ไม่ได้เขียนบล็อกมานาน วันนี้ขอซะหน่อย เพราะในที่สุดก็ได้จบงานเอกสารสำหรับปีงบประมาณนี้เสียที และจะได้มุ่งหน้าเข้าสู่งานวิชาการไม่ว่าจะเตรียมสอน ทำตำรา เตรียมงานวิจัยของปีหน้า และก็หวังว่าจะมีเวลามาเขียนบล็อกได้มากขึ้นด้วย
งานสุดท้ายที่เพิ่งเสร็จไปก็คือป้อนภาระงานที่ตัวเองทำมาตลอดปีงบประมาณที่แล้วเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ท่านผู้บริหารได้ประเมินผลงาน ( เพื่อจะได้เงินเดือนเพิ่ม 55 นี่คือแรงจูงใจในการทำอันนี้) หลังจากค่อย ๆ ทำมาสามวันแล้ว จริง ๆ ต้องโทษตัวเองที่ไม่ค่อย ๆ ป้อนไว้ก่อนทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำ
ข้อดีของระบบนี้ก็คือได้รู้ว่าตลอดปีตัวเองทำอะไรไปบ้าง และก็ได้เห็นการคิดคะแนนที่ดูประหลาดดี เพิ่งสังเกต เพราะระบบนี้เพิ่งมีมาปีที่สอง (ไม่ต้องถามนะว่าแล้วก่อนหน้าเขาประเมินการขึ้นเงินเดือนยังไง เพราะผมก็ไม่รู้ ก้มหน้าก้มตาทำงานไป เขาให้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น) ปีที่แล้วกรอกอย่างเดียวไม่ได้คิด ในปีนี้มาคิดดูก็เลยเห็นว่าตัวเองต้องอ่านพิจารณาผลงานที่เป็นภาษาต่างประเทศถึง 10 เรื่อง (ตัวเองอ่านไป 14 เรื่องเกิน :) ) หรือต้องอ่านพิจารณาผลงานภาษาไทยถึง 20 เรื่อง (อ่านไป 11 ไม่ถึง :( ) จึงจะได้คะแนนเท่ากับกรรมการบริหารหลักสูตร ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับคะแนนของกรรมการบริหารหลักสูตรนะ (เพราะตัวเองก็เป็น และได้คะแนนส่วนนี้ 55) กรรมการบริหารหลักสูตรก็ต้องทำงานหนัก และรู้สึกว่าคะแนนก็เหมาะสมดีแล้ว แต่รู้สึกว่ามันน่าจะเพิ่มคะแนนการอ่านผลงานขึ้นมาหน่อยดีไหม อ่านผลงานนี่ไม่ใช่อ่านมั่ว ๆ นะ ยิ่งถ้าต้อง reject เขานี่ เขียนอธิบายยากนะ ทำยังไงจะให้เขาไม่ด่า เอ๊ย ให้เขารู้จุดที่ต้องปรับปรุง
เอาเถอะยังไงก็จัดการเสร็จแล้วล่ะนะ ตอนนี้จะได้เริ่มงานที่ตัวเองควรทำอย่างจริงจังซะที และก็หวังว่าจะมีเวลามาเขียนบล็อกให้มากขึ้นนะ เพราะจริง ๆ ก็เป็นคนชอบเขียนชอบเล่า แล้วก็หวังว่าจะมีคนอ่านบ้างนะครับ สาธุ...
วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2560
วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
เมื่อแก็งโทรหลอกลวงบุกถึง(โทรศัพท์) แม่ผม
หลังจากไม่ได้ขียนบล็อกมานานมาก (จริง ๆ ก็มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง แต่ไม่ว่างจะเขียน) แต่พอมาถึงวันนี้ก็คงต้องหาเวลาเขียนซะหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่เข้ามาถึงคนใกล้ตัว คือแม่ผมเอง ซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ถึงแม้จะมีการศึกษาสูง แต่ความที่ไม่ค่อยเก่งเรื่องเทคโนโลยี และถึงแม้จะดูทีวีตามข่าวสาร แต่ก็ยังไม่ทันเหลี่ยมของพวกมิจฉาชีพพวกนี้อยู่ดี ดังนั้นก็อยากจะมาเตือนกันอีกทีหนึ่ง ถึงแม้เรื่องแบบนี้จะมีคนเล่าให้ฟังกันเยอะแล้วก็ตาม
เรื่องก็คือวันนี้หลังจากผมสอนเสร็จ ก็ลงมานั่งวิจารณ์ผู้บริหารการศึกษาของประเทศกับอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเศร้าเกี่ยวกับแวดวงการศึกษาไทย ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ บอกพรุ่งนี้ให้พาแม่ไปธุระแต่เช้า 7.30 ผมก็ถามว่าจะไปไหน ก็บอกจะไปธนาคาร ผมก็บอกว่าต้องไปเช้าขนาดนั้นเลยหรือจะไปทำไม ก็ไม่ยอมบอก บอกว่าบอกไม่ได้ ผมก็ชักประหลาดใจแล้ว มันจะมีเรื่องอะไรนะ (ในใจคิดว่าหรือจะโอนเงินเป็นของขวัญให้ผม 555) ผมก็บอกว่าบอกมาเถอะจะได้วางแผนถูกว่ายังไง จะต้องไปนานไหม แม่ก็ลังเลสุดท้ายก็เล่าว่าได้รับโทรศัพท์จาก DSI คนโทรมาชื่อ รตท. ภานุพงษ์ วงศ์ปรีชา บอกว่าบัญชีของแม่ถูกใช้เป็นบัญชีฟอกเงิน เกี่ยวกับการค้ายาเสพติด แต่เขาเชื่อว่าแม่ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเขาจะให้แม่ไปที่ธนาคารตั้งแต่ 8.30 ที่ธนาคาร เพื่อให้แม่ไปเบิกเงินออกมาให้หมด ก่อนที่ DSI จะอายัดบัญชี โดยเขาจะไปรอที่ธนาคารด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าแม่จะเบิกเงินจากบัญชีได้ และห้ามบอกใคร ห้ามโทรไปเช็คที่ธนาคาร เพราะเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารเกี่ยวข้องด้วย ฟังถึงตรงนี้ผมก็หัวร้อนเลย ไอ้พวกบัดซบนี่บุกมาถึงคนในครอบครัวผม และที่โมโหมาก ๆ คือมันไปพูดสร้างเรื่องขู่อะไรแม่ผม จนกลัวถึงกับเชื่อมันว่าไม่ให้บอกใครแม้แต่ผม มันขู่คนแก่อายุ 80 ทำให้มีความกังวลกับเงินเก็บที่แกหามาทั้งชีวิต อีกส่วนหนึ่งก็โมโหแม่นิดหน่อย เพราะเรื่องแบบนี้ก็เคยเล่าเคยคุยให้ฟัง แต่ทำไมยังให้มันหลอกได้ แต่คิดอีกทีก็คือแกก็คงจะลืมไปแล้ว
แน่นอนครับ สำหรับพวกเราที่ติดตามข่าวสาร หรือเป็นคนนอก ได้ฟังเข้าก็คงเห็นว่ามันแปลก ๆ ใช่ไหมครับ แต่กับคนแก่อายุ 80 ที่ไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยี และมันยังใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้แสดงเบอร์โทรเข้าเป็นเบอร์จริง ๆ ของ DSI คือ 028319888 และมันบอกให้แม่โทรไปถาม 1133 ว่า เบอร์นี้เป็นเบอร์ของ DSI จริงหรือไม่ ซึ่งแม่ก็ทำตาม และแน่นอนก็ต้องได้รับการยืนยันว่าจริง ซึ่งเพราะเหตุนี้แหละครับในตอนแรกที่ผมบอกว่าแม่ถูกหลอกแล้ว แม่ก็ไม่เชื่อผม จนผมต้องไปค้นข่าวในเน็ตแล้วอ่านให้แกฟัง แกถึงจะเริ่มลังเล จนผมต้องบอกอีกว่านี่ถ้ามันเป็นจริงแล้วมันจะอายัดให้มันทำไป ลูกก็มีลูกเลี้ยงได้ ถ้ามันอายัดจริงเราไปฟ้อง DSI กัน เอาให้มันรู้กันไป หลักฐานมันมีอะไร ถึงตอนนี้ขอเสริมนิดหนึ่ง คือพอหลังจากจบเรื่องผมมาเล่าให้ภรรยาฟัง คุณภรรยาบอกว่าทำไมไม่บอกแม่ไปว่ามันไม่ใช่ DSI ตัวจริงหรอก DSI ตัวจริงตอนนี้ไปอยู่ธรรมกายหมดแล้ว เออนะ ตอนนั้นไม่ทันคิดมุกนี้ 555
สุดท้ายผมก็บอกให้แม่ทำแบบนี้ ให้โทรไปที่ DSI ให้ใช้เบอร์บ้าน และมือถืออย่าเพิ่งวาง ให้ผมฟังด้วย โทรไปถามเขาเลยว่ามี รตท. ภานุพงษ์ วงศ์ปรีชา ทำงานอยู่ไหม ถ้ามีให้โอนสายไปคุยด้วยหน่อย แม่ก็โทรไป ซึ่งสุดท้ายผมว่าพวกเราคงเดาได้นะครับว่าทาง DSI ก็บอกว่าถูกหลอก มีเรื่องแบบนี้แจ้งเข้ามาที่ DSI บ่อยมาก และจริง ๆ เขาก็ออกมาเตือนแล้วนะครับ เช่นลิงก์นี้
https://www.thaicert.or.th/newsbite/2016-08-30-01.html
จากลิงก์นี้เขาบอกวิธีการที่พวกแก๊งนี้ปลอมเบอร์โทรเข้าด้วยนะครับ โดยเขาบอกว่าพวกมันโทรผ่าน VoIP
มาถึงจุดนี้แม่ก็สบายใจแล้วครับ แล้วเลยเล่าต่อว่าก่อนหน้านี้เคยได้รับโทรศัพท์จากไปรษณีย์บอกว่ามีคนเอาชื่อแม่เป็นที่อยู่ผู้ส่งยาเสพติด แต่เขาไม่เชื่อและบอกว่าไม่ต้องกังวลนะ พอผมได้ฟังก็เลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวเนื่องกันก็ลองค้นดูก็เจอเลยครับ รูปแบบเดียวกันเลย ไปรษณีย์โทรมาก่อน ตามด้วย DSI ชื่อตำรวจก็ชื่อเดียวกัน
https://pantip.com/topic/35864758
จากเรื่องนี้มีจุดที่ผมใจหายมากอยู่จุดหนึ่ง คือแม่รู้ว่าเทอมนี้ผมไม่มีสอนวันพุธ ดังนั้นแม่จึงจะให้ผมพาไป และแม่บอกว่าถ้าผมไม่ว่างแม่จะนั่งรถ taxi ไปเอง ดังนั้นถ้าเกิดมันโทรมาวันอื่นนี่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะแม่ผมเขาชอบเกรงใจถ้ารู้ว่าผมมีสอนก็ชอบแอบไปไหนไม่ยอมบอก ซึ่งจากเรื่องนี้ทำให้ผมต้องย้ำกับแม่ว่าถ้ามีเรื่องอะไรสำคัญห้ามเกรงใจเด็ดขาด จะมีสอนหรือไม่มีสอนก็ไม่ต้องสนใจ และย้ำเรื่องนี้อีกรอบหนึ่งว่าให้ระวังแก๊งพวกนี้
สรุปก็คือความเป็นส่วนตัวของประเทศเรามันแทบจะไม่ค่อยมี พวกค่ายมือถือก็มักจะเอาข้อมูลเราไปขาย เปิดโอกาสให้ทั้งพวกขายของ และพวกโจรพวกนี้เข้าถึงเราโดยง่าย ดังนั้นพวกเราก็ต้องตั้งสติและระมัดระวังตัวเองให้ดี อย่างกรณีนี้ถ้าคิดดี ๆ ทำไมคนของ DSI คนนี้ถึงหวังดีกับเรานัก รู้จักก็ไม่รู้จัก แต่กรณีนี้ก็เข้าใจแม่นะก็มันสร้างเรื่องสร้างราวได้ซะขนาดนี้ เดี๋ยวจะต้องไปคุยกับแม่ให้ละเอียดอีกทีว่ามันได้ข้อมูลอะไรไปจากแม่บ้าง จะได้ดูว่าต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมจุดไหนไหม...
เรื่องก็คือวันนี้หลังจากผมสอนเสร็จ ก็ลงมานั่งวิจารณ์ผู้บริหารการศึกษาของประเทศกับอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ขณะที่เรากำลังเศร้าเกี่ยวกับแวดวงการศึกษาไทย ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากแม่ บอกพรุ่งนี้ให้พาแม่ไปธุระแต่เช้า 7.30 ผมก็ถามว่าจะไปไหน ก็บอกจะไปธนาคาร ผมก็บอกว่าต้องไปเช้าขนาดนั้นเลยหรือจะไปทำไม ก็ไม่ยอมบอก บอกว่าบอกไม่ได้ ผมก็ชักประหลาดใจแล้ว มันจะมีเรื่องอะไรนะ (ในใจคิดว่าหรือจะโอนเงินเป็นของขวัญให้ผม 555) ผมก็บอกว่าบอกมาเถอะจะได้วางแผนถูกว่ายังไง จะต้องไปนานไหม แม่ก็ลังเลสุดท้ายก็เล่าว่าได้รับโทรศัพท์จาก DSI คนโทรมาชื่อ รตท. ภานุพงษ์ วงศ์ปรีชา บอกว่าบัญชีของแม่ถูกใช้เป็นบัญชีฟอกเงิน เกี่ยวกับการค้ายาเสพติด แต่เขาเชื่อว่าแม่ไม่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเขาจะให้แม่ไปที่ธนาคารตั้งแต่ 8.30 ที่ธนาคาร เพื่อให้แม่ไปเบิกเงินออกมาให้หมด ก่อนที่ DSI จะอายัดบัญชี โดยเขาจะไปรอที่ธนาคารด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าแม่จะเบิกเงินจากบัญชีได้ และห้ามบอกใคร ห้ามโทรไปเช็คที่ธนาคาร เพราะเขาเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารเกี่ยวข้องด้วย ฟังถึงตรงนี้ผมก็หัวร้อนเลย ไอ้พวกบัดซบนี่บุกมาถึงคนในครอบครัวผม และที่โมโหมาก ๆ คือมันไปพูดสร้างเรื่องขู่อะไรแม่ผม จนกลัวถึงกับเชื่อมันว่าไม่ให้บอกใครแม้แต่ผม มันขู่คนแก่อายุ 80 ทำให้มีความกังวลกับเงินเก็บที่แกหามาทั้งชีวิต อีกส่วนหนึ่งก็โมโหแม่นิดหน่อย เพราะเรื่องแบบนี้ก็เคยเล่าเคยคุยให้ฟัง แต่ทำไมยังให้มันหลอกได้ แต่คิดอีกทีก็คือแกก็คงจะลืมไปแล้ว
แน่นอนครับ สำหรับพวกเราที่ติดตามข่าวสาร หรือเป็นคนนอก ได้ฟังเข้าก็คงเห็นว่ามันแปลก ๆ ใช่ไหมครับ แต่กับคนแก่อายุ 80 ที่ไม่เก่งเรื่องเทคโนโลยี และมันยังใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้แสดงเบอร์โทรเข้าเป็นเบอร์จริง ๆ ของ DSI คือ 028319888 และมันบอกให้แม่โทรไปถาม 1133 ว่า เบอร์นี้เป็นเบอร์ของ DSI จริงหรือไม่ ซึ่งแม่ก็ทำตาม และแน่นอนก็ต้องได้รับการยืนยันว่าจริง ซึ่งเพราะเหตุนี้แหละครับในตอนแรกที่ผมบอกว่าแม่ถูกหลอกแล้ว แม่ก็ไม่เชื่อผม จนผมต้องไปค้นข่าวในเน็ตแล้วอ่านให้แกฟัง แกถึงจะเริ่มลังเล จนผมต้องบอกอีกว่านี่ถ้ามันเป็นจริงแล้วมันจะอายัดให้มันทำไป ลูกก็มีลูกเลี้ยงได้ ถ้ามันอายัดจริงเราไปฟ้อง DSI กัน เอาให้มันรู้กันไป หลักฐานมันมีอะไร ถึงตอนนี้ขอเสริมนิดหนึ่ง คือพอหลังจากจบเรื่องผมมาเล่าให้ภรรยาฟัง คุณภรรยาบอกว่าทำไมไม่บอกแม่ไปว่ามันไม่ใช่ DSI ตัวจริงหรอก DSI ตัวจริงตอนนี้ไปอยู่ธรรมกายหมดแล้ว เออนะ ตอนนั้นไม่ทันคิดมุกนี้ 555
สุดท้ายผมก็บอกให้แม่ทำแบบนี้ ให้โทรไปที่ DSI ให้ใช้เบอร์บ้าน และมือถืออย่าเพิ่งวาง ให้ผมฟังด้วย โทรไปถามเขาเลยว่ามี รตท. ภานุพงษ์ วงศ์ปรีชา ทำงานอยู่ไหม ถ้ามีให้โอนสายไปคุยด้วยหน่อย แม่ก็โทรไป ซึ่งสุดท้ายผมว่าพวกเราคงเดาได้นะครับว่าทาง DSI ก็บอกว่าถูกหลอก มีเรื่องแบบนี้แจ้งเข้ามาที่ DSI บ่อยมาก และจริง ๆ เขาก็ออกมาเตือนแล้วนะครับ เช่นลิงก์นี้
https://www.thaicert.or.th/newsbite/2016-08-30-01.html
จากลิงก์นี้เขาบอกวิธีการที่พวกแก๊งนี้ปลอมเบอร์โทรเข้าด้วยนะครับ โดยเขาบอกว่าพวกมันโทรผ่าน VoIP
มาถึงจุดนี้แม่ก็สบายใจแล้วครับ แล้วเลยเล่าต่อว่าก่อนหน้านี้เคยได้รับโทรศัพท์จากไปรษณีย์บอกว่ามีคนเอาชื่อแม่เป็นที่อยู่ผู้ส่งยาเสพติด แต่เขาไม่เชื่อและบอกว่าไม่ต้องกังวลนะ พอผมได้ฟังก็เลยคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวเนื่องกันก็ลองค้นดูก็เจอเลยครับ รูปแบบเดียวกันเลย ไปรษณีย์โทรมาก่อน ตามด้วย DSI ชื่อตำรวจก็ชื่อเดียวกัน
https://pantip.com/topic/35864758
จากเรื่องนี้มีจุดที่ผมใจหายมากอยู่จุดหนึ่ง คือแม่รู้ว่าเทอมนี้ผมไม่มีสอนวันพุธ ดังนั้นแม่จึงจะให้ผมพาไป และแม่บอกว่าถ้าผมไม่ว่างแม่จะนั่งรถ taxi ไปเอง ดังนั้นถ้าเกิดมันโทรมาวันอื่นนี่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะแม่ผมเขาชอบเกรงใจถ้ารู้ว่าผมมีสอนก็ชอบแอบไปไหนไม่ยอมบอก ซึ่งจากเรื่องนี้ทำให้ผมต้องย้ำกับแม่ว่าถ้ามีเรื่องอะไรสำคัญห้ามเกรงใจเด็ดขาด จะมีสอนหรือไม่มีสอนก็ไม่ต้องสนใจ และย้ำเรื่องนี้อีกรอบหนึ่งว่าให้ระวังแก๊งพวกนี้
สรุปก็คือความเป็นส่วนตัวของประเทศเรามันแทบจะไม่ค่อยมี พวกค่ายมือถือก็มักจะเอาข้อมูลเราไปขาย เปิดโอกาสให้ทั้งพวกขายของ และพวกโจรพวกนี้เข้าถึงเราโดยง่าย ดังนั้นพวกเราก็ต้องตั้งสติและระมัดระวังตัวเองให้ดี อย่างกรณีนี้ถ้าคิดดี ๆ ทำไมคนของ DSI คนนี้ถึงหวังดีกับเรานัก รู้จักก็ไม่รู้จัก แต่กรณีนี้ก็เข้าใจแม่นะก็มันสร้างเรื่องสร้างราวได้ซะขนาดนี้ เดี๋ยวจะต้องไปคุยกับแม่ให้ละเอียดอีกทีว่ามันได้ข้อมูลอะไรไปจากแม่บ้าง จะได้ดูว่าต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมจุดไหนไหม...
วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559
หรือกสทช. จะมีปัญหากับการใช้ดุลยพินิจ
เกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วนะครับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นที่รักของพวกเราชาวไทยสวรรคต ในขณะที่พวกเราคนไทย และหลาย ๆ ฝ่ายกำลังพยายามช่วยกันเพื่อให้เราได้กลับไปใช้ชีวิตกันเป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งน่าจะเป็นพระประสงค์ของพ่อหลวงของเรา แต่ก็มีหน่วยงานที่ดูเหมือนจะยังทำงานกันแบบล้าหลังอยู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นในความเห็นของผมก็คือกสทช.
ผมยอมรับว่าผมอาจจะมีอคติกับกสทช.ชุดนี้นะครับ เพราะการทำงานหลาย ๆ อย่างไม่เข้าตาผมสักเท่าไร และเรื่องที่จะเขียนถึงนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องบอกก่อนนะครับว่า ในวันแรกที่พระองค์ท่านสวรรคต นอกจากที่ผมเสียใจมากแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ผมตกใจมากคือ การที่มีการประกาศว่าทั้งทีวี และวิทยุ รวมถึงเคเบิลทีวี จะต้องงดรายการปกติและรับสัญญาณถ่ายทอดจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเท่านั้น เป็นเวลาหนึ่งเดือน ที่ผมตกใจคือในสถาณการณ์โลกตอนนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ มันมีข่าวสารอื่น ๆ ในโลกเช่นกันที่มีความสำคัญที่เราต้องรับทราบ นอกจากนั้นการทำอย่างนี้ยังทำให้ประชาชนที่อยู่ในความโศกเศร้าไม่มีช่องทางที่จะระบายอีกด้วย วันสองวันไม่เป็นไรหรอกครับ แต่คนเราถ้าอยู่กับความเสียใจทุกวัน โดยไม่มีทางออกอื่นเป็นเดือนมีปัญหาแน่ นอกจากนี้คนที่เขาทำอาชีพ ทำธุรกิจทีวีเขาจะทำยังไงกัน เราดูทีวีฟรีกันจนลืมคิดไปหรือเปล่าว่าเขามีค่าใช้จ่าย ยิ่งไปกว่านั้นชาวต่างชาติที่เขาเข้ามาอยู่ในประเทศในช่วงนั้น เขาจะไปเที่ยวก็ไม่สะดวกแล้ว จะพักในโรงแรมยังไม่มีอะไรให้เขาดูอีกหรือ
แต่โชคดีมากที่หลังจากนั้นรัฐบาลคงจะคิดได้ ได้ยกเลิกเรื่องดังกล่าว โดยให้ออกอากาศได้ โดยใช้ดุลยพินิจของแต่ละสถานี และต้องตัดมาถ่ายทอดพระราชพิธี แต่ปัญหาก็คือการใช้ดุลยพินิจนี่แหละครับ เพราะบางหน่วยงานก็ใช้ดุลยพินิจแบบที่ผมไม่เข้าใจเอามาก ๆ และหน่วยงานที่ว่านี้ก็คือ กสทช. ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผมเพิ่งทราบวันนี้เองว่า ช่องรายการทั้งหลายที่เป็นความบันเทิงที่มาจากต่างประเทศจนถึงวันนี้ก็ถูกดุลยพินิจของกสทช. ไม่ให้ออกอากาศ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าใจมาก ๆ เพราะถ้าผมเป็นกสทช. เมื่อได้รับไฟเขียวจากรัฐบาล สิ่งที่ผมจะทำก็คือช่องที่เป็นรายการต่างประเทศผมจะปล่อยให้ออกอากาศได้
ที่เขียนมานี่ไม่ใช่ผมไม่เสียใจหรืออยากดูหนังจนตัวสั่นหรอกนะครับ ผมเพิ่งรู้วันนี้ว่ามันดูไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ผมดูช่องกีฬาเป็นหลัก ซึ่งมันดูได้ (อันนี้ก็ต้องขอบคุณนะ) แต่ที่อยากเขียนวันนี้ก็เพราะผมคิดว่า กสทช.ยังหลงทาง หรือไม่ได้คิดบางประเด็นไปหรือเปล่า ลองคิดในมุมกลับบ้างดีไหมว่า การทำแบบนี้มันทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือกที่จะผ่อนคลายจากความโศกเศร้าหรือเปล่า คนแก่บางคนอยู่บ้านดูซีรีส์ผ่านเคเบิล คนแก่เหล่านี้ส่วนใหญ่รักในหลวง เขาเศร้าโศกอยู่แล้ว ถ้ามีรายการที่เขาเคยได้ดู มันจะช่วยให้เขาได้มีโอกาสผ่อนคลาย และปรับตัวได้ดีขึ้นหรือเปล่า ตกลงคนไทยจะต้องเศร้าโศกตลอดเวลากันเลยใช่ไหม ถ้ากลัวว่ามันไม่เหมาะสมกับบรรยากาศ การดูทีวีเป็นการดูภายในสถานที่ปิดภายในบ้าน มันจะทำให้เสียบรรยากาศยังไง โรงหนังอนุญาตให้ฉายได้ เพราะอยู่ในสถานที่ปิด สถานบันเทิงเปิดได้ ถ้าจัดในสถานที่ปิด แต่ดูทีวีในบ้านตัวเองไม่ได้ มันมีเหตุผลไหมครับ อยากให้ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ก็คืนความปกติให้เขาให้มากที่สุดสิครับ คนส่วนใหญ่ในประเทศเศร้าใจจากการจากไปของพ่อหลวงอยู่แล้ว โดยไม่ต้องยัดเยียดความเศร้าเสียใจมาให้นะครับ แต่ควรเปิดทางออกให้เขาได้คลายเครียด นอกจากนี้อย่างที่บอกไป นอกจากคนไทยแล้ว เรายังมีแขกบ้านแขกเมืองที่เขาบังเอิญเข้ามาในบ้านเมืองเราในช่วงนี้ ซึ่งเขาอาจไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะเจอสถานการณ์นี้ เขาจะไปเที่ยวก็ไม่สะดวก จะอยู่ในโรงแรมก็ไม่มีอะไรให้ดู คิดถึงเขาหน่อยก็ดีนะครับ
นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่อยากเขียนไว้นะครับ หวังว่ามันอาจจะลอยไปถึงกสทช. เพื่อที่จะลองนำไปคิดดูและลองใช้ดุลยพินิจดูใหม่อีกสักครั้งนะครับ
ผมยอมรับว่าผมอาจจะมีอคติกับกสทช.ชุดนี้นะครับ เพราะการทำงานหลาย ๆ อย่างไม่เข้าตาผมสักเท่าไร และเรื่องที่จะเขียนถึงนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องบอกก่อนนะครับว่า ในวันแรกที่พระองค์ท่านสวรรคต นอกจากที่ผมเสียใจมากแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ผมตกใจมากคือ การที่มีการประกาศว่าทั้งทีวี และวิทยุ รวมถึงเคเบิลทีวี จะต้องงดรายการปกติและรับสัญญาณถ่ายทอดจากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเท่านั้น เป็นเวลาหนึ่งเดือน ที่ผมตกใจคือในสถาณการณ์โลกตอนนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ มันมีข่าวสารอื่น ๆ ในโลกเช่นกันที่มีความสำคัญที่เราต้องรับทราบ นอกจากนั้นการทำอย่างนี้ยังทำให้ประชาชนที่อยู่ในความโศกเศร้าไม่มีช่องทางที่จะระบายอีกด้วย วันสองวันไม่เป็นไรหรอกครับ แต่คนเราถ้าอยู่กับความเสียใจทุกวัน โดยไม่มีทางออกอื่นเป็นเดือนมีปัญหาแน่ นอกจากนี้คนที่เขาทำอาชีพ ทำธุรกิจทีวีเขาจะทำยังไงกัน เราดูทีวีฟรีกันจนลืมคิดไปหรือเปล่าว่าเขามีค่าใช้จ่าย ยิ่งไปกว่านั้นชาวต่างชาติที่เขาเข้ามาอยู่ในประเทศในช่วงนั้น เขาจะไปเที่ยวก็ไม่สะดวกแล้ว จะพักในโรงแรมยังไม่มีอะไรให้เขาดูอีกหรือ
แต่โชคดีมากที่หลังจากนั้นรัฐบาลคงจะคิดได้ ได้ยกเลิกเรื่องดังกล่าว โดยให้ออกอากาศได้ โดยใช้ดุลยพินิจของแต่ละสถานี และต้องตัดมาถ่ายทอดพระราชพิธี แต่ปัญหาก็คือการใช้ดุลยพินิจนี่แหละครับ เพราะบางหน่วยงานก็ใช้ดุลยพินิจแบบที่ผมไม่เข้าใจเอามาก ๆ และหน่วยงานที่ว่านี้ก็คือ กสทช. ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าผมเพิ่งทราบวันนี้เองว่า ช่องรายการทั้งหลายที่เป็นความบันเทิงที่มาจากต่างประเทศจนถึงวันนี้ก็ถูกดุลยพินิจของกสทช. ไม่ให้ออกอากาศ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่เข้าใจมาก ๆ เพราะถ้าผมเป็นกสทช. เมื่อได้รับไฟเขียวจากรัฐบาล สิ่งที่ผมจะทำก็คือช่องที่เป็นรายการต่างประเทศผมจะปล่อยให้ออกอากาศได้
ที่เขียนมานี่ไม่ใช่ผมไม่เสียใจหรืออยากดูหนังจนตัวสั่นหรอกนะครับ ผมเพิ่งรู้วันนี้ว่ามันดูไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่ผมดูช่องกีฬาเป็นหลัก ซึ่งมันดูได้ (อันนี้ก็ต้องขอบคุณนะ) แต่ที่อยากเขียนวันนี้ก็เพราะผมคิดว่า กสทช.ยังหลงทาง หรือไม่ได้คิดบางประเด็นไปหรือเปล่า ลองคิดในมุมกลับบ้างดีไหมว่า การทำแบบนี้มันทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือกที่จะผ่อนคลายจากความโศกเศร้าหรือเปล่า คนแก่บางคนอยู่บ้านดูซีรีส์ผ่านเคเบิล คนแก่เหล่านี้ส่วนใหญ่รักในหลวง เขาเศร้าโศกอยู่แล้ว ถ้ามีรายการที่เขาเคยได้ดู มันจะช่วยให้เขาได้มีโอกาสผ่อนคลาย และปรับตัวได้ดีขึ้นหรือเปล่า ตกลงคนไทยจะต้องเศร้าโศกตลอดเวลากันเลยใช่ไหม ถ้ากลัวว่ามันไม่เหมาะสมกับบรรยากาศ การดูทีวีเป็นการดูภายในสถานที่ปิดภายในบ้าน มันจะทำให้เสียบรรยากาศยังไง โรงหนังอนุญาตให้ฉายได้ เพราะอยู่ในสถานที่ปิด สถานบันเทิงเปิดได้ ถ้าจัดในสถานที่ปิด แต่ดูทีวีในบ้านตัวเองไม่ได้ มันมีเหตุผลไหมครับ อยากให้ทุกคนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ก็คืนความปกติให้เขาให้มากที่สุดสิครับ คนส่วนใหญ่ในประเทศเศร้าใจจากการจากไปของพ่อหลวงอยู่แล้ว โดยไม่ต้องยัดเยียดความเศร้าเสียใจมาให้นะครับ แต่ควรเปิดทางออกให้เขาได้คลายเครียด นอกจากนี้อย่างที่บอกไป นอกจากคนไทยแล้ว เรายังมีแขกบ้านแขกเมืองที่เขาบังเอิญเข้ามาในบ้านเมืองเราในช่วงนี้ ซึ่งเขาอาจไม่ได้เตรียมตัวมาว่าจะเจอสถานการณ์นี้ เขาจะไปเที่ยวก็ไม่สะดวก จะอยู่ในโรงแรมก็ไม่มีอะไรให้ดู คิดถึงเขาหน่อยก็ดีนะครับ
นั่นคือเหตุผลทั้งหมดที่อยากเขียนไว้นะครับ หวังว่ามันอาจจะลอยไปถึงกสทช. เพื่อที่จะลองนำไปคิดดูและลองใช้ดุลยพินิจดูใหม่อีกสักครั้งนะครับ
วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559
วันแรกที่ไม่ได้อยู่ภายใต้พระบารมีของรัชกาลที่ 9
วันนี้ขอบันทึกเอาไว้ว่า 14 ตุลาคม 2559 คือวันแรกของชีวิตที่ไม่ได้อยู่ภายใต้แผ่นดินของรัชกาลที่ 9 อีกแล้ว รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก เพราะตลอดเวลากว่าครึ่งชีวิตของผม ทุกวันที่ผ่านมาผมตื่นมาภายใต้แผ่นดินของพระองค์ท่าน แต่ไม่ใช่อีกแล้วนับแต่วันนี้
ถึงแม้ผมจะพยายามใช้ชีวิตไปตามปกติโดยออกไปทำงาน (ซึ่งมีประกาศตอนหลังว่าเป็นวันหยุดราชการ) เตรียมสอน อ่านงานวิจัย ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปทำธุระกับภรรยา และกลับมาติดตามการถ่ายทอดพระราชพิธี แต่บรรยากาศที่ผมสัมผัสได้ในวันนี้ก็คือความเงียบ ความโศกเศร้าที่แทรกอยู่ในทุกอณูของอากาศ การพูดคุยกับใคร ๆ ก็ไม่พ้นเรื่องการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงผมก็จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามที่ได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งนานมาแล้วว่าผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ซึ่งต้องขอบคุณที่เมื่อคืนนี้ผมสามารถข่มตาให้หลับลงได้ แม้จะทำได้ยากเพียงใด เพราะการที่ผมหลับลงได้ก็จะทำให้ผมสามารถปฏิบัติงานในวันนี้ได้เป็นอย่างดี และก็จะทำให้ได้ในวันต่อ ๆ ไป เช่นกัน
พ่อหลวงครับถึงพ่อหลวงจะจากไปแล้ว แต่ลูกคนนี้จะรักษาสัญญาที่ได้ให้กับพ่อหลวงไว้ว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อสร้างบุคลากรที่จะออกไปเป็นกำลังของประเทศชาติต่อไป และพ่อหลวงจะอยู่ในใจของลูกคนนี้ตลอดไป
ถึงแม้ผมจะพยายามใช้ชีวิตไปตามปกติโดยออกไปทำงาน (ซึ่งมีประกาศตอนหลังว่าเป็นวันหยุดราชการ) เตรียมสอน อ่านงานวิจัย ไปกินข้าวกับเพื่อน ไปทำธุระกับภรรยา และกลับมาติดตามการถ่ายทอดพระราชพิธี แต่บรรยากาศที่ผมสัมผัสได้ในวันนี้ก็คือความเงียบ ความโศกเศร้าที่แทรกอยู่ในทุกอณูของอากาศ การพูดคุยกับใคร ๆ ก็ไม่พ้นเรื่องการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไงผมก็จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามที่ได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งนานมาแล้วว่าผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ซึ่งต้องขอบคุณที่เมื่อคืนนี้ผมสามารถข่มตาให้หลับลงได้ แม้จะทำได้ยากเพียงใด เพราะการที่ผมหลับลงได้ก็จะทำให้ผมสามารถปฏิบัติงานในวันนี้ได้เป็นอย่างดี และก็จะทำให้ได้ในวันต่อ ๆ ไป เช่นกัน
พ่อหลวงครับถึงพ่อหลวงจะจากไปแล้ว แต่ลูกคนนี้จะรักษาสัญญาที่ได้ให้กับพ่อหลวงไว้ว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อสร้างบุคลากรที่จะออกไปเป็นกำลังของประเทศชาติต่อไป และพ่อหลวงจะอยู่ในใจของลูกคนนี้ตลอดไป
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชสู่สวรรคาลัย
ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมส่งเสด็จพระองค์สู่สวรรคาลัย ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ท่านได้พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด และขอตั้งปณิธานว่าจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดตลอดไปเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่พระองค์ท่าน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
-----------------------------------------------------
วันที่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นวันที่ผมต้องบอกว่าเป็นวันที่เสียใจที่สุดในชีวิต และเป็นวันที่เป็นความสูญเสียที่ใหญ่ที่สุดวันหนึ่งของประเทศไทย ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันวันนี้ก็จะมาถึงก็ยังทำใจไม่ค่อยจะได้ แม้ในส่วนหนึ่งของใจหลังจากที่ผมได้อ่านแถลงการณ์เรื่องการรักษาของคณะแพทย์แล้วว่าต้องมีการนำท่อต่าง ๆ เข้าไปในพระวรกาย ผมยังถามตัวเองว่าพระองค์จะทรงเจ็บไหม ถ้าเป็นพ่อแม่เราเราจะเอายังไง แต่ในอีกส่วนของใจก็ยังอยากให้พระองค์อยู่กับเราไปอีกนาน ๆ เมื่อวานนี้ตลอดจนถึงวันนี้ก่อนที่จะมีแถลงการณ์ ในโลกโซเชียลมีการแชร์พระราชประวัติ พระฉายาลักษณ์ของพระองค์ ซึ่งผมบอกตามตรงว่าไม่อยากดูเลย ผมไม่ได้ว่าคนแชร์นะครับ แต่ผมมีความรู้สึกว่าการแชร์อย่างนี้มันน่าจะทำหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ผมเคยโพสต์อะไรแบบนี้ไปครั้งหนึ่งตอนที่เราลุ้นอาการปอ ทฤษฎี แต่คราวนี้ผมไม่กล้าโพสต์อะไร ใช้การไม่กดไลค์ไม่กดแชร์เอา
ผมรู้สึกว่าชาตินี้เป็นบุญแล้วที่ได้เกิดมาใต้พระบรมโพธิสมภาร และจริง ๆ แอบภาวนาว่าขอให้ผมเป็นคนหนึ่งแผ่นดิน ก็คือขอให้พระองค์ท่านมีพระชนม์มายุยืนนานจนผมได้ตายลงในสมัยของพระองค์ท่าน ตั้งแต่ผมเด็ก ๆ ผมได้มีโอกาสได้รับทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณ และพระราชกรณียกิจที่พระองค์ท่านได้ทำให้กับประชาชนชาวไทย และได้เห็นถึงพระบุญญาบารมีที่ทำให้ประเทศไทยได้ผ่านวิกฤติการณ์ต่าง ๆ มาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถ้าเป็นประเทศอื่นเหตุการณ์อาจไม่จบง่าย ๆ แบบนั้น
ในส่วนตัวผมมีโอกาสได้ใกล้ชิดพระองค์ท่านถึงสองครั้งคือการรับพระราชทานปริญาบัตรในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท และผมยังได้รับราชการเป็นข้าราชการ ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ในแผ่นดินของพระองค์ท่าน ซึ่งผมถือว่าเป็นมงคลสูงสุดในชีวิตแล้วครับ
สุดท้ายนี้ถึงแม้พวกเราจะเสียใจ แต่ก็ขอให้คิดว่าพระองค์ท่านได้ทรงพักผ่อนโดยไม่ต้องแบกรับปัญหาของประชาชนชาวไทยเอาไว้อีกต่อไปแล้ว และขอให้พวกเราตั้งปณิธานที่จะทำความดี ทำหน้าที่ของเรา เพื่อถวายพระองค์ท่านกันเถอะครับ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)