วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

iPhone 5 ไม่ว้าว แต่ iPod touch รุ่น 5 นี่โดนใจจริง ๆ

ผมไม่ได้เขียนบล็อกนี้มาเสียนานครับ จริง ๆ มีเรื่องอยากเขียนเยอะแต่ไม่ว่าง และพอว่างจะเขียนเรื่องมันก็ตกจากความสนใจไปแล้ว แต่วันนี้พอจะว่างและเรื่องที่จะเขียนนี้ก็คิดว่าไม่ตกกระแสแน่เพราะ Apple เพิ่งเปิดตัว iPhone 5 ไปเมื่อวาน และจากกระแสที่ผมอ่าน ๆ มาและความรู้สึกของตัวเองสรุปว่ามันไม่ว้าวแฮะ แต่ที่เขียนอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะขายไม่ออกนะครับ ผมว่าถึงเวลามันวางขายจริงก็คงจะมีผู้คนมากมายไปต่อแถวรอซื้อมันเหมือนเดิมนั่นแหละ

คราวนี้ทำไมมันถึงไม่ว้าว ที่ไม่ว้าวเพราะว่าคุณสมบัติของมันที่แทบจะไม่แตกต่างจาก iPhone 4s สักเท่าไร ที่เปลี่ยนไปก็คือ ใช้ซีพียูที่รุ่นใหม่ที่ทาง Apple บอกว่าเร็วขึ้นสองเท่า (มั้ง) มีความยาวมากขึ้นจาก 4.5 นิ้วใน iPhone 4s เป็น 4.87 นิ้ว ที่เป็นอย่างนี้เพราะจอภาพใหญ่ขึ้นจากเดิม 3.5 นิ้วเป็น 4 นิ้ว และจอภาพมีความละเอียดมากขึ้น ใช้ซิมเป็น nano-sim กล้องหน้าดีขึ้นเพิ่มเป็น 1.2 ล้านพิกเซล ส่วนที่เหลือก็แทบเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีอย่าง NFC ซึ่งคู่แข่งอย่างซัมซุงมีมานานแล้ว ถ้าใครอยากเปรียบเทียบคุณสมบัติของ iPhone 5 กับ iPhone 4s ลองดูได้จาก เว็บของ Apple ครับ ส่วนเหตุผลที่ Apple ไม่ใส่เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไปดูได้จาก ARIP ครับ

แต่ที่ผมว่าน่าสนใจและโดนมาก ๆ คือเจ้า iPod Touch รุ่น 5 นี่แหละครับ หลังจากที่ Apple ดูเหมือนจะทิ้งเจ้า iPod Touch ไปแล้วหลังจากที่ออกรุ่น 4 มาแล้วก็ไม่ได้ปรับปรุงมาแล้วสักปีหนึ่งเห็นจะได้ แต่มาคราวนี้เหมือนจะให้มาเต็มเลย คุณสมบัติของจอภาพและกล้องหน้ามาเท่ากับ iPhone 5 เลย นอกจากนี้ยังบางกว่า iPhone 5 มีสีให้เลือกห้าสี และราคาที่ถูกกว่า iPhone 5 มาก ที่ด้อยกว่าคือกล้องหลังที่ให้มา 5 ล้านพิกเซล และ CPU ซึ่งเท่ากับ iPhone 4S ผมว่าแทบอาจพูดได้เต็มปากว่า iPod Touch ตัวนี้คือ iPhone 5 ที่โทรไม่ได้ แต่เสียดายที่ไม่มีรุ่นที่ใส่ซิมเพือใช้เข้าอินเทอร์เน็ตได้ คงกลัวว่ามันจะใกล้เคียงกับ iPhone มากเกินไป สำหรับคุณสมบัติของ iPod Touch รุ่น 5 ดูได้จาก เว็บของ Apple ครับ

สุดท้ายขอให้ความเห็นส่วนตัวหน่อยว่าควรจะซื้อเจ้า iPhone 5 ไหม อันแรกถ้าใครอยากได้และไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทองก็เชิญครับ ส่วนคนที่มี iPhone 4 และใช้มาคุ้มค่าแล้วอยากอัพเกรดแต่ลังเล ผมว่าอัพเกรดได้ครับเพราะซีพียูของ iPhone 5 นี่ดีกว่า iPhone 4 พอสมควร และยังมีคุณสมบัติอย่าง Siri ซึ่งใช้ไม่ได้ใน iPhone 4 ถึงตอนนี้ Siri จะยังพูดไทยไม่ได้แต่อนาคตผมว่ามันน่าจะใช้ได้ ดังนั้นอัพเกรดรอไว้ก็ไม่น่าเสียหาย ส่วนคนที่มี iPhone 4S และรู้สึกว่าจอมันเล็กไปอยากใช้จอใหญ่และละเอียดขึ้นจะอัพเกรดก็ได้ แต่ผมว่าถ้าเป็นแค่เหตุผลนี้ก็ซื้อ iPod Touch มาใช้คู่กับเจ้า 4S ดีกว่า ประหยัดเงินได้เป็นหมื่น และไม่ต้องถูกกดราคาขายต่อเจ้า 4S ด้วย เพราะผมว่าหลายคนก็ยังซื้อมาได้ไม่ถึงปี แต่ประเด็นคืออาจต้องพกสองเครื่องซึ่งผมว่าไม่น่าเป็นปัญหาเพราะ iPod Touch บางมาก เวลาโทรศัพท์ก็ใช้เจ้า 4S ไป อยากดูหนังฟังเพลงจอใหญ่ก็ดูจาก iPod Touch ถ้าอยากท่องเว็บผ่าน iPod Touch ก็แชร์เน็ตจาก iPhone ส่วนคนที่ใช้ระบบปฏิบัติการอื่นอยู่แต่อยากลอง iOS ผมว่า iPod Touch เป็นทางเลือกที่ดีครับ

วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

ข่าวไอทีน่าสนใจประจำวันที่ 7/9/2555

หลังจากไม่ได้ทวีตข่าวมาเสียหลายวันวันนี้ก็เลยทวีตหลายข่าวหน่อยนะครับ สำหรับใครที่พลาดไปก็มาอ่านฉบับรวมที่นี่ได้ครับ


วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วิชาออนไลน์ฟรีที่ใช้เนื้อหาจากหลายเว็บไซต์

กลุ่มที่ให้บริการการเรียนแบบออนไลน์ได้ร่วมมือกันเพื่อให้บริการสอนวิชาฟรีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า MOOC (Massive Open Online Course)  โดยวิชาที่จะสอนเป็นวิชาเขียนโปรแกรมครับ ชื่อวิชาคือ A Gentle Introduction to Python จะเริ่มวันที่ 15 ตุลาคมที่จะถึงนี้ครับ วิชานี้จะเป็นการรวมบริการต่างจากหลายแหล่งครับ เนื้อหามาจาก  OpenCourseWare ของ M.I.T แบบฝึกหัดและการทดสอบย่อยจาก Codecademy เรื่องของกลุ่มเรียนจะถูกจัดการโดย OpenStudy และประสานงานผ่านทางระบบอีเมลลิสต์ซึ่งผู้รับผิดชอบคือ Peer 2 Peer University

น่าสนใจนะครับผมว่า ตอนนี้เขาเปิดให้ลงทะเบียนแล้วครับ แค่ป้อนอีเมล แล้วก็ตอบคำถามภูมิหลังด้านการเขียนโปรแกรมของเราเล็กน้อย  แล้วช่วงที่รออยู่นี้จะลองเข้าไปดูลิงก์ต่าง ๆ ที่ให้ไว้ด้านบนก็ได้นะครับ มีข้อมูลที่น่าสนใจมากมายทีเดียว แหมเสียดายจริง ๆ ที่สมัยผมเรียนหนังสืออยู่มันยังไม่มีอะไรแบบนี้ แต่คิดอีกทีก็ต้องบอกว่าโชคดีที่ผมยังไม่แก่เกินไปที่จะศึกษาเทคโนโลยีเหล่านี้นะครับ

ใครอยากเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับผมก็ลงทะเบียนกันเลยครับ...

ที่มา: The New York Times

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การเขียนคำภาษาต่างประเทศในบทความวิชาการ


วันนี้ขอเขียนเรื่องหนึ่งที่มักจะเป็นปัญหาในการเขียนบทความวิชาการภาษาไทย เรื่องนั้นก็คือคำที่เป็นภาษาอังกฤษนั้นจะเขียนอย่างไร ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าจริง ๆ ถ้าเป็นพวกวารสารหรือที่ประชุมวิชาการเราก็ไปดูว่าเขามีกฎเกณฑ์ในเรื่องนี้ไว้อย่างไร ถ้าเป็นพวกวิทยานิพนธ์หรือปริญญานิพนธ์ก็คงต้องศึกษาคู่มือการเขียนปริญญานิพนธ์หรือวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ แต่หลักการที่ส่วนใหญ่จะยึดไว้เหมือนกันก็คือให้พยายามใช้ภาษาไทยให้มากที่สุด คำภาษาอังกฤษที่เป็นคำทับศัพท์ที่รู้จักกันเป็นที่แพร่หลายอยู่แล้วก็ให้ใช้ทับศัพท์ไปตามนั้นเช่นชื่อประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาเป็นต้น

ในส่วนของศัพท์เฉพาะทาง เริ่มต้นก็ให้ดูศัพท์บัญญัติทางวิชาการของสาขาวิชานั้นที่บัญญัติโดยราชบัณฑิตยสภา ซึ่งแน่นอนครับคำศัพท์หลาย ๆ คำที่ถูกบัญญัติไว้นั้นบางคำก็ดูแปลก ๆ และบางครั้งพอเอามาใช้เขียนในเนื้อหาแล้วทำให้ดูสับสนมากกว่าจะช่วยให้อ่านรู้เรื่อง ปัญหานี้เดี๋ยวผมจะกลับมาพูดอีกทีครับว่าผมใช้วิธีการยังไง นอกจากนี้ทางราชบัณฑิตยสถานอาจรู้ตัวแล้วว่าคำศัพท์บางคำเอาไปใช้ตรง ๆ แล้วอาจไม่สื่อความหมายก็เลยยอมให้ใช้วิธีทับศัพท์ได้ด้วยโดยเขียนคำทับศัพท์มาให้เสร็จสรรพ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็ง่ายสำหรับเราหยิบมาใช้ได้เลย

คราวนี้คำศัพท์ที่ไม่มีการบัญญัติและไม่มีคำทับศัพท์ล่ะจะทำยังไง ถ้าเป็นแบบนี้ถ้าให้ดีจริง ๆ ก็คือเราอาจต้องให้ความหมายเอง หรือทับศัพท์ด้วยตัวเราเอง แต่แบบไม่ค่อยดีก็คือเขียนเป็นภาษาอังกฤษไปเลย ซึ่งวิธีหลังสุดนี้ก็ง่ายดีแต่บางทีมันก็อาจทำให้งานเขียนของเราดูไม่ค่อยสอดคล้องกันสักเท่าไร ลองคิดดูนะครับเราใช้คำไทยมาตลอดแต่มีบางคำโผล่มาเป็นภาษาอื่นผมว่ามันดูแปลก ๆ นะ ส่วนการแปลหรือให้ความหมายเองบางคนถามว่าจะทำได้หรือ  โดยส่วนตัวผมคิดว่าทำได้ ก็มันไม่มีการบัญญัติไว้ ถ้าเราใช้แล้วมันสื่อความหมายได้ดีทำไมจะใช้ไม่ได้  และดีไม่ดีอาจเป็นคำที่ต่อไปกลายเป็นศัพท์บัญญัติก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าควรจะทับศัพท์ดีกว่าก็คงจะทับศัพท์ตามใจชอบไม่ได้ การทับศัพท์จะต้องยึดหลักที่กำหนดโดยราชบัณฑิตยสภา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถหาดูได้จากเว็บไซต์ของราชบัณฑิตยสภา ซึ่งมีข้อมูลที่น่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็นศัพท์บัญญัติทางวิชาการ หรือหนังสืออิเลกทรอนิกส์ที่ผมชอบมากก็คือศัพท์ต่างประเทศที่ใช้คำไทยแทนได้ แต่ก็ต้องบอกว่าหลักการทับศัพท์นี่ก็มีรายละเอียดเยอะมากครับบางครั้งอ่านแล้วก็ยังงง ๆ อยู่

อีกเรื่องหนึ่งที่มักสร้างความสับสนก็คือเรื่องของการวงเล็บภาษาอังกฤษประกอบกับคำศัพท์ภาษาไทยที่เราเลือกใช้ หลักการง่าย ๆ หลักการแรกก็คือคำศัพท์ไหนที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายกันดีจนมันกลายเป็นภาษาไทยไปแล้วเช่น สหรัฐอเมริกา ค่าเฉลี่ย โปรแกรม และคอมพิวเตอร์ เหล่านี้ไม่ต้องใส่วงเล็บประกอบครับ ผมว่ามันเชยนะถ้าเราต้องเขียนแบบนี้ เทคโนโลยี  (technology) ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้จักกันดีอยู่แล้วว่าคำทับศัพท์คำนี้มันมาจากภาษาอังกฤษคำไหน

การใช้วงเล็บควรจะใช้กับคำศัพท์ที่ยังไม่แพร่หลาย หรือคำที่ใช้อาจสื่อถึงภาษาอังกฤษได้หลายตัว การวงเล็บนั้นหลักการก็คือควรวงเล็บเฉพาะครั้งแรกที่เราใช้คำนั้นเช่น ซิงโครนัส (synchronous) เราก็วงเล็บเฉพาะครั้งแรก หลังจากนั้นเราก็ใช้ซิงโครนัสได้เลยโดยไม่ต้องใส่วงเล็บอีก ลองคิดดูครับว่ามันจะน่ารำคาญแค่ไหนที่ในหน้าเดียวกันเราเขียนคำว่าซิงโครนัส (synchronous) แล้วถัดไปอีกสามบรรทัดก็เขียนซิงโครนัส (synchronous) อีก แต่สำหรับเรื่องนี้ผมก็มีหลักการของตัวเองเพิ่มเติมนิดหน่อยครับไม่รู้ว่ามันจะดีหรือเปล่า ผมเห็นว่างานวิชาการบางครั้งคนอ่านงานเราเขาอาจไม่ได้อ่านตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้ายเหมือนอ่านนิยาย เขาอาจจะเลือกอ่านเฉพาะส่วนที่เขาสนใจ ดังนั้นถ้าเราใส่คำศัพท์ที่มีวงเล็บไว้ที่บทที่หนึ่งแล้วแต่เขาไม่ได้อ่านข้ามมาอ่านบทที่สามเลย เขาอาจไม่รู้ว่าคำนี้มันคืออะไร ดังนั้นถ้าเป็นคำศัพท์ที่สำคัญที่คนอ่านควรรู้ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะวงเล็บไว้ในครั้งแรกที่เราใช้ในแต่ละบทก็น่าจะดี หรือไม่เราก็อาจมีอภิธานศัพท์ (glossary) ไว้ในภาคผนวกก็อาจช่วยได้ ซึ่งอภิธานศัพท์นี้นอกจากที่จะช่วยคนอ่านแล้วยังช่วยเราคนเขียนด้วย คือเราจะได้ใช้คำคำเดียวกันสำหรับคำศัพท์คำเดียวกันได้อย่างสอดคล้องตลอดทั้งเล่ม

กลับมาอีกหนึ่งเรื่องที่ผมค้างไว้ก็คือจะทำยังไงถ้าใช้ศัพท์บัญญัติแล้วมันไม่สื่อความหมายในงานเขียนของเรา ผมขอยกตัวอย่างคำหนึ่งคือคำว่า implementation คำนี้ศัพท์บัญญัติทางคอมพิวเตอร์ของราชบัณฑิตใช้คำว่าการทำให้เกิดผล ดังนั้นสมมติว่าเราต้องการจะแปลวลี design and implementation เราก็คงต้องแปลว่าการออกแบบและการทำให้เกิดผล ซึ่งมันอาจฟังดูแปลก ๆ เพราะเราไม่คุ้น และคำว่าการทำให้เกิดผลมันไม่ได้สื่อตรง ๆ ว่าหมายถึงอะไร ถ้าวลีดังกล่าวเป็นชื่อหัวข้อผมว่าการแปลอย่างนี้อาจจะใช้ได้ เพราะเราสามารถขยายความคำว่าการทำให้เกิดผลว่ามันหมายถึงอะไรในส่วนของเนื้อความ แต่สมมติว่ามันไม่ใช่หัวข้อแต่เป็นเนื้อความส่วนอื่น ก็อาจถามตัวเองว่ามันมีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องแปลหรือเขียนคำว่า implementation ตรง ๆ สมมติว่าถ้าเราลองเลี่ยงไปใช้คำอื่นเช่นการพัฒนาโปรแกรมมันยังให้ความหมายที่เราต้องการจะสื่อหรือไม่  แต่ถ้าต้องใช้ implementation จริง ๆ ส่วนตัวผมอาจใช้คำว่าการอิมพลีเมนต์ครับ อันนี้เลี่ยงบาลีเอา คือมองว่าคำว่า implement ไม่ได้มีการบัญญัติไว้ และ implementation เป็นคำนาม เราก็เติมการเข้าไป ผมว่ามันทำได้นะครับถ้าจะทำให้บทความของเราอ่านเข้าใจได้ง่ายขึ้น เพราะคนในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ก็รู้จักคำว่าอิมพลีเมนต์กันทุกคน แต่จะถูกหลักของราชบัณฑิตยหรือเปล่าอันนี้ไม่แน่ใจ

สุดท้ายผมมีหนังสือแนะนำสองเล่มที่น่าจะช่วยการเขียนของเราครับเล่มแรกคืออ่านอย่างไรและเขียนอย่างไร ของราชบัณฑิตยสภา ซึ่งจะช่วยให้เราอ่านและเขียนภาษาไทยได้ถูกต้อง และอีกเล่มคือคำทับศัพท์ภาษาต่างประเทศในไทย โดย เจตต์ วิษุวัต ซึ่งผู้เขียนได้รวบรวมคำทับศัพท์ที่ใช้บ่อย ๆ ในประเทศไทยไว้ให้พวกเราได้ใช้กัน วันนี้ยาวหน่อยนะครับ แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์...