ข่าวนี้เป็นผลงานของนักวิจัยเอเชีย เป็นนักวิจัยจากเกาหลีใต้ครับ โดยเขาได้ออกแบบเซ็นเซอร์ติดตัวผู้ใช้ที่มีลักษณะเหมือนพลาสเตอร์ปิดแผล (รูปดูได้ในข่าวเต็ม) วิธีการใช้งานก็เหมือนกับพลาสเตอร์คือติดลงไปบนผิวหนังของเรา ตัวเซ็นเซอร์เองสร้างจากวัสดุซึ่งกันน้ำได้ เซ็นเซอร์แบบนี้จะแก้ปัญหาของเซ็นเซอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ที่ัมักจะมีข้อจำกัดถ้าผู้ใช้มีการเคลื่อนไหวร่างกายหนัก ๆ เหงื่อและสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากร่างกาย เซ็นเซอร์ที่พัฒนาขึ้นนี้สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ตโฟนผ่านทางบลูทูช (bluetooth) ทำให้สามารถเก็บข้อมูลขึ้นคลาวด์ได้ตลอดเวลา ดังนั้นก็จะเป็นประโยชน์มากในการเก็บข้อมูลทางชีวภาพ (biodata) ของผู้ใส่
อ่านข่าวเต็มได้ที่: dgist
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
จินตนาการถึงวันที่เราจะติดเซ็นเซอร์บนตัวกันเป็นเรื่องปกติ อาจมีแฟชันเซ็นเซอร์แบบต่าง ๆ ให้เลือกซื้อกันตามความชอบด้วย
วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563
วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2563
วอลมาร์ทเปิดตัวหุ่นยนต์ช่วยหยิบของในโกดังสินค้า
เรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะมีร้านค้าที่ใช้หุ่นยนต์ทำแบบนี้มานานแล้วคืออะเมซอน (Amazon) แต่ตอนนี้วอลมาร์ท (Walmart) ซึ่งเป็นเชนค้าปลีกใหญ่ในสหรัฐได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้บ้างแล้ว โดยได้เปิดตัวร้านค้าแบบอัตโนมัติใน New Hampshire ซึ่งใช้หุ่นยนต์ที่เรียกว่า Alphabot ที่จะช่วยหยิบสินค้าจากโกดังสินค้าตามรายการที่ลูกค้าสั่ง เพื่อนำไปส่งให้คนบรรจุสินค้า และคนก็จะนำสินค้าไปให้กับลูกค้าที่นั่งรออยู่ในรถที่จอดอยู่ในลานจอดรถ ซึ่งวอลมาร์ทบอกว่าได้ใช้หุ่นยนต์ทั้งหมด 30 ตัว ช่วยกันหยิบสินค้า โดยใช้ขั้นตอนวิธีในการเรียงลำดับการสั่งซื้อ ซึ่งผลลัพธ์พบว่าหุ่นยนต์สามารถหยิบสินค้าได้เร็วกว่าคนเดินเข้ามาซื้อเองถึง 10 เท่า แต่หุ่นยนต์นี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่นะครับ คือมันยังไม่สามารถที่จะหยิบพวกผักสด หรือของที่สามารถเน่าเสียได้ ซึ่งของแบบนี้ยังคงต้องใช้คนอยู่ และตอนนี้มันยังทำงานได้แค่ 20% ของคุณภาพที่มันควรทำได้ โดยสามารถจัดการกับคำสั่งซื้อได้ 170 รายการต่อวัน ซึ่งทางวอลมาร์ทหวังว่าสักวันหนึ่งหุ่นยนต์จะพัฒนาให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสามารถนำสินค้าไปส่งให้ลูกค้าถึงรถได้เลย ซึ่งถ้าทำตรงนี้ได้ก็จะช่วยส่งเสริมการซื้อของในแบบ Drive Through มากขึ้น
อ่านข่าวเต็มได้ที่: Bloomberg
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
ลองนึกภาพในอนาคต เรากลับจากทำงานโดยรถซึ่งขับเองได้ เกิดอยากซื้อของขึ้นมาก็เลยสั่งของออนไลน์ สั่งรถพาเราไปที่ร้าน มีหุ่นยนต์มาส่งของให้เรา ไม่รู้จะอยู่ถึงวันที่มันได้ใช้จริงกันเป็นเรื่องปกติแบบนี้ไหม อ้อแต่ที่ต้องน่ากังวลก่อนตอนนี้คือจะมีเงินเก็บพอที่จะใช้ไปจนตายไหมมากกว่า :)
อ่านข่าวเต็มได้ที่: Bloomberg
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
ลองนึกภาพในอนาคต เรากลับจากทำงานโดยรถซึ่งขับเองได้ เกิดอยากซื้อของขึ้นมาก็เลยสั่งของออนไลน์ สั่งรถพาเราไปที่ร้าน มีหุ่นยนต์มาส่งของให้เรา ไม่รู้จะอยู่ถึงวันที่มันได้ใช้จริงกันเป็นเรื่องปกติแบบนี้ไหม อ้อแต่ที่ต้องน่ากังวลก่อนตอนนี้คือจะมีเงินเก็บพอที่จะใช้ไปจนตายไหมมากกว่า :)
วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2563
ใช้ AI สู้การคุกคามออนไลน์
นักวิจัยจาก California Institute of Technology (Caltech) และ Stanford University ได้สาธิตให้เห็นว่าขั้นตอนวิธีการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) สามารถติดตามการสนทนาบนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งจะนำไปสู่ความสามารถในการตรวจสอบการรังแกกันออนไลน์ได้ ซึ่งวิธีใหม่นี้นักวิจัยบอกว่าจะดีกว่าวิธีเก่าที่ใช้การตรวจสอบจากเซ็ตของคำหลัก (key word) ที่สร้างเอาไว้แล้วก็ไม่ได้ปรับปรุง วิธีเก่าพยามจะแก้ปัญหานี้โดยใช้คนเข้ามาช่วยตรวจสอบด้วย ซึ่งไม่มีประสิทธิภาพ และคนแต่ละคนก็อาจมีความเห็นต่อคำแต่ละคำแตกต่างกันออกไป วิธีที่งานวิจัยนี้ใช้เรียกว่า GloVe (Global Vectors for Word Representation) ซึ่วใช้การคำนวนความคล้ายคลึงกันของความหมายของคำสองคำ โดยเมื่อเราเริ่มใช้คำหลักคำหนึ่ง ขั้นตอนวิธีนี้ก็จะเริ่มหาคำที่มีความสัมพันธ์กัน เพือนำไปสู่กลุ่มคำที่มีความสัมพันธ์กัน ในข่าวยกตัวอย่างว่า เมื่อค้นคำว่า "MeToo" ก็จะนำไปสู่ "SupportSurvivors," "ImWithHer," และ "NotSilent." แต่ GloVe ไม่ได้หยุดแค่หาคำที่สัมพันธ์กัน แต่ยังดูความสัมพันธ์ของการใช้คำเหล่านี้ในบริบทการสนทนาด้วย เพราะคำเดียวกันแต่เมื่อใช้สนทนาในเรื่องที่ต่างกัน ก็มีความสัมพัน์กับคำที่แตกต่างกันด้วย นักวิจัยคาดหวังว่าในที่สุดเราจะสามารถสร้างเครื่องมือที่จะใช้ต่อสู้กับการคุกคามออนไลน์ในรูปแบบต่าง ๆ ได้
อ่านข่าวเต็มได้ที่: Caltech
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
ใช้ขั้นตอนวิธีอะไร ก็ไม่สู้แก้แนวคิดในใจของคนเรา
อ่านข่าวเต็มได้ที่: Caltech
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
ใช้ขั้นตอนวิธีอะไร ก็ไม่สู้แก้แนวคิดในใจของคนเรา
วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563
เครื่องมือที่ช่วยบอกว่าโปรแกรมจะรันได้เร็วแค่ไหน
ตัวแปลภาษาโปรแกรม (compiler) ที่ใช้แปลภาษาโปรแกรมระดับสูงเป็นภาษาเครื่อง จะใช้ตัวแบบประสิทธิภาพ (perfromance model) ซึ่งรันโค้ดบนแบบจำลองของสถาปัตยกรรมของชิป ตัวแปลภาษาโปรแกรมจะใช้ข้อมูลที่ได้จากตัวแบบประสิทธิภาพมาสร้างโค้ดที่มีประสิทธิภาพในการทำงานมากที่สุด แต่ปัญหาคือในปัจจุบันตัวแบบประสิทธิภาพนั้นจะถูกสร้างจากผู้เชี่ยวชาญกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น และก็มักจะไม่ค่อยได้ตรวจสอบอย่างเหมาะสม
เพื่อแก้ปัญหานี้นักวิจัยจาก MIT ได้พัฒนาเครื่องมือที่ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) โดยตัวแบบที่สร้างขึ้นนี้สามารถทำนายผลการรันโค้ดบนชิปของอินเทล (Intel) ว่าจะรันได้เร็วแค่ไหนได้ดีกว่าตัวแบบประสิทธิภาพที่สร้างโดย (ผู้เชี่ยวชาญของ) อินเทลเอง นอกจากนี้เครื่องมือนี้ยังสามารถนำไปใช้เพื่อทำนายประสิทธิภาพของสถาปัตยกรรมชิปแบบอื่นได้โดยง่ายอีกด้วย โดยป้อนข้อมูลฝึกสอนที่ได้จากการรันโค้ดบนสถาปัตยกรรมนั้น ๆ ให้กับเครื่องมือที่พัฒนาขึ้น
อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ผู้เชี่ยวชาญระดับไหนก็มีสิทธิถูกแทนที่ได้นะนี่
เพื่อแก้ปัญหานี้นักวิจัยจาก MIT ได้พัฒนาเครื่องมือที่ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) โดยตัวแบบที่สร้างขึ้นนี้สามารถทำนายผลการรันโค้ดบนชิปของอินเทล (Intel) ว่าจะรันได้เร็วแค่ไหนได้ดีกว่าตัวแบบประสิทธิภาพที่สร้างโดย (ผู้เชี่ยวชาญของ) อินเทลเอง นอกจากนี้เครื่องมือนี้ยังสามารถนำไปใช้เพื่อทำนายประสิทธิภาพของสถาปัตยกรรมชิปแบบอื่นได้โดยง่ายอีกด้วย โดยป้อนข้อมูลฝึกสอนที่ได้จากการรันโค้ดบนสถาปัตยกรรมนั้น ๆ ให้กับเครื่องมือที่พัฒนาขึ้น
อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ผู้เชี่ยวชาญระดับไหนก็มีสิทธิถูกแทนที่ได้นะนี่
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563
ปัญหา Y2K กลับมาอีกครั้ง เพราะความขี้เกียจ
คิดว่าพวกเราหลายคนคงจำปัญหา Y2K กันได้นะครับ ถ้าใครจำไม่ได้ก็คือปัญหาที่ตอนเราเปลี่ยนศตวรรษจากศตววรษที่ 20 (1900) มาเป็นศตวรรษที่ 21 (2000) ปัญหาก็คือเพื่อความประหยัดเนื้อที่ในการเก็บข้อมูล เราจึงเก็บข้อมูลวันที่ในศตวรรษที่ 20 โดยใช้แค่สองหลักสุดท้ายเช่น วันที่ 6 มีนาคม 1968 เราก็จะเก็บข้อมูลเป็น 06/03/68 โดยอนุมานเอาว่าเลขสองหลักข้างหน้าปีคือ 19 คราวนี้พอเข้าศตวรรษใหม่ 2000 มันก็เลยเกิดปัญหาครับ เพราะถ้าใช้การเก็บข้อมูลแบบเดิมปีต้องย้อนกลับมาเป็น 00 ใหม่ ซึ่งมันก็อาจเกิดปัญหากับบางโปรแกรมเพราะมันเท่ากับเซ็ตวันที่กลับไปเป็นปี 1900 เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะในช่วงนั้นฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ยังมีราคาแพงจึงต้องประหยัด และคนที่พัฒนาโปรแกรมในช่วงนั้นก็คงไม่คิดว่าโปรแกรมของตัวเอง และหลักการเก็บวันที่แบบนี้จะใช้งานมาจนเข้าศตวรรษใหม่ ซึ่งตอนนั้นก็ต้องแก้ปัญหากันซึ่งวิธีแก้ปัญหามีสองวิธีครับ คือเขียนโค้ดใหม่ขึ้นมาเลย กับใช้วิธีขยับหน้าต่างให้ช่วง 00-20 หมายถึงปี 2000 ถึง 2020 (ซึ่งเหตุผลว่าทำไมขยับได้ในช่วงแค่นี้ ขอไม่อธิบายแล้วกันนะครับ ใครอยากรู้คร่าว ๆ ลองไปอ่านในข่าวเต็มกัน หรือลองค้นดูเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับ Y2K) และไม่น่าแปลกใจนะครับว่า 80% ของโปรแกรมที่ต้องแก้ไขเลือกใช้วิธีขยับหน้าต่างครับเพราะมันง่ายกว่า และตอนนี้ก็กลับมาเจอปัญหาเดิมครับ ในข่าวยกตัวอย่างระบบเก็บค่าจอดรถในนิวยอร์กก็ปฏิเสธไม่รับบัตรเครดิต เพราะวันที่มันย้อนกลับไปเป็นปี 1920 หรือโปรแกรมเกมมวยปล้ำ WWE 2K20 ก็เล่นไม่ได้ในวันที่ 1 มกรา 2020 ซึ่งผู้เล่นต้องดาวน์โหลดโปรแกรมแก้ไขจึงจะเล่นได้ต่อ ซึ่งตอนนี้ก็ต้องดูว่าการแก้ปัญหาจะยังใช้วิธีขยับหน้าต่างกันแบบเดิมอีกหรือเปล่า เพราะถ้าทำแบบเดิมอีกก็จะเจอปัญหานี้อีกทีในปี 2038
อ่านข่าวเต็มได้ที่: NewScientist
เพิ่มเติมเสริมข่าว
การแก้ปัญหาอะไรก็ตามที่ทำแบบขอไปที เอาง่ายเข้าว่า หรือทำแบบซุกขยะไว้ใต้พรม ก็จะเกิดปัญหาตามมาไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ แต่มองอีกแง่หนึ่งสิ่งที่ทำให้นักพัฒนาไม่อยากแก้โปรแกรมให้รองรับแต่ใช้วิธีเลื่อนหน้าต่างเอา ก็อาจเป็นเพราะวิธีการพัฒนาโปรแกรมสมัยก่อน ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นโมดูลาร์มากนัก การแก้โปรแกรมส่วนหนึ่งอาจกระทบกับส่วนอื่น ยิ่งคนที่ต้องแก้อาจไม่ใช่คนที่เขียนโปรแกรมเองด้วย หรือต่อให้เป็นคนเขียนโปรแกรมเอง ถ้าผ่านไปสักพักหนึ่งแล้ว อาจไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าโค้ดโปแกรมส่วนนี้ตัวเองเขียนไปทำไม ในปัจจุบันอาจมีโปรแกรมบางโปรแกรม ที่มีโค้ดบางส่วนที่ไม่มีใครรู้ว่ามีเอาไว้ทำอะไร แต่ไม่มีใครกล้าลบออก เพราะกลัวว่าโปรแกรมอาจทำงานผิดพลาด :)
อ่านข่าวเต็มได้ที่: NewScientist
เพิ่มเติมเสริมข่าว
การแก้ปัญหาอะไรก็ตามที่ทำแบบขอไปที เอาง่ายเข้าว่า หรือทำแบบซุกขยะไว้ใต้พรม ก็จะเกิดปัญหาตามมาไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ แต่มองอีกแง่หนึ่งสิ่งที่ทำให้นักพัฒนาไม่อยากแก้โปรแกรมให้รองรับแต่ใช้วิธีเลื่อนหน้าต่างเอา ก็อาจเป็นเพราะวิธีการพัฒนาโปรแกรมสมัยก่อน ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นโมดูลาร์มากนัก การแก้โปรแกรมส่วนหนึ่งอาจกระทบกับส่วนอื่น ยิ่งคนที่ต้องแก้อาจไม่ใช่คนที่เขียนโปรแกรมเองด้วย หรือต่อให้เป็นคนเขียนโปรแกรมเอง ถ้าผ่านไปสักพักหนึ่งแล้ว อาจไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าโค้ดโปแกรมส่วนนี้ตัวเองเขียนไปทำไม ในปัจจุบันอาจมีโปรแกรมบางโปรแกรม ที่มีโค้ดบางส่วนที่ไม่มีใครรู้ว่ามีเอาไว้ทำอะไร แต่ไม่มีใครกล้าลบออก เพราะกลัวว่าโปรแกรมอาจทำงานผิดพลาด :)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)