วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ดราม่าสาวเสื่้อลายดอกกับงานพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวง ร.9

วันที่ 26 ตุลาคม 2560 คงเป็นวันที่คนไทยส่วนใหญ่ในประเทศนี้ต้องจดจำกันไปตลอดชีวิต คนไทยประมาณกว่า 19 ล้านคนในประเทศ  พร้อมใจกันออกไปร่วมวางดอกไม้จันทน์ คนไทยอีกหลายแสนหรืออาจะล้านคนไปทำงานเป็นจิตอาสาเพื่อถวายงานของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งบรรยากาศก็เป็นไปด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย และพร้อมใจกัน ถึงแม้อาจจะมีปัญหาบ้างผมเชื่อว่าทุกคนก็พร้อมที่จะอภัยให้กัน และรักสามัคคีกันเพื่อพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

ชุมชนชาวไทยในต่างประเทศก็มีการจัดพิธีขึ้นเช่นเดียวกับในประเทศไทย และก็เกิดดราม่าขึ้นที่อเมริกาครับ เมื่อมีผู้หญิงคนหนึ่งแต่งตัวแบบในคลิปนี้และก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธี


ใครที่ยังไม่ได้ดูก็ขอให้ดูก่อนนะครับว่าผู้หญิงคนนี้แต่งตัวยังไง และมีคนได้เสนอว่าจะให้ยืมเสื้อคลุมเพื่อให้เธอเข้าร่วมพิธีแต่เธอปฏิเสธ และสุดท้ายก็ถูกโห่ไล่ออกไป มีคนไปขุดคุ้ยว่าเธอเป็นเสื้อแดง แต่ผมว่าสีเสื้อไม่เกี่ยวกับประเด็นนี้ คนเสื้อสีอะไรก็เคารพหรือไม่เคารพในหลวงได้

จากนั้นสามีของเธอซึ่งเป็นนักข่าวที่มีชื่อเสียงได้รับเสนอชื่อเข้าชิงพูลิตเซอร์ถึงสองครั้ง ก็ได้ไปเขียนบทความนี้ครับ

https://timesofsandiego.com/opinion/2017/10/27/opinion-an-innocent-color-choice-brings-out-intolerance-in-thai-community/

เรียกชุมชนคนไทยในอเมริกาว่าเป็นนาซี บอกว่าเขาและภรรยาต้องการไปถวายอาลัยในหลวงร.9 เหมือนคนอื่น แต่กลับได้รับความเกลียดชัง บอกว่าภรรยาเขาชื่อ Rose ก็เลยชอบสีแดง และคนไทยไม่ชอบสีแดงเพราะพวกเสื่อแดงถูกมองว่าเป็นพวกไม่ดี และในบทความก็มีคำพูดซึ่งไม่เห็นอยู่ในวีดีโอนี้มากมายเช่น มีคนเรียกเธอว่ากะหรี่ หรือถามเธอว่ามาจากไหน เธอตอบว่ามาจากอเมริกา และมีคนบอกเธอว่านี่คือประเทศไทย  ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงนะครับ และก็ยังบอกว่ามีคนไปขู่เขาและภรรยามากมายทั้งในทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก จนเขาต้องแจ้งความ ซึ่งถ้าอันนี้จริงก็ถือว่าไม่ถูกต้องนะครับ

ผมจะไม่โฟกัสที่ประเด็นอื่น แต่ผมจะโฟกัสที่การแต่งตัวแล้วกันผมเชื่อว่าต่อให้ประเทศที่บอกว่ามีเสรีภาพมาก ๆ อย่างอเมริกา เขาก็มีมารยาทสังคม มีกฏการแต่งกายให้เหมาะสมกับงานต่าง ๆ งานศพเขาก็แต่งขาวดำ (อันนี้ดูจากหนัง) หรือจากประสบการณ์ที่ได้ไปเรียนมาก็เห็นว่าเวลาเรียนเขาอาจแต่งตัวตามสบาย หน้าร้อนบางคนอาจใส่ขาสั้นมาเรียน แต่พอถึงเวลาต้องนำเสนอหน้าชั้นเขาก็แต่งตัวสุภาพกัน มันเป็นการให้เกียรติคนฟังด้วย

วันนี้ผมได้ไลน์จากเพื่อนบอกว่ามีชาวต่างชาติคนหนึ่งก็ไม่เห็นด้วยกับบทความนี้ และได้เขียนคอมเมนต์กลับไป (ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่ได้เห็นคอมเมนต์ตัวจริงนะครับ ดังนั้นจริง ๆ อาจเป็นใครเขียนก็ได้) ผมเห็นว่าเขาเขียนได้ดี มีการด่าแบบสุภาพแต่น่าจะเจ็บไปถึงใจคนอ่าน ก็เลยอยากยกมาให้อ่านกัน ซึ่งเขาคอมเมนต์ไว้ดังนี้ครับ

If you travel to Thailand a lot, then you know that Thais are one of the most tolerant and friendliest people on earth. Every place has " a dress code" even when you want to eat at the restaurant. If you do not follow "the dress code", you will be asked to leave. It's simple.
"Your wife is a Thai and she is not a young teenager who knows little about social etiquette. She knows very well what the dress code for the King's funeral is. Hence, when she turned up dressing like going to a horse racing club, it points out to her only intention - to cause a disruption".
You are a respectable journalist who has a Thai wife and been to Thailand. So, you must have known that during the time of the king's passing, every Thais -red, yellow, multi colour or neutral "set their differences aside" and mourn their beloved king. Everyone dresses appropriately and respectfully. In the clip, your wife was offered a jacket to cover herself so she can still attend the funeral. She refused. Instead, she kept on arguing with the volunteer. Where's the manner?

I am disappointed in your wife for making Thais in America society a bad name. "Living in a free country does not mean you can do whatever you like. Freedom comes with duty, responsibility and more importantly respect for others." Your wife exercised her rights to dress as she pleases. The Thai community also has the rights to ask her to leave when she disrespected them. Nothing to compare to the Nazi here. It is shocking to find the article written by a professional journalist like yourself to be so bias, dramatize and profoundly unethical. Your wife is NOT a victim here. The Thais in America society that you unfairly branded a 'Nazi' is. I see no hope in winning a Pulitzer award for you. However, an Oscar for screenwriting is hopeful.

ถ้าใครขี้เกียจแปล ผมขอแปลด้วยภาษาอังกฤษงู ๆ ปลา ๆ ของผมดังนี้ครับ

ถ้าคุณไปประเทศไทยมาหลายครั้งแล้ว คุณก็จะรู้ว่าคนไทยเป็นชนชาติที่มีความอดกลั้นและเป็นมิตรมากที่สุดชนชาติหนึ่งแล้วในโลกใบนี้ ทุก ๆ ที่ต่างมี "กฎการแต่งตัว" แม้แต่เวลาที่คุณจะไปกินข้าวตามร้านบางร้าน ถ้าคุณไม่ทำตาม "กฎการแต่งตัว" ของเขาคุณก็จะถูกเชิญให้ออกจากร้าน มันเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง "ภรรยาของคุณเป็นคนไทยและก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่รู้มารยาททางสังคม เธอรู้ดีว่ากฎการแต่งตัวเพื่อเข้าร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นอย่างไร ดังนั้นเมื่อเธอแต่งตัวราวกับว่าจะไปสโมสรม้าแข่ง มันก็ทำให้เห็นได้ชัดเจนถึงความตั้งใจเพียงอย่างเดียวของเธอนั่นคือไปป่วนงาน" คุณเป็นนักสื่อสารมวลชนที่ได้รับความเคารพและมีภรรยาเป็นคนไทย คุณก็ต้องรู้แล้วว่าในช่วงเวลาของการสวรรคตของพระมหากษัตริย์ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะแดง เหลือง หลากสี หรือไม่เป็นพวกไหนเลย พวกเขาได้วางความแตกต่างเหล่านี้ลง และร่วมกันถวายความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา ทุกคนแต่งตัวอย่างเหมาะสมและเต็มไปด้วยความเคารพ ในคลิปมีคนเสนอให้ยืมเสื้อคลุมแก่ภรรยาของคุณเพื่อที่เธอจะได้เข้าร่วมในพิธีได้ แต่เธอปฏิเสธ และยังคงต่อว่าจิตอาสาต่อไป มารยาทมันหายไปไหนหมดล่ะนี่ ผม(ฉัน)ยังผิดหวังที่ภรรยาของคุณทำให้สังคมคนไทยในอเมริกาต้องเสียชื่อไปด้วย "การอาศัยอยู่ในประเทศเสรีไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ เสรีภาพต้องมาพร้อมกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญที่สุดคือความเคารพคนอื่น"  ภรรยาของคุณแสดงสิทธิของเธอในการจะแต่งตัวอย่างที่เธอต้องการ ชุมชนไทยก็มีสิทธิที่จะขอให้เธอออกไปเมื่อเธอไม่แสดงความเคารพต่อพวกเขา ไม่มีอะไรเกี่ยวกับนาซีเลยสักนิด มันน่าตกใจมากที่ได้พบว่าบทความที่เขียนโดยนักสื่อสารมวลชนมืออาชีพอย่างคุณ จะเต็มไปด้วยความอคติ ดราม่า และไม่มีจรรยาบรรณเอาเสียเลย ภรรยาคุณไม่ใช่เหยื่อในเรื่องนี้หรอก แต่เป็นคนไทยในอเมริกาต่างหากที่ถูกคุณตีตราด้วยคำว่า "นาซี" อย่างไม่เป็นธรรม ผม(ฉัน)ไม่เห็นว่าคุุณจะมีทางได้รับรางวัลพูลิทเซอร์หรอกนะ แต่ถ้าเป็นรางวัลออสการ์ด้านบทภาพยนต์ยอดเยี่ยมอันนั้นอาจจะพอหวังได้ 

ผมจะขอยกส่วนที่ผมชอบใจมานะครับ 

Every place has " a dress code" even when you want to eat at the restaurant. If you do not follow "the dress code", you will be asked to leave. It's simple.

ทุก ๆ ที่ต่างมี "กฎการแต่งตัว" แม้แต่เวลาที่คุณจะไปกินข้าวตามร้านบางร้าน ถ้าคุณไม่ทำตาม "กฎการแต่งตัว" ของเขาคุณก็จะถูกเชิญให้ออกจากร้าน มันเป็นเรื่องง่าย ๆ แค่นี้เอง 

สรุปง่าย ๆ คือภรรยาคุณไม่รู้จักกาลเทศะ

Your wife is a Thai and she is not a young teenager who knows little about social etiquette
ภรรยาของคุณเป็นคนไทยและก็ไม่ใช่วัยรุ่นที่ไม่รู้มารยาททางสังคม

สรุปคือภรรยาคุณแก่แล้ว และกำลังทำตัวเป็นมนุษย์ป้า

So, you must have known that during the time of the king's passing, every Thais -red, yellow, multi colour or neutral "set their differences aside" and mourn their beloved king.

คุณก็ต้องรู้แล้วว่าในช่วงเวลาของการสวรรคตของพระมหากษัตริย์ คนไทยทุกคนไม่ว่าจะแดง เหลือง หลากสี หรือไม่เป็นพวกไหนเลย พวกเขาได้วางความแตกต่างเหล่านี้ลง และร่วมกันถวายความอาลัยแด่พระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขา 

ถูกต้องครับคนไทยไม่ว่าสีไหนหรือไม่มีสีส่วนใหญ่รักในหลวง ร.9 ครับ ดังนั้นสีเสื้อไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้

"Living in a free country does not mean you can do whatever you like. Freedom comes with duty, responsibility and more importantly respect for others."
"การอาศัยอยู่ในประเทศเสรีไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ เสรีภาพต้องมาพร้อมกับหน้าที่ ความรับผิดชอบ และที่สำคัญที่สุดคือความเคารพคนอื่น"

อันนี้ชัดมากครับ ดังนั้นใครที่ชอบอ้างแต่สิทธิและเสรีภาพช่วยอ่านและคิดตามนะครับ

และที่ผมอ่านแล้วชอบมากคืออันนี้ครับ (ย้ำอีกรอบนะครับสามีผู้หญิงคนนี้ได้รับเสนอชื่อเข้าชิงพูลิตเซอร์สองครั้ง)

I see no hope in winning a Pulitzer award for you. However, an Oscar for screenwriting is hopeful.
ผม(ฉัน)ไม่เห็นว่าคุุณจะมีทางได้รับรางวัลพูลิทเซอร์หรอกนะ แต่ถ้าเป็นรางวัลออสการ์ด้านบทภาพยนต์ยอดเยี่ยมอันนั้นอาจจะพอหวังได้ 

แสบเข้าไปถึงทรวงไหมครับ จากวีดีโอกับบทความที่เขียนมันคนละเรื่องกันเลย ดังนั้นไปเปลี่ยนไปเขียนบทภาพยนตร์ อาจจะประสบความสำเร็จมากกว่านะครับ...

วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

9 ชั่วโมงกับการอัปเดต Windows 10

นึกว่าจะมีเวลาว่างเขียนบล็อกให้มากขึ้น สรุปว่าก็ไม่ว่างอยู่ดี แต่วันนี้มีเรื่องอยากเล่าให้ฟังมาก ๆ ครับ ก็เลยหาเวลามาเขียนซะหน่อย อยากมาเล่าประสบการณ์การใช้ Windows 10 ให้ฟังกัน เพราะผมว่าคนที่ใช้ Windows 10 อยู่อาจเจออะไรแบบผมเข้าสักวันหนึ่งถ้าไมโครซอฟท์ไม่แก้ไข หรือใครอาจเจอไปแล้วก็ได้นะครับ ปัญหานั้นคือปัญหาการอัปเดต Windows ครับ ซึ่งล่าสุดการอัปเดต Windows บนเครื่องผมใช้เวลารวม ๆ ประมาณ 9 ชั่วโมง มาดูกันครับว่าเป็นยังไง

คนที่ใช้ Windows 10 (ไม่เถื่อน) ก็คงได้รับการอัพเดตจากไมโครซอฟท์อยู่เป็นระยะกันใช่ไหมครับ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องดีนะครับ แล้วมันกลายเป็นปัญหาได้ยังไง ปัญหามันอยู่ที่ว่าในบางครั้งการอัปเดตมันนานมาก บางครั้งนานเป็นหลักชั่วโมง และยกเลิกไม่ได้ และมันก็เตือนว่าอย่าปิดเครื่องนะ และบางครั้งการอัปเดตมันก็เกิดขึ้นอัตโนมัติตอนเราเปิดเครื่องขึ้นมา  ลองนึกดูนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าตอนนั้นเราต้องรีบใช้เครื่อง พูดถึงปิดเครื่องตอนมันอัปเดตไม่เสร็จ จริง ๆ ผมก็อยากลองปิดหลายครั้งนะ ดูสิว่ามันจะเป็นยังไง แต่นึกอีกทีถ้ามันเจ๊งไป ต้องมาลง Windows ใหม่ ลงโปรแกรมกันใหม่ก็เลยไม่ปิด

จริง ๆ ผมเคยเจอปัญหาอัปเดตที่ใช้เวลานานมากมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเวลาน่าจะเกือบปีมาแล้ว ครั้งนั้นก็ตั้งใจว่าจะมาเขียนบล็อกเล่าให้ฟัง แต่ไม่มีเวลาก็เลยไม่ได้เขียน งั้นตอนนี้ก็ขอเล่าเลยแล้วกันนะครับ วันนั้นจำได้ว่าไปหาแม่ที่บ้านแม่ เปิดเครื่องทำงานไปคุยกับแม่ไป จนรู้สึกว่าบางโปรแกรมมันเอ๋อ ๆ ก็เลยว่าจะ restart เครื่องสักรอบหนึ่ง ก็เจอเมนู update and shutdown กับ update and restart มีให้เลือกแค่นี้ ก็เลยเลือก update and restart ได้เรื่องเลยครับ แรก ๆ มันก็อัพเดตดี แต่สักพักมันก็ไปติอยู่ที่ประมาณ 30% ผมนั่งคุยกับแม่ไปเรื่อย ๆ ดูหน้าจอไปเรื่อย ๆ มันก็ไม่ขยับ จนผมเกือบตัดสินใจปิดเครื่องแล้ว แต่ก็กลัวต้องไปลง Windows ใหม่ ก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาค้น Google ดู ก็เจอเลยครับ มีคนนึงเจอปัญหาเดียวกันเลย ติดอยู่ประมาณ 30% และเขาบอกว่าหลังจากสามชั่วโมงมันจะเดินหน้าต่อไปเอง ผมก็คิดในใจว่าเฮ้ยจริงหรือ แต่ก็ตัดสินใจลอง ผมก็เสียบชาร์จแบตเครื่องเลย แล้วก็ปล่อยให้มันทำงานไป แล้วก็นั่งคุยกับแม่ไป จนถึงเวลาจะกลับบ้านมันก็ยังอยู่ที่ 30% ก็เอาเครื่องขึ้นรถมาโดยไม่ได้ปิด จนมาถึงบ้าน ซึ่งนับจากเริ่มอัพเดตจนถึงบ้านประมาณสามชั่วโมง เปิดหน้าจอมาดู โอ้ว มันขยับเดินหน้าจริง ๆ ครับ จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสักสองชั่วโมงมันก็ดูเหมือนอัพเดตเสร็จครับ ผมก็ shutdown เครื่อง แล้วก็นอน สรุปวันนั้นเลยไม่ได้ทำงานอะไรต่อ ให้มันอัพเดตไปอย่างเดียว แต่รู้อะไรไหมครับ ตอนเช้าพอผมเปิดเครื่องขึ้นมาจะทำงาน มันอัพเดตต่อครับ และใช้เวลาอีกพอสมควรถึงแม้ไม่ใช่หลักชั่วโมง ก็เป็นหลักสิบกว่านาที โชคดีที่วันนั้นผมไม่มีสอน ลองคิดดูถ้ามีสอนไปเปิดเครื่องในห้อง แล้วก็ต้องภาวนาให้มันอัพเดตเสร็จให้ร็วที่สุด

จากประสบการณ์ครั้งนั้น ผมก็ไม่ค่อยเจอเหตุการณ์อัพเดตที่เลวร้ายแบบนั้นอีก นานสุดก็สักครึ่งชั่วโมง แต่ก็ยังอ่านเห็นคนด่าการอัปเดต Windows อยู่เนือง ๆ  และผมก็ยังได้เรียนรู้ว่า การ update and shutdown ไม่ได้หมายความว่ามันจะอัพเดตให้เสร็จแล้วค่อยชัตดาวน์ แต่มันจะอัพเดตบางส่วนแล้วชัตดาวน์ จากนั้นพอเปิดเครื่องมันก็จะอัพเดตต่อ (ลูกศิษย์ผมมาให้ข้อมูลวันนี้ว่า มันจะอัพเดตก่อนชัตดาวน์ไป 30% จากนั้นที่เหลืออีก 70% มันจะทำเมื่อเราเปิดเครื่อง) โอ้วแม่เจ้า คนไมโครซอฟท์เอาอะไรคิด เวลาคนเขาสั่งชัตดาวน์ มันก็หมายความว่าเขาอาจจะไม่ใช้เครื่องไปสักช่วงหนึ่ง ทำไมมันไม่ทำให้เสร็จหรือทำสัก 80% ก็ยังดี แต่มันดันมาทำงานส่วนใหญ่ตอนเขาเปิดเครื่อง ซึ่งเป็นเวลาที่เขาต้องการใช้เครื่องมากที่สุด

คราวนี้มาถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ผมเจอเมื่อคืนนี้ ผมเอาเครื่องมาเปิดแล้วก็เช็คว่าสิ่งที่ผมจะต้องสอนเช้าวันนี้เรียบร้อยดีไหม จนถึงเวลาสัก 23.30 ผมก็ว่าจะนอนแล้วก็จะชัตดาวน์เครื่อง ก็เจออีกแล้ว update and shutdown กับ update and restart จากประสบการณ์ก็เลือก update and restart มันจะได้เสร็จ ๆ ไป เสร็จแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำแปรงฟัน กลับมาดูมันมันอยู่ที่ 12% ก็เฮ้ยทำไมมันได้แค่นี้ ก็เลยทำโน่นทำนี่ไปอีกแป๊ปหนึ่ง แล้วมาดูใหม่มันก็ยัง 12% คิดในใจว่าเอาอีกแล้วเหรอ ก็เลยตัดสินใจนอน ปล่อยให้มันทำไป ตอนเช้าค่อยลุกมาปิดเครื่องแล้วเอาไปสอนเลย  6.00 เช้าวันนี้ตื่นมาเห็นจอมันดับไปแล้วก็นึกว่าเสร็จแล้ว ก็ไปเข้าห้องน้ำอาบน้ำล้างหน้าล้างตา กลับมาที่เครื่องเอามือแตะคีย์บอร์ด จอมันติดครับพร้อมทั้งตัวเลข 37% ผมใจหายวาบ ซวยแล้วตู ทำไงดี  ก็เลยตัดสินใจว่าสงสัยต้องเอาเครื่องสำรองมาใช้ ก็ไปหยิบมาขณะหยิบเครื่องมาก็คิดในใจว่าเราไม่ได้เปิดเครื่องนี้มาหลายวันแล้ว หวังว่าเปิดมามันจะไม่อัพเดตอะไรอีกนะ พอเปิดเครื่องสำรองมาปุ๊ปมันอัพเดตปั๊ปครับ ผมคิดเออมันจะซวยอะไรแบบนี่้นี่ แต่โชคดีมันอัปเดตไม่นานครับ ผมก็เลยนั่งเตรียมสิ่งที่จะสอนไป ตาก็คอยมองเครื่องหลักที่อัปเดตตั้งแต่เมื่อคืนไป ซึ่งคราวนี้มันเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ครับ พอผมเซ็ตเครื่องสำรองเสร็จมันก็ขึ้น 100% แล้วก็รีสตาร์ต ผมก็โอเค ถึงจะต้องเสียเวลามาเซ็ตอีกเครื่อง แต่ก็เท่ากับเรามีข้อมูลอัพเดตเอาไปสอนได้ทั้งสองเครื่อง แต่เชื่อไหมครับ พอมันติดขึ้นมามันอัพเดตต่อครับ เริ่มจาก 0 ใหม่ ผมก็กะว่าไม่เอาแล้วไปแล้วทิ้งไอ้เครื่องหลักนี่ไว้ที่บ้านแล้วกัน ก็ไปแต่งตัวสักใกล้ ๆ 8.00 มันได้สัก 80% ผมก็เลยรอ ๆ มีสอน 9.00 บ้านอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานถ้าสัก 8.20 มันไม่เสร็จก็จะไปละ ปรากฏว่ามันเสร็จครับ ก็เลยได้เอาไปสอนรวมเวลาอัปเดตจาก 23.30 เมื่อคืน จน 8.20 วันนี้ เกือบ 9 ชั่วโมงนะครับ

จากที่ดู การอัพเดตนี้เป็นอัพเดตใหญ่ครับคือ Creator update ซึ่งเหมือนการลงวินโดวส์ใหม่ แต่ยังไงมันก็ไม่น่านานขนาดนี้ใช่ไหมครับ ติดตั้งวินโดวส์ใหม่ใช้เวลา 9 ขั่วโมงนี่อ่ะนะครับ จากที่วันนี้โพสต์บ่นในเฟซบุ๊กก็มีลูกศิษย์มาให้ข้อมูลว่าเจอนานเหมือนกัน (แต่จะเท่าผมหรือเปล่าไม่รู้นะ)  ถ้าเป็นฮาร์ดดิสก์จะนานมาก ถ้าเป็น SSD จะเร็วหน่อย เครื่องผม Surface Pro 3 Ram 8GB SSD 256  GB นะนี่ ยังนานขนาดนี้ ซึ่งลูกศิษย์บอกว่าถ้าฮาร์ดดิสก์บางทีเป็นวัน มันใช่หรือครับแบบนี้ ในเคสของผมโชคดีที่มีเครื่องสำรอง และบ้านกับที่ทำงานไม่ไกลกัน ลองคิดว่าถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้เครื่องแล้วเจอแบบนี้จะเป็นยังไง ลูกศิษย์ผมบางคนบอกว่าถ้าสั่งชัตดาวน์จากคอมมานด์ไลน์โดยใช้คำสั่ง shutdown -f -s -t 00 อาจจะข้ามการอัพเดตได้ แต่วิธีนี้มันก็ไม่ได้ช่วยผู้ใช้ปกตินะครับ และอย่างกรณีผมนี่ ผมไม่ได้ต้องการจะข้ามการอัพเดต ผมต้องการอัพเดต แต่ผมไม่คิดว่ามันจะอัพเดตจากห้าทุ่มกว่า ๆ จนถึงแปดโมงกว่า ๆ แบบนี้ 

นี่คือสิ่งที่ผมว่าไมโครซอฟท์จะต้องแก้ไขนะครับ เพราะมีเสียงบ่น และผู้ใช้ก็ประสบปัญหาเป็นจำนวนมาก การแก้อันหนึ่งที่ควรทำโดยด่วนก็คือให้มีเมนูข้ามการอัพเดตไปก่อน เมื่อผู้ใช้ยังไม่พร้อม ให้ผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป สามารถเลือกใช้ได้โดยง่าย อาจยกเว้นถ้ามันเป็นอัพเดตด้านความปลอดภัยที่สำคัญ และใช้เวลาไม่นานนัก จากนั้นในช่วงของการอัพเดตจะเป็นไปได้ไหมที่มีการกำหนด Synchronization point จุดปลอดภัยที่ผู้ใช้สามารถจะหยุดการอัพเดตที่มันใช้เวลานานไปไว้ก่อน เมื่อพร้อมก็กลับมาสั่งอัพเดตต่อจากจุดนั้น หรือถ้าจะไม่ทำอะไรเลย อย่างน้อยช่วยเปลี่ยนคำว่า it may take several minutes เป็น it may take several hours ซะเลยก็ดีนะครับ ผู้ใช้จะได้ทำใจไว้ก่อน...

 




วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560

เสร็จงานเอกสารเสียที

ไม่ได้เขียนบล็อกมานาน วันนี้ขอซะหน่อย เพราะในที่สุดก็ได้จบงานเอกสารสำหรับปีงบประมาณนี้เสียที และจะได้มุ่งหน้าเข้าสู่งานวิชาการไม่ว่าจะเตรียมสอน ทำตำรา เตรียมงานวิจัยของปีหน้า และก็หวังว่าจะมีเวลามาเขียนบล็อกได้มากขึ้นด้วย

งานสุดท้ายที่เพิ่งเสร็จไปก็คือป้อนภาระงานที่ตัวเองทำมาตลอดปีงบประมาณที่แล้วเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ท่านผู้บริหารได้ประเมินผลงาน ( เพื่อจะได้เงินเดือนเพิ่ม 55 นี่คือแรงจูงใจในการทำอันนี้)  หลังจากค่อย ๆ ทำมาสามวันแล้ว  จริง ๆ ต้องโทษตัวเองที่ไม่ค่อย ๆ ป้อนไว้ก่อนทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำ

ข้อดีของระบบนี้ก็คือได้รู้ว่าตลอดปีตัวเองทำอะไรไปบ้าง และก็ได้เห็นการคิดคะแนนที่ดูประหลาดดี เพิ่งสังเกต เพราะระบบนี้เพิ่งมีมาปีที่สอง  (ไม่ต้องถามนะว่าแล้วก่อนหน้าเขาประเมินการขึ้นเงินเดือนยังไง เพราะผมก็ไม่รู้ ก้มหน้าก้มตาทำงานไป เขาให้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น) ปีที่แล้วกรอกอย่างเดียวไม่ได้คิด ในปีนี้มาคิดดูก็เลยเห็นว่าตัวเองต้องอ่านพิจารณาผลงานที่เป็นภาษาต่างประเทศถึง 10 เรื่อง (ตัวเองอ่านไป 14 เรื่องเกิน :) )  หรือต้องอ่านพิจารณาผลงานภาษาไทยถึง 20 เรื่อง (อ่านไป 11 ไม่ถึง :(  ) จึงจะได้คะแนนเท่ากับกรรมการบริหารหลักสูตร ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับคะแนนของกรรมการบริหารหลักสูตรนะ  (เพราะตัวเองก็เป็น และได้คะแนนส่วนนี้ 55) กรรมการบริหารหลักสูตรก็ต้องทำงานหนัก และรู้สึกว่าคะแนนก็เหมาะสมดีแล้ว แต่รู้สึกว่ามันน่าจะเพิ่มคะแนนการอ่านผลงานขึ้นมาหน่อยดีไหม อ่านผลงานนี่ไม่ใช่อ่านมั่ว ๆ นะ ยิ่งถ้าต้อง reject เขานี่ เขียนอธิบายยากนะ ทำยังไงจะให้เขาไม่ด่า เอ๊ย ให้เขารู้จุดที่ต้องปรับปรุง

เอาเถอะยังไงก็จัดการเสร็จแล้วล่ะนะ ตอนนี้จะได้เริ่มงานที่ตัวเองควรทำอย่างจริงจังซะที และก็หวังว่าจะมีเวลามาเขียนบล็อกให้มากขึ้นนะ เพราะจริง ๆ ก็เป็นคนชอบเขียนชอบเล่า แล้วก็หวังว่าจะมีคนอ่านบ้างนะครับ สาธุ...  


วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เมื่อแก็งโทรหลอกลวงบุกถึง(โทรศัพท์) แม่ผม

หลังจากไม่ได้ขียนบล็อกมานานมาก (จริง ๆ ก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง แต่ไม่ว่างจะเขียน) แต่พอมาถึงวันนี้ก็คงต้องหาเวลาเขียนซะหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่เข้ามาถึงคนใกล้ตัว คือแม่ผมเอง ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ถึงแม้จะมีการศึกษาสูง แต่ความที่ไม่ค่อยเก่งเรื่องเทคโนโลยี และถึงแม้จะดูทีวีตามข่าวสาร แต่ก็ยังไม่ทันเหลี่ยมของพวกมิจฉาชีพพวกนี้อยู่ดี ดังนั้นก็อยากจะมาเตือนกันอีกทีหนึ่ง ถึงแม้เรื่องแบบนี้จะมีคนเล่าให้ฟังกันเยอะแล้วก็ตาม

เรื่องก็คือวันนี้หลังจากผมสอนเสร็จ ก็ลงมานั่งวิจารณ์ผู้บริหารการศึกษาของประเทศกับอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเศร้าเกี่ยวกับแวดวงการศึกษาไทย ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ บอกพรุ่งนี้ให้พาแม่ไปธุระแต่เช้า 7.30 ผมก็ถามว่าจะไปไหน ก็บอกจะไปธนาคาร ผมก็บอกว่าต้องไปเช้าขนาดนั้นเลยหรือจะไปทำไม ก็ไม่ยอมบอก บอกว่าบอกไม่ได้ ผมก็ชักประหลาดใจแล้ว มันจะมีเรื่องอะไรนะ (ในใจคิดว่าหรือจะโอนเงินเป็นของขวัญให้ผม 555) ผมก็บอกว่าบอกมาเถอะจะได้วางแผนถูกว่ายังไง จะต้องไปนานไหม แม่ก็ลังเลสุดท้ายก็เล่าว่าได้รับโทรศัพท์จาก DSI คนโทรมาชื่อ รตท. ภานุพงษ์ วงศ์ปรีชา บอกว่าบัญชีของแม่ถูกใช้เป็นบัญชีฟอกเงิน เกี่ยวกับการค้ายาเสพติด แต่เขาเชื่อว่าแม่ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเขาจะให้แม่ไปที่ธนาคารตั้งแต่ 8.30 ที่ธนาคาร เพื่อให้แม่ไปเบิกเงินออกมาให้หมด ก่อนที่ DSI จะอายัดบัญชี โดยเขาจะไปรอที่ธนาคารด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าแม่จะเบิกเงินจากบัญชีได้ และห้ามบอกใคร ห้ามโทรไปเช็คที่ธนาคาร เพราะเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารเกี่ยวข้องด้วย ฟังถึงตรงนี้ผมก็หัวร้อนเลย ไอ้พวกบัดซบนี่บุกมาถึงคนในครอบครัวผม และที่โมโหมาก ๆ คือมันไปพูดสร้างเรื่องขู่อะไรแม่ผม จนกลัวถึงกับเชื่อมันว่าไม่ให้บอกใครแม้แต่ผม มันขู่คนแก่อายุ 80 ทำให้มีความกังวลกับเงินเก็บที่แกหามาทั้งชีวิต อีกส่วนหนึ่งก็โมโหแม่นิดหน่อย เพราะเรื่องแบบนี้ก็เคยเล่าเคยคุยให้ฟัง แต่ทำไมยังให้มันหลอกได้ แต่คิดอีกทีก็คือแกก็คงจะลืมไปแล้ว

แน่นอนครับ สำหรับพวกเราที่ติดตามข่าวสาร หรือเป็นคนนอก ได้ฟังเข้าก็คงเห็นว่ามันแปลก ๆ ใช่ไหมครับ แต่กับคนแก่อายุ 80 ที่ไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยี และมันยังใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้แสดงเบอร์โทรเข้าเป็นเบอร์จริง ๆ ของ DSI คือ 028319888 และมันบอกให้แม่โทรไปถาม 1133 ว่า เบอร์นี้เป็นเบอร์ของ DSI จริงหรือไม่ ซึ่งแม่ก็ทำตาม และแน่นอนก็ต้องได้รับการยืนยันว่าจริง ซึ่งเพราะเหตุนี้แหละครับในตอนแรกที่ผมบอกว่าแม่ถูกหลอกแล้ว แม่ก็ไม่เชื่อผม จนผมต้องไปค้นข่าวในเน็ตแล้วอ่านให้แกฟัง แกถึงจะเริ่มลังเล จนผมต้องบอกอีกว่านี่ถ้ามันเป็นจริงแล้วมันจะอายัดให้มันทำไป ลูกก็มีลูกเลี้ยงได้ ถ้ามันอายัดจริงเราไปฟ้อง DSI กัน เอาให้มันรู้กันไป หลักฐานมันมีอะไร ถึงตอนนี้ขอเสริมนิดหนึ่ง คือพอหลังจากจบเรื่องผมมาเล่าให้ภรรยาฟัง คุณภรรยาบอกว่าทำไมไม่บอกแม่ไปว่ามันไม่ใช่ DSI ตัวจริงหรอก DSI ตัวจริงตอนนี้ไปอยู่ธรรมกายหมดแล้ว เออนะ ตอนนั้นไม่ทันคิดมุกนี้ 555

สุดท้ายผมก็บอกให้แม่ทำแบบนี้ ให้โทรไปที่ DSI ให้ใช้เบอร์บ้าน และมือถืออย่าเพิ่งวาง ให้ผมฟังด้วย โทรไปถามเขาเลยว่ามี รตท. ภานุพงษ์ วงศ์ปรีชา ทำงานอยู่ไหม ถ้ามีให้โอนสายไปคุยด้วยหน่อย แม่ก็โทรไป ซึ่งสุดท้ายผมว่าพวกเราคงเดาได้นะครับว่าทาง DSI ก็บอกว่าถูกหลอก มีเรื่องแบบนี้แจ้งเข้ามาที่ DSI บ่อยมาก และจริง ๆ เขาก็ออกมาเตือนแล้วนะครับ เช่นลิงก์นี้

https://www.thaicert.or.th/newsbite/2016-08-30-01.html

จากลิงก์นี้เขาบอกวิธีการที่พวกแก๊งนี้ปลอมเบอร์โทรเข้าด้วยนะครับ โดยเขาบอกว่าพวกมันโทรผ่าน VoIP

มาถึงจุดนี้แม่ก็สบายใจแล้วครับ แล้วเลยเล่าต่อว่าก่อนหน้านี้เคยได้รับโทรศัพท์จากไปรษณีย์บอกว่ามีคนเอาชื่อแม่เป็นที่อยู่ผู้ส่งยาเสพติด แต่เขาไม่เชื่อและบอกว่าไม่ต้องกังวลนะ พอผมได้ฟังก็เลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวเนื่องกันก็ลองค้นดูก็เจอเลยครับ รูปแบบเดียวกันเลย ไปรษณีย์โทรมาก่อน ตามด้วย DSI ชื่อตำรวจก็ชื่อเดียวกัน

https://pantip.com/topic/35864758

จากเรื่องนี้มีจุดที่ผมใจหายมากอยู่จุดหนึ่ง คือแม่รู้ว่าเทอมนี้ผมไม่มีสอนวันพุธ ดังนั้นแม่จึงจะให้ผมพาไป และแม่บอกว่าถ้าผมไม่ว่างแม่จะนั่งรถ taxi ไปเอง ดังนั้นถ้าเกิดมันโทรมาวันอื่นนี่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะแม่ผมเขาชอบเกรงใจถ้ารู้ว่าผมมีสอนก็ชอบแอบไปไหนไม่ยอมบอก ซึ่งจากเรื่องนี้ทำให้ผมต้องย้ำกับแม่ว่าถ้ามีเรื่องอะไรสำคัญห้ามเกรงใจเด็ดขาด จะมีสอนหรือไม่มีสอนก็ไม่ต้องสนใจ และย้ำเรื่องนี้อีกรอบหนึ่งว่าให้ระวังแก๊งพวกนี้

สรุปก็คือความเป็นส่วนตัวของประเทศเรามันแทบจะไม่ค่อยมี พวกค่ายมือถือก็มักจะเอาข้อมูลเราไปขาย เปิดโอกาสให้ทั้งพวกขายของ และพวกโจรพวกนี้เข้าถึงเราโดยง่าย ดังนั้นพวกเราก็ต้องตั้งสติและระมัดระวังตัวเองให้ดี อย่างกรณีนี้ถ้าคิดดี ๆ ทำไมคนของ DSI คนนี้ถึงหวังดีกับเรานัก รู้จักก็ไม่รู้จัก แต่กรณีนี้ก็เข้าใจแม่นะก็มันสร้างเรื่องสร้างราวได้ซะขนาดนี้ เดี๋ยวจะต้องไปคุยกับแม่ให้ละเอียดอีกทีว่ามันได้ข้อมูลอะไรไปจากแม่บ้าง จะได้ดูว่าต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมจุดไหนไหม...

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หรือกสทช. จะมีปัญหากับการใช้ดุลยพินิจ

เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วนะครับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นที่รักของพวกเราชาวไทยสวรรคต ในขณะที่พวกเราคนไทย และหลาย ๆ ฝ่ายกำลังพยายามช่วยกันเพื่อให้เราได้กลับไปใช้ชีวิตกันเป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งน่าจะเป็นพระประสงค์ของพ่อหลวงของเรา แต่ก็มีหน่วยงานที่ดูเหมือนจะยังทำงานกันแบบล้าหลังอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นในความเห็นของผมก็คือกสทช.

ผมยอมรับว่าผมอาจจะมีอคติกับกสทช.ชุดนี้นะครับ เพราะการทำงานหลาย ๆ อย่างไม่เข้าตาผมสักเท่าไร และเรื่องที่จะเขียนถึงนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องบอกก่อนนะครับว่า ในวันแรกที่พระองค์ท่านสวรรคต นอกจากที่ผมเสียใจมากแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ผมตกใจมากคือ การที่มีการประกาศว่าทั้งทีวี และวิทยุ รวมถึงเคเบิลทีวี จะต้องงดรายการปกติและรับสัญญาณถ่ายทอดจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเท่านั้น เป็นเวลาหนึ่งเดือน ที่ผมตกใจคือในสถาณการณ์โลกตอนนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ มันมีข่าวสารอื่น ๆ ในโลกเช่นกันที่มีความสำคัญที่เราต้องรับทราบ นอกจากนั้นการทำอย่างนี้ยังทำให้ประชาชนที่อยู่ในความโศกเศร้าไม่มีช่องทางที่จะระบายอีกด้วย วันสองวันไม่เป็นไรหรอกครับ แต่คนเราถ้าอยู่กับความเสียใจทุกวัน โดยไม่มีทางออกอื่นเป็นเดือนมีปัญหาแน่ นอกจากนี้คนที่เขาทำอาชีพ ทำธุรกิจทีวีเขาจะทำยังไงกัน เราดูทีวีฟรีกันจนลืมคิดไปหรือเปล่าว่าเขามีค่าใช้จ่าย ยิ่งไปกว่านั้นชาวต่างชาติที่เขาเข้ามาอยู่ในประเทศในช่วงนั้น เขาจะไปเที่ยวก็ไม่สะดวกแล้ว จะพักในโรงแรมยังไม่มีอะไรให้เขาดูอีกหรือ

แต่โชคดีมากที่หลังจากนั้นรัฐบาลคงจะคิดได้ ได้ยกเลิกเรื่องดังกล่าว โดยให้ออกอากาศได้ โดยใช้ดุลยพินิจของแต่ละสถานี และต้องตัดมาถ่ายทอดพระราชพิธี แต่ปัญหาก็คือการใช้ดุลยพินิจนี่แหละครับ เพราะบางหน่วยงานก็ใช้ดุลยพินิจแบบที่ผมไม่เข้าใจเอามาก ๆ และหน่วยงานที่ว่านี้ก็คือ กสทช. ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผมเพิ่งทราบวันนี้เองว่า ช่องรายการทั้งหลายที่เป็นความบันเทิงที่มาจากต่างประเทศจนถึงวันนี้ก็ถูกดุลยพินิจของกสทช. ไม่ให้ออกอากาศ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าใจมาก ๆ เพราะถ้าผมเป็นกสทช. เมื่อได้รับไฟเขียวจากรัฐบาล สิ่งที่ผมจะทำก็คือช่องที่เป็นรายการต่างประเทศผมจะปล่อยให้ออกอากาศได้

ที่เขียนมานี่ไม่ใช่ผมไม่เสียใจหรืออยากดูหนังจนตัวสั่นหรอกนะครับ ผมเพิ่งรู้วันนี้ว่ามันดูไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ผมดูช่องกีฬาเป็นหลัก ซึ่งมันดูได้ (อันนี้ก็ต้องขอบคุณนะ) แต่ที่อยากเขียนวันนี้ก็เพราะผมคิดว่า กสทช.ยังหลงทาง หรือไม่ได้คิดบางประเด็นไปหรือเปล่า ลองคิดในมุมกลับบ้างดีไหมว่า การทำแบบนี้มันทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือกที่จะผ่อนคลายจากความโศกเศร้าหรือเปล่า คนแก่บางคนอยู่บ้านดูซีรีส์ผ่านเคเบิล คนแก่เหล่านี้ส่วนใหญ่รักในหลวง เขาเศร้าโศกอยู่แล้ว ถ้ามีรายการที่เขาเคยได้ดู มันจะช่วยให้เขาได้มีโอกาสผ่อนคลาย และปรับตัวได้ดีขึ้นหรือเปล่า ตกลงคนไทยจะต้องเศร้าโศกตลอดเวลากันเลยใช่ไหม ถ้ากลัวว่ามันไม่เหมาะสมกับบรรยากาศ การดูทีวีเป็นการดูภายในสถานที่ปิดภายในบ้าน มันจะทำให้เสียบรรยากาศยังไง โรงหนังอนุญาตให้ฉายได้ เพราะอยู่ในสถานที่ปิด สถานบันเทิงเปิดได้ ถ้าจัดในสถานที่ปิด แต่ดูทีวีในบ้านตัวเองไม่ได้ มันมีเหตุผลไหมครับ อยากให้ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ก็คืนความปกติให้เขาให้มากที่สุดสิครับ คนส่วนใหญ่ในประเทศเศร้าใจจากการจากไปของพ่อหลวงอยู่แล้ว โดยไม่ต้องยัดเยียดความเศร้าเสียใจมาให้นะครับ แต่ควรเปิดทางออกให้เขาได้คลายเครียด นอกจากนี้อย่างที่บอกไป นอกจากคนไทยแล้ว เรายังมีแขกบ้านแขกเมืองที่เขาบังเอิญเข้ามาในบ้านเมืองเราในช่วงนี้ ซึ่งเขาอาจไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะเจอสถานการณ์นี้ เขาจะไปเที่ยวก็ไม่สะดวก จะอยู่ในโรงแรมก็ไม่มีอะไรให้ดู คิดถึงเขาหน่อยก็ดีนะครับ

นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่อยากเขียนไว้นะครับ หวังว่ามันอาจจะลอยไปถึงกสทช. เพื่อที่จะลองนำไปคิดดูและลองใช้ดุลยพินิจดูใหม่อีกสักครั้งนะครับ