วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563

เซ็นเซอร์ติดผิวหนังแบบไร้สายช่วยติดตามทารกและหญิงตั้งครรภ์

นักวิจัยจาก Northwestern University ได้พัฒนาเซ็นเซอร์ติดผิวหนังแบบไร้สายเพื่อติดตามทารกเกิดใหม่และหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งจะช่วยให้การคลอดมีความปลอดภัยและลดอัตราการตายของแม่ โดยงานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Bill & Melinda Gates Foundation and Save the Children ซึ่งงานวิจัยนี้ได้นำไปใช้กับประเทศอย่าง Ghana, India, Kenya, และ Zambia โดยนักวิจัยบอกว่าสิ่งที่ดีของเทคโนโลยีนี้ก็คือเราสามารถใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ (mobile device) ได้หลากหลายในการติดตามผล ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังคงแม่นยำ เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนที่ใช้อยู่ในโรงพยาบาลในทุกวันนี้

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Northwestern University NewsCenter

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2563

ใช้ VR ในการออกแบบยา

นักวิจัยจาก  University of Bristol ในสหราชอาณาจักรกำลังสำรวจวิธีการใช้ VR ในการออกแบบยา นักวิจัยใช้ VR ในการเรนดอร์ (render) โมเลกุลของยาในรูปแบบสามมิติ ผลการทดลองพบว่าแม้แต่คนที่ไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญก็สามารถสร้างโครงสร้างของยาซึ่งมีความซับซ้อนได้ นักวิจัยบอกว่ามันมีความเป็นไปได้ในการสร้างตัวแบบเชื่อมยาเข้าหรืออกจากโปรตีนเป้าหมายโดยใช้เวลาสั้นกว่าการทำแบบเดียวกันโดยไม่ใช้วิธีการนี้

อ่านข่าวเต็มได้ที่: University of Bristol

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2563

PIN 4 หลักหรือหกหลักปลอดภัยกว่ากัน

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางเทคโนโลยีสารสนเทศที่ Germany’s Ruhr-Universitat Bochum (RUB) และ Max Planck Institute for Security and Privacy และ George Washington University ได้ประเมินการใช้ PIN ในอุปกรณ์เคลื่อนที่ทั้ง Apple และ Android โดยผลจากการประเมินพบว่า PIN 6 หลักมีความปลอดภัยมากกว่า PIN 4 หลัก เพียงนิดเดียวเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ PIN 6 หลัก สามารถสร้างรหัสที่ต่างกันได้ 1,000,000 รหัส ส่วน PIN 4 หลัก จะสร้างรหัสที่ต่างกันได้เพียง 10,000 รหัส เท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นอย่างนี้ก็เพราะคนมักจะตั้งรหัส 6 หลักแบบง่าย ๆ เพื่อให้จำได้ง่าย ผลการวิจัยยังบอกด้วยว่ารหัสผ่านปลอดภัยกว่า PIN แต่ PIN ปลอดภัยกว่า Pattern Lock

อ่านข่าวเต็มได้ที่:  Ruhr-University Bochum (Germany)

เพิ่มเติมเสริมข่าว: 

มีมหาวิทยาลัยตัวเองมีส่วนร่วมด้วยแฮะ 

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563

ศรัทธาเกิดจากผลงาน

วันศุกร์กลับมาอีกแล้วครับ และเป็นศุกร์ 13 ซะด้วย แต่ไม่ว่าจะศุกร์อะไรผมว่าช่วงนี้ประชาชนคงไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่นะครับ ศุกร์นี้เห็นนายกออกมาพูดด้วยมุมความคิดเดิม ๆ ขอให้เชื่อใจรัฐบาล ขอให้ช่วยกัน ขออย่าด่าทุกเรื่อง ผมถามจริง ๆ เถอะครับ ถ้าคนเราทำดี แสดงให้เห็นว่าสามารถแก้ปัญหาได้ ยังไม่ต้องสำเร็จก็ได้ แต่แสดงให้เห็นว่ามาถูกทางแล้ว ใครมันจะออกมาด่าครับ อาจจะยกเว้นพวกอคติ หลับหูหลับตาด่าอย่างเดียว อย่างพวกเกลียดทักษิณ ซึ่งก็คงมีอย่างนั้นเช่นกันในฝั่งเกลียดประยุทธ์

แต่ตอนนี้หลายคนที่เขาออกมาพูดออกมาตำหนิ บางคนเคยเชียร์ด้วยซ้ำ เพราะเขาเห็นแล้วว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแก้ปัญหาไม่ถูกทาง มันไม่เป็นระบบ มันมั่ว จะให้เขาทำยังไง ผมถามจริง ๆ เหอะ สมมติประชาชนหุบปาก ไม่โวยวายเรื่องฝุ่น เรื่องหน้ากาก ถามจริง ๆ เถอะว่าพวกท่านจะรู้สึกรู้สม จะออกมาแก้ปัญหากันหูตาเหลือกอย่างนี้จริง ๆ หรือ ขนาดประชาชนออกมาโวยวายตอนแรก ยังหาว่าเป็น Fake News เกิดจากการทำลายกันทางการเมือง ถึงตอนนี้พรรคพวกท่านบางคนยังคิดแบบนี้อยู่เลย

แล้วก็ไอ้แนวคิดว่าประชาชนต้องช่วยตัวเองด้วยนี่ ท่านคิดว่าประชาชนเขางอมืองอเท้าไม่ทำอะไรเลย รอท่านอย่างเดียวจริง ๆ หรือครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมว่าดีไม่ดีตายกันไปหลายคนแล้ว ประชาชนเขาช่วยตัวเองเท่าที่จะทำได้แล้วครับ แต่บางเรื่องมันก็เกินความสามารถของเขา เอาง่าย ๆ เรื่องหน้ากากเรื่องเจลล้างมือนี่ ผมว่าประชาชนก็ไม่ได้คิดจะรอแจกจากท่าน หลายคนเขาก็พร้อมจะซื้อ แต่เขาไม่รู้จะไปหาซื้อที่ไหน จะให้เขาเดินทางไปทั่วเมืองโดยไม่รู้ว่าจะซื้อได้หรือเปล่านี่มันใช่ไหมล่ะครับ ถ้าต้องทำเรื่องที่มันไม่ควรจะลำบากแบบนี้ด้วยความยากลำบาก มันก็สมควรไหมที่เขาจะตั้งคำถามว่า แล้วเราจะมีรัฐบาลไปทำไม ทางแก้ปัญหาหลายอย่างก็มาจากภาคประชาชน หรือพรรคที่เพิ่งถูกยุบไป อย่างเว็บไซต์แสดงจุดที่มีหน้ากากขายอะไรแบบนี้ หน่วยงานที่ควรจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำเรื่องนี้อย่างกระทรวง DE ทำอะไรอยู่ครับ หรือกระทรวงนี้มีหน้าที่แค่ไปเที่ยวไล่ฟ้องคนที่ด่ารัฐบาล ยัดเยียดข้อหาสร้าง Fake News ตั้งแต่ไวรัสเริ่มระบาด พวกท่านทำอะไร ท่านคิดแต่ห่วงรายได้จากการท่องเที่ยว ท่านคิดแต่ห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่ประเทศบางประเทศเขาเล็กกว่าเราอีก เขายังมีมาตรการที่เด็ดขาดกว่าในการคัดกรองคนเข้าประเทศ

ท่านขอความเชื่อใจและศรัทธา มาตั้งแต่ท่านยึดอำนาจ ท่านบริหารด้วยอำนาจพิเศษมากว่า 5 ปี ผมบอกเลยนะท่านทำลายความศรัทธามากกว่าสร้างความศรัทธา ผมคิดว่าตอนที่ท่านเข้ามาใหม่ ๆ คนคงคาดหวังกับท่านไว้มาก แต่ยิ่งอยู่ไปคนยิ่งเสื่อมศรัทธา และหลังจากเลือกตั้ง ท่านคิดว่าท่านชนะเลือกตั้ง ท่านคิดอย่างนี้จริง ๆ หรือครับ หรือท่านชอบหลอกตัวเอง พรรคที่สนับสนุนท่าน ไม่ใช่พรรคที่ชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งนะครับ พรรคที่สนับสนุนท่านแพ้ แพ้พรรคที่ที่ท่านยึดอำนาจเขามานั่นแหละ แต่ด้วยกลไกต่าง ๆ ที่ท่านวางไว้ ท่านจึงได้เป็นนายก ถ้าไม่มีกลไกเหล่านี้ ท่านไม่ได้กลับมาเป็นนายกหรอก แต่เอาเถอะท่านก็มาตามกติกาที่ท่านร่างขึ้นมาเองละนะ แต่ท่านบริหารยังไงล่ะครับมันถึงได้เป็นแบบนี้ ท่านขอให้เชื่อใจมาแล้ว 5 ปี ซึ่งก็เห็นแล้วว่ามันไม่ได้เรื่อง ท่านยังจะขอให้เชื่อใจไปอีกกี่ปีหรือครับ 20 ปี ตามยุทธศาสตร์ชาติของท่านหรือครับ ถึงตอนนั้นคนไทยจะจนกันหมดประเทศ หรือตายกันหมดประเทศดีล่ะครับ

ผมขอยกตัวอย่างคนที่สร้างความศรัทธาให้เกิดสักคนหนึ่งก็แล้วกัน เจอร์เกน คลอปป์ครับ ผู้จัดการทีมทีมรักของผมลิเวอร์พูล ก่อนที่เจอร์เกน คลอปป์เข้ามา ลิเวอร์พูลอยู่ในสภาพยักษ์หลับ และดูเหมือนไม่มีใคร แม้แต่แฟนบางคนของทีมจะเชื่อว่ายักษ์ตัวนี้จะกลับมาผงาดได้อีกครั้ง เมื่อคลอปป์เข้ามา เขาบอกว่า เขาจะเปลี่ยนให้คนที่สงสัยไม่เชื่อมั่นกลับมาเป็นคนที่เชื่อมั่นในทีมให้ได้ From Doubters to Believers คือคำที่คลอปป์ใช้ ซึ่งก็คงไม่ต่างจากเพลง "ขอเธอจงเชื่อใจและศรัทธา" หรอก แต่ความแตกต่างคือคลอปป์ทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่แต่งเพลง  คลอปป์สร้างทีมตามแนวทาง ลิเวอร์พูลไม่ได้แชมป์อะไรเลยในช่วงสองสามปีแรกที่คลอปป์เข้ามา แต่สิ่งที่แฟน ๆ เห็น คือแนวทางการเล่นของทีม แฟน ๆ เห็นการพัฒนาของทีม ดังนั้นแฟน ๆ ก็กลับมาเชียร์มาศรัทธาและเชื่อมั่น คลอปป์ไม่เคยออกมาเรียกร้องว่าแฟน ๆ อย่ามาด่าเขานะ ขอให้เชื่อใจนะ แต่เขาแสดงให้เห็นด้วยผลงาน และสุดท้ายปีที่แล้วลิเวอร์พูลก็ได้แแชมป์ถ้วยใบใหญ่ที่สุดในยุโรป และเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกที่มีแต้มสูงสุดในประวติศาสตร์ ได้แชมป์โลก ได้รับการยกย่องว่าเป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดทีมหนึ่งในขณะนี้ และปีนี้กำลังจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยผลงานที่ทิ้งคู่แข่งในลีกไปไกลมาก เห็นไหมล่ะครับว่าผลงานเท่านั้นเป็นตัวสร้างศรัทธา

พูดถึงลิเวอร์พูลก็อดกังวลไม่ได้ มันจะอะไรนักนะ กำลังจะเป็นแชมป์ลีกสูงสุดหนแรกในรอบ 30 ปี ก็มีไอ้ไวรัสบ้าบออะไรไม่รู้มาทำเรื่องจนต้องลุ้นว่าจะแข่งจนจบได้แชมป์หรือเปล่าซะอีก อ้าวเริ่มด้วยการเมือง ดันมาจบด้วยเรื่องบอลซะได้ เฮ้อ แสดงว่ามันกังวลอยู่ในจิตใต้สำนึกนะนี่...



วิธีใหม่ 2 วิธี สามารถจู่โจมช่องโหว่ในซีพียู AMD ที่ผลิตในช่วงปี 2011 ถึง 2019 ได้

นักวิจัยจาก Graz University of Technology ในออสเตรีย และ University of Rennes ในฝรั่งเศส ได้ชี้ให้เห็นว่าช่องโหว่ในซีพียูของ AMD ผลิตในช่วงปี 2011 ถึง 2019 เปิดช่องให้การจู่โจมใหม่สองวิธีที่จะมีผลกับการประมวลผลข้อมูลในซีพียู ทำให้ผู้บุกรุกสามารถได้ข้อมูลที่สำคัญ หรือลดระดับความปลอดภัยของเครื่องลง วิธีการจู่โจมดังกล่าวชือ Collide+Probe และ Load+Reload แต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยบอกว่าได้แจ้งช่องโหว่นี้ไปที่ AMD แล้ว แต่ AMD ไม่สนใจโดยบอกว่ามันก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น 

อ่านข่าวเต็มได้ที่: ZdNet