วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2566

การสำรวจพบว่าหนึ่งในสี่ของผู้ทำอาชีพด้านเทคพร้อมจะออกจากงาน

sleeping-work-hard
ภาพจาก ZDNet

การสำรวจโดยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มระบบอัตโนมัติ Ivanti พบว่า 25% ของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีกำลังพิจารณาลาออกจากงานในอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งสาเหตุหลักมาจากภาระงานจำนวนมาก ความเครียด และความโดดเดี่ยวที่เชื่อมโยงกับการทำงานจากระยะไกล

การสำรวจผู้บริหาร ผู้เชี่ยวชาญ และพนักงานออฟฟิศจำนวน 8,400 คนยังพบว่าผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีมีแนวโน้มมากกว่าพนักงานที่มีความรู้อื่นๆ ถึง 1.4 เท่าที่จะ "ลาออกอย่างเงียบ ๆ" โดยสร้างความเสียหายให้กับนายจ้างในสหรัฐฯ ที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 145 พันล้านดอลลาร์

ประมาณ 31% ของผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่กำลังพิจารณาลาออก อ้างว่าสุขภาพจิตไม่ดี รายงานระบุว่าปริมาณงานด้านไอทีเพิ่มขึ้น 73% อันเป็นผลมาจากการทำงานแบบไฮบริดหรือการทำงานระยะไกล ผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีอย่างน้อย 25% กำลังประสบปัญหาความเหนื่อยล้า และ 23% กล่าวว่าพวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกับเพื่อนร่วมงานน้อยลง

อ่านข่าวเต็มได้ที่: ZDNet

วันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ความรู้สึกหลังเลือกตั้งจนได้รัฐบาลใหม่

ภาพจาก รายการกรรมกรข่าวคุยนอกจอ


มาพบกับ #ศรัณย์วันศุกร์ กันอีกครั้งหลังจากไม่ได้เจอกันนาน ในสัปดาห์นี้เราก็ได้ตัวนายกกันสักทีหลังจากที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วเกือบสามเดือน มีปรากฏการณ์เกิดขึ้นมากมายที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น ดังนั้นผมเลยคิดว่ามาลองสรุปความเห็น ความรู้สึกตัวเองไว้สักหน่อยดีกว่า

เริ่มจากผลการเลือกตั้งก่อนแล้วกันนะครับ ผลการเลือกตั้งออกมาต้องบอกว่าผมดีใจ และประหลาดใจ ซึ่งความประหลาดใจนี้ก็คงเหมือนกับหลายคนที่พรรคที่ชนะอันดับหนึ่งคือก้าวไกล โดยชนะเพื่อไทยไป 10 เสียง แต่เป็นสิบเสียงของบัญชีรายชื่อ ซึ่งถ้านับเสียงจริง ๆ ก็ราว ๆ สี่ล้านคะแนน ส่วนผลเขต ก้าวไกลได้เท่าเพื่อไทย และเอาชนะเพื่อไทยได้ในหลาย ๆ เขตที่ควรเป็นของเพื่อไทย ส่วนที่ดีใจคือผลเลือกตั้งคราวนี้ อย่างน้อยมันก็เป็นตัวบ่งชี้ระดับหนึ่งว่า คนไทยค่อนประเทศบอกว่าพอได้แล้ว ไม่เอาแล้วกับพวกยึดอำนาจ ซึ่งบริหารประเทศไม่ได้เรื่องด้วย คือถ้าบริหารประเทศได้เรื่อง อาจไม่แพ้ยับขนาดนี้

จากนั้นก็มีการจับมือกันของแปดพรรคนำโดยก้าวไกล และเพื่อไทย ซึ่งเอาจริง ๆ มันไม่น่าเกิดขึ้น แต่ผู้คนเชียร์ให้มันเกิดขึ้น เพราะคิดว่าสองพรรคนี้สู้กับฝั่งยึดอำนาจมาด้วยกันตอนเป็นฝ่ายค้าน แต่ความเป็นจริงสองพรรคนี้ต่างกันมาก ก้าวไกลยืนอยู่บนหลักการจนดูเหมือนไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม ซึ่งก็ไม่ผิด เราควรคาดหวังว่าเราควรมีพรรคแบบนี้ไหม?  พวกที่ขัดขวางการเลือกตั้งจนประยุทธ์เข้ามา โดยอ้างว่าต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง จริง ๆ ควรดีใจด้วยซ้ำที่มีพรรคแบบนี้ แต่ข้อเสียคือด้วยระบบการเมืองแบบนี้ ถ้าพรรคแบบนี้ไม่ชนะขาด และไม่มีพรรคอื่น ๆ ที่มีหลักการเหมือนกัน โอกาสที่จะได้ทำงานมันก็ยาก ส่วนเพื่อไทยนั้นเป็นการเมืองแบบเก่า และเป็นมานานแล้ว คือสามารถประนีประนอม เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจบริหาร ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรนะ เพราะในการเมืองแบบนี้ มันก็ต้องทำแบบนี้ ถึงจะได้อำนาจ ได้โอกาสเข้ามาทำงาน    

ดังนั้นการจับมือที่เกิดขึ้นคิดว่าเพื่อไทยอาจจะกำลังช็อคอยู่ที่แพ้ และด้วยเสียงเชียร์ก็เลยจำต้องตกลงเข้าร่วม ความเป็นจริงเพื่อไทยน่าจะคาดหวังว่าตัวเองควรจะได้เกิน 250 และก้าวไกลได้ไม่เกิน 100 ดังนั้นถ้าจับกับก้าวไกลแล้วมีปัญหาก็อาจจะไปเอาภูมิใจไทย ชาติพัฒนาอะไรพวกนี้มาร่วมแทน แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็เลยต้องตามน้ำไป    

และเราก็ได้เห็นกลไกการยึดอำนาจที่สืบทอดกันมาคือ สว. สำแดงเดช ซึ่งจริง ๆ กลไกนี้ ควรจะได้สำแดงเดชตั้งแต่สี่ปีที่แล้วแล้ว แต่บังเอิญเพื่อไทยไม่ได้ชนะขาดตามที่คาด ดังนั้นพวกสว.ก็อ้างว่าก็โหวตตามเสียงสส.นั่นแหละ แต่คราวนี้ใครที่มีใจเป็นธรรมก็คงเห็นแล้วว่าเขาโหวตกันยังไง  เรื่องต่าง ๆ ที่ยกมาเป็นข้ออ้างทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่อง ม.112 ซึ่งมันเป็นกฎหมายหนึ่งมาตรา ซึ่งต้องคุยกันในสภา ในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีพรรคไหนได้เสียงเกินครึ่งเลยสักพรรค และสส.ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยเรื่องจะแก้ ยังไงมันก็ไม่ผ่านอยู่แล้ว ดังนั้นคราวที่แล้วใครที่เชียร์ประยุทธ์ และเถียงหัวชนฝาว่าใครรวมเสียงข้างมากได้สว.เขาก็โหวตให้ทั้งนั้น  หวังว่าจะเห็นแล้วนะ 

ด้วยความที่พรรคของประยุทธ์และประวิตรแพ้ขาด มันก็แทบจะปิดทางที่สองคนจะกลับมา ดังนั้นฝั่งอำนาจก็ต้องเลือก และเขาเลือกเพื่อไทย เพราะคิดว่ายังไงมันก็การเมืองแบบเก่า มันคุยกันได้ มันประนีประนอมกันได้ ถ้ายอมก้าวไกล โครงสร้างอำนาจต่าง ๆ ที่วางไว้มันก็คงพังหมด จึงเกิดปรากฏการณ์สลายขั้วแปดพรรคอย่างที่เห็น ซึ่งเพื่อไทยก็เอาด้วยอยู่แล้ว เพราะ(อาจ)ไม่อยากร่วมแต่แรก และอยู่กับก้าวไกลมันมองไม่เห็นทางเพราะพวกที่มีอำนาจเขายืนยันว่าไม่เอา ตัวเองเป็นพรรคพร้อมประนีประนอมเพื่อให้ได้อำนาจปกครองอยู่แล้ว  ก็จำยอมเสียมวลชนไปบางส่วน และคิดว่าจะบริหารให้ดี ถ้าทำดีได้ ก็อาจได้มวลชนกลับมา ซึ่งก็อาจจะจริงก็ได้นะ ก็ต้องรอดูกันไป 

ถามว่าตัวเองรู้สึกผิดหวังหรืออะไรไหม คำตอบคือไม่ ใครจะเป็นรัฐบาลก็ได้ เอาจริง ๆ ตัวเองไม่เดือดร้อนนะ แต่ขอให้มาตามหลักการตามกติกา และรู้จักรอ ไม่ใช่เกลียดใครพอเขาทำอะไรก็ผิดไปหมด ลงถนนประท้วงปิดบ้านปิดเมือง เขาให้ไปเลือกตั้งก็ไม่ไป ไอ้ไม่ไปก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ไปขัดขวางก่อความวุ่นวายจนเลือกตั้งเป็นโมฆะ แล้วเปิดโอกาสให้ทหารเข้ามายึดอำนาจ แล้วก็ไชโยโห่ร้องว่าชนะแล้ว แต่ฝ่ายที่ตัวเองชอบมีอำนาจ ทำเหมือนกันแต่เหมือนโดนสากอุดปาก ไอ้พวกโดนสากอุดปากไม่พูดอะไรนี่ก็ยังดี บางคนเอาสากออกจากปากมาแก้ตัวให้ข้าง ๆ คู ๆ อีก หลายครั้งต้องหงุดหงิดกับตรรกะประหลาด ๆ ของคนพวกนี้ 

ในกรณีนี้ที่ได้เพื่อไทยเป็นแกนนำ ถึงแม้จะต้องจับกับพรรคยึดอำนาจเก่า ยังไงมันก็อยู่ในกติกานะ ดังนั้นไม่เห็นด้วยถ้าจะประท้วงปิดบ้านปิดเมืองกัน ก็รอให้เขาทำงานไป แล้วดูผลงาน จริง ๆ ต้องเอาใจช่วยด้วยซ้ำว่าเขาจะเก่งเหมือนที่เคย เพราะเก้าปีที่ผ่านมาภายใต้ประยุทธ์ มันดูเละเทะมาก ถ้ามันยังเละต่อไปอีก คราวนี้ได้เดือนร้อนกันถ้วนหน้าแน่

แต่ถ้าถามว่าหงุดหงิดอะไรที่สุด คำตอบก็คือ กลไกยึดอำนาจนี้มันยังทำงานอยู่ ดึใจได้วันสองวันวันที่ผลเลือกตั้งออกมาว่าพวกยึดอำนาจแพ้ขาด นึกว่ามันจะสำนึกยอมแพ้ เพราะก็อยู่มาเก้าปีแล้ว แต่มันก็ไม่ยอมและสุดท้ายคนที่ชนะก็ยังเป็นพวกมันอยู่ดี ชี้ว่าจะเอาอะไร จะไม่เอาอะไรได้หมด และตอนนี้ก็ดูแล้วกัน ตามข่าวที่ออกมา (ุถ้าจริง) ก็ดูเหมือนว่าจะมีการชี้ว่าที่รมต.กลาโหม ซึ่งคือคนของประยุทธ์ ถ้าเป็นแบบนี้จริงก็เท่ากับว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ชนะ ประยุทธ์ที่บอกวางมือ อาจไม่ได้วางมือ และประวิตรก็อาจรอเสียบอยู่ 

ที่หงุดหงิดถัดมาก็เพื่อไทยนี่แหละ ทำไมยังสยบยอมมันทุกอย่าง ตอนนี้ตัวเองได้นายกแล้ว มันน่าจะแสดงความเข้มแข็งเด็ดขาดออกมาบ้างไหม อย่างแก้รัฐธรรมนูญ ตอนแรกก็เสียงแข็งแก้แน่ พอเข้ามาเป็นจะแก้รัฐธรรมนูญ ตั้งสสร. ร่างใหม่ทั้งฉบับ คงหวังจะได้มวลชนคืนบ้าง (อ้างเหมือนประชาธิปัตย์ตอนเข้าร่วมกับประยุทธ์เป๊ะ ผ่านมาจนครบอายุ ไม่เห็นจะรณรงค์ให้แก้อะไรได้) แต่สุดท้ายตอนนี้เสียงอ่อนแล้ว "มันเป็นแค่การรณรงค์หาเสียง จริง ๆ ยังไม่ได้มีนโยบายอะไรออกมา" (ต่อไปเพื่อไทยหาเสียงอะไร ก็ไม่ต้องเชื่อแล้วสินะ เพราะเป็นแค่การรณรงค์)  

แล้วก็ยังคำว่าสลายขั้วสลายความขัดแย้งอีก เบื่อมาก มันสลายยังไง แค่หัวที่เคยขัดแย้งกันมารวมกันเพื่ออำนาจ มวลชนตัวเองเขาเอาด้วยหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วที่ถีบหัวที่มีคนสนับสนุนอย่างน้อย 14 ล้านเสียงออกมาแบบหาเรื่องเขานี่ คือถ้าเป็นคนนี้ยังไงก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่เอาเพราะพูดว่าจะแก้ 112  อีกคนก็พูดเหมือนกันแต่ไม่เป็นไรยอมได้ ตรงนี้นี่มันไม่ได้สร้างความขัดแย้งเลยใช่ไหม หรือคน 14 ล้านนี้ไม่ต้องสนใจมัน 

โอเคก็ขอบันทึกไว้แค่นี้แล้วกันครับ เอาใจช่วยรัฐบาลใหม่ฟื้นเศรษฐกิจของประเทศ สภาช่วยกันแก้กฏหมายให้มันเป็นธรรม โละองค์กรอิสระที่ทำงานไม่ได้เรื่อง ไม่ทำหน้าที่ที่ึควรทำ และไม่มีความจำเป็นออกไป รอเวลาที่อำนาจจะกลับมาในมืออีกครั้ง ถึงวันนั้นก็หวังว่าเสียงที่เราโหวตไปมันจะเป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่มีเรื่องอะไรที่มันไม่ปกติมาขวางอีก หวังว่าจะไม่มีการปิดบ้านปิดเมืองเรียกทหารออกมาอีก และพวกสว.ชุดนี้ ควรจะมีสำนึกโดยเลิกกลับเข้ามาทำงานการเมืองกันได้แล้ว โดยเฉพาะคนที่เกาะสภามาเป็นสิบ ๆ ปี ปากบอกรักธรรมนูญเหลือเกินอย่ามาแตะต้อง แต่พอพวกทหารออกมาฉีกก็เงียบกริบ รอวันถูกเรียกใช้ไปเป็นสภาตรายาง และก็ทำทุกอย่างเพื่อช่วยสืบทอดอำนาจ ไม่รู้ว่าจะหวังมากไปไหมว่า ถ้ามีช่องทางจะเอาผิดคนพวกนี้ได้ก็อยากให้ทำ รวมถึงพวกยึดอำนาจด้วย นายกที่มีที่มาจากยึดอำนาจ ให้ไม่นับว่าเคยเป็นนายก  


ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในยุโรปฝึกตัวแบบภาษาขนาดใหญ่ในฟินแลนด์

AI
ภาพจาก Computer Weekly

University of Turku ของฟินแลนด์เป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการวิจัยของมหาวิทยาลัยในยุโรป 10 แห่งที่ร่วมมือกันพัฒนาตัวแบบภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) หรือ LLM ในภาษาต่าง ๆ ของยุโรป

นักวิจัยกำลังฝึกอบรมตัวแบบภาษาที่คล้ายกับ GPT บน LUMI (Large Unified Modern Infrastructure) ซึ่งเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดของยุโรป ซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์ข้อมูล CSC ในเมือง Kajaani ประเทศฟินแลนด์

ความพยายามนี้มีความสำคัญเนื่องจาก LLM ต้องการข้อความจำนวนมากในภาษาที่ต้องการฝึก และพลังในการคำนวณที่เพียงพอในการฝึกอบรม LLM ด้วยข้อมูลนั้น

Aleksi Kallio จาก CSC กล่าวว่า "เมื่อ  LLM ถูกใช้งาน พวกมันก็เปรียบเสมือนกล่องดำ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจมัน ด้วยเหตุนี้การเปิดเผยให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในขณะที่กำลังสร้างตัวแบบจึงเป็นสิ่งสำคัญ และด้วยเหตุนี้ ฟินแลนด์จึงต้องการให้มีการฝึกฝน LLM ของตัวเองในฟินแลนด์

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Computer Weekly

วันพฤหัสบดีที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2566

รถไร้คนขับอาจมีปัญหาในการตรวจจับเด็กและคนผิวเข้ม

driveless-car
Photo by Brock Wegner on Unsplash

นักวิทยาศาสตร์ในสหราชอาณาจักรและจีนประเมินเครื่องตรวจจับคนเดินถนนที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) หรือ AI จำนวน 8 เครื่องที่ใช้ในการวิจัยรถยนต์ไร้คนขับ และพบว่าอาจมีปัญหาในการตรวจจับเด็กและคนผิวเข้ม

นักวิจัยได้เรียนรู้ว่าเครื่องตรวจจับมีความแม่นยำในการระบุผู้ใหญ่สูงกว่าเด็กเกือบ 20% และสำหรับคนเดินถนนที่มีผิวสีอ่อนถึง 7.5% เมื่อเทียบกับผู้ที่มีผิวสีเข้ม

Jie Zhang จาก King's College London ในสหราชอาณาจักรกล่าวว่าแม้ว่ารายละเอียดซอฟต์แวร์ของผู้ผลิตรถยนต์จะเป็นความลับ แต่โดยทั่วไปแล้วข้อมูลเหล่านี้จะอยู่บนฐานของตัวแบบโอเพ่นซอร์สที่มีอยู่ ซึ่ง "จะต้องมีปัญหาที่คล้ายกันแน่นอน"

Carissa Véliz จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดในสหราชอาณาจักรกล่าวว่าปัญหาเหล่านี้จะต้องได้รับการแก้ไขก่อนที่จะปรับใช้ระบบ AI ในรถยนต์บนถนนจริง 

อ่านข่าวเต็มได้ที่: New Scientist

วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2566

หุ่นยนต์นักบินเหมือนคนที่ขับเครื่องบินได้ดีกว่านักบินที่เป็นคน

humanoid-pilot
ภาพจาก EuroNews

วิศวกรและนักวิจัยจาก Korea Advanced Institute of Science & Technology แห่งเกาหลีใต้ กำลังพัฒนาหุ่นยนต์เหมือนคนที่สามารถขับเครื่องบินได้โดยไม่ต้องดัดแปลงห้องนักบิน

"Pibot" สามารถใช้งานอุปกรณ์การบินแบบเดียวกับที่มนุษย์ใช้ แม้จะอยู่ท่ามกลางการสั่นสะเทือนที่รุนแรงผ่านเทคโนโลยีการควบคุมที่มีความแม่นยำสูง หุ่นยนต์สามารถตรวจสอบสถานะปัจจุบันของเครื่องบินได้โดยใช้กล้องภายนอกและควบคุมสวิตช์บนแผงควบคุมโดยใช้กล้องภายในตัวของมัน

Pibot ยังสามารถจดจำคู่มือที่ซับซ้อนในภาษาที่มนุษย์ใช้กัน รวมถึงแผนภูมิการนำทางการบินของ Jeppesen ทั้งหมด นักวิจัยคาดหวังว่าเมื่อสร้าง  P ibot เสร็จในปี 2026 มันจะสามารถขับเครื่องบินได้โดยไม่มีข้อผิดพลาด และเอาชนะการตอบสนองของมนุษย์ในสถานการณ์ฉุกเฉินด้วย ต้องขอบคุณความก้าวหน้าของตัวแบบภาษาขนาดใหญ่ (large language model) 

อ่านข่าวเต็มได้ที่: EuroNews