วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วิศวกรซอฟต์แวร์:อาชีพยอดเยี่ยมประจำปี 2012

เมื่อวานนี้ผมได้โพสต์ลิงก์นี้ Software Engineer: 2012's Top Job ลงในเฟซบุ๊คของผม ซึ่งโดยสรุปก็คือจากการสำรวจของ careercast พบว่าอาชีพที่ยอดเยี่ยมที่สุดประจำปี 2012 คือวิศวกรซอฟต์แวร์ ในวันนี้ผมอยากจะมาขยายความหน่อยครับสำหรับคนที่อาจไม่อยากอ่านรายละเอียดเป็นภาษาอังกฤษเอง

การจัดอันดับนี้เขาไม่ได้วัดจากรายได้สูงสุดนะครับ แต่เขาวัดจากปัจจัย 5 ประการด้วยกัน คือด้านกายภาพ สภาพแวดล้อมการทำงาน รายได้ ความเครียดและแนวโน้มการได้งาน อีกประการที่อยากจะนำมาขยายความก็คือภาระหน้าที่ของวิศวกรซอฟต์แวร์จากการสำรวจนี้ครับ หน้าที่ของตำแหน่งนี้คือวิจัย ออกแบบ พัฒนาและดูแลระบบซอฟต์แวร์ตลอดจนฮาร์ดแวร์ สำหรับงานด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรมต่าง ๆ   รายได้เฉลี่ยต่อปีของอาชีพนี้อยู่ที่ 88, 142 เหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็ตกราว 2,732,402 บาท ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าอาชีพเภสัชกรที่อยู่ที่ 112,070 เหรียญสหรัฐ (3,474,170 บาท) แต่อาชีพเภสัชกรอยู่ถึงอันดับที่ 14 ครับ

คราวนี้มาดูว่าทำไมอาชีพวิศวกรซอฟต์แวร์ถึงได้การจัดอันดับยอดเยี่ยมเป็นอันดับที่หนึ่ง ก็มีเหตุผลหลัก ๆ อยู่ห้าประการครับ

  1. เวลาที่ยืดหยุ่นมาก  วิศวกรซอฟต์แวร์สามารถเลือกเวลาทำงานได้ด้วยตัวเอง หรือแม้แต่อยากจะทำงานอยู่ที่บ้านก็ได้
  2. ได้ร่วมงานกับคนเก่ง ตำแหน่งนี้ต้องทำงานแบบลองผิดลองถูก ซึ่งก็จะดึงดูดพวกที่ชอบแก้ปัญหาแบบมีหลักการ จากการสำรวจมองว่าคนพวกนี้คือคนเก่ง และคนที่มาทำงานตำแหน่งนี้อาจไม่จำเป็นต้องจบด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์มาโดยตรง ก็คือเปิดโอกาสให้คนเก่ง ๆ จากหลากหลายสาขาเข้ามาร่วมกันทำงาน
  3. มีสภาพแวดล้อมการทำงานแบบทำงานเป็นทีม ตำแหน่งนี้จะต้องช่วยกันทำงานเป็นทีมเพื่อช่วยให้โครงการเสร็จในเวลาที่กำหนด ในข่าวนี้เขาเปรียบเทียบกับตำแหน่งนักเขียนโปรแกรมว่ามักจะทำงานคนเดียว
  4. มีโอกาสที่จะคิดสร้างสรรค์ อย่างที่บอกในข้อสองคือตำแหน่งนี้ต้องทดลองและแก้ปัญหา ซึ่งปัญหานั้นอาจไม่สามารถค้นหาคำตอบได้ง่าย ๆ จาก Google 
  5. มีอิสระที่จะทำพลาด จากข้อสองอีกนั่นแหละครับคือทดลองวิธีแก้ปัญหาที่คิดได้ ถ้ามันไม่สำเร็จก็กลับไปคิดใหม่ 
อย่างไรก็ตามนี่คือการสำรวจในต่างประเทศนะครับ ผมไม่แน่ใจว่าในเมืองไทยเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า  ใครที่ทำงานในตำแหน่งนี้อยู่อยากจะแสดงความคิดเห็นก็ยินดีครับ



ที่มา: Information Week

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หุ่นยนต์ที่จะส่งกลิ่นทุกครั้งที่มีคนพูดถึงเรา

ปกติเรามักจะใช้เสียงเพื่อเตือนเวลาใครพูดถึงเราในเครือข่ายสังคมใช่ไหมครับ แต่คุณ Benjamin Redford เขาใช้กลิ่นในการเตือนครับ โดยเขาได้สร้างหุ่นยนต์ที่เรียกว่า Olly ซึ่งเจ้า Olly นี้จะส่งกลิ่นออกมาทุกครั้งที่มีการอ้างถึงเราทางเครือข่ายสังคมซึ่งเราสามารถตั้งค่าได้ด้วยนะครับว่าเราจะให้ Olly ติดตามเครือข่ายอะไรบ้าง เหตุผลที่เขาสร้างเจ้า Olly ขึ้นมาก็คือเขามองว่าเราใช้สายตาเพื่อดูจอภาพมามากพอแล้ว เราน่าจะใช้ประสาทสัมผัสส่วนอื่นในการติดตามข่าวสารข้อมูลบ้าง  ตัวอย่างของผู้ใช้งานเจ้า Olly เช่นพ่อครัวคนหนึ่งในสหรัฐอเมริกาให้เจ้า Olly ส่งกลิ่น tortilla ซึ่งเป็นอาหารเม็กซิโกประเภทหนึ่งเวลามีคนพูดถึงร้านของเขา และยังมีบริษัทแห่งหนึ่งวางแผนที่จะใช้ Olly ในแผนรณรงค์การตลาดในปีนี้

ถึงตอนนี้หลายคนอาจอยากได้เจ้า Olly มาใช้สักตัวหนึ่งใช่ไหมครับ บางคนอาจถามว่าจะซื้อได้ที่ไหน แต่เท่าที่ผมค้นมาไม่มีขายนะครับ เห็นแต่เว็บที่ให้เราแจ้งอีเมลแสดงความจำนงค์เอาไว้ http://ollyfactory.com/get แต่ถ้าอยากได้ตอนนี้เราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง ซึ่งทางคุณ Benjamin เขาได้ทำเว็บไซต์สอนวิธีสร้าง Olly เอาไว้ครับ ถ้าใครสนใจเชิญเข้าไปดูได้ตามลิงก์นี้ครับ http://ollyfactory.com/instructions ถ้าใครสร้างแล้วประสบความสำเร็จจะสร้างเผื่อผมสักตัวก็ยินดีครับ...

ที่มา: ฺฺBBC News



วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กรุงเทพมีคำขวัญแล้ว

กรุงเทพมีคำขวัญแล้วครับ เมื่อสามปีก่อน ผมเคยเขียนบล็อกเรื่องคำขวัญกรุงเทพ? เอาไว้ เหตุผลที่ผมเขียนบล็อกนั้นก็เพราะผมรู้สึกประหลาดใจครับ เ้หตุก็คือเมื่อสามปีที่แล้วผมติวหนังสือเตรียมตัวสอบกับลูกเรื่องคำขวัญของจังหวัดต่าง ๆ และผมพบว่าในหนังสือเล่มนั้นบอกว่าคำขวัญของกรุงเทพคือ

ช่วยชุมชนแออัด ขจัดมลพิษ แก้ปัญหารถติด ทุกชีวิตรื่นรมย์


ซึ่งผมอ่านแล้วตอนแรกก็ขำกลิ้ง แล้วก็รู้สึกงงว่านี่มันคำขวัญหรือป้ายหาเสียงกันแน่ แต่ตอนนี้เราได้คำขวํญของกรุงเทพจริง ๆ แล้วครับ  โดยสรุปก็คือทางกทม.ได้จัดประกวดตั้งคำขวัญกรุงเทพ แล้วได้คำขวัญที่เข้ารอบสุดท้ายมาห้าคำขวัญ จากนั้นก็ให้คนเข้้าไปโหวต (แต่แปลกนะทำไมผมไม่รู้เรื่องเรื่องนี้เลย) และสุดท้ายผลการโหวตออกมาแล้วครับ เราได้คำขวัญกรุงเทพดังนี้ครับ

กรุง​เทพฯ ดุจ​เทพสร้าง ​เมืองศูนย์กลาง​การปกครอง วัด วัง งาม​เรืองรอง ​เมืองหลวงของประ​เทศ​ไทย     

จากที่ไปอ่านดูคำขวัญที่เข้ารอบมาก็เพราะทุกอันเลยนะครับ ถ้าใครอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างก็ดูจากที่มาได้เลยครับ

ที่มา: mthai

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เครื่องมือไม่ใช่ปัญหาคนต่างหากที่เป็นปัญหา

วันนี้พอดีได้อ่านข่าวจาก blognone เรื่องนี้ครับ นิวยอร์คซิตี้ออกกฎใหม่ห้ามอาจารย์-นักเรียนเป็นเพื่อนกันบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค เหตุผลที่เขาออกกฎนี้ออกมาก็เพราะในปีที่แล้วมีกรณีไม่เหมาะสมระหว่างครูกับนักเรียนเกิดขึ้นผ่านทางโซเชียลเน็ตเวิร์คหลายกรณีด้วยกัน พออ่านแล้วก็รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะนึกไม่ถึงว่าประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีจะมีผู้คนที่ใช้วิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ต่างจากประเทศสารขัณฑ์ที่นึกอะไรไม่ออกก็บล็อกเว็บไซต์ไว้ก่อนแบบนี้  ผมไม่คิดว่าการแก้ปัญหาแบบนี้มันจะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดนะครับ กรณีระหว่างครูกับนักเรียนนี่ถ้ามันจะมีไม่ต้องมีโซเชียลเน็ตเวิร์คมันก็มีได้ และจริง ๆ ไอ้เรื่องแบบนี้มันก็มีมาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะมีโซเชียลเน็ตเวิร์คแล้ว

การที่นักเรียนกับอาจารย์เป็นเพื่อนกันบนโซเชียลเน็ตเวิร์คมันก็มีประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ การติดตามดูแลการโพสต์ของนักศึกษาไม่ให้เกินเลยไปรวมถึงการโพสต์ข้อความของตัวอาจารย์เองด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการที่อาจารย์กับนักเรียนเป็นเพื่อนกันบนเฟซบุ๊คก็จะทำให้นักเรียนไม่รู้สึกกลัวเวลาที่จะต้องไปพบอาจารย์เพื่อปรึกษาเรื่องต่าง ๆ หรือถ้ายังกลัวอยู่ก็ยังสามารถขอคำปรึกษาผ่านเฟซบุ๊คได้ ซึ่งในยุคสมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนอยู่นี่เวลาต้องเข้าไปปรึกษาอาจารย์ก็รู้สึกเกร็ง ๆ แทบทุกครั้ง ขนาดไม่ได้ทำความผิดอะไรนะครับ และไม่มีเฟซบุ๊คให้ไปโพสต์ถามด้วยต้องเข้าไปเผชิญหน้ากันอย่างเดียว เทียบกับลูกผมตอนนี้เป็นเพื่อนกับครูบนเฟซบุ๊คอยากถามอะไรก็ถามได้ง่าย หรือบางครั้งก็มีการคุยเล่นสนุก ๆ กับครูของเขาบ้าง  หรือแม้แต่ตัวผมเองต้องบอกว่าเพื่อนของผมกว่าครึ่งบนเฟซบุ๊คตอนนี้ก็คือลูกศิษย์ของผม และผมก็ถูกแซวบ้างเวลาที่ลิเวอร์พูลแพ้ (แต่ก็อย่าแซวมากนักนะ เดี๋ยวมีเคือง) ซึ่งผมว่าตรงนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนใกล้ชิดกันมากขึ้น

สรุปก็คือผมว่าทั้งหลายทั้งปวงมันขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของคนไม่ว่าจะมีอาชีพใดก็ตาม ถ้าคนคนนั้นไม่มีจิตสำนึกที่ดี ต่อให้ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรคนคนนั้นก็ทำเรื่องไม่ดีได้ การแก้ปัญหาจึงไม่ใช่น่าจะใช่การไปควบคุมการใช้เครื่องมือที่คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นคนดีใช้ประโยชน์อยู่ แต่ควรจะกลับมาเน้นเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมให้แก่เด็ก ๆ ซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า และช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องผู้ใหญ่ไม่ดีในวันนี้ไม่ให้ทำเรื่องชั่วร้ายและควรจะลงโทษสถานหนักสำหรับคนที่ทำผิดมากกว่า 


วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

การเขียนบทคัดย่อ

เข้าสู่เทศกาลสอบ Senior Project กันแล้วนะครับ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ต้องเขียนในเอกสารก็คือบทคัดย่อ แต่ปัญหาคือหลายคนไม่รู้ว่าในบทคัดย่อต้องเขียนอะไร แม้แต่ปริญญาโทบางคนก็อาจยังไม่รู้ ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้หลายปีแล้วที่ เว็บบอร์ดของ Computer Science KMITL วันนี้ขออนุญาตเอามาเล่าซ้ำให้ฟังอีกครั้งแล้วกันครับ โดยมีการแก้ไขเล็กน้อย

เริ่มต้นจากบทคัดย่อคืออะไรและสำคัญอย่างไร บทคัดย่อก็คือการสรุปงานวิจัยที่สมบูรณ์ในรูปแบบที่สั้นและกระชับ ความสำคัญของบทคัดย่อก็คือถ้าเราเขียนได้ดี ผู้อ่านจะสามารถเข้าใจภาพรวมของงานวิจัยเราได้ และเขาอาจประเมินงานวิจัยของเราได้เลยว่าน่าสนใจ มีประโยชน์ หรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาสนใจหรือไม่ โดยที่ไม่ต้องอ่านรายละเอียดของงานวิจัยเราทั้งหมด คนที่อยู่ในแวดวงวิจัยคงจะทราบดีนะครับว่า เวลาเราจะหาหัวข้องานวิจัยที่เราสนใจ ในตอนแรกเราไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมดในเอกสาร เพราะถ้าทำอย่างนั้นเราก็คงต้องเสียเวลาไปมากกว่าจะเลือกเรื่องที่เราสนใจจริง ๆ ได้  ดังนั้นวิธีการที่เราใช้กันก็คืออ่านจากบทคัดย่อก่อน คัดกรองเรื่องที่คิดว่าเกี่ยวข้องจริง ๆ กับเรา แล้วจึงจะอ่านในรายละเอียดส่วนอื่น ๆ ต่อไป ดังนั้นบทคัดย่อที่ดีจึงเป็นประโยชน์กับวงการวิจัยมาก อีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมจากการเขียนบทคัดย่อที่ดีที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวผมและนักศึกษาปริญญาเอกในที่ปรึกษาก็คือ  ผมและนักศึกษาได้รับเชิญให้เขียนบทความวิจัยลงในวารสารวิชาการระดับนานาชาติเล่มหนึ่ง ซึ่งเขาให้เหตุผลในการเชิญคือเขาอ่านจากบทคัดย่อจากบทความวิจัยที่นำเสนอในที่ประชุมวิชาการ (conference) แล้วคิดว่างานวิจัยดังกล่าวน่าสนใจ ขอให้เขียนเพิ่มเติมเพื่อที่จะนำลงตีพิมพ์ในวารสาร ถึงตรงนี้ก็คงเห็นความสำคัญของการเขียนบทคัดย่อที่ดีกันบ้างแล้วนะครับ

คราวนี้ในบทคัดย่อควรมีอะไรบ้าง ผมขออ้างอิงจากเว็บของมหาวิทยาลัย Berkeley ดังนี้ครับ


  1. แรงจูงใจในการทำวิจัย/ความสำคัญของปัญหา ในส่วนนี้จะบอกว่าทำไมเราจึงสนใจปัญหานี้ มีประเด็นอะไรที่งานวิจัยของเราจะเข้าไปแก้ไข
  2. วิธีการในการวิจัย ในส่วนนี้จะอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยของเรา เพื่อให้เห็นว่าเราได้ผลลัพธ์มาอย่างไร 
  3. ผลลัพธ์ ในส่วนนี้จะอธิบายผลลัพธ์ที่ได้จากงานวิจัยนี้ โดยจะบอกว่าเราได้เรียนรู้ หรือได้พัฒนาอะไรขึ้นมา
  4. สรุป เป็นส่วนที่บอกว่างานที่ได้นั้นมีประโยชน์อย่างไร ประเด็นก็คือมันสามารถตอบคำถามในข้อ 1 ได้อย่างไร
คราวนี้มาลองดูตัวอย่างบทคัดย่อสักตัวอย่างหนึ่งนะครับเผื่อจะเห็นภาพมากขึ้น อันนี้มาจากปัญหาพิเศษล่าสุดที่ผมเป็นที่ปรึกษาครับ

เป็นที่ยอมรับกันในวงการการศึกษาว่าการติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนรายบุคคลเป็นกลไกสำคัญประการหนึ่งในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน ซึ่งผลที่ได้จากกลไกนี้ก็คือผู้สอนสามารถที่จะออกแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้โดยง่าย ผู้เรียนจะได้เข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งและมองเห็นการพัฒนาของตนเอง ส่วนผู้ปกครองก็จะได้รับรู้ข้อมูลพัฒนาการของบุตรหลานและสามารถร่วมมือกับโรงเรียนได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะมาสนับสนุนให้กลไกดังกล่าวเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือการมีระบบสารสนเทศที่เหมาะสม ปัญหาพิเศษนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาต้นแบบของระบบสารสนเทศการติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียน โดยระบบที่พัฒนาขึ้นมีลักษณะเป็นเว็บแอพพลิเคชันเพื่อให้ผู้สอน ผู้เรียน และผู้ปกครองสามารถเข้าถึงข้อมูลผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ สำหรับการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จะพิจารณาจากมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยในการพัฒนาระบบนี้ผู้พัฒนาได้ใช้โรงเรียน... เป็นกรณีศึกษา การทดสอบระบบทำโดยการเก็บข้อมูลการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่สองจำนวนสองห้อง ผลการทดสอบพบว่าระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถจัดเก็บข้อมูลที่จำเป็นและแสดงผลการวิเคราะห์ที่สามารถนำไปใช้ในการติดตามความก้าวหน้าของผู้เรียนรายบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ