คิดว่าพวกเราหลายคนคงจำปัญหา Y2K กันได้นะครับ ถ้าใครจำไม่ได้ก็คือปัญหาที่ตอนเราเปลี่ยนศตวรรษจากศตววรษที่ 20 (1900) มาเป็นศตวรรษที่ 21 (2000) ปัญหาก็คือเพื่อความประหยัดเนื้อที่ในการเก็บข้อมูล เราจึงเก็บข้อมูลวันที่ในศตวรรษที่ 20 โดยใช้แค่สองหลักสุดท้ายเช่น วันที่ 6 มีนาคม 1968 เราก็จะเก็บข้อมูลเป็น 06/03/68 โดยอนุมานเอาว่าเลขสองหลักข้างหน้าปีคือ 19 คราวนี้พอเข้าศตวรรษใหม่ 2000 มันก็เลยเกิดปัญหาครับ เพราะถ้าใช้การเก็บข้อมูลแบบเดิมปีต้องย้อนกลับมาเป็น 00 ใหม่ ซึ่งมันก็อาจเกิดปัญหากับบางโปรแกรมเพราะมันเท่ากับเซ็ตวันที่กลับไปเป็นปี 1900 เหตุผลที่ทำแบบนี้เพราะในช่วงนั้นฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์ยังมีราคาแพงจึงต้องประหยัด และคนที่พัฒนาโปรแกรมในช่วงนั้นก็คงไม่คิดว่าโปรแกรมของตัวเอง และหลักการเก็บวันที่แบบนี้จะใช้งานมาจนเข้าศตวรรษใหม่ ซึ่งตอนนั้นก็ต้องแก้ปัญหากันซึ่งวิธีแก้ปัญหามีสองวิธีครับ คือเขียนโค้ดใหม่ขึ้นมาเลย กับใช้วิธีขยับหน้าต่างให้ช่วง 00-20 หมายถึงปี 2000 ถึง 2020 (ซึ่งเหตุผลว่าทำไมขยับได้ในช่วงแค่นี้ ขอไม่อธิบายแล้วกันนะครับ ใครอยากรู้คร่าว ๆ ลองไปอ่านในข่าวเต็มกัน หรือลองค้นดูเรื่องเก่า ๆ เกี่ยวกับ Y2K) และไม่น่าแปลกใจนะครับว่า 80% ของโปรแกรมที่ต้องแก้ไขเลือกใช้วิธีขยับหน้าต่างครับเพราะมันง่ายกว่า และตอนนี้ก็กลับมาเจอปัญหาเดิมครับ ในข่าวยกตัวอย่างระบบเก็บค่าจอดรถในนิวยอร์กก็ปฏิเสธไม่รับบัตรเครดิต เพราะวันที่มันย้อนกลับไปเป็นปี 1920 หรือโปรแกรมเกมมวยปล้ำ WWE 2K20 ก็เล่นไม่ได้ในวันที่ 1 มกรา 2020 ซึ่งผู้เล่นต้องดาวน์โหลดโปรแกรมแก้ไขจึงจะเล่นได้ต่อ ซึ่งตอนนี้ก็ต้องดูว่าการแก้ปัญหาจะยังใช้วิธีขยับหน้าต่างกันแบบเดิมอีกหรือเปล่า เพราะถ้าทำแบบเดิมอีกก็จะเจอปัญหานี้อีกทีในปี 2038
อ่านข่าวเต็มได้ที่: NewScientist
เพิ่มเติมเสริมข่าว
การแก้ปัญหาอะไรก็ตามที่ทำแบบขอไปที เอาง่ายเข้าว่า หรือทำแบบซุกขยะไว้ใต้พรม ก็จะเกิดปัญหาตามมาไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ แต่มองอีกแง่หนึ่งสิ่งที่ทำให้นักพัฒนาไม่อยากแก้โปรแกรมให้รองรับแต่ใช้วิธีเลื่อนหน้าต่างเอา ก็อาจเป็นเพราะวิธีการพัฒนาโปรแกรมสมัยก่อน ซึ่งอาจจะยังไม่เป็นโมดูลาร์มากนัก การแก้โปรแกรมส่วนหนึ่งอาจกระทบกับส่วนอื่น ยิ่งคนที่ต้องแก้อาจไม่ใช่คนที่เขียนโปรแกรมเองด้วย หรือต่อให้เป็นคนเขียนโปรแกรมเอง ถ้าผ่านไปสักพักหนึ่งแล้ว อาจไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าโค้ดโปแกรมส่วนนี้ตัวเองเขียนไปทำไม ในปัจจุบันอาจมีโปรแกรมบางโปรแกรม ที่มีโค้ดบางส่วนที่ไม่มีใครรู้ว่ามีเอาไว้ทำอะไร แต่ไม่มีใครกล้าลบออก เพราะกลัวว่าโปรแกรมอาจทำงานผิดพลาด :)
วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2563
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2563
หุ่นยนต์ส่งอาหารเปิดตัวแล้ว
บริษัท Starship Technology ได้พัฒนาหุ่นยนต์สำหรับส่งอาหารโดยในตอนนี้ได้เริ่มส่งอาหารที่ University of Texas at Dallas, University of Houston, และ George Mason University ในเวอร์จิเนีย บริษัทมีแผนที่จะขยายให้ได้ 100 มหาวิทยาลัยภายในสองปี เจ้าหุ่นตัวนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมเหมือนคูลเลอร์ (cooler) มีล้อ 6 ล้อ ติดธงสีส้ม เพื่อให้เป็นที่สังเกตของทั้งรถและคน (ดูรูปและวีดีโอได้จากข่าวเต็ม) การสั่งอาหารทำได้จากแอปในสมาร์ตโฟน ตามข่าวบอกว่าเจ้าหุ่นยนต์นี้เป็นคนดังของมหาวิทยาลัยเลยนะครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Dallas Morning News
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
ต่อไปคนส่ง Grab Food, Line Man ก็จะถูก disrupt ด้วยนะนี่
อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Dallas Morning News
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
ต่อไปคนส่ง Grab Food, Line Man ก็จะถูก disrupt ด้วยนะนี่
วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563
คนเรามีแนวโน้มที่จะแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับผู้ช่วยเสมือนมากขึ้น
ปัจจุบันมีผู้ช่วยเสมือนที่เราใช้ ๆ กันอยู่หลัก ๆ ก็คือ Alexa (ของอะแมซอน) Google Assistant และ Siri ซึ่งบริษัทที่อยู่เบื้องหลังของผู้ช่วยเสมือนเหล่านี้ ก็จะแอบเก็บข้อมูลที่เราพูดจาโต้ตอบกับผู้ช่วยเหล่านี้นำไปใช้ประโยชน์ นักวิจัยจาก University of Waterloo พบว่าตอนนี้มีแนวโน้มที่คนเราจะเชื่อถือและเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวกับผู้ช่วยเสมือนเหล่านี้มากขึ้น เพราะผู้ใช้เริ่มสร้างอวตาร (Avatar) ของผู้ช่วยเหล่านี้ขึ้น เช่นอายุประมาณเท่าไร หน้าตา และทรงผมเป็นยังไง เป็นต้น โดยนักวิจัยบอกว่าการที่คนเรามีภาพที่เป็นตัวตนกับผู้ช่วยเหล่านี้ แทนที่ึคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เทคโนโลยี คือสาเหตุให้เราเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวจากการพูดคุยกับผู้ช่วยเหล่านี้ (ซึ่งแน่นอนบริษัทที่อยู่เบื่องหลังพวกมันก็จะได้ข้อมูลไปด้วย) โดยจากการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมวิจัย 20 คน ชาย 10 หญิง 10 พบว่าบุคลิกของผู้ช่วยแต่ละตัวสรุปได้ดัวนี้ Siri ออกจะไม่ตรงไปตรงมา และดูเจ้าเล่ห์นิด ๆ Alexa จะจริงใจ และห่วงใยมากกว่า ในส่วนของรูปลักษณ์ Alexa จะเตี้ยกว่าอีกสองตัวนิดหน่อย แต่งตัวด้วยชุดลำลอง หรือชุดทำงานแบบลำลอง สีเข้ม หรือสีพื้น ๆ ถ้าอยากเห็นภาพของผู้ช่วยทั้งสามคลิกเข้าไปดูในข่าวเต็มได้เลยนะครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที่: Waterloo News
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
คำโบราณที่ว่า อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน คงไม่พอแล้วนะครับ คงอาจต้องเปลี่ยนเป็น
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน อย่าหลงกลผู้ช่วยเสมือน
อ่านข่าวเต็มได้ที่: Waterloo News
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
คำโบราณที่ว่า อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน คงไม่พอแล้วนะครับ คงอาจต้องเปลี่ยนเป็น
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน อย่าหลงกลผู้ช่วยเสมือน
วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2563
คอมพิวเตอร์ที่สร้างจาก DNA สามารถหารากที่สองของ 900 ได้แล้ว
นักวิจัยจาก University of Rochester ในรัฐนิวยอร์ก สร้างคอมพิวเตอร์จากสาย DNA ในหลอดทดลอง ซึ่งสามารถคำนวณหารากที่สองของ 900 ได้ โดยคอมพิวเตอร์ดังกล่าวสร้างจากสาย DNA 32 เส้น โดยมันสามารถคำนวณหารากที่สองของเลขที่เกิดจากการยกกำลังสองตั้งแต่ 1,4,9, 16... ไปเรื่อย ๆ จนถึง 900 นักวิจัยที่ทำเรื่องนี้บอกว่าในตอนนี้คอมพิวเตอร์ที่สร้างจาก DNA ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นแต่เขาคิดว่าคอมพิวเตอร์แบบนี้สามารถที่จะแก้ปัญหาที่ยากมาก ๆ หรืออาจแก้ปัญหาที่อาจแก้ไม่ได้โดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซิลิกอนแบบที่ใช้ในปัจจุบันได้
อ่านข่าวเต็มได้ที: NewScientist
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ข้อที่นักวิจัยมองว่าเป็นข้อดีของ DNA Computer ก็คือ การที่สามารถเพิ่มจำนวน DNA เข้าไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณได้ง่ายกว่าการเพิ่มจำนวนหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซิลิกอนแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
อ่านข่าวเต็มได้ที: NewScientist
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ข้อที่นักวิจัยมองว่าเป็นข้อดีของ DNA Computer ก็คือ การที่สามารถเพิ่มจำนวน DNA เข้าไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณได้ง่ายกว่าการเพิ่มจำนวนหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซิลิกอนแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563
นักวิจัยสร้างตัวแบบทำนายสถานะทางการเงินได้แม่นยำกว่านักวิเคราะห์
นักวิจัยจาก MIT สร้างตัวแบบ (model) สำหรับทำนายสถานะทางการเงินของธุรกิจ ได้แม่นยำกว่านักวิเคราะห์ที่เป็นคนใน Wallstreet ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ข้อมูลที่นำมาใช้ทำนายน้อยกว่า โดยข้อมูลที่นักวิเคราะห์เอามาทำนายจะใช้ข้อมูลทั้งที่เป็นสาธารณะและข้อมูลเฉพาะของบริษัท และข้อมูลจากตัวแบบการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) หลากหลายโมเดล แต่ตัวแบบที่นักวิจัยจาก MIT คิดขึ้นมานี้จะใช้ข้อมูลแค่รายการการใช้บัตรเครดิตในแต่ละอาทิตย์ และรายงานรายรับสามเดือนของบริษัทเท่านั้น นักวิจัยได้ใช้ตัวแบบนี้ทำนายรายรับรายไตรมาสของบริษัท 30 แห่ง ผลการประเมินพบว่าตัวแบบที่สร้างขึ้นสามารถทำนายได้ดีกว่านักวิเคราะห์ที่เป็นคน 57% ของการทำนายทั้งหมด
อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News
เพิ่มเติมเสริมข่าว
นักวิเคราะห์ธรรมดาก็จะถูก disrupt ไป แต่คนที่สร้างโมเดลได้ก็จะยังอยู่ต่อไปครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News
เพิ่มเติมเสริมข่าว
นักวิเคราะห์ธรรมดาก็จะถูก disrupt ไป แต่คนที่สร้างโมเดลได้ก็จะยังอยู่ต่อไปครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)