ผมไม่ได้มาเขียนบล็อกเสียนานเพราะไม่ว่างจริง ๆ ช่วงที่ไม่ได้มาเขียนมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้งที่ดีและไม่ดี เรื่องดี ๆ ก็เช่นผลงานของนักกีฬาไทยในเอชี่ยนเกมส์ ส่วนเรื่องแย่ ๆ ก็เรื่องของนักการเมืองไทย เรื่องซากทารกที่เกิดจากการทำแท้งถึงสองพันกว่าศพที่พบที่วัดไผ่เงิน แต่วันนี้ขอพูดเรื่องดี ๆ ก่อนแล้วกันนะครับ เพราะเป็นวันส่งท้ายของเอชี่ยนเกมส์พอดี ส่วนเรื่องอื่น ๆ เอาไว้ก่อนแล้วกันนะครับ
ก่อนอื่นผมก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนก่อนครับที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพวกเราชาวไทยได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเราจะได้เหรียญทองน้อยกว่าคราวที่แล้ว แต่ผลงานโดยรวมก็ถือว่าดีนะครับ นักกีฬาทุกคนได้แสดงให้เห็นถึงจิตใจของนักสู้ โดยเฉพาะที่ประทับใจผมที่สุดก็คือทีมวิ่งผลัด 4X100 เมตรหญิง ซึ่งผมดูกี่ครั้งก็รู้สึกประทับใจทุกครั้ง ถ้าใครยังไม่ได้ดูก็คลิกเข้าไปดูก่อนได้เลยครับ
ดูกันแล้วประทับใจไหมครับ นอกจากประทับใจแล้วผมว่าเรายังได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างจากทีมวิ่งผลัดหญิงทีมนี้นะครับ ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขความผิดพลาดจากการแข่งขันครั้งที่แล้ว (ครั้งที่แล้วทีมวิ่งผลัดหญิงไม่ได้เหรียญอะไรเลยเพราะส่งไม้พลาด) การทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อ ลองคิดดูนะครับ ในช่วงสุดท้ายใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้วเรายังตามจีนอยู่เลย ถ้านักกีฬาของเราคิดแค่ว่า "โอ้คนที่นำหน้าเราคือจีน เอาเถอะได้ที่สองก็ดีแล้ว" คนไทยก็คงไม่มีความสุขมากขนาดนี้
สุดท้ายก็ขอขอบคุณนักกีฬาทุกคนอีกครั้งไม่ว่าจะได้เหรียญรางวัลกลับมาหรือไม่ ขอขอบคุณที่ทุกคนได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และเวลาในการฝึกซ้อมและแข่งขันเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประเทศ ส่วนคนไทยก็ขออย่าเพียงชื่นชมเหรียญรางวัลที่นักกีฬาได้เท่านั้น เราทุกคนก็ควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดโดยไม่ย่อท้อเพื่อประเทศของเราเช่นกันครับ
วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
พนักงานเซ็นทรัลเหมือนกันแต่ต่างกัน
วันนี้มีประสบการณ์ในชีวิตประจำวันมาเล่าให้ฟังกันครับ จริงๆเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่วันอาทิตย์ที่แล้วแต่ผมเพิ่งจะว่างมาเขียนบล็อกเล่าให้ฟังวันนี้ คือเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วผมได้ไปเดินเล่นที่เซ็นทรัลลาดพร้าว ก็พอดีไปเจอเข็มขัดเข้าเส้นหนึ่งเห็นว่าสวยดีก็เลยหยิบมาดู ก็มีพนักงานขายคนหนึ่งเข้ามาดูแลแนะนำ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจซื้อเพราะราคาก็ไม่แพงเกินไป ประกอบกับเส้นเก่าที่ใช้อยู่ก็ใช้มาสิบกว่าปีจนแตกลายงาหมดแล้ว พนักงายขายได้ถามผมว่ามีบัตร The One หรือไม่เพราะจะได้ส่วนลดและสะสมแต้ม ซึ่งผมก็บอกว่าไม่มีพนักงานก็ถามอีกว่าแล้วคนในครอบครัวมีไหม ผมก็นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวผมน่าจะมีเพราะเป็นขาประจำ ก็เลยได้ให้ชื่อน้องสาวกับพนักงานไป ซึ่งพนักงานก็ไปค้นมาแล้วก็เจอจริง ๆ จากเหตุการณ์นี้ก็เลยทำให้ผมรู้สึกประทับใจกับพนักงานขายของคนนี้มาก และก็มีความรู้สึกดี ๆ กับเซ็นทรัลว่าอบรมพนักงานมาดี แต่แล้วเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกันมาก็ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ต่อเซ็นทรัลของผมหายไปเกือบหมด
พนักงานขายได้นำผมมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ซึ่งตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวพม่าเป็นผู้หญิงดูค่อนข้างจะมีอายุแล้วกำลังจะทำเรื่องยกเว้น VAT สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งพนักงานขายที่ดูแลลูกค้าชาวพม่าคนนั้น ก็มาถามพนักงานเก็บเงิน ซึ่งเธอก็ตอบเสียงสะบัด ๆ เหมือนไม่พอใจว่า "ถามเขาสิว่ามีพาสต์พอร์ตไหม" ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวก็แสดงพาสต์พอร์ตให้ดู และก็ขอให้พนักงานขายช่วยกรอกแบบฟอร์มให้เธอหน่อย ซึ่งพนักงานขายก็บอกว่าพนักงานเก็บเงินว่าเขาจะให้กรอกฟอร์มให้ด้วย พนักงานเก็บเงินก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นไปอีก พร้อมทั้งตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ก็กรอกให้เขาไปซี" และก็ยังทำท่าทางเอามือแตะหน้าผากพร้อมทั้งบ่นว่า "จะให้ส่วนลดแล้วยังไม่ยอมกรอกเองอีก" ผมดูถึงตอนนี้แล้วต้องบอกว่าเสียความรู้สึกมาก คือตอนแรกผมก็คิดว่าพนักงานเก็บเงินอาจจะไม่พอใจพนักงานขายซึ่งมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็มาถาม แต่ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่พอใจลูกค้าด้วย โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะไม่พอใจอะไรพนักงานขายก็ไม่ควรจะมาแสดงความไม่พอใจต่อหน้าลูกค้า ถ้าไม่พอใจกันเองก็ไปหาเวลาพูดคุยกันทีหลัง ส่วนการไม่พอใจลูกค้านี่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ นี่ไม่ควรให้เกิดขึ้นเลย คือผมก็ไม่ได้ยึดติดว่าลูกค้าคือพระเจ้าหรอกนะครับ คือถ้าลูกค้างี่เง่ามากจนมาละเมิดสิทธิของเรานี่ก็เชิญเลย แต่ในกรณีนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการบริการนะครับ การที่ลูกค้าขอให้กรอกข้อมูลให้นี่ผมว่าก็ไม่เกินเลยนะครับเพราะตอนนั้นลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร และน่าจะคิดบ้างว่าลูกค้าก็มีอายุแล้ว เธออาจจะมองไม่เห็น หรืออาจจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานเก็บเงินก็ไม่ใช่คนที่ต้องไปกรอกข้อมูลเองก็ไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม การให้บริการดังกล่าวด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากจะทำให้เซ็นทรัลมีภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย พนักงานเก็บเงินคนนั้นอาจจะคิดว่าลูกค้าเป็นคนพม่าฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผมว่าภาษากายนี่มันเป็นภาษาสากลนะครับ ผมคิดว่าลูกค้าพม่าคนดังกล่าวรู้ครับว่าอะไรเป็นอะไร
เอาละ่ครับนั่นคือเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้วก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน ผมเชื่อว่านี่คงเป็นส่วนน้อยของพนักงานบริการที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมมีความเขื่อว่าพนักงานบริการส่วนใหญ่มีจิตใจบริการที่ดีเหมือนกับพนักงานขายของที่ขายของให้ผม แต่คนส่วนน้อยนี่ก็อาจจะทำให้สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาเสียหายได้นะครับ ดังนั้นก็อยากจะฝากเอาไว้ว่าก่อนจะทำอะไรให้คิดให้ดีก่อน อย่าไปคิดว่าเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมการกระทำคงไม่มีผลอะไร โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวนี่ผมว่าการที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยนี่ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไทยนะครับ แต่เขามาเที่ยวเพราะเขาประทับใจคนไทย ประทับใจความมีใจให้บริการของคนไทย ก็ขอให้พวกเราโดยเฉพาะส่วนที่มีหน้าที่บริการโดยตรงได้ตระหนักไว้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาตินะครับ นักท่องเที่ยวคนไทยก็ควรจะได้รับบริการในแบบเดียวกันด้วย ถ้าใครอยู่ในธุรกิจที่ต้องให้บริการแล้วคิดว่าไม่ชอบบริการใคร ก็ลาออกไปหางานอื่นทำเถอะครับ
พนักงานขายได้นำผมมาจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์จ่ายเงิน ซึ่งตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวพม่าเป็นผู้หญิงดูค่อนข้างจะมีอายุแล้วกำลังจะทำเรื่องยกเว้น VAT สำหรับนักท่องเที่ยวอยู่ ซึ่งพนักงานขายที่ดูแลลูกค้าชาวพม่าคนนั้น ก็มาถามพนักงานเก็บเงิน ซึ่งเธอก็ตอบเสียงสะบัด ๆ เหมือนไม่พอใจว่า "ถามเขาสิว่ามีพาสต์พอร์ตไหม" ซึ่งนักท่องเที่ยวดังกล่าวก็แสดงพาสต์พอร์ตให้ดู และก็ขอให้พนักงานขายช่วยกรอกแบบฟอร์มให้เธอหน่อย ซึ่งพนักงานขายก็บอกว่าพนักงานเก็บเงินว่าเขาจะให้กรอกฟอร์มให้ด้วย พนักงานเก็บเงินก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นไปอีก พร้อมทั้งตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ก็กรอกให้เขาไปซี" และก็ยังทำท่าทางเอามือแตะหน้าผากพร้อมทั้งบ่นว่า "จะให้ส่วนลดแล้วยังไม่ยอมกรอกเองอีก" ผมดูถึงตอนนี้แล้วต้องบอกว่าเสียความรู้สึกมาก คือตอนแรกผมก็คิดว่าพนักงานเก็บเงินอาจจะไม่พอใจพนักงานขายซึ่งมีอะไรนิดอะไรหน่อยก็มาถาม แต่ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าเธอก็ไม่พอใจลูกค้าด้วย โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าจะไม่พอใจอะไรพนักงานขายก็ไม่ควรจะมาแสดงความไม่พอใจต่อหน้าลูกค้า ถ้าไม่พอใจกันเองก็ไปหาเวลาพูดคุยกันทีหลัง ส่วนการไม่พอใจลูกค้านี่ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ นี่ไม่ควรให้เกิดขึ้นเลย คือผมก็ไม่ได้ยึดติดว่าลูกค้าคือพระเจ้าหรอกนะครับ คือถ้าลูกค้างี่เง่ามากจนมาละเมิดสิทธิของเรานี่ก็เชิญเลย แต่ในกรณีนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการบริการนะครับ การที่ลูกค้าขอให้กรอกข้อมูลให้นี่ผมว่าก็ไม่เกินเลยนะครับเพราะตอนนั้นลูกค้าก็ไม่ได้เยอะอะไร และน่าจะคิดบ้างว่าลูกค้าก็มีอายุแล้ว เธออาจจะมองไม่เห็น หรืออาจจะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้ก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นพนักงานเก็บเงินก็ไม่ใช่คนที่ต้องไปกรอกข้อมูลเองก็ไม่รู้จะหงุดหงิดไปทำไม การให้บริการดังกล่าวด้วยความเต็มใจนั้นนอกจากจะทำให้เซ็นทรัลมีภาพลักษณ์ที่ดีแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยด้วย พนักงานเก็บเงินคนนั้นอาจจะคิดว่าลูกค้าเป็นคนพม่าฟังภาษาไทยไม่ออก แต่ผมว่าภาษากายนี่มันเป็นภาษาสากลนะครับ ผมคิดว่าลูกค้าพม่าคนดังกล่าวรู้ครับว่าอะไรเป็นอะไร
เอาละ่ครับนั่นคือเหตุการณ์ที่ประสบมาแล้วก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน ผมเชื่อว่านี่คงเป็นส่วนน้อยของพนักงานบริการที่มีพฤติกรรมแบบนี้ ผมมีความเขื่อว่าพนักงานบริการส่วนใหญ่มีจิตใจบริการที่ดีเหมือนกับพนักงานขายของที่ขายของให้ผม แต่คนส่วนน้อยนี่ก็อาจจะทำให้สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมาเสียหายได้นะครับ ดังนั้นก็อยากจะฝากเอาไว้ว่าก่อนจะทำอะไรให้คิดให้ดีก่อน อย่าไปคิดว่าเราเป็นคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมการกระทำคงไม่มีผลอะไร โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยวนี่ผมว่าการที่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยนี่ไม่ใช่เพราะรัฐบาลไทยนะครับ แต่เขามาเที่ยวเพราะเขาประทับใจคนไทย ประทับใจความมีใจให้บริการของคนไทย ก็ขอให้พวกเราโดยเฉพาะส่วนที่มีหน้าที่บริการโดยตรงได้ตระหนักไว้ด้วย และไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาตินะครับ นักท่องเที่ยวคนไทยก็ควรจะได้รับบริการในแบบเดียวกันด้วย ถ้าใครอยู่ในธุรกิจที่ต้องให้บริการแล้วคิดว่าไม่ชอบบริการใคร ก็ลาออกไปหางานอื่นทำเถอะครับ
วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553
มุมุมองของผมจากเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2553
จริง ๆ เรื่องน้ำท่วมนี้มีอะไรอยู่ในใจผมและตั้งใจว่าจะเขียนนานแล้ว แต่ก็ไม่มีโอกาสได้เขียนสักที จนตอนนี้พอจะมีเวลาบ้างก็ขอเขียนเลยแล้วกัน เพราะถ้าไม่เขียนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เขียนเมื่อไหร่ สำหรับเหตุูการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ก็มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป เอาสิ่งที่ดีก่อนแล้วกันสิ่งดีประการแรกก็คือผมยังเห็นว่าคนไทยยังรักกันครับ เราพร้อมที่จะช่วยเหลือกันเมื่อยามเดือดร้อนไม่ต้องคิดว่าใครเป็นสีไหน และหลังจากเหตุการณ์นี้ผมก็หวังว่าเราจะไม่ยอมให้พวกนักการเมืองหรือผู้ที่ต้องการครองอำนาจในบ้านเมืองมาชักนำให้พวกเราต้องมาแบ่งสีกันอีกนะครับ ผมมองเห็นการทำงานที่แข็งขันของภาคประชาชน การใช้เครือข่ายสังคมให้เกิดประโยชน์ ผมรู้สึกว่าประเทศเรายังมีความหวัง และขอขอบคุณอาสาสมัครทุกคนด้วยใจจริงครับ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกดีแต่อาจจะเป็นส่วนตัวสักเล็กน้อยนะครับก็คือลูก ๆ ของผมทั้งสองคนซึ่งยังไม่โตมากนัก แต่เขาก็มีความรู้สึกและพร้อมที่จะช่วยเหลือด้วย คือเมื่อวันเสาร์ (23 ต.ค. 2553) ที่ผ่านมา ผมและลูกได้ดูรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมไป และผมก็ได้พูดเปรย ๆ ว่า "คราวนี้น้ำท่วมหนัก สงสัยที่บริจาคไปแล้วจะน้อยไปพ่อจะไปบริจาคเงินช่วยเพิ่มเติม" ลูกของผมทั้งสองคนได้ยินอย่างนั้น ก็เดินไปเปิดกระเป๋าเงินของเขาและหยิบเงินออกมาคนละพัน บอกว่าเงินนี้คุณยายให้มาให้เขาเอาไว้ใช้ตอนเปิดเทอมให้ผมเอาเงินนี้ไปบริจาคด้วย ซึ่งทำให้ผมรู้สึกปลื้มใจมาก
ส่วนสิ่งที่ผมมองว่ายังไม่ดีประการแรกก็คือการทำงานของรัฐบาลนี่แหละครับ รัฐบาลไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการจัดการสถานการณ์วิกฤตเลย มันทำให้เห็นว่าตอนนี้การทำงานของภาครัฐนั้นล้าหลังภาคประชาชนไปมาก ผมว่าบล็อก ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก เขียนสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลได้ดีมาก ก็ลองไปอ่านกันดูแล้วกันครับ ผมคงไม่เพิ่มเติมอะไรเพราะผมว่าบล็อกดังกล่าวได้สะท้อนสิ่งที่น่าจะอยู่ในใจของหลาย ๆ คนออกมาอยู่แล้ว
อีกจุดหนึ่งก็คือพวกส.ส.ทั้งหลายครับ ตอนนี้พวกคุณทำอะไรกันอยู่บ้างครับ ผมไม่เห็นบทบาทที่โดดเด่นของพวกคุณในสถานการณ์นี้เลยครับ ตกลงพวกคุณยังมีตัวตนอยู่ไหม จริง ๆ มันไม่สำคัญว่าคุณจะเป็น ส.ส. ฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ตอนนี้ประชาชนที่เขาเลือกพวกคุณมากำลังเดือดร้อน คุณได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือพวกเขาบ้าง คุณเลิกทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองสักพักได้ไหม หรือจะตามสนใจแต่เรื่องคลิปจะยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค ก็ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ผมว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องรองนะครับ ส.ส. ฝ่ายค้านกับรัฐบาลลองทำเหมือนภาคประชาชนดูไหมครับ ลองหันมาจับมือกันเพื่อช่วยประชาชนให้ผ่านความทุกข์ยากครั้งนี้ไปให้ได้ แล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง
สุดท้ายก็คือเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาวครับ ลองถามตัวเองครับว่าประเทศของเราเกิดเหตูการณ์แล้ง-น้ำท่วมแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ต้นปีก็ปัญหาภัยแล้ง พอกลางปีถึงปลายปีก็มีปัญหาน้ำท่วม ผมคงไม่สามารถให้ความเห็นที่ดีได้ในเรื่องวิธีแก้ปัญหาเพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่คำถามก็คือประเทศเราไม่มีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลยหรือครับ หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้หรือครับ เท่าที่ผมฟังมาวิธีการหนึ่งที่อาจจะบรรเทาปัญหานี้ได้ก็คือการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น แต่ก็ถูกคัดค้านจาก NGO ซึ่งผมมองว่าถ้ามันแก้ได้จริง ๆ ก็น่าจะต้องทำนะครับ ก็ขอฝากรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยแล้วกันในเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาว
นั่นคือบางสิ่งที่อยู่ในใจผมจากสถานการณ์นี้ สำหรับท่านใดมีความเห็นอื่นใดต้องการจะมาแบ่งปันกันก็ยินดีครับ อ้อขอให้ลิงก์ไปยังเว็บที่ถือว่าเป็นศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้ไว้ด้วยนะครับ เผื่อใครยังไม่ทราบ และต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ http://www.thaiflood.com/
ส่วนสิ่งที่ผมมองว่ายังไม่ดีประการแรกก็คือการทำงานของรัฐบาลนี่แหละครับ รัฐบาลไม่ได้แสดงถึงความสามารถในการจัดการสถานการณ์วิกฤตเลย มันทำให้เห็นว่าตอนนี้การทำงานของภาครัฐนั้นล้าหลังภาคประชาชนไปมาก ผมว่าบล็อก ถ้าฉันเป็นนายกฯ ในประเทศที่กำลังมีน้ำท่วมหนัก เขียนสะท้อนให้เห็นถึงการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาลได้ดีมาก ก็ลองไปอ่านกันดูแล้วกันครับ ผมคงไม่เพิ่มเติมอะไรเพราะผมว่าบล็อกดังกล่าวได้สะท้อนสิ่งที่น่าจะอยู่ในใจของหลาย ๆ คนออกมาอยู่แล้ว
อีกจุดหนึ่งก็คือพวกส.ส.ทั้งหลายครับ ตอนนี้พวกคุณทำอะไรกันอยู่บ้างครับ ผมไม่เห็นบทบาทที่โดดเด่นของพวกคุณในสถานการณ์นี้เลยครับ ตกลงพวกคุณยังมีตัวตนอยู่ไหม จริง ๆ มันไม่สำคัญว่าคุณจะเป็น ส.ส. ฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ตอนนี้ประชาชนที่เขาเลือกพวกคุณมากำลังเดือดร้อน คุณได้ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือพวกเขาบ้าง คุณเลิกทะเลาะเบาะแว้งทางการเมืองสักพักได้ไหม หรือจะตามสนใจแต่เรื่องคลิปจะยุบพรรคหรือไม่ยุบพรรค ก็ไม่ได้บอกว่าไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ผมว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องรองนะครับ ส.ส. ฝ่ายค้านกับรัฐบาลลองทำเหมือนภาคประชาชนดูไหมครับ ลองหันมาจับมือกันเพื่อช่วยประชาชนให้ผ่านความทุกข์ยากครั้งนี้ไปให้ได้ แล้วเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง
สุดท้ายก็คือเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาวครับ ลองถามตัวเองครับว่าประเทศของเราเกิดเหตูการณ์แล้ง-น้ำท่วมแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว ต้นปีก็ปัญหาภัยแล้ง พอกลางปีถึงปลายปีก็มีปัญหาน้ำท่วม ผมคงไม่สามารถให้ความเห็นที่ดีได้ในเรื่องวิธีแก้ปัญหาเพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ แต่คำถามก็คือประเทศเราไม่มีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้เลยหรือครับ หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงไม่สามารถทำอะไรได้ดีกว่านี้หรือครับ เท่าที่ผมฟังมาวิธีการหนึ่งที่อาจจะบรรเทาปัญหานี้ได้ก็คือการสร้างเขื่อนแก่งเสือเต้น แต่ก็ถูกคัดค้านจาก NGO ซึ่งผมมองว่าถ้ามันแก้ได้จริง ๆ ก็น่าจะต้องทำนะครับ ก็ขอฝากรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยแล้วกันในเรื่องการแก้ปัญหาระยะยาว
นั่นคือบางสิ่งที่อยู่ในใจผมจากสถานการณ์นี้ สำหรับท่านใดมีความเห็นอื่นใดต้องการจะมาแบ่งปันกันก็ยินดีครับ อ้อขอให้ลิงก์ไปยังเว็บที่ถือว่าเป็นศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งนี้ไว้ด้วยนะครับ เผื่อใครยังไม่ทราบ และต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ http://www.thaiflood.com/
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553
PhoneTouch
มีการสร้างต้นแบบของอุปกรณ์แบบ Microsoft's Surface โดยใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สัมผัสจอภาพครับ โดยประโยชน์ของการใช้มือถือเป็นตัวสัมผัสนี้ก็คือจะเป็นการยืนยันตัวผู้ใช้งานผ่านทางโทรศัพท์มือถือ และยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลระหว่างมือถือกับอุปกรณ์อีกด้วย ระบบต้นแบบนี้เขาเรียกว่า PhoneTouch ครับ
ตกลงมือถือนี่เป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์เลยนะครับ ทำได้ทุกอย่างจริง ๆ
ที่มา: Technology Review
ตกลงมือถือนี่เป็นอุปกรณ์สารพัดประโยชน์เลยนะครับ ทำได้ทุกอย่างจริง ๆ
ที่มา: Technology Review
สอนให้คอมพิวเตอร์เรียนด้วยตัวเอง
นักวิจัยจาก Carnegie Mellon University (CMU)ได้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Never-Ending Language Learning (NELL) โดยนักวิจัยได้ป้อนความรู้พื้นฐานให้กับ NELL จากนั้นก็ให้มันอ่านข้อมูลจากเว็บและเรียนด้วยตัวเอง ปัจจุบันนี้ NELL อ่านหน้าเว็บไปแล้วเป็นล้าน ๆ หน้า เพื่อหาแบบรูปของข้อความ (text pattern) เพื่อนำมาเก็บเป็นข้อมูล โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาจัดกลุ่มเช่น ชื่อเมือง ชื่อบริษัท ทีมกีฬา เป็นต้น ตัวอย่างของการเก็บข้อมูลก็เช่นกรุงเทพเป็นชื่อเมือง ดอกทานตะวันเป็นดอกไม้ และ NELL ก็ยังสามารถเรียนรู้ความสัมพันธ์ของข้อมูลระหว่างกลุ่มได้ จากข่าวเขายกตัวอย่างว่า NELL สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง Peyton Manning กับทีมเอมริกันฟุตบอล Indianapolis Colt ได้ว่า Peyton Manning เป็นผู้เล่นของ Indianapolis Colt โดยมันไม่เคยอ่านข้อมูลนี้มาก่อน
เอาละ่ครับ ตอนนี้คอมพิวเตอร์ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว เราเป็นคนก็อย่าให้อายคอมพิวเตอร์นะครับ
ที่มา: The New York Times
เอาละ่ครับ ตอนนี้คอมพิวเตอร์ก็สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว เราเป็นคนก็อย่าให้อายคอมพิวเตอร์นะครับ
ที่มา: The New York Times
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)