วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เรยา ในมุมมองของผม

สวัสดีครับ ไม่ได้เขียนบล็อกนี้มาเสียนาน จริง ๆ ก็มีหลายเรื่องที่อยากจะเขียนถึง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชา เรื่องการทำงานของรัฐบาลหรือการยุบสภา แต่ก็ไม่คิดอยากจะเขียนเพราะมันค่อนข้างจะเกี่ยวกับเรื่องการเมือง ซึ่งผมไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะได้เคยพูดไปแล้วบ้างในบล็อก เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม เอาไว้ถ้ารู้สึกอึดอัดคับข้องมากกว่านี้ก็อาจจะมาเขียนระบายให้ฟังเพิ่มเติมอีก แต่ตอนนี้ขอรอไปลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ก็แล้วกัน (หวังว่าจะมีการเลือกตั้งนะ ถ้าใครทำให้มันไม่มีขอให้มีอันเป็นไปไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด)

เรื่องที่อยากเขียนในวันนี้เป็นเรื่องที่น่าจะฮอตฮิตที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือเรื่องละครดอกส้มสีทอง โดยเฉพาะตัวละครเรยา ต้องบอกว่าละครเรื่องนี้เป็นละครที่ผมค่อนข้างจะติดตามมากที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา เพราะความเข้มข้นของเนื้อหา และผู้แสดงเกือบทุกคนแสดงได้สมบทบาทมาก และอาจจะเพราะความสมบทบาทนี้ทำให้เกิดกระแสที่พูดถึงละครเรื่องนี้อย่างมากมายทั้งทางที่ดีและไม่ดี ผมก็เลยอยากจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้บ้าง เน้นนะครับว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัว และผมไม่ได้คิดว่าคนที่คิดตรงข้ามกับผมจะเป็นฝ่ายที่ผิด สังคมที่ดีควรจะมีความคิดเห็นที่หลากหลายแตกต่างและนำมาแลกเปลี่ยนกันอย่างสร้างสรรค์ เราควรจะคิดต่างและอยู่ร่วมกันได้ อย่าให้เหมือนการเมืองซึ่งตอนนี้ถ้าใครคิดไม่เหมือนฉันนั่นคือศัตรูที่จะต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง  อ้าวว่าจะไม่พูดถึงการเมืองไหงลากเข้าไปจนได้ มาเข้าเรื่องดีกว่า

ในส่วนตัวผมบอกได้เลยว่าผมไม่เห็นด้วยเลยกับเสียงที่ออกมาให้แบนละครเรื่องดังกล่าวหรือจะไปตัดฉากที่เป็นการแสดงออกที่ไม่ดีของเรยาออกไป แต่ก็มีฉากอย่างเลิฟซีนบางฉากก็มากเกินไปเหมือนกัน ซึ่งผมว่าฉากแบบนี้อาจทำให้เบาลงพอที่ผู้ชมเข้าใจก็น่าจะพอแล้ว นอกจากฉากเลิฟซีนที่กล่าวถึงไปแล้วผมว่าโดยภาพรวมเนื้อหาถึงจะแรงแต่มันก็มีเหตุผลของมันอยู่ และเราต้องยอมรับว่าในสังคมของเราคนอย่างเรยาอาจจะมีอยู่จริง รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงทางช่องสามที่ผมได้ดูเมื่อเช้านี้ก็ได้นำบทสัมภาษณ์จากหนังสือพิมพ์มติชน (ถ้าจำไม่ผิด) ของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยทำตัวเหมือนเรยามาเล่าให้ฟัง ซึ่งเรื่องดังกล่าวอาจจะจริงหรือไม่ก็ได้ แต่เราต้องยอมรับกันว่าสังคมทุกสังคมมีด้านมืดอยู่มีคนไม่ดีปะปนอยู่ในสังคมของเรา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าลูกหลานเราหรือแม้แต่ตัวเราจะไปเจอะเจอคนแบบนี้เมื่อไร ดังนั้นเมื่อมีละครนำมานำเสนอเราก็น่าจะนำมาคิดและวิเคราะห์ และก็หยิบยกมาคุยกับลูกหลานว่าถ้าเราเจอคนแบบนี้เราควรจะทำอย่างไร และเราก็สามารถชี้ให้เห็นตัวอย่างจริง ๆ ของการทำตัวไม่ดีให้กับลูกหลานเราได้เห็นได้ ซึ่งผมได้ใช้มาแล้วกับลูกชายของผมเอง ลูกผมเขาไม่ได้ติดตามละครเรื่องนี้นะครับเพราะเขายังเด็กและเนื้อหามันค่อนข้างหนักสำหรับเขา แต่มีวันหนึ่งเขาเดินผ่านทีวีมาเห็นฉากที่เรยากำลังพูดจาระเบิดอารมณ์ใส่แม่ของตัวเอง ซึ่งเขาดูแล้วเขาก็รู้โดยผมไม่ต้องสอนเลยว่ามันไม่ดี เพราะเขาถามว่าทำไมเรยาพูดกับแม่อย่างนั้น ผมก็เลยได้โอกาสสอนเขาไปว่าเวลาเขาโมโหเขาก็ลืมตัว และบางทีก็พูดจาไม่ดีกับแม่ของเขาเหมือนกัน ถ้าไม่อยากเป็นเหมือนเรยาก็ให้ระวังตัวเองด้วย  

ส่วนที่มีคนออกมาบอกว่าถ้าปล่อยให้เด็กหรือเยาวชนดูละครเรื่องนี้แล้วจะนำไปทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีเหมือนที่เรยาทำ ผมคิดว่าเราอาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่นะครับ ทำไมเราถึงคิดว่าละครเรื่องเดียวจะทำให้ลูกหลานที่เราเลี้ยงมาอย่างดีเป็นปี ๆ กลายเป็นคนไม่ดีไปได้ ผมว่าเด็กจะเติบโตขึ้นมาเป็นอย่างไรมันมาจากการอบรมเลี้ยงดูจากทางบ้านและโรงเรียนมากกว่า ถ้าเราสั่งสอนลูกหลานกันมาดีเด็กที่เห็นเรยาทำตัวไม่ดีกับแม่ ก็อาจจะถามเหมือนกับที่ลูกผมถามว่าทำไมเรยาทำกับแม่แบบนั้น  ผมมองว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่ยอมให้ลูกตัวเล็ก ๆ ไปเต้นท่ายั่วยวนบนหลังคารถจากข่าวที่เห็นในช่วงสงกรานต์ ผมว่าอันนั้นน่ากลัวกว่านะครับ การที่เรามีความคิดแบบปิดกั้นนี้ไงครับ ทำให้เราคิดวิธีการป้องกันอะไรแบบประหลาด ๆ เช่นฉากเบลอขวดเหล้าหรือบุหรี่ในละคร หรือหนักกว่านั้นไปเบลอป้ายโฆษณาบุหรี่หรือเหล้าที่อยู่ในสนามกีฬาจนดูไม่รู้เรื่อง

มีคำกล่าวว่าดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว ละครหลายเรื่องเป็นละครเบา ๆ สนุกสนานดูได้อย่างมีความสุขทั้งครอบครัว บางเรื่องก็มีแต่เรื่องความฟุ้งเฟ้อ บางเรื่องตื่นเต้นสืบสวนหรือบู๊ดุเดือดเลือดพล่าน หรือบางเรื่องก็หนักสะท้อนสังคม ดังนั้นละครนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้วก็อาจให้ข้อคิดในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย ขึ้นอยู่กับว่าเราจะปรับนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่ อย่างละครเรื่องดอกส้มสีทองนี้ ผมมองว่ามันได้สะท้อนด้านมืดของสังคม ซึ่งแทนที่จะเราจะปิดกั้นลูกหลานของเราโดยไม่ให้เขารับรู้ว่าในสังคมมีสิ่งนี้อยู่ แล้วปล่อยให้เขาไปเผชิญกับสิ่งนี้โดยเขาอาจไม่มีภูมิคุ้มกันอยู่เลย ทำไมเราไม่นำสิ่งละครนำเสนออกมานำมาสอนให้เขาระมัดระวังในการใช้ชีวิต และถ้าใครได้ติดตามดูละครเรื่องนี้มาโดยตลอดจะพบว่าเรยาไม่เคยมีความสุขที่ยั่งยืนจากการกระทำของตัวเองเลย และในตอนจบเท่าที่ทราบมาก็จะมีบทสรุปว่าผลที่เรยาจะได้รับจากการกระทำนี้คืออะไร หลายคนให้ความเห็นว่าแหมเลวมาตั้งนานมาสรุปแค่ตรงท้ายเรื่องว่าผลกรรมเป็นอย่างไรมันน้อยไป แต่ผมถามจริง ๆ เถอะครับ ละครหรือหนังส่วนใหญ่มันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ ที่ตัวร้ายก็กลั่นแกล้งพระเอกหรือนางเอกมาค่อนเรื่องแล้วก็มาแพ้หรือตายตอนเรื่องจบ ดังนั้นผมว่านี่มันก็คือละครธรรมดาเรื่องหนึ่ง

สำหรับบทสรุปของการแก้ปัญหาของละครเรื่องนี้เมื่อสักครู่ที่ดูจากข่าวช่องสามก็คือ จะมีการขึ้นข้อความว่าเป็นการแสดง และอาจมีการตัดฉากบางฉากซึ่งไม่เหมาะสมออก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นฉากอะไรเหมือนกันนะครับ ก็อาจจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในตอนนี้แล้วก็ได้ครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

รหัสผ่านง่าย ๆ ก็ปลอดภัยได้

ผมว่าพวกเราหลายคนก็คงทราบแล้วว่าการตั้งรหัสผ่านแบบง่าย ๆ นั้นเสี่ยงต่อการถูกแฮกได้ง่าย แต่หลายคนก็เลือกที่จะตั้งให้มันง่าย ๆ เข้าไว้ เพราะกลัวจะลืม นักวิจัยจาก Max Planck Institute เข้าใจปัญหานี้ดีครับ จึงได้คิดระบบที่จะช่วยให้รหัสผ่านง่าย ๆ ก็ปลอดภัยได้ เขาเรียกระบบนี้ว่า p-Captcha หลักการก็คือการนำเอา รหัสผ่าน และ CAPTCHAs (Completely Automated Public Turing test to tell Computers and Humans Apart) ซึ่งก็คือเจ้ารหัสที่หลาย ๆ เว็บไซต์สร้างขึ้นมาให้เราป้อนตามเพื่อให้เรายืนยันว่าเราเป็นคนมาผสมกัน คือเราสามารถตั้งรหัสผ่านง่าย ๆ ที่เราจำได้เพื่อใช้เป็นคีย์ ระบบจะเอารหัสผ่านของเราไปเข้ารหัสเพื่อให้ได้เป็นรหัสผ่านที่ยากแล้วทำให้อยู่ในรูป CAPTCHA จากนั้นระบบจะแปลง CAPTCHA ให้อยู่ในรูปแบบที่อ่านไม่รู้เรื่อง เมื่อเราต้องการจะใช้รหัสผ่านเพื่อเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ เราก็ป้อนรหัสผ่านง่าย ๆ ที่เราจำได้ที่เครื่องของเราผ่านโปรแกรม ซึ่งก็จะแปลง CAPTHCA ที่ถูกแปลงแล้วกลับมาเป็น CAPTCHA ที่อ่านได้ และเราก็ใช้รหัสผ่านที่อยู่บน CAPTCHA นั้นในการเข้าเว็บไซต์ต่าง ๆ ข้อจำกัดของวิธีนี้ในขณะนี้คือกระบวนการการแปลง CAPCTHA นั้นยังต้องใช้เครื่องที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาในเวลาที่ไม่นานจนเกินไป ซึ่งนักวิจัยกำลังทดลองหาวิธีการที่จะปรับปรุงขั้นตอนวิธีเพื่อที่จะให้กระบวนการนี้ทำได้เร็วยิ่งขึ้นและปลอดภัยขึ้น

ที่ีมา: Max-Planck-Gesellschaft

เลขประจำตัวไซเบอร์

ที่สหรัฐอเมริกามีแนวคิดการนำเลขประจำตัวไซเบอร์มาใช้กันครับ ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากการมีเลขประจำตัวไซเบอร์ก็คือ การแก้ปัญหาของระบบรหัสผ่านที่ไม่ปลอดภัย และการที่ผู้ใช้จะต้องมีรหัสผ่านหลายตัวสำหรับแต่ละเว็บไซต์ หลักการทำงานก็คือผู้ใช้งานจะต้องไปขอเลขประจำตัวจากหน่วยงานกลางที่เชื่อถือได้ โดยเลขประจำตัวจะอยู่ในรูปแบบอิเลกทรอนิกส์ โดยผู้ใช้จะติดตั้งลงในอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นพวกอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือคอมพิวเตอร์ เมื่อผู้ใช้เข้าเว็บไซต์ไหนก็จะตรวจสอบจากเลขประจำตัวนี้ โดยผู้ใช้อาจต้องป้อนรหัสผ่านเพื่อยืนยันตัวตน นั่นคือผู้ใช้ใช้รหัสผ่านเพียงตัวเดียวสำหรับทุกเว็บไซต์ (ดังนั้นก็น่าจะตั้งให้มันยาก ๆ ได้นะครับ เพราะจำแค่อันเดียว)

ก็เป็นแนวคิดที่ดีครับ กระทรวง ICT ประเทศไทยของเราก็น่าจะลองเตรียมพร้อมและศึกษาข้อดีข้อเสียดูนะครับ ผมว่าดีกว่ามาพยายามนั่งออก พรบ. ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนนะครับ

ที่มา: NextGov

จอสัมผัสแบบทำงานด้วยเสียง

อ่านหัวข้อข่าวแล้วอาจจะงง ๆ หน่อยนะครับว่าหมายถึงอะไรมาดูกันครับ งานนี้เป็นผลงานวิจัยจากนักศึกษาปริญญาเอกที่ Cambridge University โดยจุดประสงค์ของงานวิจัยก็คือการสร้างจอสัมผัสที่ใช้ต้นทุนไม่สูงมาก สำหรับแนวคิดของเขาก็คือใช้ไมโครโฟนของโทรศัพท์มือถือเป็นตัวรับเสียงการกดครับแล้วก็คำนวณว่าจุดที่กดนั้นเป็นจุดใดบนจอภาพ แต่แนวคิดนี้ยังไม่รองรับการทำงานของจอสัมผัสทุกฟังก์ชันนะครับ คือจะยังไม่รองรับพวกมัลติทัชที่เราใช้กันเพื่อขยายหรือย่อขนาดจอภาพเป็นต้น แนวคิดนี้ไม่จำเป็นต้องมาใช้กับหน้าจอมือถือเท่านั้นแต่นำไปใช้ได้กับพื้นผิวทุกอย่าง นักวิจัยบอกว่าเขาได้คุยกับผู้ผลิตแล้ว และบอกว่าอาจสามารถสร้างออกมาใช้งานได้ในสามปี

ดูแนวคิดแล้วก็ดูดีนะครับ แต่จริง ๆ แล้วผมว่าก็คงต้องปรับหลายอย่างก่อนจะออกมาใช้ได้จริง เช่นเรื่องการป้องกันเสียงจากภายนอก ซึ่งโทรศัพท์อาจสับสนได้ อีกจุดหนึ่งผมว่าตอนนี้ราคาจอสัมผัสแบบที่เราใช้กันก็ราคาถูกลงมาก และถ้าต้องรออีกสามปีมันก็อาจจะยิ่งถูกลงอีกจนคนอาจไม่สนใจเจ้าเทคโนโลยีนี้แล้วก็ได้


ที่มา: The Engineer

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

อาชีพที่ให้รายได้สูงจนคาดไม่ถึง (ในอเมริกา)

สวัสดีครับ วันนี้มีเรื่องเกี่ยวกับรายได้ของอาชีพบางอาชีพในอเมริกา พอดีผมบังเอิญไปอ่านเจอใน Yahoo! Education เห็นว่าแปลกดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ ในบทความดังกล่าวเขาเริ่มด้วยคำถามว่า คุณคิดว่าระหว่างช่างซ่อมลิฟต์กับเจ้าหน้าที่เทคนิคด้านปรมาณู (nuclear) ใครมีรายได้สูงกว่ากัน หรือระหว่างครูมัธยมที่สอนด้านศิลปะกับเจ้าหน้าที่ผังเมืองใครมีรายได้มากกว่ากัน ผมคิดว่าพวกเราหลายคน (รวมทั้งผมด้วย) ก็คงต้องบอกว่า คนที่ทำงานด้านปรมาณูก็น่าจะมีรายได้มากกว่าช่างซ่อมลิฟท์ และดู ๆ แล้วเจ้าหน้าที่ผังเมืองก็น่าจะมีรายได้มากกว่าครูมัธยมใช่ไหมครับ

แต่ผลสำรวจจากกระทรวงแรงงานของอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2552 กลับออกมาอย่างนี้ครับ คือช่างซ่อมลิฟต์ได้เงินเดือนต่อปีอยู่ที่   67,950 เหรียญสหรัฐ ส่วนเจ้าหน้าที่ปรมาณูได้เงินเดือนต่อปีอยู่ที่ 66,700 เหรียญเท่านั้น ครูมัธยมมีรายได้ต่อปีอยู่ที่ 68,230 เหรียญ แต่เจ้าหน้าที่ผังเมืองมีรายได้อยู่ที่ 64,680 เหรียญ น่าประหลาดใจใช่ไหมครับ จริง ๆ ยังมีอีกหลายอาชีพครับที่เราอาจไม่เคยคาดคิดว่าจะมีรายได้สูง ถ้าสนใจก็สามารถคลิกลิงก์ด้านบนเข้าไปอ่านรายละเอียดได้เลยครับ

ไม่รู้เมืองไทยเป็นยังไงนะครับ จะมีอาชีพไหนที่มีรายได้สูงจนเราคาดไม่ถึงบ้างไหม ใครมีข้อมูลก็มาแบ่งปันกันได้นะครับ