วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

มาร่วมฝ่าวิกฤตน้ำท่วมไปด้วยกันครับ


วันนี้ขอเขียนบล็อกเกี่ยวกับวิกฤตน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 สักวันนะครับ ถึงผมจะมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นความผิดพลาดของผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้หลายประการแต่ผมจะขอไม่เขียนถึงตอนนี้แล้วกันนะครับ เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปต่อว่าคนที่ทำหน้าที่อยู่ตอนนี้ เวลานี้ควรจะเป็นเวลาที่เราร่วมมือร่วมใจและเสนอข้อเสนอแนะ ดีกว่าจะไปด่าผู้คนด้วยถ้อยคำที่มันแย่ ๆ เช่นโง่บ้าง จะพาเราไปตายบ้าง กาลกิณีบ้าง ประชดประชันหรือด่าซ้ำเวลาเขาทำงานพลาด ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้มีความคิดอะไรดี ๆ มาเสนอ ยิ่งไปกว่านั้นบางคนออกมาพูดเหมือนกับว่าผู้ที่มีเกี่ยวข้องไม่ได้พยายามทำอะไรเลยปล่อยปละละเลยให้น้ำท่วม การด่ามันง่ายครับแค่พูดหรือพิมพ์มันก็เสร็จแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็ช่วยหยุดโพสต์เรื่องที่มันไม่จริง เรื่องที่ได้ฟัง ๆ เขามาโดยไม่ได้การพิสูจน์ การเอารูปสมัยไหนก็ไม่รู้เอามาโยงให้มันเป็นเรื่องเป็นราว ยกย่องฝ่ายที่ตัวเองชอบโดยมองข้ามความบกพร่องที่มี แต่หาช่องทุกช่องที่จะจ้องทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากความสะใจที่ได้ด่าคนที่เราไม่ชอบ และมันยังทำลายภาพดี ๆ ที่ประชาชนที่มีจิตอาสาออกมาร่วมมือกันโดยไม่แบ่งว่าเป็นฝ่ายใด

สำหรับผมวันนี้ผมอยากจะบอกว่าทั้งรัฐบาลและกทม.จะต้องทำงานประสานงานกันมากกว่านี้ เมื่อวานนี้ (19 ต.ค.) รัฐบาลก็ได้เสนอวิธีผันน้ำซึ่งผมมองว่าเป็นรูปธรรมและเป็นเชิงรุกมากที่สุดจากการสู้รบกับน้ำมาแล้วหลายเดือนซึ่งเอาแต่ตั้งรับมาตลอด คือการผันน้ำออกไปทางตะวันออกของกทม. แต่ผมกังวลว่ามันอาจจะช้าเกินไปถ้าเทียบกับสถานการณ์ตอนนี้ ดังนั้นมันอาจต้องการแผนสองซึ่งอาจต้องให้น้ำไหลผ่านพื้นที่กทม.ออกไปให้เร็วที่สุด ผมเข้าใจที่ผู้ว่ากทม.ต้องการจะป้องกันพื้นที่ไว้ แต่ผมว่าการป้องกันพื้นที่ไว้โดยมีน้ำล้อมรอบอยู่ตลอดเวลานี้มันมีความเสี่ยงมาก มันเหมือนต้องลุ้นตลอด และจากตัวอย่างที่ผ่าน ๆ มาเราก็เห็นแล้วว่าปริมาณน้ำมันมากจนเราไม่สามารถที่จะกั้นมันไว้ได้ และถ้ามันบ่าเข้ามาเองเราอาจไม่สามารถควบคุมมันได้ บางทีถ้าเรายอมให้มันผ่านเข้ามาตามช่องทางที่เรากำหนดไว้แล้วระบายมันออกไปให้เร็วที่สุด เราอาจกำหนดพื้นที่ความเสียหายได้ ประชาชนจะรู้ว่าตรงไหนเสี่ยงมากหรือเสี่ยงน้อยแค่ไหน ปัญหาที่ผู้คนแห่เอารถออกมาจอดในที่สูงและตามถนนหนทางมันก็อาจจะหมดไป ผมว่าตอนนี้คนกรุงเทพหลายคนยอมรับได้นะว่ามันจะท่วม แต่อยากจะรู้ว่ามันจะท่วมตรงไหน ถ้าบ้านตัวเองจะเป็นส่วนที่โดนก็จะได้เตรียมตัวและหาทางมีชีวิตอยู่กับมันให้ได้ ผมไม่ต้องการให้มีคำว่าผู้เสียสละ นั่นหมายความว่าถ้ารัฐบาลกับกทม.เลือกแล้วว่าพื้นที่ตรงไหนที่จะยอมให้เสียหาย ก็ต้องเตรียมการเพื่อป้องกันให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดก่อน และต้องกำหนดว่าจะชดเชยให้เขาอย่างไรที่จะเหมาะสม

วันนี้ก็ขอเสนอแนะไว้เท่านี้ครับ และเราจะฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกันครับ ...

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อดีของการที่ Apple ออก iPhone 4S ไม่ใช่ iPhone 5

วันนี้ขอเกาะกระแส iPhone กับเขาสักวัน ก็คงทราบกันไปแล้วนะครับว่า iPhone ตัวใหม่ของ Apple คือ iPhone 4S ไม่ใช่ iPhone 5 สรุปก็คือมีรูปทรงเดียวกับ iPhone 4 แต่คุณสมบัติการทำงานดีขึ้น ใครที่อยากทราบรายละเอียดก็เชิญที่บล็อกของ @ipattt ได้เลยครับ ซึ่งงานนี้ก็น่าจะสร้างความผิดหวังกับให้ผู้ที่รอคอย iPhone 5 บางส่วนไปไม่น้อยทีเดียว แต่ในวันนี้ผมจะมาลองสรุปมุมมองของผมเองต่อการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ในส่วนที่จะเป็นข้อดีให้กับผู้บริโภคอย่างเราให้ฟังกันครับ
  1. ผู้ใช้ที่ต้องการซื้อ iPhone 4S จะซื้อได้ง่ายขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์นี้ผมมมองว่าจะเหมือนตอนที่ Apple ออก iPhone 3GS ซึ่งซิ้อได้ง่ายมาก เมื่อเทียบกับ iPhone 3G ซึ่งต้องไปเข้าคิวต่อแถวซื้อกัน
  2.  ราคาของ iPhone 4 จะถูกลงอย่างแน่นอน ซึ่งสำหรับคนที่ไม่ได้ต้องการคุณสมบัติที่เพิ่มเติมขึ้นมาและตราบใดที่เจ้า iPhone 4 ยังสามารถอัพเกรดระบบปฏิบัติการต่อไปได้ ผมว่าทางเลือกนี้อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ในส่วนตัวผมคิดว่าถ้า Apple กล้าลดราคา iPhone 4 ลงมาเหลือประมาณหมื่นกลาง ๆ โดยตามข่าวรู้สึกว่าจะมี  iPhone 4 ซึ่งมีหน่วยความจำ 8 GB มันน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับมือถือราคาหมื่นกลางที่มีอยู่ตอนนี้เลยทีเดียว
  3.  อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ สามารถใช้ร่วมกันได้
  4. คนที่เพิ่งซื้อ iPhone 4 ไป (โดยที่ไม่ได้ไปแหกคอกแหกกฏระเบียบที่ผู้จัดงานเขาจัดไว้) ก็ยังสามารถใช้งาน iPhone 4 ต่อไปได้ โดยไม่ต้องรู้สึกว่าซื้อมาปุ๊บก็ตกรุ่นปั๊บ
  5. คนที่ยังเก็บเงินได้ไม่ถึงก็มีเวลาเก็บเงินเพิ่มสำหรับ iPhone 5 
  6. เราก็มีเรื่องให้มานั่งเดานั่งลุ้นกันต่อไปว่า iPhone 5 จะเป็นอย่างไร 
สำหรับผมตอนนี้เท่าที่คิดออกก็มีแค่นี้ ใครที่เห็นข้อดีอื่น ๆ และอยากจะร่วมแสดงความเห็นก็เชิญได้ครับ

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Use Case Diagram ไม่ใช่ Flowchart นะจะบอกให้

หลังจากไม่ได้เขียนบล็อกเสียนาน และหลัง ๆ นี้แทบไม่ได้เขียนเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมเลย วันนี้ก็ขอเขียนเสียหน่อยแล้วกัน แต่ก่อนอื่นขอเป็นกำลังใจให้กับชาวไทยทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอยู่ตอนนี้นะครับ

สำหรับเรื่องที่ต้องการจะเขียนวันนี้คือเรื่องที่ดูเหมือนจะง่าย ๆ ก็คือการเขียน Use Case Diagram จริง ๆ ผมตั้งใจจะเขียนมาหลายเดือนแล้ว เอหรือจะเกือบปีแล้วก็ไม่รู้ คือผมได้มีโอกาสไปบรรยายเรื่องการพัฒนาโปรแกรมให้กับหน่วยงานหน่วยหนึ่ง ก่อนที่จะบรรยายผมก็ลองให้โจทย์กับผู้อบรมลองเขียน Use Case Diagram ดู ปรากฏว่าผู้เข้าอบรมหลายคนเขียน Use Case Diagram เหมือนกับว่ามันเป็น Flowchart และวันนี้เองสด ๆ ร้อน ๆ กับนักศึกษาในที่ปรึกษาของตัวเองก็ดูเหมืือนว่าจะเข้าใจผิดไปในแนวทางนั้นเช่นกัน ดังนั้นก็เลยคิดว่าคงต้องเขียนบล็อกนี้ขึ้นมาเสียหน่อยเพื่อจะช่วยให้เรื่องนี้ชัดเจนขึ้น

ก่อนอื่นเรามาทบทวนกันก่อนว่า Use Case Diagram มีจุดประสงค์อะไร ซึ่งคิดว่าพวกเราคงตอบกันได้ว่ามันมีหน้าที่หลักในการแสดง Functional Requirement ของระบบ ตัว Use Case หนึ่ง Use Case เป็นตัวแทนของฟังก์ชันหลักฟังก์ชันหนึ่งของระบบ ดูก็ง่ายดีใช่ไหมครับ แล้วปัญหาใีนอยู่ตรงไหน ลองมาดูโจทย์ที่ผมได้ใช้ทดสอบผู้เข้ารับการอบรมกับผมกันก่อนครับ

  จงเขียน UML Diagram สำหรับระบบ ATM ที่่มีการทำงานคือฝากเงิน (Deposit) โอนเงิน (Transfer) และถอนเงิน (Withdraw) โดยจะต้องมีการตรวจสอบตัวตนของลูกค้าด้วย 

จากโจทย์ก็เป็นตัวอย่างพื้นฐานทั่วไป แต่มีผู้เข้ารับการอบรมหลายคนเขียน Use Case Diagram ในลักษณะนี้ครับ

Use Case Diagram แบบ Flowchart



ซึ่งผมก็ได้สอบถามว่าทำไมเขาถึงเขียนไดอะแกรม ในลักษณะนี้ คำตอบของเขาก็คือ ก็ทำตามโจทย์อาจารย์ ตรวจสอบสิทธิก่อนที่จะอนุญาตให้ทำธุรกรรมอย่างอื่น จะเห็นได้ชัดนะครับว่านี่คือความเข้าใจผิด ตัว Use Case Diagram ไม่ได้แสดงโฟลว์การทำงานว่าอะไรต้องทำก่อนอะไร อีกจุดหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นปัญหาของไดอะแกรมนี้ก็คือตัว Use Case ของเขาสองตัวคือ Enter Password และ Validate Password นั้นอยู่ในระดับที่ย่อยมากเกินไป

ถึงตรงนี้หลายคนก็อาจตั้งคำถามว่าแล้วเราควรจะเขียนอย่างไรดี ผมไม่ตอบดีไหมนี่ ทิ้งให้คิดเป็นการบ้าน มาเฉลยพรุ่งนี้ สวัสดีครับ ...... :)


ล้อเล่นน่ะครับ เฉลยเลยแล้วกันเดี๋ยวอึดอัดกันแย่ แนวทางหนึ่งที่จะเขียน Use Case Diagram สำหรับปัญหานี้ก็ตามนี้ครับ

Use Case Diagram สำหรับระบบ ATM อย่างง่าย 

จากไดอะแกรมนี้ผมได้รวมเอา Validate Password และ Enter Password เข้าด้วยกันเป็น Use Case ที่ชื่อว่า Authenticate และใช้ความสัมพันธ์  include เพื่อแสดงให้เห็นว่า Use Case ที่เหลือทั้งสามนั้นจะต้องมีการตรวจสอบตัวตนของผู้ถือบัตร ไดอะแกรมนี้แสดงความต้องการของระบบตรงตามที่โจทย์กำหนดได้อย่างชัดเจน และ Use Case Diagram ได้ทำหน้าที่หลักที่มันควรจะทำนั่นคือการแสดง Functional Requirement ของระบบ ไม่ได้แสดงโฟลว์การทำงาน อย่าลืมนะครับว่า Use Case Diagram เรามักจะสร้างขึ้นในช่วงวิเคราะห์ระบบ ซึ่งการวิเคราะห์ระบบควรจะตอบคำถามว่า "what" ซึ่งหมายความว่าระบบนี้ทำอะไรให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่ไปตอบคำถามของคำว่า "how" ซึ่งหมายถึงว่ามันทำงานอย่างไร ถ้ามีแนวคิดนี้อยู่ในใจตลอดก็น่าจะหลีกเลี่ยงการเขียน Use Case Diagram ในลักษณะที่เป็น Flowchart ได้

หวังว่าบล็อกนี้จะทำให้มีความชัดเจนเกี่ยวกับ Use Case Diagram มากขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ ...





วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

แอปแท้... แอปเถื่อนกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์


สวัสดีครับ ไม่ได้เขียนบล็อกมานานมากทั้งที่มีเรื่องมากมายอยากพูดคุยอยากเล่าให้ฟังกัน วันนี้พอจะหาเวลาได้สักเล็กน้อยก็ขอเขียนเสียหน่อยแล้วกัน เรื่องที่อยากจะคุยกันวันนี้เกี่ยวกับการหาซื้อซอฟต์แวร์มาใช้งานครับ ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้คิดที่จะมาเป็นตัวแทนอะไรให้บริษัทซอฟต์แวร์นะครับ แต่ที่เขียนวันนี้เพราะอยากจะให้พวกเราคนไทยมีมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดหาซอฟต์แวร์มาใช้งาน

ย้อนกลับไปหลายปีก่อนที่ซอฟต์แวร์มีราคาแพงมาก เช่นไมโครซอฟท์เวิร์ด 1 ชุดมีราคาเป็นหลักหมื่นบาท  สูงกว่าเงินเดือนของข้าราชการระดับปริญญาโทของไทยที่ระดับหกพันกว่าบาท (ผมรู้ครับเพราะผมเริ่มเข้าทำงานด้วยเงินเดือนเท่านี้จริง ๆ นะจะบอกให้) และซอฟต์แวร์ที่เป็นโอเพนซอร์ซก็ยังไม่ได้มีให้ใช้กันแพร่หลายอย่างทุกวันนี้ ดังนั้นทางเลือกของเราก็คือซอฟต์แวร์จากพันทิพที่ทำให้เราได้ทดลองใช้งานซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ผมเคยมีประสบการณ์เดินไปถามราคาไมโครซอฟท์เวิร์ดที่ร้านที่ขายซอฟต์แวร์แท้ที่ขายอยู่บนห้างพันทิพ พอคนขายบอกราคามาเป็นหลักหมื่น ผมก็เผลอตัวอุทานออกมา ซึ่งคนขายก็มองผมอย่างสมเพชแล้วก็ทำท่าบุ้ยใบ้เหมือนกับบอกว่า "เอ็งก็ไปซื้อข้างนอกเอาซิแผ่นละไม่กี่ร้อยมีโปรแกรมเป็นโหล"

ผมเคยคุยกับลูกศิษย์ลูกหาของผมในรุ่นแรก ๆ ของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้ และผมบอกว่าปัญหาก็คือราคาซอฟต์แวร์แพงเกินไป คือมันอาจจะไม่แพงถ้าเทียบกับรายได้เฉลี่ยของคนในสหรัฐอเมริกา แต่มันอาจจะแพงสำหรับคนในประเทศอื่น ตอนนั้นผมบอกว่าโมเดลการขายซอฟต์แวร์พื้นฐานทั่วไปที่ดีก็คืออย่าตั้งราคาให้สูงนักเช่นสัก 10 เหรียญ แต่ถ้าขายทั่วโลกได้ล้านชุดก็ 10 ล้านเหรียญแล้ว ซึ่งผมมองว่าสำหรับซอฟต์แวร์ตัวหนึ่งนี่ก็น่าจะคุ้มหรือเกินคุ้มแล้ว แต่ยังไงก็ตามผมก็บอกลูกศิษย์ผมว่าถ้าเราไปซื้อซอฟต์แวร์พันทิพมาเพื่อการศึกษาก็ทำไปนะ แต่ถ้าเมื่อไรที่เรานำไปหารายได้ก็น่าจะซื้อของลิขสิทธิ์มาใช้

เวลาผ่านไปราคาซอฟต์แวร์ก็ถูกลง มีโอเพนซอร์ซซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้ดาวน์โหลดมาใช้ฟรี ๆ และยังมีโมเดลแบบ App Store ของ Apple และ Android Market ของ Google ซึ่งก็เปิดโอกาสให้เราซื้อซอฟต์แวร์ในระดับที่ถูกกว่าที่ผมเคยคิดไว้เสียอีก บางตัวราคาไม่ถึง 30 บาท ซึ่งผมก็คาดหวังว่าการใช้ซอฟต์แวร์น่าจะถูกลิขสิทธิ์มากขึ้น ในส่วนตัวผมเองตอนนี้บอกเลยว่าบนเครื่องที่ผมใช้งานตอนนี้ไม่มีซอฟต์แวร์ละเมิดอยู่เลย บางตัวที่ดีแล้วเขาขายราคาไม่แพงมากผมก็ซื้อ ถ้ามันแพงมากผมก็ไปหาตัวที่ฟรีที่ใกล้เคียงกันมาใช้ ยิ่งในพวก App Store นี่ผมก็ว่าเขายิ่งใจกว้างซื้อหนึ่งครั้งราคาอาจไม่ถึง 30 บาท แต่เอาไปติดตั้งลงได้หลายเครื่อง แต่กลับเป็นว่ามีคนเอาความใจกว้างนี่มาทำมาหากินโดยใช้คำว่า App แท้ ซึ่งตามความหมายของคนขายคือเป็นโปรแกรมที่เขาอาจลงทุนไปซื้อมา แต่ใช้ความใจกว้างของบริษัทซอฟต์แวร์เอามาขายต่อโดยติดตั้งให้ลูกค้าไปอีกเป็นไม่รู้กี่ร้อยคน ส่วน App เถื่อนคืออะไร ก็คือซอฟต์แวร์ที่เขาขายนี่แหละ แต่ว่าเราไปโหลดมาใช้แบบฟรี ๆ โดยการจะทำอย่างนี้ได้เครื่องที่ใช้ iOS (ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในเครื่้อง iPhone, iPod, iPad) ของเราจะต้องสิ่งที่เรียกว่าการ Jail Break ก่อน จากนั้นมันจึงจะมีช่องทางให้เราเข้าไปหาซอฟต์แวร์มาใช้แบบฟรี ๆ   ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้ต่อต้านการ Jail Break เพราะการ Jail Break ทำให้เราสามารถใช้โปรแกรมหลาย ๆ ตัวที่มีประโยชน์แต่ Apple ไม่อนุณาตให้นำไปขายใน App Store หรือบางคนก็บอกว่า Jail Break เพื่อลองไปโหลดโปรแกรมมาลองใช้ดูก่อน ถ้าดีแล้วค่อยซื้ออันนี้ถ้าทำอย่างนั้นจริงผมก็ว่าโอเคนะครับ แต่ก็มีร้านค้าใช้ความไม่ค่อยรู้ของคนนี่แหละเอามาหากินเช่นกัน โดยรับ Jail Break เครื่องแล้วก็ติดตั้งโปรแกรมให้ลูกค้าแล้วก็เก็บเงินลูกค้าไป

ผลเสียของทั้งสองวิธีนี้ก็คือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ที่เขาลงทุนลงแรงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ประโยชน์กลับตกไปเป็นของร้านค้าเหล่านี้  บางคนอาจถามว่าแล้วผมมาเดือดร้อนอะไรด้วย คำตอบก็คือผมเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในวงการนี้ ถึงผมในตอนนี้จะไม่ได้เป็นคนหนึ่งที่พัฒนาโปรแกรมขึ้นสู่ App Store แต่ผมก็เป็นคนสอนเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรม และผมก็คาดหวังว่าลูกศิษย์ของผมหลาย ๆ คนอาจจะเป็นคนที่พัฒนาโปรแกรมออกมาขายบ้างก็ได้ ซึ่งถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ผมว่าตลาดของไทยคงเติบโตยาก

ผมเข้าใจว่าคนใช้ iPhone, iPod, หรือ iPad หลายคนไม่ได้มีความคิดที่จะใช้ซอฟต์แวร์แบบไม่ถูกต้องเหล่านี้ แต่เพราะความไม่รู้และอาจจะถูกทำให้เข้าใจผิดด้วยคำว่า App แท้ ก็หวังว่าบล็อกนี้จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น ส่วนบางคนอาจบอกว่าทำไม่เป็นพวกติดตั้งโปรแกรมอะไรนี่ ครั้นจะซื้อโทรศัพท์ราคาสองหมื่นกว่าบาทมาโทรอย่างเดียวก็กลัวจะไม่คุ้ม ผมอยากบอกครับว่าลองศึกษาดูครับ มีเว็บไซต์และหนังสือดี ๆ ที่สอนการใช้งานเรื่องพวกนี้อยู่มากมาย และจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องยากนะครับ และผมคิดว่าเราจะสนุกสนานกับการใช้อุปกรณ์ของเรามากขึ้นด้วย  ส่วนคนที่บอกว่าแหมจ่าย 500 บาท เขาลงโปรแกรมมาให้ตั้งหกหน้าแปดหน้า ถ้ามัวมาหามาลงเอง จะใช้เวลาเท่าไร และต้องจ่ายเงินเท่าไร ลองถามตัวเองครับว่าโปรแกรมที่เราใช้จริง ๆ จัง มีสักกี่ตัวกัน ไอ้ที่เขาลงมาให้หกหน้าแปดหน้านี่ได้ใช้จริงหรือเปล่า

สุดท้ายผมก็อยากมาเชิญชวนพวกเราให้มาใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกลิขสิทธิ์กันครับ สบายใจภูมิใจเวลาใช้ สร้างสำนึกที่ดีในการเคารพทรัพย์สินทางปัญญาให้กับสังคมเรา และยังช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทยเราอีกด้วย

วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

อำนาจอยู่ในมือเราแล้วไปเลือกตั้งกันครับ

สวัสดีครับผมไม่ได้เขียนบล็อกมาซะนาน วันนี้ขอเขียนหน่อยเพราะอยากจะร่วมรณรงค์ให้ออกไปเลือกตั้งกันวันอาทิตย์ที่ 3 ก.ค. นี้ครับ จริง ๆ ผมก็ไม่ได้คิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมาเปลี่ยนแปลงประเทศของเราให้มันดีขึ้นมาได้ทันตาเห็นหรอกนะครับ เพราะนักการเมืองที่ลงเลือกตั้งก็หน้าเดิม ๆ มีแนวคิดแบบเดิม ๆ ที่บอกว่าจะปรองดองกันก็ทำได้แต่ปากพูด เพราะเท่าที่เห็นหาเสียงกันอยู่ตอนนี้ก็มีแต่สาดโคลนใส่กัน เอาเรื่องที่ยังไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริงกล่าวหากันไปมา ฝ่ายหนึ่งก็กล่าวหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งสั่งฆ่าคน อีกฝ่ายก็กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเผาบ้านเผาเมืองทั้งที่ความจริงเป็นอย่างไรก็ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ชัดเจน ทำกันแบบนี้ประเทศชาติคงจะสงบได้หรอกเพราะประชาชนที่สนับสนุนแต่ละฝ่ายก็ออกมาตอบโต้กันไปมาสนับสนุนฝ่ายที่ตัวเชียร์อยู่ เขียนมาถึงตรงนี้หลายคนอาจถามว่าถ้าอย่างนั้นเราจะไปเลือกตั้งกันทำไม คำตอบคือการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการแสดงพลังอำนาจของประชาชนอย่างพวกเราที่ถูกปล้นไปโดยผู้คนหลายกลุ่ม (ถ้าใครลืมไปแล้วเดี๋ยวผมจะทวนให้ฟังต่อไป) และหวังว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ประเทศเรากลับมาสู่ระบบอีกครั้งถ้าทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้งตามที่บอกไว้ 

คราวนี้ผมจะทวนให้ฟังครับว่าอำนาจของเราถูกใครปล้นไปบ้าง เริ่มจากกลุ่มแรกเลยครับก็คือกลุ่มคนที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์กับทหารที่ทำปฏิวัติเมื่อปี 2549 จริง ๆ ผมเคยคิดนะครับว่าการปฏิวัติสมัย รสช. คงจะเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศแล้วไม่คิดว่าจะได้เห็นอีก จริง ๆ กลุ่มคนที่ใช้เสื้อเหลืองนี่ผมก็ไม่อยากจะเหมารวมไปทุกคนนะครับ เอาเป็นว่าขอเน้นไปที่แกนนำแล้วกัน แกนนำยุยงปลุกปั่นด้วยเรื่องจริงบ้างไม่จริงบ้างให้ประชาชนออกมารวมตัวกัน จนทหารมีข้ออ้างออกมาปฏิวัติ ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเรากำลังจะมีการเลือกตั้งกันอยู่แล้ว ซึ่งคนเสื้อเหลืองและทหารไม่แน่ใจว่าถ้าปล่อยให้มีการเลือกตั้งแล้วพรรคที่ตัวเองต้องการจะได้มาบริหารประเทศหรือไม่ และที่น่าเศร้าที่สุดก็คือหลังจากการปฏิวัติแล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ปัญหาที่มีอยู่ที่เป็นสาเหตุของการปฏิวัติก็ไม่ได้รับการแก้ไข สิ่งที่การปฏิวัติทิ้งไว้ให้เราคือความแตกแยก และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนยอมรับเพราะมีการลงมติ แต่การลงมติที่ว่านั้นอยู่ในบรรยากาศที่ว่าให้รับ ๆ ไปก่อนเพราะถ้าไม่รับคณะปฏิวัตินี้ก็จะยังคงปกครองประเทศเราอยู่ต่อไป และสุดท้ายเมื่อมีการเลือกตั้งพรรคการเมืองที่ทั้งเสื้อเหลืองและทหารไม่อยากให้เข้ามาก็ชนะได้เข้ามาอยู่ดี 

แต่เอาล่ะครับอย่างน้อยการเลือกตั้งครั้งนั้นก็ทำให้เราได้อำนาจคืนมาบ้าง แต่ก็ได้มาไม่นานส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะนักการเมืองที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาไม่รู้จักหลาบจำ ไปทำเรื่องที่เป็นเหตุให้คนเสื้อเหลืองหาเหตุระดมคนออกมาชุมนุมอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์บางอย่างที่ผมคิดว่าถ้าประเทศเราอยู่ในสถานการณ์ปกติมันไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่นการที่นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยต้องถูกปลดเพราะไปออกรายการทำกับข้าว พอเปลี่ยนนายกมาเป็นอีกคนหนึ่งก็ยังไม่ถูกใจคนเสื้อเหลือง ก็เลยทำการชุมนุมเลยเถิดสร้างความเดือดร้อนไปทั่วไปยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นแรมเดือน จนถึงขั้นไปทำนากันอยู่ในนั้น และยังไปยึดสนามบินนานาชาติ ทำเอาเศรษฐกิจของชาติเสียหายไปมากมาย และที่น่าโมโหสำหรับผมก็คือคนเสื้อเหลืองอ้างอีกว่านี่คื่อเสียงของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งไม่มีที่มาที่ไปเพราะคนเสื้อเหลืองไม่ได้รับการเลือกตั้งมา ส่วนทหารก็ให้ความร่วมมือด้วยการอยู่เฉย ๆ ไม่่ิออกมาทำอะไรทั้งที่รัฐบาลมอบหมายหน้าที่ให้ แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ต้องจากไปแต่ไม่ใช่เพราะคนเสืิ้อเหลืองแต่เป็นเพราะสาเหตุอื่น นั่นคือการถูกยุบพรรคของแกนนำรัฐบาล 

คราวนี้การเมืองก็พลิกขั้วมาเป็นอีกฝ่ายหนึ่งได้เข้ามาเป็นรัฐบาล ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็พอจะทำใจรับได้ (ถึงแม้มันจะดูไม่โปร่งใสอยู่บ้าง) เพราะอย่างน้อยคนเหล่านั้นก็ยังได้รับเลือกตั้งเข้ามา เรียกว่ายังอยู่ในระบบ แต่อำนาจของเรากลับถูกโขมยไปอีกจากคนอีกกลุ่มหนึ่ง (ขอเน้นที่แกนนำเช่นกัน) ที่ใช้เสื้อสีแดง คนกลุ่มนี้ที่เคยด่าเสื้อเหลืองไว้ว่าทำอะไรไม่คิดทำให้ประเทศชาติเสียหายก็ทำซะเอง เริ่มตั้งแต่ไม่ได้สนใจว่าตัวเราเองเป็นเจ้าบ้านจัดการประชุมสำคัญระดับนานาชาติ ไปประท้วงจนเกิดความวุ่นวายจนแขกบ้านแขกเมืองต้องหนีขึ้นเรือออกไปกลางทะเลเพื่อไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้านเป็นภาพที่อเนจอนาถเหลือเกิน หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น ความพยายามที่จะลดความขัดแย้งก็ทำอย่างไม่จริงใจ จนในที่สุดคนกลุ่มนี้ก็กลับมาอีกครั้ง และก็ประท้วงมาเลยเถิดไปยึดแยกราชประสงค์จนเกิดความเสียหายไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร และในที่สุดมันก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดจนเป็นปัญหากันอยู่ตอนนี้ และเหมือนเดิมคนกลุ่มนี้ก็อ้างว่านี่คือความต้องการของคนส่วนใหญ่ของประเทศ นี่มันโขมยอำนาจของเราไปชัด ๆ นะครับ คนสองกลุ่มนี้เราไม่ได้เลือกเข้ามา (ถึงแม้ในแต่ละกลุ่มอาจมีส.ส.อยู่แต่ก็มีไม่กี่คน) 

ทั้งหมดก็คือการสรุปคร่าว ๆ ของกลุ่มคนที่มาเอาอำนาจที่อยู่ในมือเราออกไป ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้อำนาจได้กลับมาอยู่ในมือเราแล้ว ขอให้เราออกไปแสดงให้เขาเห็นครับว่าเราต้องการให้ประเทศเป็นไปอย่างไร ถึงแม้เราจะได้นักการเมืองหน้าเดิม ๆ กลับเข้ามา แต่ก็หวังว่าเขาจะทำตัวดีขึ้นและเราก็ติดตาม ถ้าเขายังทำตัวไม่ดีเราก็ใช้ช่องทางตามที่กฏหมายกำหนดเช่นการเข้าชื่อหรืออะไรก็ว่าไป ซึ่งฝ่ายค้านน่าจะมาชี้นำประชาชนในจุดนี้มากกว่าที่จะไปสนับสนุนคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเข้าข้างฝ่ายตัวเองบนถนน (หวังว่าจะไม่มีอีก) และถ้ายังทำอะไรไม่ได้จริง ๆ (ผมคิดว่าถ้ามันแย่จริง ๆ หรือมีหลักฐานชัดมันน่าจะทำได้) เราก็รอให้ครบเทอมครับจนอำนาจกลับมาอยู่ในมือเราอีกครั้ง ทหารควรจะเอาคำว่าปฏิวัติทิ้งไปได้แล้ว ให้ระบบมันดำเนินไปได้อย่างถูกต้อง และผมเชื่ออย่างที่ผมเคยเขียนไปแล้วว่าถ้าเรายอมอยู่ในระบบจนคนดีมีความสามารถเขามีความมั่นใจเขาก็จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาของบ้านเมืองครับ 

สุดท้ายผมอยากบอกว่าประเทศเราโชคดีที่ยังไม่เป็นอย่างลิเบีย ซึ่งผมคิดว่าคนที่ออกมาประท้วงรัฐบาลตอนแรกอาจจะไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์มันจะบานปลายมาถึงขนาดนี้ ถ้าเขารู้เขาอาจจะไม่ทำ ดังนั้นพวกเราโชคดีครับที่ยังมีโอกาส ออกไปเลือกตั้งกันครับและยอมรับผลการเลือกตั้ง ติดตามดูผลงานของคนที่เราเลือกและไม่ได้เลือกเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเลือกตั้งครั้งหน้า และขอฝากนักการเมืองทั้งหลายให้เปลี่ยนวิธีคิดวิธีทำงานโดยคิดถึงประเทศชาติเป็นหลัก เลิกสร้างความขัดแย้ง ทำงานให้สมกับที่ประชาชนไว้ใจเลือกเข้ามาเป็นตัวแทน ผมว่าถ้าเป็นได้อย่างนี้ประเทศเราจะเดินไปข้างหน้าได้โดยเริ่มจากการเลือกตั้งครั้งนี้ครับ