นักวิจัยจาก University of Rochester ในรัฐนิวยอร์ก สร้างคอมพิวเตอร์จากสาย DNA ในหลอดทดลอง ซึ่งสามารถคำนวณหารากที่สองของ 900 ได้ โดยคอมพิวเตอร์ดังกล่าวสร้างจากสาย DNA 32 เส้น โดยมันสามารถคำนวณหารากที่สองของเลขที่เกิดจากการยกกำลังสองตั้งแต่ 1,4,9, 16... ไปเรื่อย ๆ จนถึง 900 นักวิจัยที่ทำเรื่องนี้บอกว่าในตอนนี้คอมพิวเตอร์ที่สร้างจาก DNA ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นแต่เขาคิดว่าคอมพิวเตอร์แบบนี้สามารถที่จะแก้ปัญหาที่ยากมาก ๆ หรืออาจแก้ปัญหาที่อาจแก้ไม่ได้โดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซิลิกอนแบบที่ใช้ในปัจจุบันได้
อ่านข่าวเต็มได้ที: NewScientist
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ข้อที่นักวิจัยมองว่าเป็นข้อดีของ DNA Computer ก็คือ การที่สามารถเพิ่มจำนวน DNA เข้าไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณได้ง่ายกว่าการเพิ่มจำนวนหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซิลิกอนแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2563
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563
นักวิจัยสร้างตัวแบบทำนายสถานะทางการเงินได้แม่นยำกว่านักวิเคราะห์
นักวิจัยจาก MIT สร้างตัวแบบ (model) สำหรับทำนายสถานะทางการเงินของธุรกิจ ได้แม่นยำกว่านักวิเคราะห์ที่เป็นคนใน Wallstreet ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ข้อมูลที่นำมาใช้ทำนายน้อยกว่า โดยข้อมูลที่นักวิเคราะห์เอามาทำนายจะใช้ข้อมูลทั้งที่เป็นสาธารณะและข้อมูลเฉพาะของบริษัท และข้อมูลจากตัวแบบการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) หลากหลายโมเดล แต่ตัวแบบที่นักวิจัยจาก MIT คิดขึ้นมานี้จะใช้ข้อมูลแค่รายการการใช้บัตรเครดิตในแต่ละอาทิตย์ และรายงานรายรับสามเดือนของบริษัทเท่านั้น นักวิจัยได้ใช้ตัวแบบนี้ทำนายรายรับรายไตรมาสของบริษัท 30 แห่ง ผลการประเมินพบว่าตัวแบบที่สร้างขึ้นสามารถทำนายได้ดีกว่านักวิเคราะห์ที่เป็นคน 57% ของการทำนายทั้งหมด
อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News
เพิ่มเติมเสริมข่าว
นักวิเคราะห์ธรรมดาก็จะถูก disrupt ไป แต่คนที่สร้างโมเดลได้ก็จะยังอยู่ต่อไปครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News
เพิ่มเติมเสริมข่าว
นักวิเคราะห์ธรรมดาก็จะถูก disrupt ไป แต่คนที่สร้างโมเดลได้ก็จะยังอยู่ต่อไปครับ
วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563
ควอนตัมบิตสามารถสื่อสารกันได้ไกลขึ้นแล้ว
นักวิจัยจาก Princeton University ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการส่งซิลิกอนควอนตัมบิต (quantum bit) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า คิวบิต (qbit) ได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น โดยระยะห่างระหว่างคิวบิตต่อคิวบิตคือ 0.5 เซ็นติเมตร ซึ่งงานวิจัยนี้จะเป็นแนวทางในการพัฒนาซิลิกอนควอนตัมไมโครชิปต่อไป
อ่านข่าวเต็มได้ที: Princeton University
เพิ่มเติมเสริมข่าว
บางคนอาจถามว่าแหม 0.5 เซ็นติเมตรนี้ไกลแล้วหรือ คือต้องเข้าใจนะครับว่าเรากำลังพูดถึงระยะทางในการสื่อสารระหว่างชิปต่อชิปในคอมพิวเตอร์ ก็เหมือนกับเราพูดถึงเวลาในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หน่วยที่เราใช้ก็ไม่ใช่วินาที แต่เป็นมิลลิวินาที่ (1/1000) วินาที นั่นเองครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที: Princeton University
เพิ่มเติมเสริมข่าว
บางคนอาจถามว่าแหม 0.5 เซ็นติเมตรนี้ไกลแล้วหรือ คือต้องเข้าใจนะครับว่าเรากำลังพูดถึงระยะทางในการสื่อสารระหว่างชิปต่อชิปในคอมพิวเตอร์ ก็เหมือนกับเราพูดถึงเวลาในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หน่วยที่เราใช้ก็ไม่ใช่วินาที แต่เป็นมิลลิวินาที่ (1/1000) วินาที นั่นเองครับ
วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2563
เมือสถานศึกษาเปลี่ยนสมาร์ตโฟนเป็นเครื่องมือสอดแนม
ปัจจุบันสถานศึกษาหลายแห่งในอเมริกาได้ใช้เทคโนโลยีในการติดตามนักศึกษาจากสมาร์ตโฟนที่พวกเขาใช้ โดยเชื่อมต่อสมาร์ตโฟนของพวกเขาเข้ากับไวไฟ (WiFi) หรือบลูทูช (Bluetooth) ของมหาวิทยาลัย หรือภายในชั้นเรียน ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากการทำแบบนี้ก็คือสามารถติดตามว่านักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนหรือไม่ สามารถประเมินสุขภาพจิตของนักศึกษา สถานศึกษาบางแห่งยังมีการคำนวณคะแนนความเสี่ยงว่านักศึกษาอาจมีผลการเรียนตก โดยดูจากจำนวนครั้งที่นักศึกษาเข้าห้องสมุด อย่างไรก็ตามมีนักวิชาการหลายคนกังวลว่าการติดตามในลักษณะดังกล่าว จะทำให้นักศึกษาเติบโตมาโดยยอมรับการสอดแนมว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต แต่เมื่อไปสอบถามนักศึกษาหลายคนก็บอกว่าไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรกับเรื่องการละเมิดความเป็นส่วนตัวดังกล่าว แต่นักศึกษาและอาจารย์หลายคนก็บอกว่า จะให้ทำยังไงล่ะก็ต้องยอมรับมันไป เพราะเทคโนโลยีนี้มันก็มีอยูแทบจะทุกที่แล้ว
อาจารย์ท่านหนึ่งให้ความเห็นทิ้งท้ายกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า "สิ่งที่เรากำลังทำอยู่เป็นการเสริมความสร้างความรู้สึกของการไร้อำนาจที่จะขัดขืน (ให้กับนักเรียนนักศึกษา).... แต่คำถามที่ควรจะคิดกันจริงจังก็คือ ทำไมเราถึงสร้างสถาบันการศึกษาที่นักเรียนนักศึกษาไม่รู้สึกอยากจะมาเรียนขึ้นมาล่ะ"
“We’re reinforcing this sense of powerlessness … when we could be asking harder questions, like: Why are we creating institutions where students don’t want to show up?”
อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Washington Post
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ในตอนนี้ยังไม่ได้ยินว่ามหาวิทยาลัยในไทยนำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ แต่เอาจริง ๆ ตอนนี้เราก็เริ่มยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันแล้วนะครับ อย่างกรณีแสดงความสนใจอะไร Facebook ก็ส่งโฆษณามาเลย นี่ก็แสดงถึงการสอดแนมแบบหนึ่ง และต่อไปการสอดแนมแบบนี้สักวันก็คงมาในระดับประชาชน ด้วย โดยเหตุผลก็คงเป็นเรื่องของการยกระดับคุณภาพชีวิต และความมั่นคงของประเทศ ก็ได้แต่หวังว่าเราจะได้คนออกฎหมายที่เข้าใจ และออกกฎหมายมาเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ และป้องกันคนไม่ดีเอาข้อมูลไปใช้เพื่อหาประโยชน์หรือคุคามฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองก็แล้วกัน
อาจารย์ท่านหนึ่งให้ความเห็นทิ้งท้ายกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าฟังว่า "สิ่งที่เรากำลังทำอยู่เป็นการเสริมความสร้างความรู้สึกของการไร้อำนาจที่จะขัดขืน (ให้กับนักเรียนนักศึกษา).... แต่คำถามที่ควรจะคิดกันจริงจังก็คือ ทำไมเราถึงสร้างสถาบันการศึกษาที่นักเรียนนักศึกษาไม่รู้สึกอยากจะมาเรียนขึ้นมาล่ะ"
“We’re reinforcing this sense of powerlessness … when we could be asking harder questions, like: Why are we creating institutions where students don’t want to show up?”
อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Washington Post
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ในตอนนี้ยังไม่ได้ยินว่ามหาวิทยาลัยในไทยนำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ แต่เอาจริง ๆ ตอนนี้เราก็เริ่มยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตกันแล้วนะครับ อย่างกรณีแสดงความสนใจอะไร Facebook ก็ส่งโฆษณามาเลย นี่ก็แสดงถึงการสอดแนมแบบหนึ่ง และต่อไปการสอดแนมแบบนี้สักวันก็คงมาในระดับประชาชน ด้วย โดยเหตุผลก็คงเป็นเรื่องของการยกระดับคุณภาพชีวิต และความมั่นคงของประเทศ ก็ได้แต่หวังว่าเราจะได้คนออกฎหมายที่เข้าใจ และออกกฎหมายมาเพื่อนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ และป้องกันคนไม่ดีเอาข้อมูลไปใช้เพื่อหาประโยชน์หรือคุคามฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองก็แล้วกัน
วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2563
ขั้นตอนวิธีทำนายว่าเรามีโอกาสเป็นอัลไซเมอร์หรือเปล่า
นักวิจัยจาก Harvard-affiliated Massachusetts General Hospital (MGH) ได้พัฒนาโปรแกรมเพื่ออ่านประวัติสุขภาพของผู้ป่วย และนำมาประเมินว่าผู้ป่วยจะมีโอกาสป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ขั้นตอนวิธีนี้สามารถทำนายโอกาสการเกิดโรคนี้จากคนที่มีสุขภาพดี และสามารถทำนายได้แปดปีล่วงหน้า ซึ่งงานวิจัยนี้ทำในโรงพยาบาลสองแห่งคือ MGH’s Center for Quantitative Health, the Harvard T.H. Chan School of Public Health และ Harvard Brain Tissue Resource Center. การทดลองนี้ทำกับข้อมูลของผู้ป่วย 267,855 คน และพบว่า 2.4% ของผู้ป่วยมีอาการของโรคสมองเสื่อมหลังจากการติดตามผลมาแปดปี นักวิจัยบอกว่าการวิจัยแบบนี้สามารถทำซ้ำได้ทั่วโลกเพื่อให้ได้ข้อมูลมากขึ้น และประโยชน์จากงานวิจัยนี้จะช่วยทำให้การวางแผนการรักษาทำได้ง่ายขึ้น
ที่มา: The Harvard Gazette
ที่มา: The Harvard Gazette
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)