วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

โหมดเป้าหมายช่วยให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียมีสมาธิ

purpose-mode-extension
ภาพจาก Carnegie Mellon University CyLab Security and Privacy Institute โดย Michael Cunningham

ส่วนขยายเบราว์เซอร์ Purpose Mode (โหมดเป้าหมาย) ที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon (CMU) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะไม่ใช้งาน "รูปแบบการดึงดูดความสนใจที่เป็นอันตราย" บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น การเลื่อนแบบไม่สิ้นสุด หน้าเว็บที่รก วิดีโอเล่นอัตโนมัติ และสีสันที่ฉูดฉาด ซึ่งใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนด้านการรับรู้ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของผู้ใช้ 

ผู้ใช้ Purpose Mode สามารถแทนที่การเลื่อนแบบไม่สิ้นสุดด้วยปุ่ม "แสดงเพิ่มเติม" ปิดใช้งานการเล่นวิดีโออัตโนมัติ และลบเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องในแถบด้านข้าง 

Sauvik Das จาก CMU กล่าวว่า "มีหลายวิธีที่เราจะเดินหน้าต่อจากนี้ได้ รวมถึงการดำเนินการวัดผลในวงกว้างขึ้นเพื่อสนับสนุนหน่วยงานกำกับดูแล"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Carnegie Mellon University CyLab Security and Privacy Institute โดย Michael Cunningham

เมื่อประชาชนไม่ได้อยู่ในสมการของผู้มีอำนาจ

ไม่ได้เขียนคอลัมน์ #ศรัณย์วันศุกร์ นี้มานานมาก จริง ๆ ตั้งใจว่าถ้ากลับมาเขียนก็จะเขียนเรื่องเบา ๆ สบาย ๆ แต่วันนี้ขอเขียนหน่อยเรื่องหนัก ๆ หน่อยแล้วกันครับ เพราะรู้สึกหงุดหงิดกับความคิดของผู้คนที่บริหารบ้านเมืองอยู่ในช่วงนี้ ในสถานการณ์ที่ประเทศเรากำลังเผชิญปัญหาสารพัดด้าน ความคิดคำพูดของคนหลายคนที่เห็น ๆ ตามสื่อ เหมือนไม่ได้ตระหนักอะไรเลย  

ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ซึ่งก็แย่อยู่แล้ว และยังมีปัญหาเรื่องนโยบายของทรัมป์เข้ามาอีก สิ่งที่ผู้บริหารควรทำนอกจากจะบอกให้ประชาชนประหยัด ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นแล้ว ตัวเองก็ควรทำเป็นตัวอย่างด้วย ประหยัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อนำมาสำรองไว้แก้ปัญหาที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกบ้าง ถ้าจะใช้เงินลงทุนทำอะไร สิ่งที่ได้กลับมามันก็ควรคุ้มค่า แต่กลับไม่ทำกัน 

building-collapse

ภาพโดย Supanut Arunoprayote


เริ่มจาก สตง.  ซึ่งตึกใหม่ของตัวเองถล่มมาเนื่องจากแผ่นดินไหวที่พม่า ทำสถิติเป็นตึกเดียวในโลกที่อยู่ห่างจากจุดแผ่นดินไหวมากที่สุดที่ถล่ม และหลังจากตึกถล่มเราก็ได้รู้เห็นอะไรต่าง ๆ มากมายที่จริง เราก็อาจจะรู้กันอยู่ แต่เราอาจไม่คิดว่าองค์กรที่ตั้งขึ้นมาเป็นองค์กรอิสระ ที่ควรจะช่วยตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศจะเละเทะได้ขนาดนี้ เมื่อตึกถล่มผู้บริหารก็ออกมาพูดถึงแต่องค์กรตัวเอง พยายามปัดความรับผิดชอบอะไรอะไรก็ไม่รู้ไม่เห็นทั้งนั้น ทั้ง ๆ ที่เวลาไปตรวจชาวบ้านเขา ก็มักจะบอกว่าคุณจะไม่รู้ไม่ได้ ครูที่ไม่เคยทำการเงินแต่ต้องมาทำเพราะระบบห่วย ๆ ของประเทศเรา ก็ไปไล่บี้เขาต่าง ๆ นานา แต่ผมจะไม่พูดถึงประเด็นตรวจสอบเรื่องตึกถล่มนี่แล้วกันนะ แต่แค่อยากบอกว่า ถ้าเป็นประเทศที่ผู้บริหารของเขามีความรับผิดชอบ คงออกมาขอโทษที่ตรวจสอบไม่ดี ตั้งชุดทำงานขึ้นมาจัดเตรียมข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับตึกนี่ตั้งแต่แรกเลย เพื่ออำนวยความสะดวกกับหน่วยงานที่จะต้องใช้ตรวจสอบ เพราะตัวเองมีเอกสารทุกอย่าง ออกมาแถลงให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการนี้ ในส่วนที่ไม่ทำให้เสียรูปคดี อย่างน้อยคน องค์กร และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงการสร้างตึกนี้มีใครบ้าง เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไรตอนไหน สาธารณะชนก็ควรได้รับรู้ ตั้งงบประมาณสำหรับเยียวยาผู้ที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ลาออกไปด้วยเมื่อทำทุกอย่างที่จำเป็นเรียบร้อย

chair-spec-90000-bahts-price
ภาพจาก https://www.sanook.com/news/9771778/

แต่สิ่งที่ตามมาที่น่าอนาถและผมอยากจะพูดถึงไปอีกก็คือ งบประมาณในการตกแต่ง เก้าอี้ผู้บริหารตัวละเก้าหมื่น ฝักบัวอาบน้ำหมื่นกว่าบาท พรมปูพื้นแสนบาท  อะไรแบบนี้ มันเกิดขึ้นกับหน่วยงานที่ควรเป็นต้นแบบของการใช้เงินได้อย่างไร และผู้บริหารก็ออกมาพูดเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ และยังบอกว่าถ้าคิดว่ามันหรูไป เดี๋ยวตึกใหม่ที่จะสร้างไม่เอาหรูก็ได้ ยังคิดที่จะสร้างใหม่ ทั้งที่ของเก่ายังหาสาเหตุไม่เจอเลยว่ามันเพราะอะไรและมีการประชดประชันด้วย และบางคนยังบอกว่าเข้าใจผิดหรือเปล่าไอ้ตัวเก้าหมื่นมันแค่ของผู้บริหาร ตัวที่เหลือก็ตัวละหมื่นเอง คือไม่ได้เข้าใจหรือแกล้งไม่เข้าใจประเด็นก็ไม่รู้ คือที่เขาสงสัยก็คือทำไมผู้บริหารต้องนั่งเก้าอี้ตัวละเก้าหมื่น นั่งแล้วมันทำให้ทำงานได้คุ้มค่ามากขึ้นหรือ ส่วนเก้าอี้ทำงานตัวละเป็นหมื่นก็ดูแพงอยู่เหมือนกันนะเอาจริง ๆ 

ถัดมาก็กสทช. ซึ่งก็สร้างตึกใหม่ราคาสองพันกว่าล้านเหมือนกัน และเท่าที่ตามข่าวก็น่าจะหรูหราหมาเห่าไม่แพ้กัน นี่คือองค์กรอิสระ ซึ่งตอนนี้ประชาชนเขาเริ่มสงสัยว่ามันอิสระจากอะไร อิสระจากประชาชนใช่ไหม ทั้ง ๆ ที่เงินที่ใช้ก็มาจากเงินภาษี

Sappaya-Sapasathan
ภาพโดย Supanut Arunoprayote

 ถัดมาก็สภา อันนี้เป็นคนที่ประชาชนเลือกเข้ามาด้วยซ้ำ แต่ก็ทำอะไรก็ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการเช่นกัน จะของบมาปรับปรุงรัฐสภานู่นนี่ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ตึกใหม่ตัวเองเพิ่งสร้างเสร็จ และตรวจรับกันไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว จะของบปรับปรุงเป็นพันล้านอีกแล้ว ใช้กันยังไม่ทันคุ้มค่าเลย ปัญหาต่าง ๆ ที่เจอตอนเปิดใช้งาน ไปไล่เบี้ยคนสร้างให้รับผิดชอบได้หมดหรือยัง คนธรรมดาสร้างบ้านหลังนึงอยู่กันทั้งชีวิต อยู่กันไปเป็นสิบ ๆ ปี ถึงจะขยับขยายซ่อมแซมต่อเติมกันสักครั้งนึง ซึ่งเขาจะทำก็เพราะจำเป็นจริง ๆ อย่างโครงสร้างหรือวัสดุมันเสื่อมสภาพ หรือครอบครัวขยายมีจำนวนคนเยอะขึ้น ซึ่งแบบนี้อาจเป็นเพราะประชาชนหาเงินเอง รู้ว่าเงินมันหายาก ดังนั้นจะใช้เงินก็ต้องคิดแล้วคิดอีกว่ามันจำเป็น แต่พวกท่านทั้งหลายจะทำอะไรไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเอง ก็เลยไม่ต้องคิดอะไร  

ฟังเหตุผลแล้วก็ถามตัวเองว่านี่มันอะไรกัน บอกว่าตึกที่สร้างนี่มันยังมีฟังก์ชันไม่ครบ เช่นมีห้องขนาด 1,500 ที่นั่งสร้างไว้ แต่ยังใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีระบบเครื่องเสียง ต้องทำเพราะไม่งั้นห้องจะทิ้งร้างไว้เฉย ๆ งบสร้างนี่มันหมื่นกว่าล้านนะ ยังไม่พอที่จะทำให้ทุกอย่างมันฟังก์ชันได้อีกหรือ ศาลาแก้วที่สร้างแล้วไม่ได้ใช้เพราะมันร้อน ก็จะของบติดแอร์ จะย้ายห้องสมุดจากขั้นแปดขั้นเก้าโดยถมสระเพื่อมาสร้างห้องสมุด โดยบอกว่าสระน้ำเน่า และอ้างว่าห้องสมุดอยู่ตรงนี้จะได้ให้ประชาชนมาใช้ ก็คือสิ่งที่ออกแบบสร้างมามันไม่ฟังก์ชันใช่ไหม งบหมื่นกว่าล้านนะ และที่ตามไปอ่านข่าวมา บอกว่างบนี้รวมทุกอย่างแล้วนะ คือรวมระบบต่าง ๆ เรียบร้อย

ที่น่าเศร้าคือคนที่เขาออกแบบเขาออกมาค้านแล้ว เขาอธิบายว่าสระมันมีระบบเหมือนสระว่ายน้ำ คือถ้าดูแลรักษาตามปกติน้ำไม่มีทางเน่า ส่วนเรื่องน้ำซึมน้ำรั่วก็ไปไล่เอากับคนสร้างซิว่าทำยังไงมันถึงรั่ว แล้วสระนี้จะเป็นส่วนที่ช่วยระบายความร้อนด้วย ถ้าถมต้องติดแอร์กันมหัศจรรย์เลย (แต่เขาไม่ได้พูดถึงศาลาแก้วนะ ตามข่าว อันนี้อยากรู้จริง ๆ ว่ามีประโยชน์อะไร และทำไมถึงออกแบบแบบนั้น) นั่นคือคิดจะทำอะไรกัน ไม่มีการศึกษาหาข้อมูลเลย จะใช้เงินที่ไม่ใช่เงินตัวเองอย่างเดียว แล้วยังมาบอกอีกว่ารับรองว่าไม่มีการโกง เฮอะอมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ แต่ประเด็นมันยังไม่ได้อยู่ที่โกง คำถามคือจะทำทำไมก่อน จำเป็นต้องทำตอนนี้ไหม 

สรุปการพูดจาการกระทำของคนที่มีอำนาจในการบริหารประเทศในตอนนี้ ไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็น สส. สว. หรือองค์กรอิสระอย่าง กสทช. และ สตง. คือประชาชนไม่อยู่ในสมการ มองประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก ต้องหรูหรา สมตำแหน่ง ต้องใช้เงิน คำถามคือถ้าเป็นเงินพวกคุณเอง คุณจะจ่ายไหม คือจริง ๆ ไม่ได้เหมารวมว่าทุกคนคิดแบบนี้นะ เพราะก็มีกลุ่มสส. สว. ที่ค้านแล้ว แต่องค์กรอิสระนี่เงียบกริบ 

เฮ้อ วันศุกร์แบบนี้ ควรจะพูดกันเรื่องสบาย ๆ นะครับ ซึ่งคอลัมน์ของผมที่ไม่ได้เขียนมานานจริง ๆ ก็ตั้งใจอยากจะเล่าเรื่องที่มันสบาย ๆ หรือมาฟังเพลงกัน แต่วันนี้ขอระบายสักครั้งแล้วกันครับ เพราะเหลือจะทนกับคนพวกนี้จริง ๆ ขอให้ทุกคนมีพลังที่จะพาตัวเองผ่านสถานการณ์ช่วงนี้กันได้นะครับ  

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

อุปกรณ์ Apple Airplay ที่สามารถใช้งานผ่าน Wi-Fi อาจถูกแฮ็กได้

airplay-malware
ภาพจาก Ars Technica โดย Lily Hay Newman และ Andy Greenberg

นักวิจัยจาก Oligo บริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอิสราเอล ได้ระบุช่องโหว่จำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ที่เปิดใช้งานโดยโปรโตคอล AirPlay ที่ใช้คลื่นวิทยุของ Apple สำหรับการสื่อสารไร้สายในพื้นที่ใกล้กัน 

ช่องโหว่เหล่านี้ซึ่งมีชื่อว่า AirBorne อยู่ในชุดพัฒนาซอฟต์แวร์ AirPlay ที่อุปกรณ์ของบริษัทอื่นใช้ อาจทำให้แฮ็กเกอร์สามารถควบคุมลำโพง เครื่องรับ กล่องรับสัญญาณ และสมาร์ททีวีบนเครือข่าย Wi-Fi เดียวกันกับแฮ็กเกอร์ได้

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Ars Technica โดย Lily Hay Newman และ Andy Greenberg

เมื่อโค้ชบาสเกตบอลกลายมาเป็นครูสอนเขียนโค้ด: AI กำลังเปลี่ยนอนาคตของการศึกษา


Andrew-Ng
Andrew Ng (คนซ้ายมือสุด) 
ภาพโดย Steve Jurvetson, แหล่งที่มา: Wikimedia Commons (ลิงก์ต้นฉบับ), ใช้ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY 2.0

#พฤหัสจัดAI วันนี้ ขอสรุปบทความที่เขียนโดย Andrew Ng ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกด้าน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก โดยเขาได้ repost บทความของเขาเองใน LinkedIn ซึ่งผมเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของเขา ก็เลยได้เห็น โดยบทความของเขานั้นสามารถเข้าอ่านได้ที่นี่ The Batch, Issue 299 ครับ ซึ่งถ้าใครต้องการอ่านฉบับเต็มก็เข้าไปอ่านได้เลยครับ แต่ถ้าใครอยากอ่านฉบับย่อที่ผมสรุปมาก่อนก็เชิญต่อได้เลยครับ 

เขาเริ่มต้นด้วยการบอกว่าเขาคาดหวังว่าเราควรส่งเสริมให้ทุกคนสามารถสร้างนวัตกรรมด้วย AI โดยควรเริ่มสอนการเขียนโค้ดที่ใช้ AI ตั้งแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่ระดับ K-12 (ถ้าเทียบกับประเทศเราก็คือตั้งแต่ป.1 ถึง ม.6)  เพื่อปูทางให้เยาวชนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีศักยภาพ

แต่ความท้าทายคือ “การขาดแคลนครูสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์อย่างยิ่งยวด” 

ขอเสริมนิดนะครับ อันนี้คงไม่ใช่แค่ในอเมริกานะครับ ผมว่าเป็นกันแทบทุกประเทศ ยิ่งประเทศเรายิ่งไม่ต้องพูดถึง 

กลับมาต่อกันครับ Andrew Ng เล่าเรื่องราวของ Kyle Creasy โค้ชบาสเกตบอลในโรงเรียนมัธยมที่จบปริญญาตรีด้านพลศึกษาเมื่อปี 2023 และเพิ่งเริ่มเขียน Python ได้เมื่อ 2 ปีก่อน ด้วยการช่วยเหลือจาก AI ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่เขียนโค้ดได้ แต่ยังเป็น ครูสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์ อีกด้วย เป็นตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างมากในการเป็นตัวแบบของการขยายการสอนวิทยาการคอมพิวเตอร์ในระดับประถมและมัธยม

เบื้องหลังความสำเร็จของ Kyle คือ Kira Learning (บริษัทในเครือ AI Fund) ที่ออกแบบระบบการเรียนรู้วิทยาการคอมพิวเตอร์สำหรับ K-12 โดยเน้นให้ ครูทำหน้าที่สนับสนุนด้านอารมณ์และสังคมของนักเรียน ขณะที่ระบบ AI จะรับผิดชอบการสอนเนื้อหา เช่น

  • วิดีโอการสอนแบบดิจิทัล

  • แบบทดสอบที่ตรวจอัตโนมัติ

  • แชตบอทที่ตอบคำถามนักเรียน (โดยไม่เฉลยการบ้าน)

ระบบนี้ยังมีความสามารถด้านการปรับเนื้อหาเฉพาะบุคคล  (Hyperpersonalization ) ที่ล้ำหน้ากว่าแนวคิดห้องเรียนกลับทิศ (flipped classroom) ในอดีต เช่น หากนักเรียนเขียนโค้ดว่า:

best_$alty_snack = 'potato chips'

AI จะวิเคราะห์ได้ทันทีว่า $ เป็นตัวอักษรที่ไม่ถูกต้องในชื่อตัวแปร พร้อมเสนอคำถามให้ครูใช้กระตุ้นการคิด เช่น “ตัวอักษรใดที่อนุญาตให้ใช้ในชื่อของตัวแปรได้บ้าง?”

ไม่เพียงแต่ช่วยนักเรียนโดยตรง AI ยังช่วยให้ครูสามารถดูแลนักเรียนรายบุคคลได้ดีขึ้น โดยการใช้งาน Agentic AI ก็จะช่วยลดงานซ้ำซาก เช่น การจัดทำหลักสูตรให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา เขายกตัวอย่างเช่น Common Core หรือ AP CS (อันนี้จะมาใช้กับพวกประกันคุณภาพมหัศจรรย์พันระบบที่เรามีในไทยได้ไหมไม่รู้นะครับ)

นอกจากนี้ Kyle ยังได้นำความรู้การเขียนโปรแกรมไปปรับใช้กับงานเดิมของเขา เช่น เขียนโปรแกรมวิเคราะห์ความแม่นของนักบาสในการยิงสามแต้มด้วย matplotlib และใช้ข้อมูลเหล่านี้ปรับกลยุทธ์ทีมของเขาในสนาม ซึ่ง Andrew Ng บอกว่า เมื่อโค้ชบาสเรียนรู้การเขียนโค้ด เขากลายเป็นโค้ชบาสที่เก่งขึ้น


สิ่งที่ผมสรุปได้จากบทความนี้ก็คือ  AI ไม่ได้มาแทนที่ครู แต่ช่วยให้ครูทุกคนที่แม้จะไม่มีพื้นฐานด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ สามารถเป็นผู้สอนที่มีประสิทธิภาพได้ และการเริ่มต้นสอนการเขียนโค้ดที่ใช้ AI ตั้งแต่ระดับประถมและมัธยม จะช่วยให้อนาคตของนักเรียนดีขึ้น

🧠 บทความต้นฉบับโดย Andrew Ng:
🔗 อ่านบทความเต็มได้ที่นี่

🔗Kiera Learning

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

วิกิพีเดียจะใช้ AI แต่จะไม่แทนที่อาสาสมัครที่เป็นมนุษย์

Wikipedia
ภาพจาก Tech Crunch โดย Sarah Perez

กลยุทธ์ AI ระยะเวลาสามปีของ Wikipedia ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 เมษายน เรียกร้องให้ใช้ AI เพื่อเสริม แทนที่จะแทนที่ชุมชนบรรณาธิการและอาสาสมัคร 

Chris Albon จาก Wikimedia Foundation อธิบายว่า "เราจะใช้วิธีการที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางและจะให้ความสำคัญกับตัวแทนที่เป็นมนุษย์ เราจะให้ความสำคัญกับการใช้ AI แบบเปิดเผยโค้ด (open source) หรือเปิดเผยน้ำหนัก (open weight) เราจะให้ความสำคัญกับความโปร่งใส และเราจะใช้วิธีการที่ละเอียดอ่อนต่อการใช้งานหลายภาษา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของ Wikipedia"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Tech Crunch โดย Sarah Perez