วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Nothing but trouble

สวัสดีครับ เวลาผ่านไปไวมากตอนนี้ปีใหม่ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งเดือน ผมยังแทบไม่ได้ทำอะไรที่วางแผนไว้เลยรวมถึงเรื่องที่ว่าจะอัพบล็อกนี้ให้ได้สักอาทิตย์ละเรื่อง จริง ๆ ในเดือนแรกของปีก็มีอะไรที่อยากจะเขียนถึงอยู่นะครับ แต่พอไม่มีเวลาเข้าเรื่องมันก็ผ่านไปจนหมดความน่าสนใจไปแล้ว และบางครั้งก็ลืมไปด้วยว่าตั้งใจจะเขียนเรื่องอะไร เฮ้อผมถ้าจะแก่แล้วจริง ๆ เอ้ากลับมาที่เรื่องที่จะเขียนวันนี้ดีกว่า บอกตามตรงว่าคิดหัวข้อภาษาไทยไม่ออก แต่พอดีคิดถึงหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งที่เคยดูสมัยยังเป็นหนุ่ม (มากกว่าตอนนี้) ได้ ก็คือเรื่อง Nothing but trouble และคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่จะมาเล่าให้ฟังวันนี้ครับ สำหรับเรื่อง Nothing but trouble นี่มีดาราดังอย่าง Demi Moore เล่นด้วยนะครับ แต่เป็นหนังที่ผมคิดว่าไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร เท่าที่จำได้คร่าว ๆ ก็คือเรือง ๆ ของเรื่องมันเริ่มจากเรื่องที่ไม่น่าจะมีอะไร จากการทำผิดกฏจราจรในเรื่องที่น่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างไม่ได้หยุดรถที่ป้ายหยุดในเมืองเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีรถวิ่ง แล้วก็นำไปสู่เรื่องไร้สาระมากมาย ผมลองไปค้นดูพบว่า Wikipedia เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ ถ้าใครสนใจก็ลองเข้าไปอ่านดูได้ตามลิงก์นี้ครับ Nothing but trouble (1991 film)

แต่สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องของพนักงานในร้าน Applebee ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ร้านอาหารในอเมริกาถูกไล่ออกด้วยสาเหตุมาจากการที่ไปโพสต์รูปใบเสร็จที่มีลายเซ็นและข้อความของลูกค้าที่แสดงความไม่พอใจที่มีการคิดค่าทิปอัตโนมัติ โดยลูกค้าคนดังกล่าวรู้สึกว่าจะเป็นบาทหลวงเสียด้วยครับ นี่คือรูปเจ้าปัญหาที่ถูกโพสต์ขึ้นไปครับ
ภาพจาก http://news.yahoo.com/blogs/sideshow/applebees-waitress-fired-pastor-receipt-193820748.html
จากรูปจะเห็นว่าลูกค้าไม่พอใจและขีดฆ่าค่าทิปออก และยังเขียนข้อความเชิงประชดประชันว่าฉันให้พระเจ้าแค่ 10% ทำไมเธอถึงจะได้ 18% ล่ะ นอกจากนี้ยังเขียนคำว่า Pastor ซึ่งถ้าแปลเป็นไทยก็น่าจะหมายถึงบาทหลวงอยู่เหนือลายเซ็นด้วย

ซึ่งพนักงานคนหนึ่งได้โพสต์รูปนี้ขึ้นไปที่ reddit โดยเธอบอกว่าเธอไม่มีความตั้งใจจะโพสต์เพื่อต่อว่าลูกค้าหรือประจานอะไร แต่เธอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีและอยากจะแบ่งปันไปทั่ว ๆ โดยเธอได้ชี้แจงว่าการที่ค่าทิปถูกคิดอัตโนมัติ เพราะถ้าลูกค้ามาเป็นกลุ่มเกินแปดคนระบบจะคิดค่าทิปอัตโนมัติเธอไม่ได้เป็นคนคิด และลูกค้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเธอยังชมว่าเธอทำงานดีด้วยซ้ำ ปัญหาก็มีเพียงแต่ว่าเขาไม่อยากจ่ายทิปก็แค่นั้น  

แต่เรื่องราวกลับมาเป็นเรื่องใหญ่โตเพราะว่าหลังจากรูปนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ลูกค้าคนดังกล่าวก็ได้มาร้องเรียนกับผู้จัดการร้านว่ารูปดังกล่าวทำให้เขาได้รับความอับอาย เพราะลายเซ็นของเขาบนใบเสร็จใบนั้นมีคนหลายคนที่จำได้ เป็นการทำลายชื่อเสียงของเขาต่อชุมชน ซึ่ง Applebee ได้ตอบสนองต่อคำร้องเรียนนี้ด้วยการไล่พนักงานคนดังกล่าวออกครับ ย้ำอีกทีครับว่าไล่ออก ด้วยเหตุผลละเมิดความเป็นส่วนตัว 

อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกกันอย่างไรบ้างครับ เรื่องทีเกิดขึ้นมันเริ่มจากเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรนะครับ ในยุคนี้ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของเราที่จะแชร์โน่นแชร์นี่ขึ้นอินเทอร์เน็ต แต่จากตัวอย่างนี้เราก็คงต้องระมัดระวังกันให้มากขึ้นแล้วล่ะครับ และผมก็เห็นว่าตอนนี้คนไทยก็เริ่มระวังกันมากขึ้นนะครับ อย่างที่เห็นล่าสุดก็คือมีการถ่ายรูปรถที่เป็นพวกจอมปาด (ไม่ใช่ปราชญ์) ชอบมาแซงคิวเขาขึ้นสะพานในขณะที่คนอื่นเขาต่อคิวกันอยู่ ก็มีการเบลอป้ายทะเบียนไว้

สุดท้ายก็คงสรุปว่าในต่างประเทศเขาให้ความเคารพสิทธิของลูกค้าและความเป็นส่วนตัวกันค่อนข้างมากนะครับ ถ้าเทียบกับประเทศเราแล้วก็คนละเรื่องกันเลย แต่กรณีนี้ถึงกับไล่ออกเลยผมว่ามันก็อาจจะมากไปหน่อยหรือเปล่า เพราะถ้าดูแล้วพนักงานก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรให้เสียหาย และข้อความที่อยู่ในใบเสร็จในสายตาผมก็ไม่ใช่ข้อความที่จะทำให้ชื่อเสียงของคนเขียนเสียหายอะไร หรือจะเป็นเพราะคนเขียนเป็นบาทหลวงแต่มาสารภาพว่าให้พระเจ้าแค่ 10% เดี๋ยวชาวบ้านจะไม่นับถือ...      

ที่มา Yahoo News!

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2556

ช่องสามช่วยตอบทีว่าอะไรอยู่เหนือเมฆ

สวัสดีปีใหม่อีกครั้งครับ สำหรับบล็อกนี้ก็เป็นบล็อกแรกในปีนี้นะครับ จริง ๆ ตั้งใจจะเขียนอีกเรื่องหนึ่ง แต่บังเอิญตอนที่กำลังจะเขียนก็มีกระแสเรื่องละครเหนือเมฆ 2 ถูกถอดออกจากช่องสามทั้งที่ยังฉายไม่จบ ก็เลยเปลี่ยนใจเขียนถึงเสียหน่อย บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยได้ตามดูละครเรื่องนี้นะครับ ดังนั้นผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร เท่าที่ดูผ่าน ๆ ก็เห็นมีเนื้อหาเกี่ยวกับนักการเมือง เวทย์มนตร์ ฉากบู๊ล้างผลาญ ยิงกัน ปล่อยพลังเหมือนหนังกำลังภายในอะไรประมาณนี้

ช่องสามก็ออกมาชี้แจงว่าที่ต้องแบนเพราะมีเนื้อหาไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่บอกว่าไม่เหมาะสมตรงไหน และก่อนที่จะเอาละครมาฉายนี่ไม่ได้ดูเนื้อหาก่อนหรือ ทำไมตอนที่อนุญาตให้ฉายถึงไม่คิดว่ามันไม่เหมาะสม แล้วทำไมตอนนี้มันถึงเกิดไม่เหมาะสมขึ้นมา หรือมันไปโดนต่อมดัดจริตของใครเข้า ละครตบตีกันแย่งผู้ชาย โวยวายโหวกเหวก กรี๊ดกร๊าด เลิฟซีนชัดเจน พวกนี้เป็นละครที่มีเนื้อหาเหมาะสม? แล้วตกลงใครควรเป็นคนคิดว่าอะไรเหมาะสม หรืออะไรไม่เหมาะสม คนไทยคิดเองไม่เป็นหรืออย่างไร

ละครก็คือละครจุดประสงค์หลักก็คือความบันเทิง ผมว่าคนส่วนใหญ่ก็คงไม่ได้จริงจังอะไรกับละคร เรื่องไหนชอบก็ดู เรื่องไหนไม่ชอบก็ไม่ดู จบเรื่องนี้ก็ดูเรื่องใหม่ บางเรื่องอาจมีข้อคิดบ้าง แต่ก็คงไม่มีใครที่ใช้ละครเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ดังนั้นผมว่าผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราก็อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้เลยครับ ที่พูดมานี่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องควบคุมดูแลกันเลย ไอ้ประเภทโป๊เปลือยเรทอาร์เรทเอ๊กซ์อะไรแบบนี้ก็คงปล่อยให้ออกมาในละครไม่ได้ และจริง ๆ เราก็มีการจัดเรทละครกันอยู่แล้ว ก็ทำให้มันชัดเจนเป็นจริงเป็นจัง ละครที่มีเนื้อหารุนแรงมีฉากที่คิดว่าไม่เหมาะสมกับเยาวชน เช่นสูบบุหรี่กินเหล้า เลิฟซีนชัดเจน นางเอกนางร้ายแต่งตัวโชว์ร่องอก ก็จัดเป็นเรท ฉ. ให้ฉายตอนดึกไปเลย จะได้ไม่ต้องไปทำเบลออะไรให้รำคาญ  ผมจะได้ดูได้ชัด ๆ ด้วย เอ๊ย ไม่ใช่ยังงั้น พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรจะดูแลให้ลูกหลานไม่ดูละครที่ไม่เหมาะกับวัยของตนด้วย อันนี้น่าจะรวมถึงหนังโรงด้วยนะครับ ผู้เกี่ยวข้องน่าจะเข้มงวดกันหน่อย

จริง ๆ ผมว่าไอ้ฉากกินเหล้าสูบบุหรี่นี่มันก็ไม่น่าจะต้องเซ็นเซอร์นะ เด็กก็ดูได้ ผมไม่คิดว่าเด็กจะกินเหล้าหรือสูบบุหรี่เพราะดูละครหรอก แล้วไปเบลอคิดว่าเด็กไม่รู้หรือว่าเขาทำอะไร ไปเบลอขวดเหล้าเสร็จแล้วตัวละครกินเสร็จก็เมา เด็กไม่ได้โง่นะครับจะได้เข้าใจว่าไอ้ที่เมาน่ะเมาโค้ก หรือไอ้ฉากเอาปืนขึ้นมาจ่อกันก็ดันเบลอปืนอีก ผมโตมาในยุคที่ไม่ได้เบลอพวกนี้นะครับ ผมไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และก็ไม่เคยเอาปืนไปจ่อหัวใคร อีกอย่างไอ้เบลอป้ายโฆษณาเหล้าตอนข่าวกีฬาจนดูไม่รู้เรื่องนี่ก็น่าจะเลิกด้วย

ชักออกนอกเรื่องแฮะ กลับมาเข้าเรื่องหน่อย ถ้าการแบนละครเหนือเมฆนี้มีสาเหตุมาจากเรื่องการเมืองจริง ๆ อย่างที่ว่ากัน ต่อไปเราก็คงได้ดูแต่ละครประเภทนางเอกปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วพระเอกไม่รู้ นางเอกหรือพระเอกปลอมตัวเป็นคนใช้ทั้งที่เป็นทายาทมหาเศรษฐี พระเอกเป็นเจ้าชายประเทศสมมติอะไรสักแห่ง บ้านทรายทอง 2013 ดอกส้มสีทอง 2014 แรงเงา 2015 หรือละครประเภทโลกสวยขณะที่ประเทศเราถูกจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ เรื่องคอรัปชัน แต่ละครต้องสร้างออกมาว่าเรามีรัฐบาล ข้าราชการที่โปร่งใสซื่อสัตย์อะไรประมาณนี้ แต่คิดอีกทีละครเรื่องหงส์สะบัดลายของช่องสามก็มีเรื่องนักการเมืองโกงนะ ทำไมไม่โดนแบน หรือมันไม่โดนต่อมดัดจริต

สรุปสุดท้ายอยากฝากช่องสามให้มีความชัดเจนครับ ชี้แจงไปเลยว่าแบนเพราะอะไร ถ้ามีใครสั่งก็ต้องกล้าเปิดเผย ตัวเองเป็นสื่อถ้าไม่กล้าเปิดเผยความจริง แล้วจะเป็นสื่อไปทำไม...

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ห้าอันดับบทความยอดฮิตประจำปี 2012

ขอเริ่มต้นบล็อกสุดท้ายของปีนี้ด้วยการอัญเชิญอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจงดลบันดาลให้ประเทศของเราสงบสุข และขอให้ทุกท่านที่คิดดีทำดีมีความสุขสมหวังตลอดปีใหม่นี้และตลอดไปนะครับ เวลาปีปีหนึ่งผ่านไปเร็วมากครับ ยิ่งปีนี้ทำไมไม่รู้ผมรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วเป็นพิเศษ มีปณิธาณปีใหม่ที่ผมตั้งใจจะทำในปีนี้ตั้งหลายข้อที่ยังทำไม่ได้หรือยังทำไม่เสร็จ สงสัยปีนี้ต้องตั้งปณิธาณว่าขอทำปณิธาณให้สำเร็จซะละมั้งเนี่ย สำหรับบล็อกสุดท้ายของปีนี้ก็ขอเลียนแบบชาวบ้านเขาคือจัดอันดับบล็อกยอดนิยมในปีนี้ 5 อันดับนะครับ เผื่อใครสนใจและพลาดไม่ได้อ่านไป จะได้เข้าไปอ่านกันได้ เริ่มเลยแล้วกันครับว่ามีอะไรบ้าง


  1. เบื้องหลัง Siri ของ Apple หรือจะคืองานวิจัยของนักวิจัยไทย? บล็อกนี้มียอดดู 3295 ครั้งทีเดียวครับ
  2. iPhone 5 ไม่ว้าว แต่ iPod touch รุ่น 5 นี่โดนใจจริง ๆ อันนี้มียอดดู 861 ครั้งครับ 
  3. การเขียนบททฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (เน้นที่ปริญญานิพนธ์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์) ยอดดูอยู่ที่ 804 ครั้งครับ
  4. การเขียนคำภาษาต่างประเทศในบทความวิชาการ ยอดดูอยู่ที่ 663 ครั้งครับ
  5. คำเตือนสำหรับผู้ที่จะใช้โปรแกรมช่วยคำนวณภาษี ยอดดูอยู่ที่ 573 ครับสำหรับบล็อกนี้ 
นั่นก็คือบทความที่มียอดดูสูงสุดห้าอันดับแรกสำหรับบล็อกผมในปี 2012 ครับ ก็อาจไม่ได้มียอดอ่านหลักหมื่นหลักแสนเหมือนกับบล็อกที่ดัง ๆ ทั้งหลายนะครับ แต่สำหรับผมผมก็ดีใจแล้วครับที่ได้แบ่งปันเรื่องราวที่คิดว่ามีประโยชน์ให้กับทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน แต่ถ้าถามว่าผมชอบบล็อกไหนมากที่สุดมันกลับไม่ใช่บล็อกที่ติดอยู่ในห้าอันดับแรกนี้ครับ แต่เป็นบล็อกลำดับที่หกซึงคือ จะทำยังไงเมื่อ Facebook คิดว่าเราตายไปแล้ว 

สรุปในปีนี้ผมเขียนไปทั้งหมด 21 บล็อก ซึ่งถือว่าค่อนข้างน้อย ก็หวังว่าปีหน้าจะสามารถวางแผนงานเพื่อให้เขียนได้มากกว่านี้ และก็หวังว่าจะยังมีผู้อ่านติดตามผลงานของผมต่อไปนะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ... 

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สัญญาณสิบประการที่บอกว่าเราอาจไม่เหมาะกับงานด้านไอที

จะปีใหม่แล้วเห็นหลาย ๆ ที่ เขาจัดอันดับนู่นนี่นั่นประจำปีกัน ผมก็เลยลองหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ ว่า เราจะเอาอะไรมาเขียนจัดอันดับกับเขาดีไหม ค้นไปค้นมาก็มาเจอบล็อกนี้เข้าครับ 10 signs that you aren't cut out for IT ไม่ได้เกี่ยวกับการจัดอันดับอะไร แต่เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันครับ คือในบล็อกนี้เขาได้สรุปสัญญาณ 10 ประการว่าถ้าเกิดขึ้นกับคนที่ทำงานอยู่ในสายไอทีแล้ว อาจต้องกลับมาคิดว่าเราเหมาะกับงานนี้หรือไม่ ลองมาดูกันครับ

 1. คุณเป็นคนไม่อดทน เขาอธิบายว่างานสายนี้ต้องอดทนในการแก้ปัญหา และยังต้องอดทนกับผู้ใช้อีกด้วย ซึ่งสาเหตุหนึ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่รับงานพัฒนาระบบมานานมากแล้ว เพราะผมเบื่อผู้ใช้นี่แหละ
2.  คุณเป็นคนที่ไม่ชอบที่จะเรียนต่อไปเรื่อย ๆ อันนี้เหมือนที่ผมบอกนักศึกษาเสมอครับว่าเทคโนโลยีด้านนี้มันเปลี่ยนแปลงไปตลอด ดังนั้นเราจะต้องพร้อมที่จะเรียนรู้เสมอ
3.  คุณไม่ยอมทำงานนอกเวลา (9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น) ชัด ๆ ครับ งานด้านนี้ต้องพร้อมทำงานนอกเวลาเสมอ โปรแกรมยังไม่เสร็จแต่ใกล้ถึงเส้นตายแล้ว เซอร์ฟเวอร์ล่มตอนเที่ยงคืนอะไรประมาณนี้ ซึงพูดถึงตรงนี้ผมยังแปลกใจมุนินทร์(แรงเงา) นะครับ ว่าทำไมมีเวลาไปวางแผนแก้แค้นใครต่อใครได้ร้ายกาจอย่างนั้น
4. คุณไม่ชอบคน เขาบอกว่างานด้าน IT มีจุดประสงค์หลักอันหนึ่งก็คือสนับสนุนผู้ใช้ ดังนั้นถ้าคุณไม่ชอบคนก็ไม่น่าทำงานด้านนี้ แต่อันนี้ผมว่าไม่เฉพาะด้านไอทีนะ ถ้าคุณทำงานด้านบริการไม่ว่าอะไรก็ตามคุณต้องมีตรงนี้
5. คุณยอมแพ้ง่ายเกินไป อันนี้ผมว่าคล้าย ๆ ข้อแรกนะ คือไม่อดทน ตรงนี้ขอคุยกับนักศึกษาหน่อยแล้วกันครับ คือหลาย ๆ ครั้งที่ผมให้งานไปค้นคว้านี่คือผมต้องการให้คุณไปค้นคว้าและหาคำตอบด้วยตัวเองนะครับ แต่หลายคนมักจะกลับมาถามและมักจะบอกว่าค้นไม่เจอทำไม่ได้ ซึ่งผมต้องบอกว่าเดี๋ยวนี้คุณมีเครื่องมือให้ค้นคว้าอะไรได้ง่ายกว่าสมัยก่อนมากเลยนะครับ ดังนั้นใช้ความพยายามหน่อยนะครับ ผมจะบอกว่าคำตอบของปัญหายาก ๆ ที่เราสามารถแก้ได้ด้วยตัวเองนี่มันน่าภาคภูมิใจนะครับ
6. คุณหงุดหงิดง่าย อันนี้ก็คล้าย ๆ ข้อแรกอีกเหมือนกัน แต่เขาขยายความว่าเมื่อคุณโกรธ คุณก็เสียเวลาไปกับความโกรธนั่นแหละ แทนที่จะเอาเวลามาแก้ปัญหา
7. คุณทำงานหลายงานพร้อมกันไม่ได้ เพราะคุณอาจต้องรับผิดชอบโครงการหลายโครงการ ซึ่งถ้าคุณสามารถทำงานได้ทีละอย่างก็จะทำให้ชีวิตของคุณยากขึ้น นอกจากงานแล้วอย่าลืมว่าเรายังมีเรื่องส่วนตัวต้องรับผิดชอบด้วยนะ พูดถึงตรงนี้นี่อาจแสดงว่ามุนินทร์เป็นคนที่มีความสามารถแบบนี้ก็ได้ ถึงได้มีเวลาไปแก้แค้นได้
8. คุณมีความฝันที่จะก้าวหน้าขึ้นไปในระดับสูงในอาชีพ ถ้าเป็นอย่างนี้เขาบอกว่าคุณไม่เหมาะ เพราะงานสายนี้อาจพาคุณไปได้สูงสุดแค่ CIO แต่ถ้าคุณฝันถึง CEO งานสายนี้อาจไม่เหมาะกับคุณ
9. คุณเกลียดเทคโนโลยี อันนี้ผมว่าคล้ายข้อสองนะ และคงชัดเจนว่าถ้าคุณเกลียดเทคโนโลยี คุณก็อาจจะไม่ยอมเรียนรู้ และไม่ยอมพัฒนาตัวเองให้ได้ความรู้ใหม่ ๆ คุณอาจจะยึดติดกับเทคนิควิธีการแก้ไขปัญหาแบบเก่า ๆ ซึ่งล้าสมัยไปแล้ว คุณอาจไม่ยอมรับการเข้ามาของอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งคุณมองว่าทำให้ชีวิตของคุณยากขึ้นเพราะต้องมาเรียนรู้วิธีการพัฒนาโปรแกรมแบบใหม่เป็นต้น
10. คุณปิดมือถือตอนกลางคืน อันนี้ก็คงเกี่ยวข้องกับข้อ 3 เพราะถ้าคุณปิดโทรศัพท์ก็เท่ากับบอกกลาย ๆ ว่านอกเวลางานแล้วอย่ามายุ่งกับฉันนะอะไรประมาณนี้ ดูไปดูมานี่มันจะคล้ายหมอขึ้นทุกทีแล้วนะ ต้องตามตัวได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 ยังไงก็ตามเขาบอกว่าถ้าคุณมีสิ่งเหล่านี้สักสองสามข้อก็ไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะออกจากงานด้านนี้ไปทันทีนะครับ เขาบอกว่ามันแค่อาจเป็นสัญญาณว่าคุณอาจจะต้องกลับไปเรียนต่อเพื่อที่จะพาคุณไปทำงานในสิ่งที่คุณชอบ และผมไม่อยากบอกเลยว่าผมอาจเป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนี้ เพราะผมลองตามลิงก์งานที่เป็นทางเลือกให้คนที่ไม่ชอบทำงานด้านไอทีตรง ๆ งานหนึ่งก็คือสอนหนังสือนี่เอง และมันก็เป็นงานที่ผมชอบจริง ๆ ซะด้วย

ปีใหม่นี้ก็ขอให้ทุกคนหาตัวเองให้เจอนะครับว่าชอบงานอะไร และขอให้มีความสุขกับการทำงานนะครับ สวัสดีปีใหม่ 2556 ล่วงหน้าไว้ก่อนนะครับ