า ๆ ก็ต้องเตรียมสอนนะครับ ปรับปรุงให้ทันสมัย และดูข้อบกพร่องทีทำให้นักศึกษาไม่เข้าใจ ตัดอะไรที่มันล้าสมัยหรือไม่จำเป็นออกไป ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องจัดทำสื่อออนไลน์ เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนในแบบ Active Learning อีกด้วย เรียกว่าปีที่แล้วแทบไม่ได้ทำงานอย่างอื่นเลย สอนเสร็จก็กลับบ้านก็มานั่งเตรียมสอน

ส่วนเรื่องอื่น ๆ ในปีที่แล้วที่น่าจดจำก็มีอย่างลูกคนเล็กที่สามารถเอาชนะระบบ TCAS เข้ามหาวิทยาลัยได้โดยไม่มีปีญหา คนในครอบครัวทุกคนก็ยังมีสุขภาพดี และมีความสุขกันตามอัตภาพ ทีมฟุตบอลที่เชียร์อย่างลิเวอร์พูลก็ทำให้มีรอยยิ้มได้มากมายตลอดปี (หวังว่าปีนี้จะทำให้ยิ้มได้เต็มที่นะ) สุขภาพตัวเองก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีระดับหนึ่ง (มีเสื่อมไปตามวัยบ้าง)  ถึงแม้จะเอาแต่ทำงานและไม่ได้ดูแลตัวเองมากนัก (ปีนี้ตั้งใจจะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น)

ส่วนปณิธาณที่ตั้งใจจะทำในปีนี้ ก็ขอไม่ตั้งอะไรมาก (เพราะตั้งแล้วทำไม่เคยได้เลย) เอาเป็นว่าก็จะทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดทั้งด้านงาน ส่วนตัว ครอบครัว และคนรอบข้าง ซึ่งถ้าทำอย่างดีแล้วก็หวังว่าผลมันก็จะออกมาดีด้วย และก็จะพยายามมาพูดคุยกันผ่านบล็อกนี้กันให้บ่อยขึ้นครับ สวัสดีปีใหม่อีกครั้งครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ขั้นตอนวิธีที่ทำให้ TCAS รอบ 3 สามารถเลือกอันดับได้

ไม่ได้เขียนบล็อกมานานตั้งแต่ต้นปีเหมือนเดิมเพราะยุ่งมาก แต่วันนี้รู้สึกอยากเขียนเรื่อง TCAS สักหน่อย เพราะตัวเองก็ต้องศึกษาระบบนี้ เนื่องจากลูกก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้ และก็มองเห็นปัญหาว่าระบบในรอบ 3 นี้มันจะมีปัญหากั๊กที่แน่ ก็เลยบอกลูกว่ายังไงก็ต้องตั้งใจให้เต็มที่ทำคะแนนให้สูง ๆ เข้าไว้ และลูกก็ทำได้ ดังนั้นเขาไม่ใช่เด็กที่มีปัญหาในรอบนี้แต่อย่างใด ประกอบกับเขาอยู่สายศิลป์-คำนวณ และคณะที่เขาเลือกปีนี้ก็มาแยกสายวิทย์ กับสายศิลป์-คำนวณพอดี ดังนั้นก็ยิ่งเข้าทางเขา สำหรับใครที่ไม่ได้ตามข่าวหรือยังไม่ค่อยเข้าใจระบบนี้สามารถอ่านได้จากบทความนี้นะครับ

https://www.the101.world/from-admission-to-tcas/

และปัญหาที่เกิดขึ้นสามารถอ่านได้จากบทความนี้นะครับ

 https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1173473

ปัญหาหลักที่เกิดในรอบ 3 ก็คือการกันที่กันหรือเรียกว่ากั๊กที่ครับ ระบบก่อนหน้า TCAS ก็กั๊กกัน แต่พวกที่เลือกหมอเขาจะประกาศผลไปต่างหากอยู่แล้ว และในระบบก่อนหน้านี้ แต่ละมหาวิทยาลัยจะบริหารจัดการกันเอง ด้วยการเรียกเด็กที่ติดสำรองมาแทนเด็กที่ติดตัวจริงที่ไม่มาสอบสัมภาษณ์ (เพราะเลือกที่อื่นไปแล้ว) แต่ในปีนี้ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)  ซึ่งเป็นผู้คิดระบบ TCAS ไม่รู้มีอะไรมาดลใจ ให้เอาพวกหมอมารวมในรอบรับตรงนี้ด้วย และไม่ให้มีการเรียกสำรองอีกต่างหาก ผลก็คือเกิดมหกรรมการกั๊กที่อย่างเป็นรูปธรรมตามลิงก์ข้างบนครับ

มีคนถามทปอ.ว่าทำไมรอบ 3 ไม่ทำเหมือนรอบ 4 คือให้เรียงลำดับที่ตัวเองต้องการแล้วก็ให้ติดเฉพาะอันดับสูงสุดที่ตัวเองเลือกไว้ ทปอ.บอกทำไม่ได้ เพราะในรอบ 3 นี้คณะและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ใช้เกณฑ์ไม่เหมือนกัน เช่นบางคณะเอาแต่ GAT/PAT บางคณะใช้ 9 วิชาสามัญ ดังนั้นต้องให้เด็กติดทุกสาขาที่ผ่านเกณฑ์แล้วให้เด็กตัดสินใจเลือกทีหลัง (ซึ่งเป็นที่มาแห่งมหกรรมการกั๊กที่)

ผมลองมานั่งคิดดูว่าทำไม่ได้จริงหรือ คิดไปคิดมาก็เห็นว่าน่าจะทำได้นะ ก็เลยมาเขียนบทความนี้เพื่อลองเสนอว่าถ้าจะออกแบบโปรแกรมรอบรับตรงร่วมกันให้สามารถทำให้เด็กเลือกอันดับได้และติดอันดับสูงสุดอันดับเดียวจะทำยังไง หลักการคืออย่างนี้ครับ หนึ่งเลยเอาพวกหมอออกไปอยู่ในรอบต่างหาก (จริง ๆ จะไม่แยกก็ได้ แต่จะทำให้ระบบต้องทำงานหนักโดยไม่จำเป็น เพราะพวกหมอเขามีระบบของเขาอยู่แล้ว) จากนั้นรอบรับตรงร่วมกันก็ให้เด็กเลือกที่ต้องการได้ 4 อันดับ จากนั้นก็ส่งชื่อเด็กให้มหาวิทยาลัยทำการเรียงลำดับคะแนนของเด็กตามเกณฑ์ที่แต่ละคณะใช้ หรือทปอ.จะเขียนโปรแกรมทำให้เองก็แล้วแต่ เช่นคณะไหนใช้แต่ GAT/PAT ก็คำนวณโดยใช้แค่ GAT/PAT และเรียงลำดับมา โดยคะแนนของเด็กที่อยู่ในช่วงจำนวนที่คณะจะรับจะเรียกว่าเป็นตัวจริง ส่วนที่เหลือก็จะเป็นตัวสำรอง เช่นบัณชีจุฬาจะรับ 150 คน เด็กที่อยู่ใน 150 คนแรกก็เป็นตัวจริงของบัญชีจุฬา ที่เหลือก็เป็นตัวสำรอง

เมื่อได้คะแนนเรียงตามลำดับมาแล้วก็เริ่มทำการจัดอันดับตามที่นักเรียนเลือก  โดยรอบแรกก็จัดจากอันดับที่เลือกเป็นอันดับ 1 ก่อน ดังนี้

ทำจนกว่า จะไม่มีนักเรียนที่สามารถจัดอันดับ 1 ได้ (คือทำจนสามารถจัดนักเรียนทุกคนที่เลือกอันดับ 1 ได้ หรือจนกว่าคณะที่เลือกเป็นอันดับ 1 ของนักเรียนเต็มแล้ว) 
   อ่านข้อมูลของนักเรียนโดยอ่านจากอันดับ 1 ที่เลือก 
   ถ้านักเรียนติด (อยู่ในกลุ่มตัวจริง ของอันดับ 1 ที่เลือก)  
        เขียนข้อมูลนักเรียนและสาขาที่ติด
        เช็คว่านักเรียนติดอันดับ 2 3 และ 4 ด้วยหรือไม่ ถ้าติดอันดับใด ให้ลบชื่อนักเรียนออกจากสาขาที่ติดนั้น   แล้วเลื่อนอันดับสำรองถัดไปของสาขานั้นเข้ามาเป็นตัวจริง (พูดง่าย ๆ นี่คือการเรียกตัวสำรองนั่นเอง) 
กลับไปที่ต้นลูป

เมื่อทำจบรอบนี้เราก็จะได้นักเรียนที่ได้สาขาที่ตัวเองเลือกเป็นอันดับ 1

รอบต่อไปก็ทำเหมือนกันแต่ทำอันดับ 2 3 และ 4 ตามลำดับ ซึ่งถ้าถึงอันดับ 4 แล้วนักเรียนก็ยังไม่ติดก็แสดงว่านักเรียนไม่ติดในรอบนี้ ต้องไป TCAS รอบ 4 ต่อไป

ก็ต้องบอกว่านี่เป็นแนวคิดคร่าว ๆ นะครับ ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องประสิทธิภาพแต่อย่างใด เพียงแต่อยากแสดงให้เห็นว่ามันไม่จำเป็นต้องเอาคะแนนที่ถูกคำนวณมาแบบเดียวกันมาจัดลำดับกันอย่างเดียว เท่าที่ดูโปรแกรมอาจจะทำงานเยอะหน่อยในการจัดอันดับ 1 หลังจากนั้นก็น่าจะทำงานน้อยลง โดยเฉพาะการจัดอันดับ 4 ก็น่าจะง่ายแล้ว เพราะการเช็คก็จะง่ายขึ้นและไม่ต้องไปทำเรื่องเรียกตัวสำรองอะไรอีก

มีความเห็นอะไร หรือเห็นว่าขั้นตอนวิธีที่นำเสนอมีข้อบกพร่องอะไรก็สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ครับ 

วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

ประวัติ PowerPoint

พอดีได้อ่านบทความนี้ The Improbable Origins of PowerPoint  ทำให้ได้รู้ที่มาของโปรแกรมนำเสนอยอดนิยมอย่าง PowerPoint ครับ ก็เลยว่าเอามาแบ่งปันกันสบาย ๆ ในคืนวันศุกร์ก็น่าจะดี ซึ่งผมขอสรุปมาให้ฟังกันแต่เนื้อ ๆ นะครับ เจ้า PowerPoint นี่มันมีประวัติที่น่าสนใจดังนี้ครับ

1. ชื่อเดิมของมันคือ Presenter มีคนสามคนที่ร่วมพัฒนามันคือ Robert Gaskins, Dennis Austin และ Tom Rudkin โดยทำมันในนามบริษัทที่ชื่อ Forethought
2. มันถูกพัฒนาขึ้นมาบนเครื่อง Macintosh ก่อนโดยเวอร์ชันแรกของมันพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้สร้างสไลด์ขึ้นมาแล้วพิมพ์ออกมาทางเครื่องพิมพ์เลเซอร์รุ่นใหม่ (ในขณะนั้น) ของ Apple คือ LaserWriter เมื่อพิมพ์ออกมาแล้วก็เอาไปถ่ายเอกสารลงแผ่นใส เพื่อนำไปฉายบนเครื่องฉาย ซึ่งตรงนี้จะช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างสไลด์สวย ๆ ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องไปจ้างบริษัททำกราฟิก
3.  ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1987 บริษัท Forethought นำโปรแกรมที่ชื่อว่า PowerPoint 1.0 ออกสู่ตลาด ซึ่งมันก็คือ Presenter แต่เปลี่ยนชื่อ ซึ่งโปรแกรมก็ได้ใจผู้ใช้ Mac ในช่วงข้ามคืน มันทำรายได้หนึ่งล้านเหรียญในเดือนแรกที่เปิดตัว และทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 400,000 เหรียญ
4. สามเดือนหลังจาก PowerPoint เปิดตัวไมโครซอฟท์ก็เข้าซื้อ Forethought ด้วยเงิน 14 ล้านเหรียญ
5. Microsoft PowerPoint ถูกพัฒนาให้ใช้กับเครื่อง Mac ก่อน จากนั้นจึงเป็น Windows
6.  ทีมงานของ Forethought กลายมาเป็น หน่วยธุรกิจกราฟิกส์ของไมโครซอฟท์ (Microsoft’s Graphics Business Unit) ซึ่ง Guskins เป็นหัวหน้าทีมอยู่ 5 ปี ส่วน Austin และ Rudkin ทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนาหลักของโปรแกรม PowerPoint อยู่ 10 ปี
7. ไมโครซอฟท์ตัดสินใจให้หน่วยธุรกิจกราฟิกส์ของไมโครซอฟท์อยู่ที่ Silicon Valley ต่อไป นับเป็นหน่วยงานแรกของไมโครซอฟท์ที่อยู่นอกสำนักงานใหญ่ และ PowerPoint ก็ถูกพัฒนาจากที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้




วันพุธที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2561

เราต้องดีหรือเก่งแค่ไหนถึงจะวิจารณ์คนอื่นได้

เคยรู้สึกไหมครับว่าหลาย ๆ ครั้งที่เราคุยกับใครแล้วก็มีความเห็นต่างกัน โดยอาจจะเป็นการวิจารณ์อะไรสักอย่างในมุมมองที่ต่างกัน สุดท้ายก็มักจะมีข้อความประเภทว่า ไปวิจารณ์เขาเราดีพร้อมแล้วหรือ หรือไปวิจารณ์เขาทำดีได้เท่าเขาหรือเปล่า ซึ่งถ้ามาถึงตรงนี้ผมก็มักจะเลิกคุย เพราะคุยไปก็ไม่มีประโยชน์ เสียอารมณ์กันเปล่า ๆ

ถ้าคนเราต้องดีให้ครบทุกด้าน แล้วถึงจะมีสิทธิวิจารณ์คนอื่นได้ โลกนี้คงไม่ต้องมีการวิจารณ์กัน อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเองนะ แต่หมายถึงคนทุกคนย่อมมีข้อบกพร่องอยู่ในตัวแทบทุกคน เช่นบางคนเป็นคนเคารพกฎหมาย แต่อาจจะหงุดหงิดง่าย ถ้าเขาจะวิจารณ์คนทำผิดกฎหมายก็ไม่น่าจะแปลก แต่ถ้าเขาไปวิจารณ์คนอื่นว่าหงุดหงิดง่ายจัง นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง และก็สมควรถูกว่ากลับว่าดูตัวเองหรือยัง

ถ้าคนเราจะวิจารณ์ใครแล้วจะต้องทำดีให้เท่าเขาให้ได้ก่อน โลกนี้คงไม่ต้องมีการวิจารณ์กันเช่นกัน การวิจารณ์นักฟุตบอลระดับพรีเมียร์ลีกสักคนหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องเตะบอลให้เก่งระดับพรีเมียร์ลีก แต่การวิจารณ์เหล่านั้นมันจะอยู่บนมาตรฐานหรือสิ่งที่เราคาดหวังว่านักฟุตบอลระดับนั้นน่าจะทำได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือคนที่ประเมินการสอนของอาจารย์ก็คือนักเรียน ถ้าอาจารย์คิดว่านักเรียนพวกนี้เป็นใครถึงมาวิจารณ์เรา มาสอนเองจะสอนได้ไหม มีความรู้เท่าเราไหม ก็คงไม่ต้องมีการประเมิน แต่ถ้าคิดว่าเขาประเมินเราด้วยระดับมาตรฐานที่เขาคิดว่าเราน่าจะทำได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่เราควรจะต้องรับฟัง การวิจารณ์นักการเมือง ทหาร หัวหน้าคสช. หรือผู้บริหารบ้านเมือง โดยประชาชนก็เช่นกัน

อีกอย่างคงต้องแยกการวิจารณ์ออกจากการติเตียน (ด่า) ด้วย เพราะบางคนก็ขอให้ได้แย้ง ขอด่าเอามัน แต่การวิจารณ์ที่ดีก็คือการติเพื่อก่อ ชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง และอาจจะเสนอทางแก้ด้วยหรือไม่ก็ได้ ถ้าเสนอได้ก็ดีมาก จริง ๆ การวิจารณ์บางอย่างมันก็บอกทางแก้อยู่ในตัวแล้ว เช่นถ้าบอกว่าแบบฟอร์มมันไม่เหมาะสม มีส่วนที่ให้ป้อนข้อมูลมากเกินไป ตรงนี้ตรงนั้นไม่น่ามี หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง วิจารณ์ว่าทำไมไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง จะได้ไม่ต้องทำเรื่องขยายเวลาการทำงานพรรคการเมืองออกไป นั่นก็เสนอทางแก้ปัญหาแล้ว แต่ถ้าเสนอไม่ได้ เพราะปัญหาบางอย่างมันอาจเกินความสามารถของคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความรู้ในเรื่องนั้นจะแก้ปัญหาได้ เพียงแต่เขาเห็นว่ามันเป็นปัญหา ก็เป็นหน้าที่ของผู้รับผิดชอบที่จะต้องรับฟังและหาทางแก้ หรือไม่ก็ชี้แจง แทนที่จะมาทำฟาดงวงฟาดงาหาว่าบิดเบือน หรือฟ้องเขาบ้าง อย่างที่คนบางคนชอบทำอยู่ในทุกวันนี้

การวิจารณ์อย่างเสรีและสร้างสรรค์เป็นปัจจัยหนึ่งของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสมควรจะเริ่มได้คืนมาก่อนที่เราจะได้เลือกตั้งกันนะ เอ๊ะผมพูดอะไรนี่ พวกเพลงดาบแม่น้ำห้าสายเขาประสานงานกันอย่างเป็นระบบที่จะทำให้การเลือกตั้งมันเลื่อนออกไปเรื่อย ๆ ดาบนี้ชง ดาบนี้รับลูก คนหนึ่งไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง อีกคนทำเรื่องขยายเวลาอ้างความหวังดีกลัวพรรคการเมืองทำงานไม่ทัน ช่างเป็นกระบวนท่าที่สวยงามจริง ๆ อ้าวทำไมวกมาเรื่องนี้ล่ะนี่ พอก่อนแล้วกันนะครับ เดี๋ยวบล็อกจะปลิวไปซะ บล็อกต่อไปเขียนเรื่องเมย์-เจ ชวัญ-กอล์ฟท่านลอร์ด อะไรแบบนี้น่าจะถูกใจผู้มีอำนาจมากกว่า...



วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ดราม่าสาวเสื่้อลายดอกกับงานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวง ร.9

วันที่ 26 ตุลาคม 2560 คงเป็นวันที่คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศนี้ต้องจดจำกันไปตลอดชีวิต คนไทยประมาณกว่า 19 ล้านคนในประเทศ  พร้อมใจกันออกไปร่วมวางดอกไม้จันทน์ คนไทยอีกหลายแสนหรืออาจะล้านคนไปทำงานเป็นจิตอาสาเพื่อถวายงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย และพร้อมใจกัน ถึงแม้อาจจะมีปัญหาบ้างผมเชื่อว่าทุกคนก็พร้อมที่จะอภัยให้กัน และรักสามัคคีกันเพื่อพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

ชุมชนชาวไทยในต่างประเทศก็มีการจัดพิธีขึ้นเช่นเดียวกับในประเทศไทย และก็เกิดดราม่าขึ้นที่อเมริกาครับ เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวแบบในคลิปนี้และก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธี


ใครที่ยังไม่ได้ดูก็ขอให้ดูก่อนนะครับว่าผู้หญิงคนนี้แต่งตัวยังไง และมีคนได้เสนอว่าจะให้ยืมเสื้อคลุมเพื่อให้เธอเข้าร่วมพิธีแต่เธอปฏิเสธ และสุดท้ายก็ถูกโห่ไล่ออกไป มีคนไปขุดคุ้ยว่าเธอเป็นเสื้อแดง แต่ผมว่าสีเสื้อไม่เกี่ยวกับประเด็นนี้ คนเสื้อสีอะไรก็เคารพหรือไม่เคารพในหลวงได้

จากนั้นสามีของเธอซึ่งเป็นนักข่าวที่มีชื่อเสียงได้รับเสนอชื่อเข้าชิงพูลิตเซอร์ถึงสองครั้ง ก็ได้ไปเขียนบทความนี้ครับ

https://timesofsandiego.com/opinion/2017/10/27/opinion-an-innocent-color-choice-brings-out-intolerance-in-thai-community/

เรียกชุมชนคนไทยในอเมริกาว่าเป็นนาซี บอกว่าเขาและภรรยาต้องการไปถวายอาลัยในหลวงร.9 เหมือนคนอื่น แต่กลับได้รับความเกลียดชัง บอกว่าภรรยาเขาชื่อ Rose ก็เลยชอบสีแดง และคนไทยไม่ชอบสีแดงเพราะพวกเสื่อแดงถูกมองว่าเป็นพวกไม่ดี และในบทความก็มีคำพูดซึ่งไม่เห็นอยู่ในวีดีโอนี้มากมายเช่น มีคนเรียกเธอว่ากะหรี่ หรือถามเธอว่ามาจากไหน เธอตอบว่ามาจากอเมริกา และมีคนบอกเธอว่านี่คือประเทศไทย  ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงนะครับ และก็ยังบอกว่ามีคนไปขู่เขาและภรรยามากมายทั้งในทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก จนเขาต้องแจ้งความ ซึ่งถ้าอันนี้จริงก็ถือว่าไม่ถูกต้องนะครับ

ผมจะไม่โฟกัสที่ประเด็นอื่น แต่ผมจะโฟกัสที่การแต่งตัวแล้วกันผมเชื่อว่าต่อให้ประเทศที่บอกว่ามีเสรีภาพมาก ๆ อย่างอเมริกา เขาก็มีมารยาทสังคม มีกฏการแต่งกายให้เหมาะสมกับงานต่าง ๆ งานศพเขาก็แต่งขาวดำ (อันนี้ดูจากหนัง) หรือจากประสบการณ์ที่ได้ไปเรียนมาก็เห็นว่าเวลาเรียนเขาอาจแต่งตัวตามสบาย หน้าร้อนบางคนอาจใส่ขาสั้นมาเรียน แต่พอถึงเวลาต้องนำเสนอหน้าชั้นเขาก็แต่งตัวสุภาพกัน มันเป็นการให้เกียรติคนฟังด้วย

วันนี้ผมได้ไลน์จากเพื่อนบอกว่ามีชาวต่างชาติคนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยกับบทความนี้ และได้เขียนคอมเมนต์กลับไป (ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่ได้เห็นคอมเมนต์ตัวจริงนะครับ ดังนั้นจริง ๆ อาจเป็นใครเขียนก็ได้) ผมเห็นว่าเขาเขียนได้ดี มีการด่าแบบสุภาพแต่น่าจะเจ็บไปถึงใจคนอ่าน ก็เลยอยากยกมาให้อ่านกัน ซึ่งเขาคอมเมนต์ไว้ดังนี้ครับ

If you travel to Thailand a lot, then you know that Thais are one of the most tolerant and friendliest people on earth. Every place has " a dress code" even when you want to eat at the restaurant. If you do not follow "the dress code", you will be asked to leave. It's simple.
"Your wife is a Thai and she is not a young teenager who knows little about social etiquette. She knows very well what the dress code for the King's funeral is. Hence, when she turned up dressing like going to a horse racing club, it points out to her only intention - to cause a disruption".
You are a respectable journalist who has a Thai wife and been to Thailand. So, you must have known that during the time of the king's passing, every Thais -red, yellow, multi colour or neutral "set their differences aside" and mourn their beloved king. Everyone dresses appropriately and respectfully. In the clip, your wife was offered a jacket to cover herself so she can still attend the funeral. She refused. Instead, she kept on arguing with the volunteer. Where's the manner?

I am disappointed in your wife for making Thais in America society a bad name. "Living in a free country does not mean you can do whatever you like. Freedom comes with duty, responsibility and more importantly respect for others." Your wife exercised her rights to dress as she pleases. The Thai community also has the rights to ask her to leave when she disrespected them. Nothing to compare to the Nazi here. It is shocking to find the article written by a professional journalist like yourself to be so bias, dramatize and profoundly unethical. Your wife is NOT a victim here. The Thais in America society that you unfairly branded a 'Nazi' is. I see no hope in winning a Pulitzer award for you. However, an Oscar for screenwriting is hopeful.

ถ้าใครขี้เกียจแปล ผมขอแปลด้วยภาษาอังกฤษงู ๆ ปลา ๆ ของผมดังนี้ครับ

ถ้าคุณไปประเทศไทยมาหลายครั้งแล้ว คุณก็จะรู้ว่าคนไทยเป็นชนชาติที่มีความอดกลั้นและเป็นมิตรมากที่สุดชนชาติหนึ่งแล้วในโลกใบนี้ ทุก ๆ ที่ต่างมี "กฎการแต่งตัว" แม้แต่เวลาที่คุณจะไปกินข้าวตามร้านบางร้าน ถ้าคุณไม่ทำตาม "กฎการแต่งตัว" ของเขาคุณก็จะถูกเชิญให้ออกจากร้าน มันเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง "ภรรยาของคุณเป็นคนไทยและก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่รู้มารยาททางสังคม เธอรู้ดีว่ากฎการแต่งตัวเพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นอย่างไร ดังนั้นเมื่อเธอแต่งตัวราวกับว่าจะไปสโมสรม้าแข่ง มันก็ทำให้เห็นได้ชัดเจนถึงความตั้งใจเพียงอย่างเดียวของเธอนั่นคือไปป่วนงาน" คุณเป็นนักสื่อสารมวลชนที่ได้รับความเคารพและมีภรรยาเป็นคนไทย คุณก็ต้องรู้แล้วว่าในช่วงเวลาของการสวรรคตของพระมหากษัตริย์ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะแดง เหลือง หลากสี หรือไม่เป็นพวกไหนเลย พวกเขาได้วางความแตกต่างเหล่านี้ลง และร่วมกันถวายความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา ทุกคนแต่งตัวอย่างเหมาะสมและเต็มไปด้วยความเคารพ ในคลิปมีคนเสนอให้ยืมเสื้อคลุมแก่ภรรยาของคุณเพื่อที่เธอจะได้เข้าร่วมในพิธีได้ แต่เธอปฏิเสธ และยังคงต่อว่าจิตอาสาต่อไป มารยาทมันหายไปไหนหมดล่ะนี่ ผม(ฉัน)ยังผิดหวังที่ภรรยาของคุณทำให้สังคมคนไทยในอเมริกาต้องเสียชื่อไปด้วย "การอาศัยอยู่ในประเทศเสรีไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ เสรีภาพต้องมาพร้อมกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญที่สุดคือความเคารพคนอื่น"  ภรรยาของคุณแสดงสิทธิของเธอในการจะแต่งตัวอย่างที่เธอต้องการ ชุมชนไทยก็มีสิทธิที่จะขอให้เธอออกไปเมื่อเธอไม่แสดงความเคารพต่อพวกเขา ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนาซีเลยสักนิด มันน่าตกใจมากที่ได้พบว่าบทความที่เขียนโดยนักสื่อสารมวลชนมืออาชีพอย่างคุณ จะเต็มไปด้วยความอคติ ดราม่า และไม่มีจรรยาบรรณเอาเสียเลย ภรรยาคุณไม่ใช่เหยื่อในเรื่องนี้หรอก แต่เป็นคนไทยในอเมริกาต่างหากที่ถูกคุณตีตราด้วยคำว่า "นาซี" อย่างไม่เป็นธรรม ผม(ฉัน)ไม่เห็นว่าคุุณจะมีทางได้รับรางวัลพูลิทเซอร์หรอกนะ แต่ถ้าเป็นรางวัลออสการ์ด้านบทภาพยนต์ยอดเยี่ยมอันนั้นอาจจะพอหวังได้ 

ผมจะขอยกส่วนที่ผมชอบใจมานะครับ 

Every place has " a dress code" even when you want to eat at the restaurant. If you do not follow "the dress code", you will be asked to leave. It's simple.

ทุก ๆ ที่ต่างมี "กฎการแต่งตัว" แม้แต่เวลาที่คุณจะไปกินข้าวตามร้านบางร้าน ถ้าคุณไม่ทำตาม "กฎการแต่งตัว" ของเขาคุณก็จะถูกเชิญให้ออกจากร้าน มันเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง 

สรุปง่าย ๆ คือภรรยาคุณไม่รู้จักกาลเทศะ

Your wife is a Thai and she is not a young teenager who knows little about social etiquette
ภรรยาของคุณเป็นคนไทยและก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่รู้มารยาททางสังคม

สรุปคือภรรยาคุณแก่แล้ว และกำลังทำตัวเป็นมนุษย์ป้า

So, you must have known that during the time of the king's passing, every Thais -red, yellow, multi colour or neutral "set their differences aside" and mourn their beloved king.

คุณก็ต้องรู้แล้วว่าในช่วงเวลาของการสวรรคตของพระมหากษัตริย์ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะแดง เหลือง หลากสี หรือไม่เป็นพวกไหนเลย พวกเขาได้วางความแตกต่างเหล่านี้ลง และร่วมกันถวายความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา 

ถูกต้องครับคนไทยไม่ว่าสีไหนหรือไม่มีสีส่วนใหญ่รักในหลวง ร.9 ครับ ดังนั้นสีเสื้อไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้

"Living in a free country does not mean you can do whatever you like. Freedom comes with duty, responsibility and more importantly respect for others."
"การอาศัยอยู่ในประเทศเสรีไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ เสรีภาพต้องมาพร้อมกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญที่สุดคือความเคารพคนอื่น"

อันนี้ชัดมากครับ ดังนั้นใครที่ชอบอ้างแต่สิทธิและเสรีภาพช่วยอ่านและคิดตามนะครับ

และที่ผมอ่านแล้วชอบมากคืออันนี้ครับ (ย้ำอีกรอบนะครับสามีผู้หญิงคนนี้ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงพูลิตเซอร์สองครั้ง)

I see no hope in winning a Pulitzer award for you. However, an Oscar for screenwriting is hopeful.
ผม(ฉัน)ไม่เห็นว่าคุุณจะมีทางได้รับรางวัลพูลิทเซอร์หรอกนะ แต่ถ้าเป็นรางวัลออสการ์ด้านบทภาพยนต์ยอดเยี่ยมอันนั้นอาจจะพอหวังได้ 

แสบเข้าไปถึงทรวงไหมครับ จากวีดีโอกับบทความที่เขียนมันคนละเรื่องกันเลย ดังนั้นไปเปลี่ยนไปเขียนบทภาพยนตร์ อาจจะประสบความสำเร็จมากกว่านะครับ...