วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

การระบุตำแหน่งผ่านอินเทอร์เน็ตอาจทำได้เที่ยงตรงถึง 690 เมตร

คณะนักวิจัยจาก University of Electronic Science and Technology ของจีน และ Northwestern University ได้พัฒนาวิธีการระบุตำแหน่งของผู้ใช้งานผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยวิธีการที่ใช้ก็คือใช้ Google Map เพื่อหาที่อยู่จริง ๆ และที่อยู่บนเว็บของมหาวิทยาลัยและองค์กรธุรกิจเพื่อนำมาสร้างเป็นแผนที่ IP address ซึ่งจากงานวิจัยนี้ก็จะได้ประมาณ 76,000 ตำแหน่ง ส่วนวิธีการคำนวณตำแหน่งของผู้ใช้ก็คือคำนวณเวลาส่งข้อมูลจากตำแหน่งที่มีอยู่ไปยังเครืองของผู้ใช้ จากนั้นก็แปลงจากเวลาเป็นระยะทาง ซึ่งก็จะสามารถให้ข้อมูลที่เที่ยงตรงได้ในระยะทาง 690 เมตร หรืออาจจะได้ถึง 100 เมตร วิธีนี้มีคนบอกว่าถ้าเราใช้ proxy server เราก็สามารถให้ตำแหน่งที่อยู่หลอก ๆ ได้ แต่นักวิจัยบอกว่าเขาสามารถตรวจจับได้ว่าเป็น proxy server และถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะส่งค่า null กลับมาให้แทนที่จะเป็นตำแหน่งหลอก

ถึงแม้การระบุตำแหน่งผู้ใช้จะมีประโยชน์หลายอย่าง แต่บางทีมันก็ละเมิดความเป็นส่วนตัวเหมือนกันนะครับ ยิ่งวิธีนี้การระบุตำแหน่งสามารถทำได้เลยโดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ใช้

ที่มา: News Scientist

ปริมาณข้อมูลสารสนเทศทางธุรกิจต่อปีอาจสูงถึง 9.7 เซตตาไบต์ต่อปี

คณะนักวิจัยจาก University of California, San Diego (UCSD) ได้ประมาณปริมาณการประมวลผลสารสนเทศทางธุรกิจต่อปีไว้ว่าอาจสูงถึง 9.7 เซตตาไบต์ (9,570,000,000,000,000,000,000 ไบต์) ต่อปีครับ โดยข้อมูลเหล่านี้จะเป็นข้อมูลชั่วคราวที่เกิดขึ้น ใช้งานและหายไปภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยที่เราไม่รับรู้เลยด้วยซ้ำ

ข้อมูลนี้ก็จะเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เราได้เห็นประสิทธิภาพของเครื่องเซิร์ฟเวอร์ครับว่าต้องทำงานหนักแค่ไหน

ที่มา : UCSD News

วิธิใหม่ในการสร้างแผนที่การทำงานของสมอง

คณะนักวิจัยจาก University College London (UCL) กำลังพัฒนาแบบจำลองคอมพิวเตอร์ของสมองเพื่อสร้างแผนที่การเชื่อมต่อและหน้าที่ของเซลประสาท โดยงานวิจัยนี้ส่วนหนึ่งของสาขาใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า connectomics ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างแผนที่การเชื่อมต่อของสมอง นักวิจัยคาดหวังว่าผลที่ได้จากงานวิจัยนี้จะทำให้เราเข้าใจวิธีการคิดและการรับรู้ของสมอง และจะได้เข้าใจว่าฟังก์ชันเหล่านี้มีผลต่อโรคที่เกี่ยวกับสมองเช่นอัลไซเมอร์ หรือโรคจิตเภทอย่างไร แต่นักวิจัยบอกว่างานวิจัยนี้คงต้องใช้เวลาอีกหลายปี และต้องใช้พลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์อย่างมหาศาลครับ

ก็ขอภาวนาให้งานนี้สำเร็จ และหวังว่าคงจะไม่มีใครเอาองค์ความรู้นี้ไปสร้างสิ่งเลวร้ายมาทำลายมนุษย์ด้วยกันนะครับ

ที่มา: Reuters

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

ประสบการณ์การใช้ GPS

สวัสดีครับ หลังจากไม่ได้เขียนบล็อกมาเสียนาน วันนี้ก็ได้โอกาสมาเขียนเสียที วันนี้ผมเขียนบล็อกมาจากบุรีรัมย์ครับ มางานพระราชทานเพลิงศพของพ่อของเพื่อนร่วมงานที่ผมเคารพท่านหนึ่ง แล้วก็ไม่อยากขับรถกลับตอนกลางคืน บอกตรงๆว่ารู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัยครับ โดยเฉพาะพวกปาหิน ถึงตอนนี้จะเงียบไปแล้วก็ตาม ผมได้พักโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่มาได้แค่สองเดือนครับ และโซนที่พักก็เพิ่งเปิดเรียกว่าห้องพักที่ผมพักนี้ผมได้ประเดิมเป็นคนแรกเลยครับ แต่ก็ตามธรรมดาของโรงแรมเปิดใหม่ก็ยังมีอะไรไม่เรียบร้อยอยู่บ้าง

สำหรับวันนี้ก็ขอไม่มีสาระอะไรสักวันแล้วกันนะครับ จะเล่าประสบการณ์ใชั GPS ให้ฟัง การเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้ใช้ GPS นำทางจริง ๆ จัง ๆ ครับ ซึ่งมันก็ทั้งช่วยและบางทีก็ทำให้งงได้เหมือนกันครับ ผมเริ่มใช้มันตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยครับ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมคุ้นเคยอยู่แล้วปรากฏว่ามันทำให้ผมประทับใจมากครับ คือบอกตำแหน่งรถย้อนหลังไปเจ็ดร้อยเมตร คือผมอยู่บนรามอินทราแล้วมันยังบอกว่าผมยังอยู่บนสุวินทวงศ์เป็นต้น ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าเฮ้ยมันจะพาเราไปหลงที่ไหนไหมนี่ แต่สักพักมันก็จับตำแหน่งถูกต้องครับ คือพอขึ้นวงแหวนตะวันออกได้มันก็โอเคครับ และเพราะทางช่วงนั้นเป็นทางตรงไปตลอดมันก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ซึ่งผมก็เข้าใจว่าถ้าขึ้นทางหลักถูกต้องและเป็นทางตรงแล้วมันก็จะไม่เตือนอะไร แต่จริง ๆ ผมก็อยากให้มันพูดบ้างนะครับ คือผมขับมาคนเดียวบางทีมันเหงาน่ะครับ :)

เอาล่ะครับคราวนี้พอลงจากวงแหวนเข้าทางหลวงหมายเลข 1 ซึ่งพอขึ้นไปแล้วมันก็เป็นทางตรงเหมือนกันแต่คราวนี้มันไม่เงียบครับ มันจะพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอีก ... เมตรชิดขวาเข้าทางหลวงหมายเลขหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมงงว่าเอ๊ะเราอยู่ที่ไหนกันแน่ เช็คจากป้ายและจากหน้าจอของมันเราก็อยู่ถูกที่แล้ว และบางทีเราก็อยู่เลนขวาสุดอยู่แล้ว มันจะเอายังไงกันแน่ หรือมันจะให้เราข้ามไปขับอีกฝั่งหนึ่ง :) เอาเถอะครับสุดท้ายผมก็เริ่มชินกับมัน เฮ้อรู้งี้ไม่น่าอยากให้มันพูดเลย ถ้ารู้ว่ามันจะพูดไม่หยุดอย่างนี้ จนมันนำผมเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ไปแล้วมันก็ยังพูดต่อไปว่าอีก .... คงอยู่ทางขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 ซึ่งปัญหาแค่นี้ผมก็คิดว่าทนรำคาญเอานะครับ แต่จริงๆ มันมีมากกว่านี้ครับเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป

คราวนี้มาดูความดีของมันบ้างครับ วัดที่ผมไปร่วมงานนี้เป็นวัดที่อยู่ใกล้ๆ ปราสาทเมืองต่ำและปราสาทพนมรุ้ง มันก็นำทางผมไปเรื่อย ๆ แต่ช่วงนี้เขาพนมรุ้งมีงานครับ เขาก็เลยปิดเส้นทางหลัก ให้เบี่ยงไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมันก็เก่งมากครับ สามารถนำทางผมไปได้ และยังบอกให้ระวังทางโค้งต่าง ๆ อีกต่างหาก ในที่สุดมันก็นำผมมาถึงวัดครับ

ตอนขากลับผมไม่อยากกลับทางเดิมเพราะมันต้องขึ้นเขาผ่านทางโค้งซึ่งค่อนข้างอันตราย และฝนก็ตกถนนลื่น ก็เลยถามเพื่อนว่าจะกลับทางที่ไม่ต้องขึ้นเขาได้ไหม เพื่อนก็แนะนำให้ว่าต้องไปทางไหน ผมก็มุ่งหน้าไปพร้อมให้ GPS นำทางต่อ ซึ่งตอนแรกมันก็ดีนะครับ จนมาถึงจุดหนึ่งครับมันบอกว่า ... เมตรเลี้ยวซ้าย ซึ่งความหมายของมันก็เหมือนกับที่ผ่านมาก็คืออยู่บนเส้นเดิมนั่นแหละ แต่บังเอิญตรงนั้นมันมีทางเลี้ยวซ้ายพอดี ผมก็เลยเลี้ยวไปตามที่มันบอก แทนที่มันจะบอกว่าผิดมันกลับบอกให้ไปต่อครับ สงสัยมันจะคำนวณเส้นทางใหม่ จากนั้นมันก็บอกให้ผมเลี้ยวขวาผมก็ตามมันไป มันพาผมไปเข้าหมู่บ้านอะไรไม่รู้ครับ ผมก็คิดไปถึงหนังสยองขวัญของฝรั่งที่นักท่องเที่ยวหลงเข้าไปในหมู่บ้านอะไรไม่รู้ในยามสนธยา สภาพผมตอนนั้นเป็นอย่างนั้นเลยครับ คือไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนบรรยากาศก็ดูวังเวงมีฝนตกพรำ ๆ  ยิ่งไปกว่านั้นสักพัก  GPS  มันเงียบครับไม่พูดอะไรอีกเลย ผมเห็นท่าไม่ได้การก็เลยกลับรถออกมา และขับกลับมาทางเดิม ซึ่งพอถึงแยกที่เป็นปัญหามันก็บอกให้ผมเลี้ยวซ้ายซึ่งก็คือเข้าเส้นเดิมที่เลี้ยวแยกลงมานั่นแหละ จากนั้นก็โอเคครับเข้าทางหลักและมาถึงโรงแรมได้

ก็เป็นประสบการณ์ผจญภัยกับ GPS ที่ได้ประสบมาครับ ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง ตอนเดินทางกลับก็ว่าจะใช้มันอีกสักครั้ง หวังว่าคราวนี้เราจะเข้าใจกันมากกว่านี้

วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2554

ข้อคิดที่ได้จากรายการ Thailand's Got Talent เทปแรก

สวัสดีครับผมไม่ได้มาเขียนบล็อกซะนานเพราะยุ่งอยู่กับการตรวจข้อสอบ และตรวจโครงงานนักศึกษา จนตอนนี้ตรวจเสร็จไปหลายส่วนแล้ว ก็เลยขอมาเขียนหน่อยแล้วกันเพราะถ้าไม่เขียนก็อาจจะไม่ได้เขียนอีกนาน ในขณะที่เขียนนี้ก็มีข่าวเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่ญี่ปุ่น และเกิดสึนามิด้วย ก็ขอภาวนาให้อย่าให้มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บมากมายและอย่าให้มีผลกระทบเป็นวงกว้างเลยครับ

สำหรับเรื่องที่จะเขียนวันนี้ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้เขียนตามกระแสนะครับ คือจริง ๆ ผมตั้งใจจะเขียนตั้งแต่ดูรายการ Thailand's Got Talent เทปแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2554 แล้ว แต่ด้วยความที่ยุ่ง ๆ ก็เลยไม่ได้เขียน จนตอนนี้หัวข้อที่ผมกำลังเขียนอยู่นี้ก็กลายเป็น talk of the town ไปแล้ว แต่ถึงมันจะช้าไปหน่อยผมก็ขอเขียนแล้วกัน เพราะอย่างน้อยสุดก็ขอบันทึกเรื่องนี้ไว้ และเมื่อไรที่ผมรู้สึกท้อแท้ถ้ากลับมาอ่านบล็อกนี้แล้วก็อาจจะรู้สึกดีขึ้น และผมก็หวังว่าคนที่มาอ่านบล็อกของผมก็จะรู้สึกเช่นเดียวกัน

สำหรับภาพรวมของรายการก็คิดว่าทำได้ดีนะครับ คณะกรรมการโดยส่วนตัวผมชอบคุณเบนซ์ พรชิตา ผมว่าเธอดูสวยมากและมีความเห็นดี ๆ หลายครั้งจากเธอ ส่วนตัวผู้เข้าแข่งขันผมก็คิดว่าหลายคนก็คงจะประทับใจคุณสมศักดิ์ เหมรัญ ที่ประสบอุบัติเหตุ จนแขนซ้ายพิการ และต้องมาหัดเล่นกีต้าร์ด้วยมือเดียว ถ้าใครยังไม่ได้ดู ก็ดูได้จากวีดีโอนี้เลยครับ
 
สิ่งที่ผมอยากจะพูดในเรื่องนี้คือว่าเราอย่าเพียงแต่ประทับใจหรือชื่นชมกับความสามารถของคุณสมศักดิ์เท่านั้น แต่ผมอยากจะให้มองไปถึงเบื้องหลังก่อนที่คุณสมศักดิ์จะมาเล่นกีต้าร์ได้ขนาดนี้เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ลองคิดดูครับจากคนที่เคยใช้ได้สองแขน แต่จู่ ๆ กลับมาเหลือแขนที่ใช้ได้ข้างเดียว แค่ทำใจหรือฝึกให้มีชีวิตไปตามปกติก็น่าจะยากอยู่แล้ว แต่นี่คุณสมศักดิ์สามารถทุ่มเทความพยายามฝึกจนกลับมาเล่นดนตรีที่เขารักได้อีกครั้ง ดังนั้นพวกเราหลายคน (รวมทั้งตัวผมด้วย) ที่ชอบบ่นว่าไอ้โน่นก็ยากไอ้นี่ก็ยาก ไอ้โน่นก็ทำไม่ได้ไอ้นี่ก็ทำไม่ได้ มีอุปสรรคอย่างโน้นอย่างนี้คงต้องลองย้อนกลับมาดูตัวเองแล้วละ่ครับว่าเราได้ทุ่มเทความพยายามของเราลงไปเต็มที่หรือยัง เราสู้ชีวิต เราได้พยายามดึงศักยภาพในตัวของเราออกมาเต็มที่แล้วหรือไม่ ต้องบอกว่าคุณสมศักดิ์เข้าใจเลือกเพลงด้วยจริง ๆ เพราะเนื้อหาของเพลงมันก็มีความหมายของการที่เราจะลุกขึ้นมาสู้ชีวิตต่อไปหรือไม่ ซึ่งแน่นอนคุณสมศักดิ์เลือกที่จะสู้กับมัน และไม่ว่าเขาจะชนะได้เงินรางวัลจากรายการนี้หรือไม่ ผมว่าเขาชนะในเกมชีวิตของตัวเองไปแล้วครับ

อีกจุดหนึ่งที่ผมประทับใจก็คือ ความรักความผูกพันระว่างคุณสมศักดิ์และพี่ชายครับ จากคำพูดของคุณสมศักดิ์จะเห็นว่าพี่ชายของคุณสมศักดิ์นั้นมีบทบาทสำคัญที่ทำให้คุณสมศักดิ์กลับมาสู้ชีวิตต่อไปได้ และความรักความผูกพันของทั้งสองคนก็ได้แสดงให้เห็นในวีดีโอข้างบน ความรักความเข้าใจและกำลังใจที่มีให้แก่กันนั้นมันมีพลังที่ยิ่งใหญ่มากครับ ดังนั้นก็ขอให้เราใส่ใจและให้กำลังใจคนในครอบครัวของเรา และคนรอบข้างเราด้วยนะครับ

ข้อคิดอีกประการหนึ่งที่ผมได้จากกาีรดูรายการนี้อันนี้ไม่ได้มาจากคนที่ประสบความสำเร็จครับ แต่มาจากคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือก มีหลายคนครับที่ตอนผมดูตอนแรกผมก็คิดว่าอะไรนี่มีความสามารถแค่นี้ก็กล้ามาออกรายการแล้วสงสัยแค่ขอให้ได้ออกทีวี แต่พอมานั่งคิดดูอีกทีผมกลับเห็นว่ามีหลายคนครับที่เขากล้าที่จะทำตามความฝันของเขา ซึ่งไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว ดังนั้นถ้่าเรารักในสิ่งนั้นจริงและสิ่งที่เราจะทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีก็ิอาจจะไม่ผิดที่จะลองกับมันดูสักตั้ง

สุดท้ายก็ขอเอาวีดีโอของคุณสมศักดิ์ซึ่งเล่นได้จบเพลงในรายการของคุณสรยุทธมาเป็นการจบบล็อกวันนี้แล้วกันนะครับ