บริษัท Starship Technology ได้พัฒนาหุ่นยนต์สำหรับส่งอาหารโดยในตอนนี้ได้เริ่มส่งอาหารที่ University of Texas at Dallas, University of Houston, และ George Mason University ในเวอร์จิเนีย บริษัทมีแผนที่จะขยายให้ได้ 100 มหาวิทยาลัยภายในสองปี เจ้าหุ่นตัวนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมเหมือนคูลเลอร์ (cooler) มีล้อ 6 ล้อ ติดธงสีส้ม เพื่อให้เป็นที่สังเกตของทั้งรถและคน (ดูรูปและวีดีโอได้จากข่าวเต็ม) การสั่งอาหารทำได้จากแอปในสมาร์ตโฟน ตามข่าวบอกว่าเจ้าหุ่นยนต์นี้เป็นคนดังของมหาวิทยาลัยเลยนะครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Dallas Morning News
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
ต่อไปคนส่ง Grab Food, Line Man ก็จะถูก disrupt ด้วยนะนี่
วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2563
วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2563
คนเรามีแนวโน้มที่จะแชร์ข้อมูลส่วนตัวกับผู้ช่วยเสมือนมากขึ้น
ปัจจุบันมีผู้ช่วยเสมือนที่เราใช้ ๆ กันอยู่หลัก ๆ ก็คือ Alexa (ของอะแมซอน) Google Assistant และ Siri ซึ่งบริษัทที่อยู่เบื้องหลังของผู้ช่วยเสมือนเหล่านี้ ก็จะแอบเก็บข้อมูลที่เราพูดจาโต้ตอบกับผู้ช่วยเหล่านี้นำไปใช้ประโยชน์ นักวิจัยจาก University of Waterloo พบว่าตอนนี้มีแนวโน้มที่คนเราจะเชื่อถือและเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัวกับผู้ช่วยเสมือนเหล่านี้มากขึ้น เพราะผู้ใช้เริ่มสร้างอวตาร (Avatar) ของผู้ช่วยเหล่านี้ขึ้น เช่นอายุประมาณเท่าไร หน้าตา และทรงผมเป็นยังไง เป็นต้น โดยนักวิจัยบอกว่าการที่คนเรามีภาพที่เป็นตัวตนกับผู้ช่วยเหล่านี้ แทนที่ึคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เทคโนโลยี คือสาเหตุให้เราเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวจากการพูดคุยกับผู้ช่วยเหล่านี้ (ซึ่งแน่นอนบริษัทที่อยู่เบื่องหลังพวกมันก็จะได้ข้อมูลไปด้วย) โดยจากการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมวิจัย 20 คน ชาย 10 หญิง 10 พบว่าบุคลิกของผู้ช่วยแต่ละตัวสรุปได้ดัวนี้ Siri ออกจะไม่ตรงไปตรงมา และดูเจ้าเล่ห์นิด ๆ Alexa จะจริงใจ และห่วงใยมากกว่า ในส่วนของรูปลักษณ์ Alexa จะเตี้ยกว่าอีกสองตัวนิดหน่อย แต่งตัวด้วยชุดลำลอง หรือชุดทำงานแบบลำลอง สีเข้ม หรือสีพื้น ๆ ถ้าอยากเห็นภาพของผู้ช่วยทั้งสามคลิกเข้าไปดูในข่าวเต็มได้เลยนะครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที่: Waterloo News
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
คำโบราณที่ว่า อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน คงไม่พอแล้วนะครับ คงอาจต้องเปลี่ยนเป็น
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน อย่าหลงกลผู้ช่วยเสมือน
อ่านข่าวเต็มได้ที่: Waterloo News
เพิ่มเติมเสริมข่าว:
คำโบราณที่ว่า อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน คงไม่พอแล้วนะครับ คงอาจต้องเปลี่ยนเป็น
อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน อย่าหลงกลผู้ช่วยเสมือน
วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2563
คอมพิวเตอร์ที่สร้างจาก DNA สามารถหารากที่สองของ 900 ได้แล้ว
นักวิจัยจาก University of Rochester ในรัฐนิวยอร์ก สร้างคอมพิวเตอร์จากสาย DNA ในหลอดทดลอง ซึ่งสามารถคำนวณหารากที่สองของ 900 ได้ โดยคอมพิวเตอร์ดังกล่าวสร้างจากสาย DNA 32 เส้น โดยมันสามารถคำนวณหารากที่สองของเลขที่เกิดจากการยกกำลังสองตั้งแต่ 1,4,9, 16... ไปเรื่อย ๆ จนถึง 900 นักวิจัยที่ทำเรื่องนี้บอกว่าในตอนนี้คอมพิวเตอร์ที่สร้างจาก DNA ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นแต่เขาคิดว่าคอมพิวเตอร์แบบนี้สามารถที่จะแก้ปัญหาที่ยากมาก ๆ หรืออาจแก้ปัญหาที่อาจแก้ไม่ได้โดยคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซิลิกอนแบบที่ใช้ในปัจจุบันได้
อ่านข่าวเต็มได้ที: NewScientist
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ข้อที่นักวิจัยมองว่าเป็นข้อดีของ DNA Computer ก็คือ การที่สามารถเพิ่มจำนวน DNA เข้าไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณได้ง่ายกว่าการเพิ่มจำนวนหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซิลิกอนแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
อ่านข่าวเต็มได้ที: NewScientist
เพิ่มเติมเสริมข่าว
ข้อที่นักวิจัยมองว่าเป็นข้อดีของ DNA Computer ก็คือ การที่สามารถเพิ่มจำนวน DNA เข้าไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณได้ง่ายกว่าการเพิ่มจำนวนหน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ซิลิกอนแบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2563
นักวิจัยสร้างตัวแบบทำนายสถานะทางการเงินได้แม่นยำกว่านักวิเคราะห์
นักวิจัยจาก MIT สร้างตัวแบบ (model) สำหรับทำนายสถานะทางการเงินของธุรกิจ ได้แม่นยำกว่านักวิเคราะห์ที่เป็นคนใน Wallstreet ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้ข้อมูลที่นำมาใช้ทำนายน้อยกว่า โดยข้อมูลที่นักวิเคราะห์เอามาทำนายจะใช้ข้อมูลทั้งที่เป็นสาธารณะและข้อมูลเฉพาะของบริษัท และข้อมูลจากตัวแบบการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) หลากหลายโมเดล แต่ตัวแบบที่นักวิจัยจาก MIT คิดขึ้นมานี้จะใช้ข้อมูลแค่รายการการใช้บัตรเครดิตในแต่ละอาทิตย์ และรายงานรายรับสามเดือนของบริษัทเท่านั้น นักวิจัยได้ใช้ตัวแบบนี้ทำนายรายรับรายไตรมาสของบริษัท 30 แห่ง ผลการประเมินพบว่าตัวแบบที่สร้างขึ้นสามารถทำนายได้ดีกว่านักวิเคราะห์ที่เป็นคน 57% ของการทำนายทั้งหมด
อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News
เพิ่มเติมเสริมข่าว
นักวิเคราะห์ธรรมดาก็จะถูก disrupt ไป แต่คนที่สร้างโมเดลได้ก็จะยังอยู่ต่อไปครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News
เพิ่มเติมเสริมข่าว
นักวิเคราะห์ธรรมดาก็จะถูก disrupt ไป แต่คนที่สร้างโมเดลได้ก็จะยังอยู่ต่อไปครับ
วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563
ควอนตัมบิตสามารถสื่อสารกันได้ไกลขึ้นแล้ว
นักวิจัยจาก Princeton University ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการส่งซิลิกอนควอนตัมบิต (quantum bit) หรือเรียกย่อ ๆ ว่า คิวบิต (qbit) ได้ในระยะทางที่ไกลขึ้น โดยระยะห่างระหว่างคิวบิตต่อคิวบิตคือ 0.5 เซ็นติเมตร ซึ่งงานวิจัยนี้จะเป็นแนวทางในการพัฒนาซิลิกอนควอนตัมไมโครชิปต่อไป
อ่านข่าวเต็มได้ที: Princeton University
เพิ่มเติมเสริมข่าว
บางคนอาจถามว่าแหม 0.5 เซ็นติเมตรนี้ไกลแล้วหรือ คือต้องเข้าใจนะครับว่าเรากำลังพูดถึงระยะทางในการสื่อสารระหว่างชิปต่อชิปในคอมพิวเตอร์ ก็เหมือนกับเราพูดถึงเวลาในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หน่วยที่เราใช้ก็ไม่ใช่วินาที แต่เป็นมิลลิวินาที่ (1/1000) วินาที นั่นเองครับ
อ่านข่าวเต็มได้ที: Princeton University
เพิ่มเติมเสริมข่าว
บางคนอาจถามว่าแหม 0.5 เซ็นติเมตรนี้ไกลแล้วหรือ คือต้องเข้าใจนะครับว่าเรากำลังพูดถึงระยะทางในการสื่อสารระหว่างชิปต่อชิปในคอมพิวเตอร์ ก็เหมือนกับเราพูดถึงเวลาในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ หน่วยที่เราใช้ก็ไม่ใช่วินาที แต่เป็นมิลลิวินาที่ (1/1000) วินาที นั่นเองครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)