วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

นิวยอร์กห้ามการใช้ระบบรู้จำใบหน้าในโรงเรียนทั่วรัฐ

People walk past a poster simulating facial recognition software at the Security China 2018 exhibition on public safety and security in Beijing, China October 24, 2018.

[ภาพจาก VentureBeat ]

สภานิติบัญญัติของนิวยอร์กได้ประกาศให้เลื่อนการใช้ระบบรู้จำใบหน้าและการใช้การระบุตัวตนโดยใช้ชีวมาตรไปก่อนจนกว่าจะถึงปี 2022 แม้ผู้ให้การสนับสนุนจะอ้างว่าระบบ Aegis ที่พัฒนาโดยบริษัทในแคนาดา จะทำให้นักเรียนปลอดภัยจากการขึ้นบัญชีคนที่ต้องเฝ้าระวัง แต่ก็มีการวิจารณ์ว่าระบบสามารถใช้สอดแนมนักเรียน และยังมีฐานข้อมูลใบหน้าที่ค่อนข้างอ่อนไหวที่ทางสภาเมืองเองก็อาจดูแลให้ปลอดภัยไม่ได้ ผู้สนับสนุนการเลื่อนอออกไปยังบอกว่าระบบรู้จำใบหน้ายังไม่เที่ยงตรง ในการระบุตัวผู้หญิงและคนผิวสี ทาง ACM และ  American Civil Liberties Union ก็กำลังเร่งให้มีการเลื่อนการใช้การระบุตัวตนโดยใช้ชีวมาตรออกไป 

อ่านข่าวเต็มได้ที่: VentureBeat

เพิ่มเติมเสริมข่าว: 

จำได้ว่าสรุปข่าวเรื่องการรู้จำใบหน้ามาหลายข่าวแล้ว คิดว่ามันคงต้องกลับไปปรับปรุงให้สมบูรณ์มากกว่านี้จริง ๆ แต่ประเทศที่ใช้มันมากเลยเท่าที่รู้คือจีน แต่ก็ไม่ได้เห็นข่าวทางด้านลบมากนัก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเป็นประเทศที่ประชาชนไม่มีสิทธิจะพูดอะไร หรือมันไม่มีความหลากหลาย และลำเอียงทางด้านการจัดเก็บข้อมูล มันเลยทำงานได้ดี 

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

หุ่นยนต์จัดการสายเคเบิล

The system uses a pair of soft robotic grippers with high-resolution tactile sensors to successfully manipulate freely moving cables.
[ภาพจาก MIT News]

นักวิจัยจากแล็บวิทยาการคอมพิวเตอร์และปัญญาประดิษฐ์ของ  Massachusetts Institute of Technology (MIT) ได้พัฒนาระบบที่ทำให้หุ่นยนต์สามารถส่งต่อสายเคเบิลระหว่างตัวจับหนึ่งไปยังอีกตัวจับหนึ่งได้ นักวิจัยได้สร้างตัวจับที่มีสองนิ้ว โดยเมื่อใช้สองตัวร่วมกันจะสามารถส่งสาย USB ระหว่างตัวจับทั้งสองได้ โดยหุ่นยนต์นี้สามารถทำงานกับสายที่ทำจากวัสดุที่ต่างกัน มีความหนาที่ต่างกัน และยังสามารถใส่หูฟังลงในช่องเสียบได้อีกด้วย นักวิจัยบอกว่าด้วยเทคนิคนี้สักวันหนึ่งเราจะมีหุ่นยนต์ที่สามารถช่วยคนผูกเงื่อน ถักถอสาย และเย็บแผลผ่าตัด

อ่านข่าวเต็มได้ที่:  MIT News

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

นักวิจัยพัฒนากล้องที่มองเห็นตามมุมได้

นักวิจัยจาก University of California, Los Angeles (UCLA) และ Nara Institute of Science and Technology ในญี่ปุ่น ได้พัฒนากล้องที่ทำให้ผู้ใช้มองเห็นภาพที่อยู่ตามมุมได้ โดยใช้หลักการของการสะท้อนแสงจากพื้นผิวเช่นกำแพงที่อยู่รอบ ๆ ห้อง และกระเบิ้องปูพิ้น ซึ่งตาของคนเราไม่สามารถมองเห็นได้ 

นักวิจัยคิดขั้นตอนวิธีที่ใช้ในการปรับเปลี่ยนทิศทางของแสงที่สะท้อนจากกำแพงเพื่อให้แสดงอ็อบเจกต์ที่ซ่อนอยู่ นักวิจัยบอกว่าถ้าเทคโนโลยีนี้นำไปประยุกต์ใช้กับกล้องได้อย่างสมบูรณ์ มันจะสามารถนำไปใช้ในงานอย่างเช่นช่วยหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุของรถขับเคลื่อนด้วยตัวเองในจุดที่เป็นจุดบอด หรืออาจช่วยให้วิศวกรด้านชีวการแพทย์ (biomedical engineer) สามารถสร้างกล้องส่องดูอวัยวะภายใน (endoscope) ที่ช่วยให้หมอสามารถมองเห็นรอบ ๆ อวัยวะได้


จากภาพ: ทางซ้ายคือตัวกล้องที่มีตัวโพลาร์ไรซ์วางอยู่หน้าเลนส์ ทางขวาคืออ็อบเจกต์ที่ต้องการตรวจจับ 
[ภาพจาก:  UCLA Samueli Newsroom]


 
จากภาพ: ทางขวาแสดงภาพสะท้อนของวัตถุที่กล้องจับได้ 
[ภาพจาก:  UCLA Samueli Newsroom]


อ่านข่าวเต็มได้ที่: UCLA Samueli Newsroom

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

โชคมักจะมากับความมุ่งมั่น

วันศุกร์นี้ขอเขียนเรื่องทีมรักอย่างลิเวอร์พูลอีกสักวันแล้วกันครับ เพราะมีประเด็นที่คิดว่าน่าสนใจที่จะเอาแบ่งปันกันได้ อย่างที่รู้กันนะครับว่าลิเวอร์พูลสามารถกลับมาคว้าแชมป์ในลีกสูงสุดของอังกฤษอีกครั้งหลังจากที่คว้าแชมป์นี้ได้ล่าสุดเมื่อ 30 ปีที่แล้ว โดยก่อนหน้าที่โควิดจะระบาดลิเวอร์พูลมีแต้มนำทีมแชมป์ปีที่แล้ว และรองแชมป์ปีนี้อย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้อยู่ภึง 25 คะแนน ในณะที่เหลือการแข่งขันอยู่อีก 9 นัด และหลังจากกลับมาแข่งขันใหม่ ลิเวอร์พูลสามารถทำคะแนนทิ้งห่างจากแมนเชสเตอร์ซิตี้จนแต้มขาดไปในนัดที่ 31 และเพิ่งจะได้ชูถ้วยอย่างเป็นทางการไปในเช้าตรู่วันพฤหัสที่ 23 กรกฎาคม 2563 ตามเวลาประเทศไทย 



ในฤดูกาลนี้มีช่วงหนึ่งที่ลิเวอร์พูลชนะติดกันมาถึง 18 นัด และในหลาย ๆ นัดก็ทำท่าว่าจะเสมอ หรือบางนัดจะแพ้ด้วยซ้ำ แต่ก็กลับมาชนะได้หมด จนหลายคนโดยเฉพาะที่ไม่ใช่แฟนลิเวอร์พูล บอกว่าลิเวอร์พูลนั้นก็แค่โชคดีมากในฤดูกาลนี้ ถ้าไม่มีโชคแบบนี้ ก็คงไม่ทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ซิตี้แบบนี้ 

แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปก็คือ ในช่วงที่ผลการแข่งขันดีมาก ๆ นั้น นักฟุตบอลของลิเวอร์พูล มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเอาชนะ เพื่อที่จะพยายามทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ซิตี้ออกไปให้มากที่สุด เพราะยังคงเจ็บใจจากฤดูกาลที่แล้วที่แพ้ไปแค่แต้มเดียว โดยมาโดนแมนเชสเตอร์ซิตี้แซงในช่วงท้าย ดังนั้นเมื่อนกหวีดหมดเวลายังไม่ดัง ทุกคนจึงทุ่มเทอย่างไม่หยุดยั้ง และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ซึ่งถ้านักเตะลิเวอร์พูลไม่ทุ่มเทแบบนั้นสิ่งที่จะเรียกว่าโชคหรืออะไรก็แล้วแต่มันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 
 


แต่หลังจากกลับมาเล่นกันใหม่จากการที่ต้องหยุดยาวจากโควิด โดยเฉพาะหลังจากคว้าแชมป์แน่นอนแล้ว จะเห็นว่าลิเวอร์พูลมีผลการแข่งขันที่ไม่ดีเหมือนเดิม เสียแต้มไปเยอะมาก สองนัดก่อนหน้านัดล่าสุดก็เสมอและแพ้ ทั้งที่ออกนำไปก่อนด้วยรูปเกมที่ในช่วง 20 นาทีแรกเหนือกว่าคู่แข่งอย่างมาก ประเด็นที่เห็นได้ชัดคือนักฟุตบอลหลายคนไม่ได้มุ่งมั่นเหมือนเดิม คือยังคงเล่นเต็มที่ แต่ถ้าพลาดไปแล้วมักจะกลับมาไม่ได้ ลูกยิงที่น่าจะเข้า หรือเคยเข้าในช่วงที่ชนะติดกันยาว ๆ ก็ไม่เข้า ชนเสาบ้าง ถูกเซฟบ้าง ยิงไม่ดีเองบ้าง ซึ่งถ้าจะพูดในเรื่องโชค ก็อาจพูดได้ว่าโชคหายไปแล้ว แต่ถ้าดูดี ๆ ก็คือมันหายไปพร้อมกับความมุ่งมั่นที่ลดลงนั่นเอง แต่ในนัดล่าสุดถึงแม้จะยังมีฟอร์มที่ไม่ดีเหมือนเดิม แต่เท่าที่เห็นคือมีความมุ่งมั่นมากกว่าเดิม เพราะเป็นนัดสุดท้ายในบ้านในฤดูกาลนี้ และเป็นนัดที่จะได้รับถ้วยด้วย จึงเอาชนะไปได้ 

ซึ่งผมว่าตรงนี้มันน่าจะให้ข้อคิดกับพวกเราหลาย ๆ คนนะครับว่า การที่เราคิดว่าหลาย ๆ คนนั้นโชคดี แต่เบื่้องหลังของความโชคดีส่วนใหญ่ มักจะเกิดจากความพยายามมุ่งมั่นทำอะไรบางอย่างมาก่อน จนเมื่อโชคหรือโอกาสหรืออะไรก็ตามมาถึง เขาก็สามารถคว้ามันไว้ได้ น้อยมากที่นอน ๆ อยู่แล้วก็จะได้โชค ต่อให้ถูกล็อตเตอรีรางวัลที่หนึ่ง หลายคนอย่างน้อยสุดก็ต้องออกไปซื้อใช่ไหมครับ และหลายคนก็อาจมุ่งมั่นซื้อมาเรื่อย ๆ ด้วย :)



ดังนั้นใครที่มีความฝันอะไร ก็มุ่งมั่นทำต่อไปนะครับ เมื่อโอกาสมาถึง หรือจะเรียกว่าโชคมาถึงก็ได้ เราจะได้คว้ามันเอาไว้ได้ และอีกจุดหนึ่งที่ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นในฤดูกาลนี้ก็คือ ถ้าเร่งเดินหน้าทำเต็มที่ตั้งแต่ต้น เราก็สามารถสบายได้ในตอนท้าย ขณะที่หลาย ๆ ทีมยังคงต้องเครียดเพื่อที่ 3  ที่ 4 หรือที่ 5 บางทีมก็หนีการตกขั้น แต่ลิเวอร์พูลนั้นไม่ต้องมาเครียดอะไรอีกแล้ว 

เขียนไปเขียนมาชักจะกลายเป็นไลฟ์โค้ชแล้ว แค่แสดงความเห็นส่วนตัวนะครับ จบดีกว่า...    ก่อนจบก็ขอแชร์บรรยากาศชูถ้วยของลิเวอร์พูลซะหน่อยแล้วกันนะครับ 


ไมโครซอฟท์เตือนให้เร่งอัพเดตแพทช์ของ Windows Server

[ภาพจาก: Frank V.]

นักวิจัยที่บริษัทด้านความมั่นคง Check Point ได้ค้นพบช่องโหว่ใน Windows DNS ซึ่งจะทำให้ผู้บุกรุกสามารถเข้าควบคุมเครือข่ายทั้งหมดได้โดยไม่ต้องมีผู้ใช้เข้าไปเกี่ยวข้องเลย ช่องโหว่นี้มีชื่อว่า SigRed ซึ่งเป็น "wormable" ก็คือมันสามารถแพร่กระจายจากเครื่องหนึ่งไปสู่เครื่องหนึ่งด้วยตัวเองอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม SigRed ไม่ได้โจมตี Windows สำหรับเครื่องผู้ใช้ทั่วไป แต่จะโจมตี Windows Server ตั้งแต่รุ่นปี 2003-2019 นักวิจัยที่ Check Point บอกว่ายังถึงตอนนี้ยังไม่มีรายงานการโจมตีโดยใช้ช่องโหว่นี้ แต่มีแนวโน้มว่าอาจเกิดขึ้น นักวิจัยบอกว่าช่องโหว่นี้มีผลร้ายแรง เพราะเราจะพบเครื่อง Windows Server ที่ไม่ได้อัพเดทแพทช์มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหลายรายก็มักจะติดตั้ง DNS Server สาธารณะโดยใช้ Windows DNS ไมโครซอฟท์ได้แก้ไขประเด็นนี้ โดยใส่มาเป็นส่วนหนึ่งของแพทช์ประจำเดือนนี้ โดยออกมาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา และเตือนให้ลูกค้าเร่งอัพเดทแพทช์นี้ให้เร็วที่สุด

อ่านข่าวเต็มได้ที่:  Ars Technica