วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

นักวิจัยพบหนึ่งพันข้อความที่อาจสั่งให้ผู้ช่วยอัจฉริยะทำงานโดยไม่ได้ตั้งใจ

นักวิจัยจาก Ruhr University Bochum และ Max Planck Institute for Security and Privacy ในเยอรมันพบคำกว่าหนึ่งพันคำที่อาจเริ่มการทำงานของผู้ช่วยอัจฉริยะอย่าง Siri, Alexa, Cortana และ Google Home ทำงานโดยไม่ได้ตั้งใจ นักวิจัยบอกว่าบางครั้งคำพูดที่พูดกันจากรายการทีวีก็ทำให้ผู้ช่วยอัจฉริยะเหล่านี้ทำงานโดยที่เราไม่ได้สั่ง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว เนื่องจากหลังจากที่เราสั่งให้ผู้ช่วยอัจฉริยะทำงาน เช่นพูดว่า OK Google เพื่อให้ Google Home ทำงาน สิ่งที่เราพูดจะถูกส่งไปที่ผู้ให้บริการ ซึ่งผู้ให้บริการส่วนใหญ่ก็จะมีพนักงานมาช่วยแปลและตรวจสอบ เพื่อปรับปรุงการทำงานของกระบวนการรู้จำคำของโปรแกรม ดังนั้นเมื่อโปรแกรมผู้ช่วยเหล่านี้ทำงานโดยเราไม่ได้สั่ง การสนทนาซึ่งเราตั้งใจจะให้เป็นส่วนตัวก็อาจถูกฟังโดยพนักงานได้ ตัวอย่างของคำที่นักวิจัยพบก็เช่นคำว่า "unacceptable" และ "election" จะทำให้ Alexa ทำงาน ส่วน Siri ก็จะถูกปลุกด้วยคำว่า "city" สำหรับ Google Home ก็เช่นคำว่า "Ok, cool" และ Cortana ก็เช่นคำว่า "Montana" ในข่าวเต็มมีวีดีโอแสดงตัวอย่างด้วยนะครับ

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Ars Technica

 เพิ่มเติมเสริมข่าว: 

สำหรับเรื่องนี้ถ้าจะพูดในแง่หนึ่งมันก็ไม่น่าประหลาดใจ เพราะมันก็มีคำที่ออกเสียงคล้าย ๆ กันอยู่ ยิ่งถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยจะเงียบ อย่าง "city" ก็อาจถูกฟังเพี้ยนเป็น "siri" ได้ แต่มันเป็นเรื่องที่เตือนให้เราต้องระวัง ในการใช้ผู้ช่วยเหล่านี้ ส่วนตัวเคยเจอ Google Assistant ทำงานเองบ่อย ๆ เวลาเปิดวีดีโอจากคอมพิวเตอร์แล้ววางโทรศัพท์ไว้ใกล้ ๆ 

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

โดรนที่ทำหน้าที่ผสมเกสรดอกไม้

นักวิจัยจาก Japan Advanced Institute of Science and Technology ได้พัฒนาวิธีการผสมเกสรดอกไม้โดยใช้โดรนซึ่งทำหน้าที่ปล่อยละอองเกสรดอกไม้ในรูปฟองสบู่ โดยฟองสบู่หนึ่งฟองสามารถมีจำนวนละอองเกสรได้มากถึง 2,000 ละออง นักวิจัยได้สาธิตการทำงานด้วยการใช้โดรนที่มีเครื่องสร้างฟองสบู่ ที่สร้างฟองสบู่ได้ในอัตรา 5,000 ฟองต่อนาที โดรนบินด้วยอัตราเร็ว 2 เมตรต่อวินาที ที่ระดับความสูงสองเมตร ผลการทดลองพบว่ามีอัตราความสำเร็จ 90% นักวิจัยบอกว่าขอแค่มีเพียงฟองเดียวที่ตกลงบนเกสรตัวเมียก็เพียงพอต่อการผสมเกสรแล้ว

อ่านข่าวเต็มได้ที่: IEEE Spectrum

เพิ่มเติมเสริมข่าว: 

แม้แต่ผึ้งก็จะโดน Disrupt หรือนี่ :)

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

กล้องความปลอดภัยในบ้านสามารถถูกแฮกเพื่อตรวจจับว่าเจ้าของบ้านอยู่บ้านหรือไม่

นักวิทยาศาสตร์จาก Queen Mary University of London และ Chinese Academy of Sciences ในปักกิ่งได้สาธิตการใช้งานช่องโหว่ในกล้องความปลอดภัยที่นิยมติดตั้งตามบ้าน โดยดูจากข้อมูลที่มันอัพโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต โดยผู้บุกรุกจะดักจับข้อมูลที่ส่งจาก WiFi ซึ่งกล้องความปลอดภัยในบ้านส่วนใหญ่ใช้ในการส่งข้อมูลขึ้นอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้บุกรุกสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้ แม้ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส นักวิจัยได้ศึกษาชุดข้อมูลจากบริษัทที่ไม่เปิดเผย ซึ่งยอมให้นักวิจัยเข้าถึงข้อมูล 15.4 ล้านชุดที่ถูกอัพโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ตจากผู้ใช้ 211,000 ราย ซึ่งนักวิจัยสามารถพบรูปแบบของข้อมูลที่เป็นการเคลื่อนไหว และยังสามารถแยกประเภทของการเคลือนไหวได้ด้วย ซึ่งผู้บุกรุกก็สามารถใช้ข้อมูลนี้เพื่อดูว่าเจ้าของบ้านอยู่บ้านหรือไม่ 

อ่านข่าวเต็มได้ที่:  The Daily Mail (U.K.)

เพิ่มเติมเสริมข่าว: 

แทบทุกอย่างมีทั้งคุณและโทษจริง ๆ อย่างกล้องพวกนี้ เราติดก็เพื่อใช้ดูบ้านตอนเราไม่อยู่ว่ามีใครเข้ามาหรือเปล่า คนจะเข้าบ้านเราก็ใช้กล้องในการดูว่าตอนนี้มีใครอยู่บ้านหรือเปล่า 

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ขั้นตอนวิธีรู้จำใบหน้าจับคนผิดตัว

คุณ Robert Julian-Borchak Williams ถูกจับในบ้านของตัวเองในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งทั้งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและกฎหมายบอกว่านี่น่าจะเป็นกรณีแรกที่คนอเมริกันถูกจับผิดตัวโดยขั้นตอนวิธีการรู้จำใบหน้า โดยคุณ Robert ถูกกล่าวหาว่าขโมยนาฬิกาห้าเรือนมูลค่า $3,800 และเขาเพิ่งถูกยกฟ้องเร็ว ๆ นี้  จากผลการศึกษาล่าสุดของ Massachusetts Institute of Technology และ National Institute of Standards and Technology บอกว่าขั้นตอนวิธีรู้จำใบหน้าทำงานได้ดีกับคนผิวขาว แต่เนื่องจากไม่มีความหลากหลายของข้อมูลอย่างเพียงพอในฐานข้อมูล ทำให้ไม่มีความเที่ยงตรงกับกลุ่มประชากรกลุ่มอื่น ถึงแม้ว่าบริษัทอย่าง Amazon, Microsoft และ IBM ได้ยุติการให้การสนับสนุนการใช้การรู้จำใบหน้ากับการบังคับใช้กฎหมาย แต่ตำรวจยังคงใช้เทคโนโลยีนี้จากบริษัทที่เล็กกว่าบริษัทเหล่านี้

อ่านข่าวเต็มได้ที่: The New York Times

เพิ่มเติมเสริมข่าว:

ข่าวนี้น่าจะเป็นจุดยืนยันว่าทำไมจึงมีการเรียกร้องให้หยุดใช้เทคโนโลยีรู้จำใบหน้ากับงานของรัฐบาล และธุรกิจ

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

สเต็กที่พิมพ์จากเครื่องพิมพ์สามมิติจะเข้าสู่ภัตตาคารในปีนี้

บริษัทในอิสราเอลชื่อ Redefine Meat ได้ออกมาประกาศถึงสิ่งที่เขาเรียกว่า สเต็กไร้เนิ้อที่พิมพ์จากเครื่องพิมพ์สามมิติอันแรกของโลก ซึ่งทางบริษัทบอกว่าได้จำลองทั้งสภาพเนื้อ กลิ่น และลักษณะที่เหมือนกับสเต็กที่ทำจากเนื้อจริง ๆ โดยบริษัทบอกว่าได้พัฒนาเทคโนโลยีนี้ 2 ปี การพิมพ์สเต็กนี้จะพิมพ์ชั้นต่อชั้น โดยใช้การผสมผสานของถั่วเหลือง โปรตีนถั่ว ไขมันมะพร้าว น้ำมันดอกทานตะวัน สีผสมอาหารและกลิ่น นอกจากนี้ยังมีบริษัทในอิสราเอลอีกสองบริษัทคือ MeaTech และ Aleph Farms ซึ่งวางแผนว่าจะพิมพ์สเต็กจากเนื้อเยื่อของวัว โดยที่ไม่ต้องฆ่าวัว บริษัทบอกว่าการแพร่ระบาดของโรคทำให้เห็นความสำคัญของการผสมผสานนวัตกรรมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างอาหารที่ปลอดภัย ที่ไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก และลดความเสี่ยงการเกิดโรคจากสัตว์สู่คน

อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Jerusalem Post