สวัสดีครับ วันนี้อยากจะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชน ไม่ใช่สิผมไม่รู้ว่าจะเรียกคนคนนี้ (ขอไม่ออกชื่อแล้วกันนะครับ) ว่าเป็นอะไรดี จะเป็นนักวิชาการก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นสื่อมวลชนก็ไม่น่าจะใช่อีก คนที่ผมจะพูดถึงนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงทางด้านการพูดจาหรือวิเคราะห์เรื่องเศรษฐกิจให้ฟังเข้าใจง่าย หลายคนเรียกว่าอาจารย์แต่ไม่ได้มีอาชีพเป็นอาจารย์ประจำ เคยเป็นพิธีกรร่วมกับคุณสัญญา คุณากร ในรายการที่เคยออกอากาศทางช่อง 9 ผมคิดว่าหลายคนคงเดาได้ว่าเป็นใคร ที่ผมจะมาเขียนนี้บอกก่อนนะครับว่าไม่ได้มีอคติส่วนตัวแต่ประการใดกับคนคนนี้จริง ๆ ตอนเขาออกรายการช่อง 9 ผมยังรู้สึกว่าก็ทำหน้าที่ได้สนุกดีด้วยซ้ำไป แต่พอได้มาฟังเขาจัดรายการวิทยุแล้วรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ เลย ก็เลยขอเขียนบันทึกความเห็นส่วนตัวไว้สักหน่อย และก็อยากจะแบ่งปันหรือเป็นข้อคิดให้กับใครที่ได้เข้ามาอ่านไม่มากก็น้อย
ปกติผมไม่เคยได้ฟังรายการที่คนคนนี้จัดเลย แต่บังเอิญเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาขับรถอยู่แล้วมีโอกาสได้เหลือบดูทวิตเตอร์เห็นมีคนพูดถึงว่าคนคนนี้จัดรายการได้มันมากก็เลยลองหมุนคลื่นวิทยุไปฟังดู ก็เป็นช่วงที่เขาเปิดโอกาสให้คนฟังโทรเข้าไปถามไปคุย พอฟังเขาคุยกับคยที่โทรเข้าไปถามแล้วก็ประหลาดใจมากว่าทำไมยังมีคนฟังรายการหรือโทรเข้าไปถามไปพูดคุยอยู่ได้ เพราะคนคนนี้ไม่ให้เกียรติคนฟังเลยมีการต่อว่าเหน็บแนมทำเหมือนว่าคนฟังโง่ แล้วจริง ๆ ตัวเองก็ให้ข้อมูลผิด ๆ ผมฟังอยู่สองคน แล้วก็ทนฟังต่อไม่ไหวต้องเลิกฟัง
มาดูคนแรกที่ผมฟังนะครับ คนที่โทรเข้าไปถามว่าในรัฐธรรมนูญมีการกำหนดไหมว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นได้ติดต่อกันกี่ปีใช่แปดปีไหม ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไร ถ้าไม่รู้ก็ตอบว่าไม่รู้ หรือถ้ารู้(หรือคิดว่ารู้)ก็ตอบไป แต่สิ่งที่คนคนนี้ตอบไป(ซึ่งผิด)และยังมีการเหน็บแนมกลับไปด้วย โดยบอกว่าไม่มีหรอกจะเป็นนานเท่าไรก็ได้ถ้าพรรคที่สังกัดอยู่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาและได้รับโหวต และยังมีการยกตัวอย่างนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียให้ฟังด้วย และก็เริ่มเหน็บแนมคนที่โทรเข้ามาถามว่าไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญเลยใช่ไหม แล้วก็พูดย้ำอยู่หลายครั้งว่าคนที่โทรเข้ามานี่เป็นพวกหลังเขาเพราะไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมฟังตอนแรกก็นึกว่าแซวกันเล่น แต่พอฟังไปฟังไปนี่ไม่ใช่แซวเล่นแล้วเพราะย้ำอยู่หลายครั้งมากและน้ำเสียงที่ใช้ก็ไม่ใช่การแซว จนในที่สุดคนที่โทรมาเท่าที่ผมฟังเสียงดูก็รู้สึกไม่พอใจและวางสายไป ผมนั่งฟังไปก็นึกสงสัยไปว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ถ้าคนที่ไม่ได้อ่านรัฐธรรมนูญอย่างละเอียดนี่เป็นพวกหลังเขา ผมว่าคนอาจจะเกือบค่อนประเทศรวมถึงผมด้วยนี่ก็คงเป็นพวกหลังเขา แต่คนหลังเขาอย่างผมนี่แหละก็เพิ่งจะได้อ่านมาจากที่ไหนไม่แน่ใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้เขามีข้อกำหนดไว้ว่านายกรัฐมนตรีจะเป็นติดกันได้ไม่เกินแปดปี วันนี้ก็เลยมาลองค้นดูซึ่งก็จริงครับรัฐธรรมนูญกำหนดไว้จริง ๆ ดูได้จากลิงก์นี้เลยครับมาตรา 171 ซึ่งประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึงไม่ใช่ที่เขาผิดพลาดเรื่องข้อมูลเพราะคนเราผิดพลาดกันได้ แต่ประเด็นคือทำไมเขาถึงได้พูดกับคนที่เป็นแฟนรายการเขาอย่างนั้น
มาดูคนที่สอง(ที่ผมได้ฟังบ้าง) คนนี้โทรมาถามว่าเขาเห็นด้วยไหมเกี่ยวกับที่ตำรวจจะจับเด็กที่ออกจากบ้านหลัง 22.00 น. สิ่งที่เขาตอบกลับไปก็คือจะมาถกกันทำไมเรื่องเห็นด้วยหรือเปล่าก็กฏหมายมันไม่มีรองรับแล้วจะมาเห็นด้วยได้อย่างไร ถ้าตอบอย่างนี้เฉยๆ ก็ยังพอฟังได้ แต่ก็เหมือนเดิมเหน็บแนมคนฟังอีกตามเคยว่าก่อนจะถามจะถกอะไรก็ให้คิดก่อนไม่ใช่ออกมาพูดไปเรื่อย แต่ถ้าถามผมนะผมว่าถ้าพวกเรามีตรรกกะการคิดแบบคนคนนี้เราคงไม่ต้องมาพูดมาคุยอะไรกันเลยครับ เพราะถ้าคิดแบบนี้ถ้ามีกฏหมายออกมารองรับอยู่แล้วผมก็พูดได้ว่าเราก็ไม่มีสิทธิที่จะมาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกฏหมาย เพราะเรามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมาย
สิ่งที่ผมรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่ผมได้พบมาก็คือคนที่มีโอกาสได้ออกสื่อหลักของประเทศเรานี่แหละครับ ผมว่าสื่อนี่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งเลยนะครับกับสถานการณ์ที่เป็นไปของประเทศเราในขณะนี้ แต่หลายคนที่ได้ออกสื่อหลักกลับไม่ได้ตระหนักในส่วนนี้ และบางคนก็กลับซ้ำเติมสถานการณ์ให้มันหนักขึ้นไปอีก อย่างตัวอย่างที่ผมเล่ามาให้ฟังนี้ผมว่าคนจัดน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่มีคนที่สนใจติดตามปัญหาบ้านเมืองแทนที่จะเอาแต่ฟังเพลงไปวัน ๆ เขาควรจะให้ความรู้และสร้างบรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่แน่นะครับว่าเขาอาจจะผลักดันคนอย่างน้อยสองคนแล้วก็ได้ให้กลับไปฟังแต่เพลงตามเดิม...
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554
พนักงานแมคโดนัล(อเมริกา)ถูกไล่ออกหลังจากยอมให้ดาราอเมริกันฟุตบอลใช้ห้องน้ำ
พอดีไปเจอเรื่องนี้เข้าก่อนจะเข้าไปอ่านอีเมลของ Yahoo! เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง เรื่องก็มีอยู่ว่าผู้ช่วยผู้จัดการร้านแมคโดนัลสาขาหนึ่งในอเมริกาถูกไล่ออกหลังจากที่ยอมให้นักกีฬาระดับซุปเปอร์สตาร์ของทีมอเมริกันฟุตบอลทีม Minnesota Vikings ที่ชื่อ Adrian Peterson เข้าใช้ห้องน้ำ หลังเวลาที่ร้านปิดไปแล้ว พนักงานดังกล่าวเล่าว่า Peterson ได้มาขอเข้าใช้ห้องน้ำของร้านตอนประมาณตีสาม ซึ่งเธอเห็นว่าเป็น Peterson (ตามเรื่องบอกว่าคนนี้เป็นนักกีฬาที่เก่งที่สุดเท่าที่ทีมเคยมีมา ผมก็ไม่รู้จักนะครับ เพราะไม่ได้เป็นแฟนอเมริกันฟุตบอล) จึงยอมให้ใช้ห้องน้ำ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือว่าผิดกฏของร้าน เธอบอกว่าเธอไม่คิดว่าการกระทำครั้งนี้เธอต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการตกงาน แต่ท้ายสุดแล้วเรื่องนี้ก็จบลงด้วยดีครับ คือหลังจากสื่อท้องถิ่นรายงานเรื่องนี้แมคโดนัลก็รับเธอเข้าทำงานตามเดิมครับ
จากเรื่องนี้ถ้ามองในแง่ของกฏก็ถือว่าพนักงานทำผิดกฏ แต่เธอก็ให้เหตุผลว่าคนนี้เป็นซุปเปอร์สตาร์ เธอรู้จักคนคนนี้มากกว่าช่างที่มาซ่อมบำรุงอุปกรณ์ในร้านซะอีก นี่คือโอกาสในการโฆษณาร้านซึ่งฟังดูก็มีเหตุผลดีเหมือนกัน ผมลองอ่านความเห็นของคนที่เข้ามาอ่านบทความต้นฉบับก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทั้งแมคโดนัลและพนักงาน พวกเราเห็นเป็นอย่างไรครับ
สุดท้ายก็คงต้องถามพนักงานแมคโดนัลของไทยแล้วล่ะครับว่าถ้าพี่เบิร์ดมาขอเข้าห้องน้ำแบบนี้จะให้หรือไม่ถ้ามีโอกาสต้องตกงาน...
ที่มา: Yahoo! Sports
จากเรื่องนี้ถ้ามองในแง่ของกฏก็ถือว่าพนักงานทำผิดกฏ แต่เธอก็ให้เหตุผลว่าคนนี้เป็นซุปเปอร์สตาร์ เธอรู้จักคนคนนี้มากกว่าช่างที่มาซ่อมบำรุงอุปกรณ์ในร้านซะอีก นี่คือโอกาสในการโฆษณาร้านซึ่งฟังดูก็มีเหตุผลดีเหมือนกัน ผมลองอ่านความเห็นของคนที่เข้ามาอ่านบทความต้นฉบับก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทั้งแมคโดนัลและพนักงาน พวกเราเห็นเป็นอย่างไรครับ
สุดท้ายก็คงต้องถามพนักงานแมคโดนัลของไทยแล้วล่ะครับว่าถ้าพี่เบิร์ดมาขอเข้าห้องน้ำแบบนี้จะให้หรือไม่ถ้ามีโอกาสต้องตกงาน...
ที่มา: Yahoo! Sports
สีไว้ทุกข์ในรัชกาลที่ 5
สวัสดีครับ สำหรับวันนี้ขอนำเรื่องไทย ๆ ที่พวกเราหลายคน(รวมทั้งผมด้วย)อาจไม่เคยทราบมาก่อนมาเล่าให้ฟังกันครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสีเสื้อผ้าสำหรับไว้ทุกข์ครับ ในปัจจุบันเวลาเราไปงานศพสีเสื้อผ้าที่เราใส่ก็คือสีขาวหรือสีดำเป็นหลักนะครับ แต่จริง ๆ แล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการแบ่งสีไว้ทุกข์ไว้ตามนี้ครับ
- สีดำ ผู้ที่สวมใส่คือญาติที่มีอายุมากกว่าผู้ตาย
- สีขาว ผู้ที่สวมใส่คือญาติที่มีอายุน้อยกว่าผู้ตาย
- สีม่วงแก่หรือน้ำเงินแก่ ผู้ที่สวมใส่คือผู้ที่ไม่ได้เป็นญาติกับผู้ตาย
วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553
บล็อกส่งท้ายปีเสือดุ: พลังของ Social Network
ปีหนึ่ง ๆ ผ่านไปเร็วมากนะครับ มันเหมือนกับว่าเพิ่งจะผ่านปีใหม่ไปไม่นานนี้เอง ปีนี้จริง ๆ แล้วก็คงต้องบอกว่าเป็นปีเสือดุจริง ๆ นะครับ มีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทางการเมืองและมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย มาจนถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ กรณีซากเด็กทารกที่เกิดจาการทำแท้ง กรณีโจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวและเหตุการณ์ล่าสุดที่กำลังเป็นเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้ก็คือกรณีอุบัติเหตุรถซีวิคชนกับรถตู้โดยสารจนมีผู้เสียชีวิตหลายคน และเด็กสาวที่ขับรถซีวิคก็กลายเป็นจำเลยของสังคมถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมายอยู่ในตอนนี้ กรณีโจ๊ก-จิ๊บผมได้เขียนไปแล้วในเรื่องที่แล้ว วันนี้ผมก็ขอส่งท้ายด้วยมุมมองของผมเกี่ยวกับเหตุการณ์ซีวิคนี้ก็แล้วกันครับ โดยจะเน้นให้เห็นถึงพลังของ Social Network ซึ่งมีทั้งที่ดีและไม่ดี
ผมได้ติดตามเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้มาเรื่อย ๆ จากหลายสื่อด้วยกัน โดยสื่อแรกที่ผมได้ทราบเรื่องนี้ก็คือจาก twitter ซึ่งตอนแรกนั้นข่าวเป็นเหมือนว่ารถตู้ตกโทลเวย์ จนในที่สุดก็เป็นเรื่องอย่างที่เราทราบกันอยู่ก็คือรถซีวิคชนรถตู้จนผู้โดยสารกระเด็นจากรถออกมา และมีผู้โดยสารเสียชีวิตซึ่งในขณะที่เขียนอยู่นี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเก้าคน ส่วนคนที่ชนนั้นเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี และมีนามสกุลใหญ่โต ผมก็ได้ติดตามข่าวนี้จากหลาย ๆ สื่อ รวมทั้งอ่าน Timeline ของผมใน Twitter ด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจมากก็คือกระแสจาก Social Network นี่แหละครับเพราะบอกตามตรงว่ามันรุนแรงมากถึงกับขั้นที่สร้างความเกลียดชังกับตัวเด็กคนนั้นกันทีเดียว และจากกระแสนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมสังคมไทยมันถึงเกิดการแตกแยกกันขนาดนี้
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็เสียใจไปกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกคน และผมไม่ได้จะออกมาเข้าข้างคนขับรถซีวิค แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนเพราะเข้าใจว่ามีคนที่มีความเห็นคล้าย ๆ ผมนี่โดนมาแล้ว นี่ก็คือปัญหาหนึงตอนนี้เหมือนกับว่าสังคมเรายอมรับความเห็นต่างไม่ได้แล้ว ถ้าใครเห็นต่างจากตัวเองก็กลายเป็นคนเลวหรือกลายเป็นอีกฝ่ายหนึ่งไป ทั้ง ๆ ที่การรับฟังความเห็นของคนอิ่นนั้นน่าจะมีประโยชน์ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นหรือมองปัญหาได้รอบด้านขึ้น
แน่นอนอยู่แล้วครับที่เด็กที่ขับซีวิคนั้นมีความผิดในส่วนของการขับรถทั้งที่ไม่มีสิทธิขับตามกฏหมาย และพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนอบรมเลี้ยงดูลูก และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจนป่านนี้พ่อแม่ของเด็กจึงยังไม่ออกมากล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจในส่วนนี้ คือจากคำสัมภาษณ์เหมือนกับจะรอให้ชัดเจนก่อนว่าในเรื่องอุบัติเหตุใครถูกหรือผิด แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันในส่วนที่ตัวเองผิดนี่ก็ยอมรับไปก่อน ผมว่ามันจะช่วยลดกระแสสังคมลงได้ส่วนหนึ่ง ดีกว่าออกแถลงการมาเป็นสกุล มันยิ่งทำให้ดูเหมือนการแบ่งชนชั้นมากขึ้น
กลับมาถึงเรื่องที่ผมอยากให้เราตั้งสติกันครับ จากกระแสที่กำลังสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้อยู่ตอนนี้ ผมว่าสังคมไทยในยุคที่มี Social Network และการรับข่าวสารแบบทันทีทันใดนี้นี่น่ากลัวมากครับ ถ้าคนรับข่าวสารไม่ตั้งสติและใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารให้ดี วิพากษ์วิจารณ์ตามกระแส หรือเห็นคล้อยตามกับคนมีชื่อเสียงที่ใช้ Social Network และอาจจะมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น และเราก็ตามกระแสไปจนผมขอใช้คำว่าถึงขั้นเลยเถิด และถ้าเรายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปผมว่าสังคมไทยก็จะเกิดความขัดแย้งแบบนี้ไปอีกนาน
ดังนั้นผมอยากให้พวกเราตั้งสติและพิจารณาเหตุการณ์นี้ให้ดีครับลองมาพิจารณาเป็นข้อ ๆ นะครับ ข้อแรกเหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดได้กับทุกคนที่ขับรถ เด็กคนนั้นในแง่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผิดจริงหรือไม่ก็ต้องรอการพิสูจน์ เด็กคนนั้นผิดแน่ในแง่การขับรถโดยไม่มีใบขับขี่และขับรถเร็วเกินกฏหมายกำหนด แต่ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะผิดจริงหรือไม่สิ่งที่เราต้องตั้งสติและพิจารณาให้ดีก็คือ เด็กคนนั้ีนคงไม่ได้ตั้งใจทีจะขับรถพุ่งชนใส่รถตู้ ดังนั้นสมควรแล้วหรือที่เราจะต้องสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้ถึงขนาดนั้น จริง ๆ เราไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้ด้วยซ้ำก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น
ข้อสองหลายคนอาจบอกว่าที่ไม่พอใจก็เพราะเด็กคนนั้นหลังจากชนแล้วยังออกไปกดบีบีเล่นไม่สนใจคนเจ็บ คำถามก็คือเราทราบได้อย่างไรว่าเด็กคนนั้นทำอะไรอยู่ แค่ดูจากรูปที่มีคนถ่ายแล้วส่งมา ซึ่งดูจากรูปแล้วมันจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ดูเหมือนจะสรุปได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังโทรศัพท์ ซึ่งถ้าโทรศัพท์ก็คงเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทุกคนคงต้องทำเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หรือถ้ากดบีบีจริงผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเธอจะใช้เป็นช่องทางเพื่อติดต่อหรือแจ้งให้คนอื่น ๆ ทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
ข้อสามหลายคนอาจถามว่าทำไมไม่ไปดูแลคนเจ็บ ผมอยากให้ลองคิดอย่างนี้ครับว่าถ้าเราเป็นคนขับรถคันนั้น และเราเป็นคนชนเราจะเป็นยังไงครับ เราจะตกใจไหม รถที่ขับก็พังยับทั้งคัน เราถูกงัดอกมาจากรถ เราไม่เห็นรถคู่กรณี เราอาจจะนึกว่าเราแค่ขับชนท้ายรถก็เหมือนรถชนธรรมดา เราไม่รู้ว่ามีคนเจ็บคนตาย ประเด็นก็คือผมเองแม้จะอายุเยอะแล้วถ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็อาจทำอะไรไม่ถูกก็ได้ นับประสาอะไรกับเด็กอายุ 16
ข้อสี่คนมีนามสกุลใหญ่จะต้องได้รับอภิสิทธิ์ พวกคนตระกูลใหญ่จะต้องใช้เส้นสายเพื่อให้พวกตัวเองพ้นผิด เรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานหรือเอาใจคนใหญ่คนโตนี้ผมเห็นด้วยครับว่ามันมีอยู่ในสังคมเราจริง ๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนใหญ่คนโตทุกคนจะต้องใช้เส้นสายหรือใช้สิทธินี้ และมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปเกลียดหรือเข้าข้างใคร ๆ เพียงเพราะเขามีนามสกุลใหญ่โตและทำผิด เรื่องการแบ่งแยกนี้มันทำให้เกิดปัญหาระดับชาติมาแล้วนะครับ พวกชนชั้นกลางหลายคนก็ไปดูถูกคนต่างจังหวัดว่าโง่เลือกผู้แทนที่ไม่มีคุณภาพ คนต่างจังหวัดก็ถูกปลุกปั่นให้เห็นว่าคนชั้นกลางเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้นผมอยากเสนอว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ให้เราพิจารณาที่คนคนนั้น เหตุการณ์นั้นโดยไม่เอาอคติในเรื่องชนชั้นมาเกี่ยวข้องด้วยก็น่าจะทำให้เรามองปัญหาด้วยใจที่เทียงธรรมมากขึ้นครับ
กรณีเรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานนี้ถ้าจะโทษผมอยากให้โทษที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมากกว่า ลองถามตัวเองดูว่าปฏิบัติเหมือนกันไหมระหว่างคนธรรมดากับคนตระกูลใหญ่ ถ้าคนที่ขับรถชนเป็นคนนามสกุลธรรมดาตำรวจจะปล่อยตัวไปโดยไม่ควบคุมอะไรเลยแบบนี้ไหม แต่ถ้ามองในแง่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานก็อาจน่าเห็นใจว่าเขาอาจถูกกดดันจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ถ้าเขาทำตามหน้าที่ตรงไปตรงมาก็อาจมีปัญหาได้โดยไม่มีใครช่วยเขา ตรงนี้แหละครับที่ผมมองว่า Social Network อาจเข้ามาช่วยได้ คือถ้ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงโดยไม่กลัวเกรงกับอิทธิพลใด ๆ ก็ให้เราใช้พลัง Social Network ช่วยเขาครับ ส่วนเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันอะไรที่รัฐบาลเสนอเข้ามา ผมก็ภาวนาขอให้มันสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่แค่นโยบายหาเสียงไปวัน ๆ ก็แล้วกัน
เขียนมาซะยืดยาวและเป็นเรื่องหนัก ๆ ทั้งนั้นในวันส่งท้ายปีแบบนี้จริง ๆ ไม่อยากเขียนเลย แต่ที่ต้องเขียนเขียนก็เพราะอยากเห็นคนไทยในยุค Social Network ตั้งสติและพิจารณาข่าวสารให้ดี ให้เราเข้าใจว่าข้อมูลที่เราได้รับจากสื่อต่าง ๆ มันอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมด ให้แยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือข้อวิจารณ์ซึ่งบางทีอาจเกิดจากอารมณ์ก็ได้
สุดท้ายผมอยากให้เราใช้ Social Network ในทางสร้างสรรค์เช่นการรวมตัวกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างที่ผ่านมา หรือสนับสนุนคนดี ๆ มากกว่าที่จะมาใช้ Social Network เพื่อทำลายล้างกันหรือสร้างกระแสให้เกลียดชังกัน ซึ่งถ้าเราทำอย่างนี้ได้ผมว่าเราจะใช้ประโยชน์จาก Social Network ได้คุ้มค่า และประเทศของเราก็น่าจะเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความสงบสุขเหมือนที่ผ่านมาได้ครับ สวัสดีปีใหม่ครับ ...
ผมได้ติดตามเรื่องอุบัติเหตุครั้งนี้มาเรื่อย ๆ จากหลายสื่อด้วยกัน โดยสื่อแรกที่ผมได้ทราบเรื่องนี้ก็คือจาก twitter ซึ่งตอนแรกนั้นข่าวเป็นเหมือนว่ารถตู้ตกโทลเวย์ จนในที่สุดก็เป็นเรื่องอย่างที่เราทราบกันอยู่ก็คือรถซีวิคชนรถตู้จนผู้โดยสารกระเด็นจากรถออกมา และมีผู้โดยสารเสียชีวิตซึ่งในขณะที่เขียนอยู่นี้มีผู้เสียชีวิตแล้วเก้าคน ส่วนคนที่ชนนั้นเป็นเด็กสาวอายุ 16 ปี และมีนามสกุลใหญ่โต ผมก็ได้ติดตามข่าวนี้จากหลาย ๆ สื่อ รวมทั้งอ่าน Timeline ของผมใน Twitter ด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจมากก็คือกระแสจาก Social Network นี่แหละครับเพราะบอกตามตรงว่ามันรุนแรงมากถึงกับขั้นที่สร้างความเกลียดชังกับตัวเด็กคนนั้นกันทีเดียว และจากกระแสนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมสังคมไทยมันถึงเกิดการแตกแยกกันขนาดนี้
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็เสียใจไปกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกคน และผมไม่ได้จะออกมาเข้าข้างคนขับรถซีวิค แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนเพราะเข้าใจว่ามีคนที่มีความเห็นคล้าย ๆ ผมนี่โดนมาแล้ว นี่ก็คือปัญหาหนึงตอนนี้เหมือนกับว่าสังคมเรายอมรับความเห็นต่างไม่ได้แล้ว ถ้าใครเห็นต่างจากตัวเองก็กลายเป็นคนเลวหรือกลายเป็นอีกฝ่ายหนึ่งไป ทั้ง ๆ ที่การรับฟังความเห็นของคนอิ่นนั้นน่าจะมีประโยชน์ทำให้เรามีมุมมองที่กว้างขึ้นหรือมองปัญหาได้รอบด้านขึ้น
แน่นอนอยู่แล้วครับที่เด็กที่ขับซีวิคนั้นมีความผิดในส่วนของการขับรถทั้งที่ไม่มีสิทธิขับตามกฏหมาย และพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนอบรมเลี้ยงดูลูก และผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจนป่านนี้พ่อแม่ของเด็กจึงยังไม่ออกมากล่าวขอโทษและแสดงความเสียใจในส่วนนี้ คือจากคำสัมภาษณ์เหมือนกับจะรอให้ชัดเจนก่อนว่าในเรื่องอุบัติเหตุใครถูกหรือผิด แต่ผมว่ามันไม่เกี่ยวกันในส่วนที่ตัวเองผิดนี่ก็ยอมรับไปก่อน ผมว่ามันจะช่วยลดกระแสสังคมลงได้ส่วนหนึ่ง ดีกว่าออกแถลงการมาเป็นสกุล มันยิ่งทำให้ดูเหมือนการแบ่งชนชั้นมากขึ้น
กลับมาถึงเรื่องที่ผมอยากให้เราตั้งสติกันครับ จากกระแสที่กำลังสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้อยู่ตอนนี้ ผมว่าสังคมไทยในยุคที่มี Social Network และการรับข่าวสารแบบทันทีทันใดนี้นี่น่ากลัวมากครับ ถ้าคนรับข่าวสารไม่ตั้งสติและใช้วิจารณญาณในการรับข่าวสารให้ดี วิพากษ์วิจารณ์ตามกระแส หรือเห็นคล้อยตามกับคนมีชื่อเสียงที่ใช้ Social Network และอาจจะมีทัศนคติที่ไม่ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น และเราก็ตามกระแสไปจนผมขอใช้คำว่าถึงขั้นเลยเถิด และถ้าเรายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปผมว่าสังคมไทยก็จะเกิดความขัดแย้งแบบนี้ไปอีกนาน
ดังนั้นผมอยากให้พวกเราตั้งสติและพิจารณาเหตุการณ์นี้ให้ดีครับลองมาพิจารณาเป็นข้อ ๆ นะครับ ข้อแรกเหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิด เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดได้กับทุกคนที่ขับรถ เด็กคนนั้นในแง่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะผิดจริงหรือไม่ก็ต้องรอการพิสูจน์ เด็กคนนั้นผิดแน่ในแง่การขับรถโดยไม่มีใบขับขี่และขับรถเร็วเกินกฏหมายกำหนด แต่ส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะผิดจริงหรือไม่สิ่งที่เราต้องตั้งสติและพิจารณาให้ดีก็คือ เด็กคนนั้ีนคงไม่ได้ตั้งใจทีจะขับรถพุ่งชนใส่รถตู้ ดังนั้นสมควรแล้วหรือที่เราจะต้องสร้างความเกลียดชังเด็กคนนี้ถึงขนาดนั้น จริง ๆ เราไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้ด้วยซ้ำก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น
ข้อสองหลายคนอาจบอกว่าที่ไม่พอใจก็เพราะเด็กคนนั้นหลังจากชนแล้วยังออกไปกดบีบีเล่นไม่สนใจคนเจ็บ คำถามก็คือเราทราบได้อย่างไรว่าเด็กคนนั้นทำอะไรอยู่ แค่ดูจากรูปที่มีคนถ่ายแล้วส่งมา ซึ่งดูจากรูปแล้วมันจะเป็นอะไรก็ได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ดูเหมือนจะสรุปได้ว่าเด็กคนนั้นกำลังโทรศัพท์ ซึ่งถ้าโทรศัพท์ก็คงเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทุกคนคงต้องทำเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น หรือถ้ากดบีบีจริงผมว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้าเธอจะใช้เป็นช่องทางเพื่อติดต่อหรือแจ้งให้คนอื่น ๆ ทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
ข้อสามหลายคนอาจถามว่าทำไมไม่ไปดูแลคนเจ็บ ผมอยากให้ลองคิดอย่างนี้ครับว่าถ้าเราเป็นคนขับรถคันนั้น และเราเป็นคนชนเราจะเป็นยังไงครับ เราจะตกใจไหม รถที่ขับก็พังยับทั้งคัน เราถูกงัดอกมาจากรถ เราไม่เห็นรถคู่กรณี เราอาจจะนึกว่าเราแค่ขับชนท้ายรถก็เหมือนรถชนธรรมดา เราไม่รู้ว่ามีคนเจ็บคนตาย ประเด็นก็คือผมเองแม้จะอายุเยอะแล้วถ้าอยู่ในเหตุการณ์นั้นก็อาจทำอะไรไม่ถูกก็ได้ นับประสาอะไรกับเด็กอายุ 16
ข้อสี่คนมีนามสกุลใหญ่จะต้องได้รับอภิสิทธิ์ พวกคนตระกูลใหญ่จะต้องใช้เส้นสายเพื่อให้พวกตัวเองพ้นผิด เรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานหรือเอาใจคนใหญ่คนโตนี้ผมเห็นด้วยครับว่ามันมีอยู่ในสังคมเราจริง ๆ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าคนใหญ่คนโตทุกคนจะต้องใช้เส้นสายหรือใช้สิทธินี้ และมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปเกลียดหรือเข้าข้างใคร ๆ เพียงเพราะเขามีนามสกุลใหญ่โตและทำผิด เรื่องการแบ่งแยกนี้มันทำให้เกิดปัญหาระดับชาติมาแล้วนะครับ พวกชนชั้นกลางหลายคนก็ไปดูถูกคนต่างจังหวัดว่าโง่เลือกผู้แทนที่ไม่มีคุณภาพ คนต่างจังหวัดก็ถูกปลุกปั่นให้เห็นว่าคนชั้นกลางเอารัดเอาเปรียบ ดังนั้นผมอยากเสนอว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ให้เราพิจารณาที่คนคนนั้น เหตุการณ์นั้นโดยไม่เอาอคติในเรื่องชนชั้นมาเกี่ยวข้องด้วยก็น่าจะทำให้เรามองปัญหาด้วยใจที่เทียงธรรมมากขึ้นครับ
กรณีเรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐานนี้ถ้าจะโทษผมอยากให้โทษที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมากกว่า ลองถามตัวเองดูว่าปฏิบัติเหมือนกันไหมระหว่างคนธรรมดากับคนตระกูลใหญ่ ถ้าคนที่ขับรถชนเป็นคนนามสกุลธรรมดาตำรวจจะปล่อยตัวไปโดยไม่ควบคุมอะไรเลยแบบนี้ไหม แต่ถ้ามองในแง่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานก็อาจน่าเห็นใจว่าเขาอาจถูกกดดันจากคนที่มีอำนาจเหนือกว่า ถ้าเขาทำตามหน้าที่ตรงไปตรงมาก็อาจมีปัญหาได้โดยไม่มีใครช่วยเขา ตรงนี้แหละครับที่ผมมองว่า Social Network อาจเข้ามาช่วยได้ คือถ้ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหน้าที่อย่างเที่ยงตรงโดยไม่กลัวเกรงกับอิทธิพลใด ๆ ก็ให้เราใช้พลัง Social Network ช่วยเขาครับ ส่วนเรื่องการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสร้างความเท่าเทียมกันอะไรที่รัฐบาลเสนอเข้ามา ผมก็ภาวนาขอให้มันสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่แค่นโยบายหาเสียงไปวัน ๆ ก็แล้วกัน
เขียนมาซะยืดยาวและเป็นเรื่องหนัก ๆ ทั้งนั้นในวันส่งท้ายปีแบบนี้จริง ๆ ไม่อยากเขียนเลย แต่ที่ต้องเขียนเขียนก็เพราะอยากเห็นคนไทยในยุค Social Network ตั้งสติและพิจารณาข่าวสารให้ดี ให้เราเข้าใจว่าข้อมูลที่เราได้รับจากสื่อต่าง ๆ มันอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องทั้งหมด ให้แยกแยะว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือข้อวิจารณ์ซึ่งบางทีอาจเกิดจากอารมณ์ก็ได้
สุดท้ายผมอยากให้เราใช้ Social Network ในทางสร้างสรรค์เช่นการรวมตัวกันช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมอย่างที่ผ่านมา หรือสนับสนุนคนดี ๆ มากกว่าที่จะมาใช้ Social Network เพื่อทำลายล้างกันหรือสร้างกระแสให้เกลียดชังกัน ซึ่งถ้าเราทำอย่างนี้ได้ผมว่าเราจะใช้ประโยชน์จาก Social Network ได้คุ้มค่า และประเทศของเราก็น่าจะเข้าสู่ปีใหม่ด้วยความสงบสุขเหมือนที่ผ่านมาได้ครับ สวัสดีปีใหม่ครับ ...
วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553
เรากลับมาอยู่ในระบบกันดีไหม
สวัสดีครับ คงยังไม่สายไปที่จะกล่าวคำว่า Merry X'Mas ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชาวพุทธอย่างที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกัน แต่เราชาวไทยทั้งหลายก็พร้อมที่จะร่วมฉลองกับทุกเทศกาลอยู่แล้ว ซึ่งผมมองว่านี่เป็นจุดที่น่ารักอีกประการหนึ่งของคนไทยเราครับ และก็ทำให้เราไม่เกิดสงครามศาสนาเหมือนกับประเทศอื่น ๆ แต่สิ่งที่ผมอยากจะเขียนวันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องคริสต์มาสนะครับ แต่อยากจะพูดถึงเรื่องที่หลัง ๆ นี้ผมว่าพวกเราหลายคนอาจจะลืม ๆ ไป หรือชินกับมันไปแล้วนั่นคือการที่เรายอมละเมิดกฏหรือระบบเพื่อให้ได้ตามที่ใจเราต้องการ
จริง ๆ ผมมีความคิดที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้นานแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่เขียนเพราะบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากจะพูดเรื่องการเมืองมากนัก ผมเคยเขียนบล็อกว่าพวกเสื้อเหลืองที่มาชุมนุมปิดสนามบิน และว่าพวกเสื้อแดงที่มาชุมนุมจนการประชุมอาเซ็มล่ม ซึ่งในบล็อกที่เขียนว่าเสื้อเหลืองก็มีคนคิดว่าผมเป็นเสื้อแดง พอเขียนว่าเสื้อแดงผมก็กลายเป็นเสื้อเหลือง ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ใช่สีไหนทั้งสิ้นผมเป็นคนไทยที่ไม่มีสี และจริง ๆ คนไทยก็ไม่เคยมีสี จนมาถึงยุคนี้แหละครับที่พวกเราถูกคนที่ต้องการอำนาจพยายามใช้เราเป็นเครื่องมือและแบ่งแยกคนไทยออกจากกัน และกลายเป็นว่าคุณต้องเป็นสีใดสีหนึ่งถ้าคุณบอกว่าคุณไม่เป็นสีใดนั่นคือคุณแอ๊บ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าไม่เขียนดีกว่า
พอเกิดเหตุการณ์โจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวที่ไปยิงน้องโตมี่ และในที่สุดก็นำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรมโจ๊ก (ทำไมต้องชื่อโจ๊กด้วยนะ ทำเสียคนชื่อโจ๊กหมด) ผมเลยคิดว่าน่าจะต้องเขียนถึงเสียหน่อย ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็มีความเห็นเหมือนกับพวกเราหลายคนคือคนอย่างพี่น้องสองคนนี้ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่เพือมาก่อกรรมทำชั่วกับใคร ๆ อีก ยิ่งฟังการให้สัมภาษณ์ของพ่อของทั้งสองคนแล้ว ก็ทำให้เห็นเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ชั่วขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสะกิดเตือนพวกเราในวันนี้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรมนี่แหละครับ ผมจะไม่เขียนเรื่องว่าตำรวจทำถูกหรือไม่ถูกนะครับ เพราะผมไม่เคยดูวีดีโอที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน หรือถึงจะดูก็อาจจะไม่สามารถวิจารณ์ได้อยู่ดี
สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือกระแสสังคมที่เหมือนจะสนับสนุนการทำวิสามัญฆาตกรรมของตำรวจ ซึ่งผมมองว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวครับ เพราะผมมองว่ามันคือการทำลายระบบยุติธรรมของไทย มันเหมือนกับว่าเราพร้อมที่จะสนับสนุนการทำผิดถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราถูกใจ จริง ๆ แล้วกระบวนการยุติธรรมมันมีบทบาทเฉพาะของมันอยู่แล้ว ตำรวจมีหน้าที่จับกุมถ้าคนร้ายต่อสู้ก็สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ตำรวจไม่มีอำนาจไปตัดสินว่าคนร้ายสมควรที่จะต้องตาย การตัดสินเป็นอำนาจของศาล
ในทำนองเดียวกันกับการชุมนุมของกลุ่ม พธม. (เสื้อเหลือง) ซึ่งทั้งปิดถนน เข้าไปยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน แต่พวกเราหลายคนก็พร้อมที่จะปิดหูปิดตาและบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้มาชุมนุมขับไล่คนที่เราไม่ชอบ เวลาทหารอกมาปฏิวัติถ้าเขาปฏิวัติเอาคนที่เราไม่ชอบออกไป เราก็เอาดอกไม้ไปให้ทหาร ขอบคุณทหารที่ออกมาปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นการทำลายระบบ พวกสื่อและนักวิชาการก็ช่วยให้การชุมนุมที่จริง ๆ นั้นผิดให้กลับกลายเป็นถูก มีการประดิษฐ์ถ้อยคำเช่น "ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" หรือคำประเภท "สิทธิของเสียงส่วนน้อย" ซึ่งในความเห็นผมผมก็เห็นด้วย แต่มันต้องมีการเติมให้สมบูรณ์ครับ เช่นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่คุณต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และคอยติดตามดูผลงานของคนที่คุณเลือกหรือไม่ได้เลือกเข้าไป ถ้าเขาทุจริตหรือคดโกงคุณก็ต้องใช้ช่องทางตามที่กฏหมายเปิดช่องไว้ เช่นการเข้าชื่อถอดถอน ยื่นฟ้องต่อองค์กรอิสระ หรือก็อาจต้องอดทนรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งอำนาจจะกลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง ถ้าเราเป็นเสียงส่วนน้อยเรามีสิทธิที่จะพูดแสดงความคิดเห็น และโน้มน้าวให้คนอื่น ๆ เห็นด้วยกับเราจนเรากลายเป็นเสียงข้างมาก แต่ถ้ามันไม่สำเร็จเราก็ต้องยอมตามเสียงข้างมาก นั่นคือระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่นั้นผิดและจะเป็นภัยร้ายแรง เราก็ต้องมาใช้สิทธิของเราในด้านอื่นตามช่องทางที่กฏหมายกำหนด
หลายคนอาจจะบอกว่าเลือกตั้งใหม่ก็ได้คนเดิมอยู่ดี เพราะเสียงคุณสู้ไม่ได้ (จนกลายไปเป็นไปดูถูกหรือด่าคนอื่นว่าโง่กว่าตัวเอง) แต่นี่คือระบอบประชาธิปไตยครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าคุณต้องโน้มน้าวหรือทำให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ คุณอาจจะคุยกับเพื่อน ๆ คุณบอกว่าควรเลือกพรรคนี้หรือพรรคนั้นเพราะอะไร ส่วนนักการเมืองก็ควรจะนำเสนอนโยบาย และถ้าแพ้ก็ควรจะมาพิจารณาตัวเองว่ายังมีจุดบกพร่องอะไร ไม่ใช่พอแพ้เลือกตั้งมาก็พูดอยู่คำเดียวเป็นคาถาว่าแพ้เพราะอีกฝ่ายซื้อเสียงโดยไม่ได้มองตัวเองเลย แล้วก็เล่นเกมการเมืองไปเรื่อยโดยไม่คิดว่าที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีโดยเอาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก
พูดมาถึงตรงนี้หลายคนก็บอกว่าก็นี่ไงเพราะคุณภาพของนักการเมืองบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ก็เลยต้องใช้วิธีนอกระบบ แต่ผมกลับมองว่าถ้าเรารักษาระบบไว้คือไม่ว่านักการเมืองจะแย่ยังไง เราก็จะใช้วิธีที่อยู่ในระบบจัดการกับเขา ไม่มีการมาปิดสนามบินหรือยึดย่านเศรษฐกิจขับไล่ และไม่มีการปฏิวัติ ก็จะทำให้คนดี ๆ กล้าที่จะเข้ามาทำงานมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าจะไม่มีการใช้วิธีการนอกระบบมาจัดการกับเขา เพราะแม้แต่คนชั่ว ๆ เรายังอดทนที่จะอยู่ในระบบได้ ซึ่งผมคิดว่าสักวันวันนั้นจะมาถึงถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบ ไม่ไปหยุดมันกลางทางอย่างทีทำกันอยู่ในปัจจุบัน
แต่แน่นอนครับเมื่อระบบมันเสียไปจากการที่พวกเรายอมรับสิ่งที่ผิดถ้ามันตรงใจ จากเสื้อเหลืองมันก็เลยเกิดเสื้อแดง ก็ต้องบอกอีกครั้งว่าไม่ได้เห็นด้วยเลยกับการที่เสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกับเสื้อเหลือง เพราะตอนเสื้อเหลืองทำผิดกฏหมายบ้านเมืองพวกเสื้อแดงก็ด่าเสร็จแล้วก็มาทำเสียเอง ผมว่าไอ้คนที่ด่าเขาแล้วตัวเองมาทำเองนี่แย่กว่าอีกนะ คือรู้ว่าอะไรผิดแล้วยังทำ ผมเบื่อจริง ๆ กับคำว่าเขาทำผิดได้เราก็ต้องทำได้ จริง ๆ มันควรจะเป็นว่าเขาทำผิดเราจะไม่ทำผิดเหมือนเขาถึงจะถูก จริง ๆ ถ้าอยากชุมนุมก็ทำเหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้าคือชุมนุมโดยสงบตามสนามกีฬาที่ไม่เดือดร้อนใคร ชี้ให้เห็นการทำงานที่ผิดพลาดหรือสองมาตรฐานอะไรก็ตาม ซึ่งผมว่าถ้าคุณทำอย่างนี้นี่แหละจะเป็นการโน้มน้าวให้คนที่มีใจเป็นกลางให้เห็นด้วยกับคุณ และขณะที่กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่ก็มีข่าวแฟนบอลลงมาทำร้ายกรรมการในการแข่งขันระหว่างศรีสะเกษกับนครปฐม นี่ก็คือตัวอย่างของการทำนอกระบบ
ท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากให้พวกเราทุกฝ่ายคิดและยอมรับระบบ อะไรที่คิดว่าไม่ยุติธรรมก็ให้แก้ไขอยู่ในขอบเขตของระบบ และต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในข้ามวัน ขอให้มีความอดทนอดกลั้นเพื่อให้ประเทศเราได้เดินหน้าไปอย่างปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาครับ
จริง ๆ ผมมีความคิดที่จะเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้นานแล้ว แต่ก็ตัดสินใจไม่เขียนเพราะบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากจะพูดเรื่องการเมืองมากนัก ผมเคยเขียนบล็อกว่าพวกเสื้อเหลืองที่มาชุมนุมปิดสนามบิน และว่าพวกเสื้อแดงที่มาชุมนุมจนการประชุมอาเซ็มล่ม ซึ่งในบล็อกที่เขียนว่าเสื้อเหลืองก็มีคนคิดว่าผมเป็นเสื้อแดง พอเขียนว่าเสื้อแดงผมก็กลายเป็นเสื้อเหลือง ซึ่งจริง ๆ ผมไม่ใช่สีไหนทั้งสิ้นผมเป็นคนไทยที่ไม่มีสี และจริง ๆ คนไทยก็ไม่เคยมีสี จนมาถึงยุคนี้แหละครับที่พวกเราถูกคนที่ต้องการอำนาจพยายามใช้เราเป็นเครื่องมือและแบ่งแยกคนไทยออกจากกัน และกลายเป็นว่าคุณต้องเป็นสีใดสีหนึ่งถ้าคุณบอกว่าคุณไม่เป็นสีใดนั่นคือคุณแอ๊บ ดังนั้นผมเลยตัดสินใจว่าไม่เขียนดีกว่า
พอเกิดเหตุการณ์โจ๊ก-จิ๊บไผ่เขียวที่ไปยิงน้องโตมี่ และในที่สุดก็นำไปสู่การวิสามัญฆาตกรรมโจ๊ก (ทำไมต้องชื่อโจ๊กด้วยนะ ทำเสียคนชื่อโจ๊กหมด) ผมเลยคิดว่าน่าจะต้องเขียนถึงเสียหน่อย ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าผมก็มีความเห็นเหมือนกับพวกเราหลายคนคือคนอย่างพี่น้องสองคนนี้ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่เพือมาก่อกรรมทำชั่วกับใคร ๆ อีก ยิ่งฟังการให้สัมภาษณ์ของพ่อของทั้งสองคนแล้ว ก็ทำให้เห็นเลยว่าทำไมสองคนนี้ถึงได้ชั่วขนาดนี้ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสะกิดเตือนพวกเราในวันนี้ก็คือเรื่องเกี่ยวกับการวิสามัญฆาตกรรมนี่แหละครับ ผมจะไม่เขียนเรื่องว่าตำรวจทำถูกหรือไม่ถูกนะครับ เพราะผมไม่เคยดูวีดีโอที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กัน หรือถึงจะดูก็อาจจะไม่สามารถวิจารณ์ได้อยู่ดี
สิ่งที่ผมอยากจะพูดก็คือกระแสสังคมที่เหมือนจะสนับสนุนการทำวิสามัญฆาตกรรมของตำรวจ ซึ่งผมมองว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวครับ เพราะผมมองว่ามันคือการทำลายระบบยุติธรรมของไทย มันเหมือนกับว่าเราพร้อมที่จะสนับสนุนการทำผิดถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราถูกใจ จริง ๆ แล้วกระบวนการยุติธรรมมันมีบทบาทเฉพาะของมันอยู่แล้ว ตำรวจมีหน้าที่จับกุมถ้าคนร้ายต่อสู้ก็สามารถป้องกันตัวเองได้ แต่ตำรวจไม่มีอำนาจไปตัดสินว่าคนร้ายสมควรที่จะต้องตาย การตัดสินเป็นอำนาจของศาล
ในทำนองเดียวกันกับการชุมนุมของกลุ่ม พธม. (เสื้อเหลือง) ซึ่งทั้งปิดถนน เข้าไปยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน แต่พวกเราหลายคนก็พร้อมที่จะปิดหูปิดตาและบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะคนเหล่านี้มาชุมนุมขับไล่คนที่เราไม่ชอบ เวลาทหารอกมาปฏิวัติถ้าเขาปฏิวัติเอาคนที่เราไม่ชอบออกไป เราก็เอาดอกไม้ไปให้ทหาร ขอบคุณทหารที่ออกมาปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นการทำลายระบบ พวกสื่อและนักวิชาการก็ช่วยให้การชุมนุมที่จริง ๆ นั้นผิดให้กลับกลายเป็นถูก มีการประดิษฐ์ถ้อยคำเช่น "ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง" หรือคำประเภท "สิทธิของเสียงส่วนน้อย" ซึ่งในความเห็นผมผมก็เห็นด้วย แต่มันต้องมีการเติมให้สมบูรณ์ครับ เช่นประชาธิปไตยไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่คุณต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง และคอยติดตามดูผลงานของคนที่คุณเลือกหรือไม่ได้เลือกเข้าไป ถ้าเขาทุจริตหรือคดโกงคุณก็ต้องใช้ช่องทางตามที่กฏหมายเปิดช่องไว้ เช่นการเข้าชื่อถอดถอน ยื่นฟ้องต่อองค์กรอิสระ หรือก็อาจต้องอดทนรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งอำนาจจะกลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง ถ้าเราเป็นเสียงส่วนน้อยเรามีสิทธิที่จะพูดแสดงความคิดเห็น และโน้มน้าวให้คนอื่น ๆ เห็นด้วยกับเราจนเรากลายเป็นเสียงข้างมาก แต่ถ้ามันไม่สำเร็จเราก็ต้องยอมตามเสียงข้างมาก นั่นคือระบอบประชาธิปไตย แต่ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เสียงส่วนใหญ่นั้นผิดและจะเป็นภัยร้ายแรง เราก็ต้องมาใช้สิทธิของเราในด้านอื่นตามช่องทางที่กฏหมายกำหนด
หลายคนอาจจะบอกว่าเลือกตั้งใหม่ก็ได้คนเดิมอยู่ดี เพราะเสียงคุณสู้ไม่ได้ (จนกลายไปเป็นไปดูถูกหรือด่าคนอื่นว่าโง่กว่าตัวเอง) แต่นี่คือระบอบประชาธิปไตยครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่าคุณต้องโน้มน้าวหรือทำให้คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับคุณ คุณอาจจะคุยกับเพื่อน ๆ คุณบอกว่าควรเลือกพรรคนี้หรือพรรคนั้นเพราะอะไร ส่วนนักการเมืองก็ควรจะนำเสนอนโยบาย และถ้าแพ้ก็ควรจะมาพิจารณาตัวเองว่ายังมีจุดบกพร่องอะไร ไม่ใช่พอแพ้เลือกตั้งมาก็พูดอยู่คำเดียวเป็นคาถาว่าแพ้เพราะอีกฝ่ายซื้อเสียงโดยไม่ได้มองตัวเองเลย แล้วก็เล่นเกมการเมืองไปเรื่อยโดยไม่คิดว่าที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีโดยเอาผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก
พูดมาถึงตรงนี้หลายคนก็บอกว่าก็นี่ไงเพราะคุณภาพของนักการเมืองบ้านเรามันเป็นอย่างนี้ก็เลยต้องใช้วิธีนอกระบบ แต่ผมกลับมองว่าถ้าเรารักษาระบบไว้คือไม่ว่านักการเมืองจะแย่ยังไง เราก็จะใช้วิธีที่อยู่ในระบบจัดการกับเขา ไม่มีการมาปิดสนามบินหรือยึดย่านเศรษฐกิจขับไล่ และไม่มีการปฏิวัติ ก็จะทำให้คนดี ๆ กล้าที่จะเข้ามาทำงานมากขึ้น เพราะเขารู้ว่าจะไม่มีการใช้วิธีการนอกระบบมาจัดการกับเขา เพราะแม้แต่คนชั่ว ๆ เรายังอดทนที่จะอยู่ในระบบได้ ซึ่งผมคิดว่าสักวันวันนั้นจะมาถึงถ้าเราปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกการทำงานของระบบ ไม่ไปหยุดมันกลางทางอย่างทีทำกันอยู่ในปัจจุบัน
แต่แน่นอนครับเมื่อระบบมันเสียไปจากการที่พวกเรายอมรับสิ่งที่ผิดถ้ามันตรงใจ จากเสื้อเหลืองมันก็เลยเกิดเสื้อแดง ก็ต้องบอกอีกครั้งว่าไม่ได้เห็นด้วยเลยกับการที่เสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกับเสื้อเหลือง เพราะตอนเสื้อเหลืองทำผิดกฏหมายบ้านเมืองพวกเสื้อแดงก็ด่าเสร็จแล้วก็มาทำเสียเอง ผมว่าไอ้คนที่ด่าเขาแล้วตัวเองมาทำเองนี่แย่กว่าอีกนะ คือรู้ว่าอะไรผิดแล้วยังทำ ผมเบื่อจริง ๆ กับคำว่าเขาทำผิดได้เราก็ต้องทำได้ จริง ๆ มันควรจะเป็นว่าเขาทำผิดเราจะไม่ทำผิดเหมือนเขาถึงจะถูก จริง ๆ ถ้าอยากชุมนุมก็ทำเหมือนที่เคยทำมาก่อนหน้าคือชุมนุมโดยสงบตามสนามกีฬาที่ไม่เดือดร้อนใคร ชี้ให้เห็นการทำงานที่ผิดพลาดหรือสองมาตรฐานอะไรก็ตาม ซึ่งผมว่าถ้าคุณทำอย่างนี้นี่แหละจะเป็นการโน้มน้าวให้คนที่มีใจเป็นกลางให้เห็นด้วยกับคุณ และขณะที่กำลังเขียนบล็อกนี้อยู่ก็มีข่าวแฟนบอลลงมาทำร้ายกรรมการในการแข่งขันระหว่างศรีสะเกษกับนครปฐม นี่ก็คือตัวอย่างของการทำนอกระบบ
ท้ายนี้ผมก็อยากจะฝากให้พวกเราทุกฝ่ายคิดและยอมรับระบบ อะไรที่คิดว่าไม่ยุติธรรมก็ให้แก้ไขอยู่ในขอบเขตของระบบ และต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในข้ามวัน ขอให้มีความอดทนอดกลั้นเพื่อให้ประเทศเราได้เดินหน้าไปอย่างปกติเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)