แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคโนโลยี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เทคโนโลยี แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ความเห็นเกี่ยวกับข่าวฮอตประจำสัปดาห์

สำหรับสัปดาห์นี้ข่าวร้อนแรงที่สุดก็คงมีอยู่ 3 เรื่องนะครับ คือเรื่องที่การประมูลใบอนุญาต 3G ถูกระงับ เรื่องฟิล์ม และเรื่องเปิดตัวไอโฟน 4 อย่างเป็นทางการในไทย ก็ขออนุญาตเกาะกระแสเขียนถึงทั้ง 3 เรื่องนี้บ้างแล้วกันนะครับ

เริ่มจากเรื่อง 3G ก่อน จริง ๆ เรื่องนี้ผมเขียนถึงไปสองครั้งแล้ว คงต้องบอกว่าผิดหวังเหมือนกับหลาย ๆ คนในประเทศนี้ แต่คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ายังไงศาลก็คงไม่ยอมให้เดินหน้าต่อเพราะมีปัญหาเรื่องข้อกฏหมายจริง ๆ แต่ถ้าถามว่าปัญหาน่าจะเกิดจากอะไร ผมคิดว่าเป็นปัญหาด้านการบริหารจัดการของรัฐบาล รัฐบาลไม่รู้ว่าองค์กรใดมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง ไม่รู้ว่าเคยปรึกษากับกฤษฎีกาหรือเปล่า (จริง ๆ ถ้ายังไม่แน่ใจนี่น่าจะรีบดันเรื่อง กสทช.ออกมาให้เร็วที่สุด มาเร่งทำตอนนี้ก็ค่อนข้างสายแล้วครับ) อีกอย่างหนึ่งยังไม่สามารถควบคุมองค์กรที่อยู่ในสังกัดของตัวเองให้ทำตามนโยบายของรัฐบาลได้ อ้อแต่รับฟังมาอีกกระแสหนึ่งเห็นเขาบอกว่าจริง ๆ รัฐบาลไม่อยากให้การประมูล 3G สำเร็จโดยกทช. ครับ เพราะมีข้อไม่เห็นด้วยกับ กทช. (ทำนองว่า กทช. มีความไม่โปร่งใสอะไรบางอย่าง) แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะกทช. เป็นองค์กรอิสระ อันนี้แค่ฟังมานะครับไม่รู้จริงหรือเปล่าเอามาเล่าให้ฟังไว้เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง สรุปเรื่องนี้ก็คือตอนนี้ TOT กับ กสท. ก็สมหวังแล้วในการที่ยับยั้งไม่ให้มี 3G รายอื่นเกิดขึ้นมาในประเทศ ก็ช่วยพัฒนาสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์กับประเทศชาติสูงสุดด้วยนะครับ

ส่วนเรื่องฟิล์มนี่ผมจะไม่แตะเลยครับ ถ้าคุณระเบียบรัตน์ไม่ออกมาให้สัมภาษณ์อะไรซึ่งในส่วนตัวผมฟังแล้วรู้สึกแย่มาก ผมไม่ใช่แฟนของฟิล์ม และติดตามผลงานของฟิล์มน้อยมาก และผมไม่ชอบยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ที่เขียนถึงเรื่องนี้ก็เพราะคุณระเบียบรัตน์จริง ๆ ก่อนอื่นผมบอกเลยนะครับว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนสองคน เขารู้ดีที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร เราเป็นบุคคลนอกไม่มีสิทธิที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์เขาในทางที่เหมือนต่อว่าคนที่เราไม่เห็นด้วยอย่างเสีย ๆ หาย ๆ สิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียวคือยกเอามาเป็นตัวอย่างในการสั่งสอนลูกหลานของเราให้ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิต ในการให้สัมภาษณ์คุณระเบียบรัตน์ได้ต่อว่าคุณพจน์ อานนท์ที่มาพูดให้ข่าวเหมือนเชิงแก้ตัวแทนฟิล์มว่าไม่ควรพูดเพราะเป็นคนนอก แต่ตัวเองกลับทำเสียเอง ไปพูดเป็นเชิงว่าฟิล์มไม่สนใจไม่ดูแลไม่รับผิดชอบ แถมยังมาพูดเป็นเชิงประชดประชันแดกดันว่าไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ ให้บอกว่าเด็กเป็นลูกฟิล์ม ให้จำไว้จนวันตายอะไรประมาณนี้ (การให้สัมภาษณ์เต็ม ๆ ฟังได้จากจากคลิปนี้ครับ) คำถามคือคุณระเบียบรัตน์ถือสิทธิอะไรในการไปพูดจาว่ากล่าวคนอื่นแบบนี้ ทั้งที่ความจริงตัวเองก็ไม่น่าจะรู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นยังไง ปัญหาของประเทศเราส่วนหนึ่งก็มาจากวิธีคิดและการกระทำแบบนี้แหละครับ เที่ยวไปตัดสินคนอื่นโดยรับฟังข้อมูลข้างเดียว เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ไม่คิดไตร่ตรองว่าอะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูด

ส่วนเรื่องไอโฟน 4 กระแสแรงจริง ๆ ครับ แสดงว่าคนไทยหลายคนก็อดทนรอที่จะได้ใช้เจ้าโทรศัพท์ตัวนี้ ส่วนคนที่รอไม่ได้นี่ได้ข่าวว่ายอมซื้อเครื่องหิ้วที่เข้ามาตอนแรก ๆ ถึงสี่-ห้าหมื่น สำหรับตอนนี้ก็เปิดขายแล้วโดยทั้งสามค่ายใหญ่ เครื่องเปล่าราคาเท่ากันหมด เริ่มต้นที่สองหมื่นกว่า รายละเอียดดูได้ที่บล็อกของคุณพัชร แว่ว ๆ ว่าขายดีเหมือนแจกฟรี ถ้าจะใช้ครอบคลุมจริง ๆ คือได้ใช้ทั้ง 3G และ Wifi นี่ตอนนี้ก็คงไม่มีใครสู้ True ได้ ดังนั้นผมคิดว่า AIS และ DTAC ก็คงต้องเปิด 3G ให้ได้บนเครือข่ายเดิมที่ตัวเองมีอยู่เพื่อจะให้การใช้งานเครื่องให้ได้คุ้มค่าที่สุด เห็นว่ารัฐบาลอาจจะผลักดัน 3G ตามแนวนี้ด้วยเหมือนกันครับ แต่ก็แปลกดีนะครับบริษัทที่มี 3G อยู่แล้วอย่าง TOT กลับไม่กระตือรือร้นที่จะนำไอโฟนเข้ามาขาย บริษัทที่นำมาขายกลับยังไม่มี 3G

สำหรับวันนี้ก็คงพอแค่นี้นะครับ ขอให้มีความสุขในวันศุกร์ครับ

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ความจริงที่ผมได้รู้จากการที่ศาลสั่งระงับการประมูลใบอนุญาต 3G

ขอเขียนถึงเรื่อง 3G นี้อีกสักวันแล้วกันนะครับในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่รออยู่แล้วก็ต้องผิดหวังไม่รู้ว่าจะต้องรอต่อไปอีกนานเท่าไร จริง ๆ แล้วถ้าพูดถึงเรื่อง 3G ประเทศเราก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใช้นะครับ เพียงแต่ว่าคุณภาพบริการมันยังไม่ดี สัญญาณมา ๆ หาย ๆ และไม่สามารถตอบสนองต่อประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ ดังนั้นถ้าการประมูลนี้สำเร็จจะเกิดประโยชน์กับประเทศชาติในหลาย ๆ ด้าน ความไม่เท่าเทียมกันด้านข้อมูลข่าวสารระหว่างคนเมืองกับคนชนบทจะน้อยลง แต่เมื่อมีอันต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่รู้อนาคตอย่างนี้ ก็ทำให้ประเทศเราเสียโอกาสไปหลาย ๆ อย่าง น่าอิจฉาประเทศเพื่อนบ้านที่มีสถานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าเราอย่างลาวหรือกัมพูชา ประเทศเหล่านี้มี 3G ใช้กันแล้ว

คราวนี้มาดูว่าผมพบความจริงอะไรบ้างจากเรื่องที่เกิดขึ้น ความจริงที่ผมพบประการแรกเป็นความจริงที่น่ากลัวมากครับ คือประเทศของเรานี้ทำงานและบริหารงานกันโดยไม่มีใครรู้อะไรจริง ๆ เลย หน่วยงานที่ทำหน้าที่ประมูลคือ กทช. ก็ไม่ได้รู้จริงว่าตัวเองมีอำนาจหรือเปล่า รัฐบาลก็ไม่รู้เพราะถ้ารู้ก็คงไม่ปล่อยให้ กทช. ดำเนินงานมาถึงขนาดนี้ ปัญหาคือมันมีองค์กรต่าง ๆ ถูกตั้งขึ้นมาเต็มไปหมด อย่าง กทช. และกสทช. ซึ่งก็มีชื่อคล้ายกันมาก ผมยังเข้าใจผิดเลยว่า กทช. ก็คือ กสทช. แต่เปลี่ยนชื่อให้สั้นลง แต่ประเด็นคือรัฐบาลต้องรู้สิครับ เพราะเท่าที่ผมติดตามข่าวมาอำนาจในการจัดสรรคลื่นความถี่มันเป็นของ กสทช. รัฐบาลจะต้องรู้และควรจะแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น โดยรีบสรรหากรรมการ กสทช. เพื่อมาดำเนินการ ส่วนรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ICT ก็ออกมาทำได้แค่ขอโทษและยังให้ข้อมูลผิด ๆ อีก เช่นผู้ให้บริการอย่าง AIS หรือ DTAC ได้ให้บริการ 3G กับคนในกรุงเทพทั่ว ๆ ไปแล้ว ทั้งที่จริง ๆ มันไม่ใช่ ถ้าผมเป็นนายกผมคงต้องขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ลาออก หรือถ้าผมเป็นรัฐมนตรีเองผมจะขอลาออกครับ

ความจริงประการที่สองก็คือรัฐวิสาหกิจที่ชอบออกมาโวยวายตอนที่มีรัฐบาลหนึ่งจะเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์ บอกว่าประเทศชาติและประชาชนจะเสียประโยชน์อย่างนู้นอย่างนี้ ตอนนี้พวกเราคงเห็นนะครับว่าเขาเห็นกับประโยชน์ของใครมากกว่า จริง ๆ ถ้าออกมาคัดค้านเพราะรู้เรื่องว่า กทช. ไม่มีอำนาจ ถ้าตัวเองไม่คัดค้านจะกลายเป็นละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามที่อ้างมา ก็น่าจะทำแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่ กทช. เขาเริ่มดำเนินการ ป่านนี้รัฐบาลก็คงจะรู้ตัวและรีบเริ่มดำเนินการสรรหา กสทช.ไปแล้ว นี่จนเขาจะทำเสร็จอยู่แล้วเพิ่งจะออกมาคัดค้าน ประเทศชาติต้องเสียงบประมาณไปเปล่า ๆ ไม่รู้เท่าไร แถมยังบอกด้วยว่าการดำเนินการนี้ทำให้ตัวเองเสียผลประโยชน์จึงต้องออกมาคัดค้าน

ขอฝากรัฐวิสาหกิจหน่วยงานที่มี 3G ของตัวเองอยู่ตอนนี้เมื่อออกมาคัดค้านเขาแล้วก็ช่วยคิดถึงประเทศชาติโดยปรับปรุงระบบของตัวเองที่มีอยู่ให้ดี และให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ใช้ด้วยนะครับ

จริง ๆ วันศุกร์แล้วไม่อยากเขียนเรื่องเครียด แต่ก็ขอเขียนบอกเล่าความรู้สึกหน่อยแล้วกันครับ เพราะรู้สึกแย่จริง ๆ กับเรื่องนี้

ป.ล. ขอเพิ่มเติมลิงก์ไปยังบล็อกนี้ นะครับเพราะมีข้อมูลที่ดีเกี่ยวกับหลาย ๆ เรื่องที่ผมคิดว่าหลายคน(รวมถึงผมด้วยยังเข้าใจผิดอยู่) และจะทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของปัญหานี้มากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เกี่ยวกับ 3G ในประเทศไทย จากความเห็นของ พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ กทช.

ผมได้อ่าน Time Line ใน Twitter เกี่ยวกับเรื่อง 3G ในประเทศไทย ซึ่ง พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ (@DrNatee39G ) หนึ่งในกรรมการ กทช. ได้ tweet มาเล่าให้ follower ฟังกัน ซึ่ง พ.อ.ดร.นที บอกว่าจริง ๆ แล้วได้ให้สัมภาษณ์ทาง DM (direct message) กับคุณปานระพี @panraphee จากช่อง 3 ไปแล้วรอบหนึ่งแต่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์จึงเอามา tweet ให้ follwer อีกที ผมก็เลยสรุปประเด็นมาเล่าให้ฟังกัน และเสริมความคิดเห็นส่วนตัวลงไปบ้างนะครับ

ผมคงไม่นำมาเล่าทั้งหมดนะครับ ถ้าใครอยากดูข้อความทั้่งหมดก็ขอเชิญไปดูจาก twitter ของ พ.อ.ดร.นที ได้ แต่ผมอยากจะสรุปเฉพาะประเด็นที่คิดว่าน่าสนใจมาให้อ่านกัน ประเด็นแรกก็คือในประเทศไทยเราเปิดประมูล 3.9G ไม่ใช่ 3G แล้วมันต่างกันยังไง จริง 3.9G ก็คือเทคโนโลยี 3G แต่มีความเร็วมากขึ้น คือข้อกำหนดพื้นฐานของ 3G มีความเร็วอยู่ที่ 2 Mbps แต่ 3.9G จะอยู่ที่ 42 Mbps พ.อ.ดร.นที สรุปง่าย ๆ ว่า 3.9G ก็คือเวอร์ชัน 3G ที่ดีที่สุดในปัจจุบัน และถ้าเราประกาศว่าเราจะเปิด 3.9G จะทำให้เราประกาศตัวเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่จะใช้เทคโนโลยีนี้พร้อมกับญี่ปุ่น แต่ถ้าเราประกาศ 3G เราจะกลายเป็นประเทศรองบ๊วยในอาเซียนที่ใช้ 3G (ประเทศบ๊วยนี่คือประเทศอะไรใครทราบบ้างครับ) อันนี้คิดว่า พ.อ.ดร.นที คงพูดตลก ๆ นะครับ คงไม่มีใครคิดจะทำวิธีนี้ในการหนีบ๊วยหรอกนะครับ

คำถามต่อไปคือทำไมไม่ประกาศ 4G ไปเลย คำตอบก็คือ มาตรฐานของ 4G จะกำหนดชัดเจนในปีหน้า และอาจต้องรออุปกรณ์อีก 3-4 ปี ส่วน 3G จะให้ประโยชน์อะไรบ้างคำตอบก็คือบริการ broadband จะไปอย่างทั่วถึง จะสามารถครอบคลุมประชากรถึงร้อยละ 80 ของประเทศได้โดยใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 4 ปี โดย ADSL ปัจจุบันใช้ได้กับประชากรร้อยละ 10 เท่านั้น การมีบริการ 3G จะช่วยให้เราสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจกับประเทศต่าง ๆ ได้ และเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ให้ทั้งคนเมืองและชนบทมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารมากขึ้น

นอกจากนี้ พ.อ.ดร.นที ยังได้พูดถึงโครงการต่อจาก 3G ว่าก็คือโครงการที่ในเมืองใหญ่ ๆ จะมีบริการผ่านโครงข่ายใยแก้วนำแสงทีเรียกว่า Fiber to the Home (FTTH) ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ตัวผมเองเห็นด้วยว่าดีมาก และควรจะมีได้ตั้งนานแล้ว ในส่วนตัวผมมองว่าถ้าจุดใดสามารถที่จะเดินสายได้ก็ควรจะเดินสาย เพราะการสื่อสารแบบมีสายเช่นนี้จะเสถียรและมีประสิทธิภาพมากกว่าไร้สาย

จริง ๆ พ.อ.ดร.นที ยังได้พูดถึงเรื่องการประมูลใบอนุญาตว่าแตกต่างจากสัมปทานอย่างไร แต่ผมคงไม่มาพูดถึงในที่นี้นะครับ ขอพูดถึงแต่ในแง่มุมที่น่าจะทำให้เรามองเห็นประโยชน์ และอนาคตของเครือข่ายโทรคมนาคมในบ้านเรา เราก็มานับวันรอกันที่จะได้ใช้เครือข่าย broadband ความเร็วสูงกันเถอะครับ และช่วยภาวนาให้มันเสถียร และราคาอยู่ในจุดที่พอรับได้ด้วยนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สรุปการสัมมนา vmware virtualization series 2009

วันนี้ (19 พ.ย. 2552) ผมได้ไปฟังสัมมนา Virtualization Seminar Series โดย vmware ที่โรงแรม Conrad ก็ขอถือโอกาสมาเล่าให้ฟังแล้วกันครับ สำหรับบรรยากาศทั่ว ๆ ไปของงานน่าจะเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อให้บริษัทได้นำเสนอเทคโนโลยีการทำ Virtualization และ Cloud computing ซึ่งใช้ vmware เป็นฐานในการทำงาน สรุปง่าย ๆ คือเป็นการมาขายของ โดยให้ความรู้ประกอบ ซึ่งเดี่ยวนี้จะเห็นการตลาดในลักษณะนี้เยอะพอสมควร ตัวอย่างหนึ่งก็คือวารสารไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งเดี๋ยวนี้บทความส่วนใหญ่จะเขียนโดยบริษัท คือจะเป็นเชิงให้ความรู้ และโฆษณาสินค้าของตัวเองไปในตัว กลุ่มเป้าหมายของการสัมมนาครั้งนี้ก็คือฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัทต่าง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นลูกค้าของ vmware ในอนาคต ส่วนผมไปก็คงเป็นส่วนเกิน ไปกินข้าวฟรี น้ำฟรีและขนมฟรี และก็ไม่ได้ซื้อของอะไรเขา เพราะตัวเองผลิตภัณฑ์ vmware ที่ใช้ก็คือ vmware player ที่ฟรี ส่วน vmware Workstation ก็โหลดมาใช้ตอนที่ต้องการจะสร้าง Virtual Machine เท่านั้น ก็เห็นเขาส่งอีเมลมาเชิญ ก็เลยลงทะเบียนไป สงสัยงวดต่อไปเขาไม่เชิญแล้ว

คราวนี้ลองมาสรุปประเด็นต่าง ๆ ที่ ผมได้มาจากการสัมมนาครั้งนี้บ้าง เริ่มต้นจาก vSphere 4.0 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ vmware สำหรับ Cloud Computing สำหรับตัวนี้ใครสนใจก็คลิกดูเลยแล้วกันครับ

ส่วนที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือ vmware View 4.0 ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับ cloud computing ในระดับ desktop สำหรับตัวนี้ขอขยายความหน่อยแล้วกันครับ เพราะอาจจะเป็นตัวที่มีโอกาสได้ใช้มากกว่า หลักการคร่าว ๆ ของ vmware View เป็นดังนี้ครับ ปกติเวลาเราสร้าง virtual machine เราก็จะต้องนำมาทำงานบนเครื่อง client โดยทำงานผ่าน vmware player แต่สำหรับแนวคิดของ vmware View คือเป็นการขยายแนวคิดของ cloud computing มาสู่ desktop คือจะสร้าง virtual machine ขึ้นมาแล้วเก็บไว้บน server จากนั้นผู้ใช้ก็ใช้โปรแกรม vmware View ติดต่อเข้ามาเพื่อใช้งาน virtual machine ซึ่งข้อดีของการทำอย่างนี้ก็มีหลายประการคือ ตอนนี้ผู้ใช้จะสามารถใช้เครื่องไหนก็ได้ ที่มี vmware View ติดตั้งอยู่ ในการใช้งาน virtual machine หรืออาจจะใช้แค่ thin client ซึ่งมีราคาถูก ก็สามารถใช้งาน virtual machine ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังง่ายต่อการดูแลเพราะ virtual machine ถูกเก็บไว้ที่ server ทาง vmware ยังได้คิดโพรโตคอลของตัวเองคือ PCoIP ซึ่งมีจุดประสงค์ให้การทำงานต่าง ๆ เช่นการถอดรหัสวีดีโอทำที่ server และส่งผลลัพธ์เป็น pixel มายัง client ซึ่งจะทำให้ client แสดงผลลัพธ์ได้ถูกต้องไม่ว่าจะเป็นวีดีโอในรูปแบบใด

ในงานมีการสัมภาษณ์ลูกค้าที่ใช้ vmware คือ ปตท. และบริษัท NetApp ซึ่งเป็น Solution Provider ที่เป็นพันธมิตรกับ vmware ทาง IBM ก็ได้มาพูดถึง Solution ทางด้าน cloud computing ที่ทาง IBM ได้เตรียมไว้ เช่น Lotus Live ซึ่งเป็นบริการในรูปการทำงานร่วมกันในองค์กร ซึ่ง IBM ให้ทดลองใช้ฟรีได้ 30 วัน ซึ่งตรงนี้ผมว่าพวกเราที่ใช้ Google Application คงจะเฉย ๆ นะครับ เพราะใช้กันมาตั้งนานแล้ว และฟรีด้วย Solution ที่น่าสนใจจริง ๆ ผมว่าน่าจะเป็น IBM cloudburst ซึ่งเป็น Solution สำเร็จรูปสำหรับองค์กรที่ต้องการทำ cloud computing นอกจากนี้ก็มี EMC มาพูดเรื่องเกี่ยวกับการจัดการ Storage และ Dell กับ HP ก็มาพูดถึง Solution ที่ได้เตรียมไว้สำหรับ Cloud computing จริง ๆ แล้วยังเหลืออยู่อีกสอง session ซึ่งผมไม่สามารถอยู่จนจบได้ เนื่องจากติดธุระในช่วงเย็น เสียดายจริง ๆ ครับ เขาจะมีการจับรางวัลด้วย โดยรางวัลจะเป็น โน้ตบุ๊ก Fujitsu กับเครื่อง Wii ว่าจะไปลุ้นเครื่อง Wii มาให้ลูกเล่นเสียหน่อยอดเลย

โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่างานนี้ก็เป็นงานสัมมนาขายสินค้าแบบหนึ่ง แต่ที่ผมได้จากการเข้าสัมมนาครั้งนี้ก็คือการได้เห็น Solution ทางด้านการทำ virtualization และ Cloud computing ซึ่งตัวผมเองนั้นไม่ได้มีประสบการณ์การทำงานด้านนี้จริง ซึ่งก็พอจะทำให้มองเห็นภาพจากสิ่งที่รู้มาในภาคทฤษฎีมากขึ้น

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ภาษาโปรแกรมสำหรับยุคต่อไป

หลังจากบทความที่ผ่าน ๆ มา เป็นการเล่าเรื่องทางไอทีที่น่าสนใจให้ฟัง บทความนี้ก็ขอเขียนเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมบ้างนะครับ ผมเคยได้รับคำถามจากนักศึกษาว่าเขาควรจะศึกษาภาษาอะไรดี ซึ่งผมก็ได้ตอบไปว่าให้เรียนภาษาที่สอนกันที่คณะ (Java) ให้เข้าใจแนวคิดการเขียนโปรแกรม แล้วจะสามารถนำไปประยุกต์กับภาษาอื่น ๆ ได้โดยไม่ยาก พอดีวันนี้ได้ไปอ่านบทความนี้ครับ http://www.infoworld.com/article/08/06/23/26NF-dynamic-scripting_1.html เห็นว่าน่าสนใจดี และเกี่ยวข้องกับที่นักศึกษาเคยถามก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง ในบทความเขาบอกว่าภาษาสคริปต์จะเปิดยุคใหม่ของการเขียนโปรแกรมครับ ซึ่งเขาเรียกว่า programming to the masses ครับ ซึ่งผมก็ขอแปลว่าการโปรแกรมเพื่อมวลชนครับ :) ซึ่งผมเข้าใจว่าเขาจะเน้นว่าภาษาสคริปต์พวกนี้เขียนได้ง่าย ดังนั้นน่าจะมีผู้คนที่เขียนภาษาเหล่านี้เป็นกันมากขึ้น โดยภาษาสคริปต์ที่ใช้กันบนฝั่งไคลแอนต์ส่วนใหญ่ก็จะเป็น JavaScript ส่วนภาษาสคริปต์บนฝั่งเซอร์ฟเวอร์ก็จะเป็น PHP ซึ่งคงเห็นนะครับว่าก็ไม่ใช่ภาษาใหม่อะไรเลย แต่เป็นภาษาที่เรารู้จักกันมานานแล้ว ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ในความเห็นของผมเป็นดังนี้ครับ ประการแรกก็คือความแพร่หลายของการใช้เว็บเป็นแพลตฟอร์มในการพัฒนาระบบ ความแพร่หลายของเว็บเซอร์วิส ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของคอมพิวเตอร์ และคุณลักษณะบางอย่างที่ทำให้ผู้พัฒนาโปรแกรมรู้สึกว่าการพัฒนาโปรแกรมทำได้ง่ายขึ้น เช่นการที่ตัวแปรเป็นแบบไดนามิก คือสามารถเปลี่ยนประเภทไปได้ตามประเภทข้อมูลที่ใช้ในขณะนั้น (แต่อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะครับ บางคนอาจไม่ชอบคุณลักษณะที่เป็นไดนามิกแบบนี้ก็ได้) นอกจากสองภาษานี้แล้วก็ยังมีภาษาอื่น ๆ ที่น่าสนใจที่แนะนำในบทความครับเช่น python และ Ruby ถึงตรงนี้แล้วหลายคนก็อาจมีคำถามว่าถ้าอย่างนั้นภาษา Java ภาษา C ภาษา C++ นั้นไม่จำเป็นแล้วใช่หรือไม่ ซึ่งผมก็คงต้องตอบว่าไม่ใช่ ในความเห็นผมภาษาสคริปต์ต่าง ๆ เหล่านี้ เหมาะสมกับการทำงานในลักษณะที่จะเป็นตัวเชื่อม โดยเรียกใช้คอมโพเนนต์ต่าง ๆ ที่มีอยู่มาใช้งานร่วมกัน ส่วนคอมโพเนนต์ต่าง ๆ เหล่านี้ก็ยังคงจะต้องพัฒนาโดยใช้ภาษาหลัก ๆ อยู่ดี ซึ่งตามหลักการของการพัฒนาระบบแบบคอมโพเนนต์นั้น จะมีอยู่สองส่วนด้วยกันคือการพัฒนาเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ (development for resue) และการพัฒนาโดยนำสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ (development with reuse) ภาษาอย่าง C++ หรือ Java ก็จะใช้ในการพัฒนาส่วนแรก ส่วนภาษาสคริปต์เหล่านี้ก็จะอยู่ในส่วนที่สอง ในส่วนของบทความผมเห็นด้วยในส่วนที่ว่ามีความเป็นไปได้ที่ภาษาเหล่านี้โดยเฉพาะส่วนที่อยู่บนฝั่งไคลแอนต์ จะกลายมาเป็นภาษาหรับมวลชนจริง ๆ ลองสังเกตุจากพวก Social Web เช่นพวก Hi5 หรือ bloggang ของเราดูนะครับ ตอนนี้ผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป เริ่มรู้จักการเขียนภาษา HTML แล้ว โดยอาจจะเริ่มต้นจากการคัดลอกจากเว็บอื่นมาใส่เว็บตัวเอง จากนั้นก็เริ่มศึกษาแล้วก็สามารถเขียนโค้ดของตัวเองได้ ซึ่งผมคิดว่าก็อาจจะเกิดขึ้นได้กับภาษาอย่าง JavaScript เช่นกัน

ดังนั้นก็ฝากไว้ครับว่า ต่อไปผู้ใช้ทั่ว ๆ ไปก็อาจจะเขียนโปรแกรมกันได้แล้ว ส่วนพวกที่เรียนกันมาทางสายคอมพิวเตอร์โดยตรงแล้วยังเขียนโปรแกรมไม่ได้นี่ก็... ลองเติมกันดูเองนะครับ

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เมื่อผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อพิมพ์เอกสาร Word 23 หน้า (ภาค 2 ตอนสาเหตุ จบ )

กลับมาแล้วครับหลังจากห่างหายไปหลายวัน ไม่คิดเลยครับว่าจะยุ่งได้ขนาดนี้ แล้วยังมาเกิดอุบัติเหตุส่วนตัวอีก เอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะครับ มาที่บทความดีกว่า...

สำหรับบทความนี้ก็สืบเนื่องมาจากบทความก่อนหน้านี้ครับ จะเรียกว่าเป็น CSI (Thailand & Blogger) ก็น่าจะได้นะครับ คือมีผู้ที่ได้อ่านบทความได้สอบถามเข้ามาทั้งในบล็อก และนอกบล็อกว่า สาเหตุมันคืออะไร .rtf มันคืออะไร ทำไมมันถึงใหญ่จัง และทำไมมันถึงแก้ปัญหาได้ วันนี้ก็เลยจะมาเล่าให้ฟังกันครับ



เริ่มจากไฟล์นามสกุล .rtf ก่อนแล้วกันนะครับ ชื่อเต็มของ .rtf คือ rich text format ครับ ถ้าอ้างอิงตามเว็บของไมโครซอฟต์ http://msdn.microsoft.com/en-us/library/aa140277.aspx ก็จะได้ว่าจุดประสงค์ของรูปแบบไฟล์แบบนี้คือจัดเตรียมรูปแบบสำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นข้อความและภาพกราฟิกส์ ให้ใช้ได้บนอุปกรณ์แสดงผลที่ต่างกัน หรือทำงานในสภาพแวดล้อมและระบบปฏิบัติการที่ต่างกัน



ในปัจจุบันโปรแกรมประมวลผลคำ (word processor) หลายตัวสนับสนุนรูปแบบไฟล์แบบนี้ครับ ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่เราจะสามารถแลกเปลี่ยนเอกสารระหว่างโปรแกรมประมวลผลคำต่าง ๆ (แม้แต่ของ MS-Word แต่คนละรุ่นนี่ถ้าเป็น .doc ก็อาจคุยกันไม่ได้นะครับ) ก็คือให้จัดเก็บเป็นนามสกุลแบบ .rtf สำหรับเอกสารที่เราจัดเก็บเป็น .rtf แล้ว (และไฟล์ไม่ใหญ่มากจนเกินไป) เราอาจใช้ โปรแกรมอ่านแฟ้มข้อความอย่าง Notepad เปิดขึ้นมาอ่านได้เลยครับ ซึ่งตัวอย่างหน้าตาของข้อมูลที่เก็บอยู่ใน .rtf ที่ลองเปิดขึ้นมาโดยใช้โปรแกรม Notepad ก็เป็นดังนี้ครับ



\rsid12662449\rsid13787157\rsid14054252}{\*\generator Microsoft Word 11.0.6359;}{\info{\title This is a test document for rich text
format}{\author user}{\operator user}{\creatim\yr2008\mo6\dy20\hr17\min30}{\revtim\yr2008\mo6\dy20\hr17\min30}{\version2}


เห็นแล้วเวียนหัวไหมครับ ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดก็เชิญตามลิงก์ที่ให้ไว้ด้านบนได้เลยนะครับ สำหรับผมขอบายครับ...


เอาละครับคราวนี้ก็มาถึงคำถามว่าแล้วทำไมมันใหญ่จัง เอกสาร Word ต้นฉบับแค่ 2 เมกะไบต์กว่า ๆ ทำไมมันถึงขยายได้เป็น 34 เมกะไบต์ คำตอบก็คือวิธีการที่มันใช้ในการเข้ารหัสรูปภาพครับ เพราะมันจะเอารูปภาพในเอกสารของเรามาเข้ารหัสโดยตัวอักษรครับ อย่างผมลองสร้างเอกสาร MS-Word 1 หน้า ที่มีรูป 1 รูป จัดเก็บเป็น .doc มีขนาดแค่ 165 กิโลไบต์ครับ แต่พอจัดเก็บเป็น .rtf มีขนาด 2.7 เมกะไบต์ ลองใช้
Notepad เปิดดูจึงเห็นว่าส่วนที่เป็นรูปภาพมีการใช้ตัวอักษรเข้ารหัสแทนรูปภาพดังกล่าวอยู่เต็มไปหมด ส่วนเอกสารที่ภรรยาผมส่งมาให้พิมพ์ 23 หน้ามีรูปทุกหน้าครับ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจกับขนาดที่เพิ่มขึ้นนะครับ


ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไรทำไมถึงพิมพ์ไม่ออก ครับปัญหาน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของการจัดเก็บเป็น .doc ครับ คือต้องบอกตามตรงว่าผมก็ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ผมได้ลองไปค้นหาคำแนะนำสำหรับปัญหาต่าง ๆ ในเว็บไซต์ของไมโครซอฟต์ ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเอกสาร .doc ก็ได้เห็นคำแนะนำอย่างเช่น ให้คัดลอกข้อความในเอกสารไป แต่อย่าเอาการจัดหน้าหน้าสุดท้ายไปนะ แสดงว่าปัญหาอาจเกิดจากการเข้ารหัสของการจัดหน้า (แอบดีใจครับ แสดงว่าเรามั่วอย่างมีหลักการเพราะที่ผมตัดสินใจตัดสองหน้าแรกทิ้งไปก็เพราะคิดว่าการจัดหน้าของสองหน้าแรกอาจทำให้ไฟล์มีปัญหา) และยังมีคำแนะนำให้จัดเก็บแฟ้มเป็น .rtf ด้วยนะครับ (มั่วถูกอีกแล้ว) ซึ่งผมเข้าใจว่าที่การจัดเก็บเป็นแฟ้ม .rtf จะช่วยได้ก็เพราะมันต้องมีการเขียนข้อมูลในใหม่ทั้งหมดในรูปของข้อความ ดังนั้นข้อมูลที่มีปัญหาจึงน่าจะถูกกำจัดออกไปครับ


ผมอยากแนะนำอย่างหนึ่งครับ จากประสบการณ์ที่ผมใช้โปรแกรมไมโครซอฟต์มาถ้าเกิดปัญหากับไฟล์วิธีการที่ผมใช้แก้ปัญหาได้ส่วนใหญ่คือจัดเก็บมันเป็นไฟล์ใหม่ อย่างเช่นผมเคยใช้ Powerpoint ทำไสลด์เตรียมสอน มีสไลด์ไม่กี่หน้าเองครับ แต่มีรูปเยอะหน่อย แล้วผมก็แก้ไปแก้มา อยู่ ๆ ขนาดของไฟล์มันกลายเป็นเกือบ 30 เมกะไบต์ ผมก็เลยลองจัดเก็บเป็นไฟล์ใหม่ ได้ผลครับขนาดลดลงเหลือ 5 เมะไบต์ ดังนั้นถ้ามีปัญหาผมก็จะลองใช้วิธีนี้ก่อน ซึ่งมีคราวล่าสุดนี่แหละครับที่ไม่ได้ผล แต่จริง ๆ ก็เกือบได้ผลเพียงแต่ต้องเปลี่ยนประเภทของไฟล์ด้วยเท่านั้น


สำหรับข้อคิดหลัก ๆ ที่ผมได้จากเรื่องนี้คือให้ใจเย็น ๆ ครับ ทำอะไรก็ให้มีสติไว้ อย่างผมนี่ถ้าจริง ๆ ตั้งสติให้ดีหน่อยคิดหาวิธีแก้อย่างเป็นระบบไม่ลองมั่วไปมั่วมาตั้งแต่ต้น อาจไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วโมงก็ได้


อ้อมีเรื่องตื่นเต้นปิดท้ายครับคือภรรยาของผมเธอส่งเอกสาร Ms-Word มาให้พิมพ์อีกแล้วครับคราวนี้ 3 หน้าครับ... ไม่ต้องตกใจครับคราวนี้พิมพ์ออกปกติ เธอบอกว่าขี้เกียจเปิดเครื่องพิมพ์ที่บ้านครับ ดู่ดู๊ดูดูเธอทำ....