วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์เหมือนคนระดับโลก

rovots-play-football
Photo by Chris Luengas on Unsplash

Jiang Guangzhi ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจและสารสนเทศแห่งปักกิ่ง (Beijing Bureau of Economy and Information Technology) ประกาศเมื่อวันพุธ (7 พ.ค. 2025) ว่า ปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันหุ่นยนต์เหมือนคน (humanoid) ระดับโลกในวันที่ 15-17 สิงหาคม โดยมีการแข่งขันต่างๆ เช่น ฟลอร์เอกเซอร์ไซส์ (floor exercise)  ฟุตบอล และการเต้นรำ 

Jiang กล่าวว่า "มีความท้าทายมากมายสำหรับการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีหุ่นยนต์ การอัปเกรดผลิตภัณฑ์ และการใช้งาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระดับโลก และส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างการวิจัย อุตสาหกรรม และผู้ใช้ทั่วไป"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: China Daily โดย Wang Songsong

บล็อกเชนคืออะไร? ต่างจากสกุลเงินคริปโทไหม? มาทำความเข้าใจพื้นฐานกัน

ผมได้สอนและบรรยายเกี่ยวกับบล็อกเชนมาตั้งแต่ปี 2559 (ไม่น่าเชื่อว่าจะเกือบสิบปีแล้ว!) ต้องบอกว่าหัวข้อนี้เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจะเขียนมานานมาก แต่ก็ไม่ได้เริ่มสักที จนได้เห็นนักศึกษา หรือแม้แต่คนทั่วไป พูดถึงบล็อกเชนราวกับว่าเป็น "ของวิเศษ" ที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง หรือบางทีก็สับสนว่าเป็นสิ่งเดียวกับ Bitcoin ไปเลย

ด้วยเหตุนี้ ในคอลัมน์ #พุธขุดบล็อกเชน ที่ผมตั้งใจจะเขียนต่อจากนี้ไป เราจะมาแกะรอยและทำความเข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชนในแง่มุมต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปครับ และสำหรับบทความแรกนี้ เรามาเริ่มกันที่พื้นฐานที่สุด: บล็อกเชนจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ และมันต่างจากสกุลเงินคริปโทที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ อย่างไร? ไปหาคำตอบพร้อมกันครับ!

บล็อกเชน: เริ่มต้นจาก Bitcoin แต่ไม่ใช่ Bitcoin

ถ้าพูดถึงบล็อกเชน สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้น บิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งเป็นสกุลเงินคริปโท Cryptocurrency) ที่โด่งดังที่สุด และต้องยอมรับว่าบิตคอยน์นี่แหละครับคือ "แอปพลิเคชันแรก" ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแนวคิดของบล็อกเชนนั้นใช้งานได้จริง

นี่จึงเป็นที่มาของความสับสนที่ว่า บล็อกเชนกับบิตคอยน์คือสิ่งเดียวกัน แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ ครับ!

ลองนึกภาพง่ายๆ แบบนี้ครับ:

  • บล็อกเชน คือ "เทคโนโลยีเบื้องหลัง" หรือ "แนวคิดของฐานข้อมูล" ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล
  • บิตคอยน์ หรือ อีเธอเรียม (Ethereum) (อีกหนึ่งสกุลเงินคริปโทที่นิยมรองจากบิตคอยน์) คือ "แอปพลิเคชัน" หรือ "แพลตฟอร์ม" ที่นำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ในการเก็บและจัดการข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่เก็บส่วนใหญ่ก็คือ รายการธุรกรรม (Transaction) ต่างๆ เช่น การโอนเงินระหว่างผู้ใช้งาน

บล็อกเชนคืออะไรกันแน่?

จริงๆ แล้ว บล็อกเชนคือ แนวคิดการจัดเก็บข้อมูลประเภทหนึ่ง หรือจะเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูลแบบพิเศษ" ก็ได้ครับ

เราอาจคุ้นเคยกับฐานข้อมูลแบบดั้งเดิม เช่น ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ที่เก็บข้อมูลในรูปแบบตารางที่มีความสัมพันธ์กัน ดังรูป

Er-Diagram
ตัวอย่าง ER-Diagram

แล้วบล็อกเชนล่ะ? 

แนวคิดสำคัญของบล็อกเชน คือ:

  1. ข้อมูลที่บันทึกลงไปแล้ว จะแก้ไขหรือลบไม่ได้ (Immutability): เหมือนกับการเขียนลงสมุดบัญชีที่ห้ามฉีกหรือแก้รายการ
  2. ข้อมูลชุดเดียวกันจะถูกเก็บกระจายกันไปบนคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเครือข่าย ไม่ได้เก็บไว้ที่ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว

ทำไมต้อง "แก้ไม่ได้" และต้อง "กระจาย"? 

บล็อกเชนเป็นรูปแบบหนึ่งของ เทคโนโลยีสมุดบัญชีแบบกระจาย (Distributed Ledger Technology - DLT) ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามีสองคำสำคัญคือ กระจาย (Distributed) และ สมุดบัญชี (Ledger)

  1. สมุดบัญชี (Ledger): ข้อมูลหลักที่เราบันทึกในสมุดบัญชีคือ รายการธุรกรรม (Transaction) ต่างๆ เช่น การโอนเงิน เหตุการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่ "เกิดขึ้นไปแล้ว" และโดยธรรมชาติของรายการที่เกิดขึ้นไปแล้ว คือมัน ต้องแก้ไขไม่ได้ ครับ

    ลองนึกถึงการโอนเงิน ถ้าโอนผิดจำนวน เราไม่ได้ไปแก้รายการที่โอนผิด แต่เราจะทำรายการใหม่เพื่อโอนเงินคืน นี่คือหลักการเดียวกับข้อมูลในบล็อกเชน เมื่อบันทึกลงไปแล้วจะแก้ไขไม่ได้ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือของประวัติทั้งหมด

  2. กระจาย (Distributed): ทำไมต้องกระจาย? ลองเปรียบเทียบกับการเก็บสมุดบัญชีไว้เล่มเดียว ถ้าเก็บไว้ที่ศูนย์กลาง เราต้องมอบความไว้วางใจให้ "ผู้ดูแล" คนนั้น หรือ "หน่วยงาน" นั้น ว่าจะไม่โกง ไม่แก้ไขข้อมูล และไม่ทำสมุดบัญชีหาย

    แนวคิดแบบกระจายคือ การคัดลอกสมุดบัญชีไปเก็บไว้หลายๆ เล่ม โดยให้คนหลายๆ คน หรือคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องช่วยกันดูแล การทำแบบนี้มีข้อดีคือ:

    • ลดความเสี่ยงเรื่องความน่าเชื่อถือ: ถ้ามีคนคิดจะโกง ก็ต้องไปแก้สมุดบัญชีของคนส่วนใหญ่ในเครือข่าย ซึ่งทำได้ยากมาก
    • เพิ่มความทนทาน: ถ้าสมุดบัญชีของบางคนหายหรือเสียหาย ก็ยังมีข้อมูลจากคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่

    แน่นอนว่าวิธีนี้ก็มีข้อแลกเปลี่ยน คือมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เพราะต้องดูแลสมุดบัญชีหลายชุด และต้องมีกลไกที่ทำให้แน่ใจว่าสมุดบัญชีทุกเล่ม "ตรงกัน" เสมอ

แล้ว "บล็อก" และ "เชน" มาจากไหน?

ในเมื่อ DLT บอกแค่ว่าเป็นสมุดบัญชีแบบกระจาย แต่ไม่ได้กำหนดรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลที่ชัดเจน บล็อกเชนจึงเป็นรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลแบบเฉพาะของ DLT ที่เลือกโครงสร้างข้อมูลเป็นแบบ "บล็อก" (Block) ซึ่งแต่ละบล็อกจะถูกเชื่อมต่อกันเป็น "โซ่" (Chain) ดังรูป


blockchain-structure
ภาพรวมโครงสร้างบล็อกเชน

โดยข้อมูลรายการธุรกรรมต่างๆ จะถูกรวมกลุ่มกันอยู่ในแต่ละบล็อก และแต่ละบล็อกจะถูกเชื่อมโยงกันด้วย "แฮชเข้ารหัส" (Cryptographic Hash) ซึ่งเปรียบเสมือน "ลายนิ้วมือดิจิทัล" ของบล็อกก่อนหน้า การเชื่อมโยงนี้ทำให้การแก้ไขข้อมูลในบล็อกใดบล็อกหนึ่งทำได้ยากมาก เพราะจะทำให้ "ลายนิ้วมือ" ของบล็อกนั้นเปลี่ยนไป และกระทบต่อบล็อกถัดไปในโซ่ทั้งหมด

ข้อมูลบล็อกเชนชุดนี้จะถูกเก็บไว้บนคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเครือข่าย ที่เรียกว่า "โหนด" (Node) ซึ่งโหนดเหล่านี้จะช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล หากมีใครพยายามแก้ไขข้อมูลในเครื่องตัวเอง ข้อมูลนั้นจะไม่ตรงกับข้อมูลส่วนใหญ่ในเครือข่าย และจะถูกปฏิเสธโดยระบบ

ยิ่งไปกว่านั้น การอัปเดตข้อมูลให้ทุกโหนดมีข้อมูลตรงกัน ทำได้โดย ไม่ต้องอาศัยศูนย์กลาง นี่คือหัวใจสำคัญของ "การกระจายอำนาจ" (Decentralization) ตราบใดที่ยังมีโหนดทำงานอยู่ ระบบบล็อกเชนก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ ไม่สามารถถูกสั่งปิดได้ง่ายๆ จากจุดเดียว

(รายละเอียดเรื่องแฮชเข้ารหัสและกลไกการทำงานอื่นๆ ในเชิงลึก ขอติดไว้ในบทความต่อๆ ไปนะครับ!)

บล็อกเชน ต่างจาก สกุลเงินคริปโท อย่างไร? (อีกมุมมอง)

ถ้ามองว่าบล็อกเชนคือแนวคิดของฐานข้อมูลแบบกระจาย แล้วสกุลเงินคริปโทอย่างบิตคอยน์และอีเธอเรียมคืออะไร?

อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าในแง่หนึ่งมันคือแอปพลิเคชันที่ใช้บล็อกเชน แต่ถ้าเปรียบเทียบกับโลกของฐานข้อมูลแบบดั้งเดิม:

  • บล็อกเชน คือ "แนวคิด" หรือ "โครงสร้าง" ของฐานข้อมูล (คล้ายกับแนวคิดของ Relational Database)
  • บิตคอยน์ และ อีเธอเรียม คือ "ระบบจัดการฐานข้อมูล" (Database Management System - DBMS) หรือ "โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล" ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานตามแนวคิดบล็อกเชน (คล้ายกับ MySQL, Oracle, SQL Server ในโลกของ Relational Database)

โปรแกรมอย่างบิตคอยน์และอีเธอเรียมก็คือสิ่งที่นำแนวคิดบล็อกเชนมาพัฒนาต่อ โดยมีกลไกและกฎเกณฑ์ในการบริหารจัดการข้อมูลที่แตกต่างกันไป (เช่น อีเธอเรียมมีการพัฒนาให้ซับซ้อนและรองรับการทำงานที่หลากหลายกว่าบิตคอยน์ในปัจจุบันมาก)

อีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจคือ บิตคอยน์และอีเธอเรียมยังถือเป็น "แพลตฟอร์ม" ที่รองรับการพัฒนา แอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Application - DApp) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลาง การโอนเงินบนเครือข่ายเหล่านี้ก็เป็น DApp รูปแบบหนึ่ง แต่เรายังสามารถสร้าง DApp อื่นๆ ได้อีกมากมายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยเฉพาะบนอีเธอเรียม

บล็อกเชนไม่ใช่ "ของวิเศษ" มีข้อจำกัดอะไรบ้าง?

ถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าบล็อกเชนมีคุณสมบัติเด่นๆ อย่างการไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ การกระจายอำนาจ และความทนทาน แต่ บล็อกเชนไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกปัญหา และไม่ใช่ว่าทุกข้อมูลจะต้องถูกเก็บบนบล็อกเชนหมด

ข้อจำกัดหลักๆ ของบล็อกเชนที่เราต้องพิจารณาคือ ค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนในการเก็บและจัดการข้อมูล ครับ

  • การเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน: ข้อมูลชุดเดียวกันต้องถูกคัดลอกไปเก็บหลายๆ ที่ ทำให้ใช้พื้นที่และทรัพยากรมากกว่าฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์
  • ความเร็วในการทำธุรกรรม: กระบวนการที่ต้องให้โหนดส่วนใหญ่ในเครือข่ายเห็นพ้องต้องกัน (Consensus Mechanism) ก่อนจะบันทึกข้อมูลลงบล็อกได้ ทำให้ความเร็วในการทำธุรกรรมโดยรวมช้ากว่าระบบแบบรวมศูนย์มาก (เช่น บิตคอยน์ใช้เวลาสร้าง 1 บล็อกประมาณ 10 นาที)
  • พลังงานและค่าธรรมเนียม: บางกลไกการเห็นพ้องต้องกัน (เช่น Proof-of-Work ที่ใช้ในบิตคอยน์)  ที่ทำให้ทุกโหนดเก็บข้อมูลเดียวกัน ใช้พลังงานมหาศาล และผู้ใช้มักต้องเสียค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม ซึ่งบางครั้งอาจสูงมากโดยเฉพาะในเครือข่ายที่มีการใช้งานหนาแน่น

มีการพัฒนาโซลูชันต่างๆ เช่น เครือข่ายชั้นที่สอง (Layer 2 Network) (เช่น Lightning Network สำหรับ Bitcoin) เพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมบนบล็อกเชนหลักทำได้เร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมถูกลง แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยความน่าเชื่อถือบางส่วน (จะลงรายละเอียดในอนาคตครับ)

ดังนั้น ก่อนจะนำบล็อกเชนมาใช้ ต้องถามตัวเองก่อนว่า:

  • เราต้องการคุณสมบัติ การกระจายอำนาจ และ การไม่สามารถแก้ไขข้อมูล จริงๆ หรือไม่?
  • ข้อมูลที่เราจะเก็บมีขนาดเล็กพอที่จะอยู่บนบล็อกเชนได้หรือไม่ (บล็อกเชนเหมาะกับบันทึกรายการธุรกรรม ไม่ใช่ไฟล์ขนาดใหญ่)?
  • เรายอมรับข้อแลกเปลี่ยนในเรื่อง ค่าใช้จ่ายและความเร็ว ได้หรือไม่?

บล็อกเชนเอาไปทำอะไรได้บ้าง (นอกจากคริปโท)?

แม้จะมีข้อจำกัด แต่คุณสมบัติเด่นของบล็อกเชนก็ทำให้มันมีประโยชน์ในหลากหลายด้าน เช่น:

  • การเงินแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Finance - DeFi): การให้บริการทางการเงินที่ไม่ผ่านตัวกลาง เช่น การกู้ยืม การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์
  • การระดมทุน: การออกโทเคนเพื่อระดมทุนหรือแสดงความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ต่างๆ
  • การยืนยันความถูกต้อง (Verification/Provenance): ใช้ตรวจสอบและยืนยันความเป็นเจ้าของหรือความแท้จริงของสิ่งของ/เอกสาร เช่น ประกาศนียบัตร, งานศิลปะ, สินค้าแบรนด์เนม
  • การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management): ติดตามแหล่งที่มาและประวัติของสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความโปร่งใส
  • การดูแลสุขภาพ (Healthcare): การจัดการบันทึกสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัยและควบคุมการเข้าถึงได้
  • วิทยาศาสตร์ข้อมูลและ AI: ข้อมูลบนบล็อกเชนที่แก้ไขไม่ได้ สามารถเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับการฝึกฝนโมเดล AI หรือการวิเคราะห์ข้อมูล

(ตัวอย่างการประยุกต์ใช้เหล่านี้ จะนำมาเล่าให้ฟังในรายละเอียดในบทความต่อๆ ไปครับ!)

หวังว่าบทความแรกนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของบล็อกเชนได้ชัดเจนขึ้นนะครับ

สรุป:

  • บล็อกเชน คือ แนวคิดของฐานข้อมูลแบบกระจายประเภทหนึ่ง ที่เน้นการบันทึกข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้ และไม่ต้องมีศูนย์กลางในการบริหารจัดการ
  • สกุลเงินคริปโท (เช่น Bitcoin, Ethereum) คือ แอปพลิเคชัน หรือ แพลตฟอร์ม ที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการเก็บข้อมูลรายการธุรกรรม
  • บล็อกเชนมีจุดแข็งเรื่องความน่าเชื่อถือ การกระจายอำนาจ และความทนทาน แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่อง ค่าใช้จ่าย ความเร็ว และขนาดข้อมูล ที่ต้องพิจารณาในการนำไปใช้

บล็อกเชนไม่ใช่ "ของวิเศษ" ที่จะมาแทนที่ทุกอย่าง แต่เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกรณีที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษของมัน

แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าของคอลัมน์ #พุธขุดบล็อกเชน นะครับ!




วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สหรัฐฯ เตรียมยกเลิกและเปลี่ยนกฎเกณฑ์การส่งออกชิป AI ทั่วโลก

AI-Chip
ภาพจาก Reuters โดย Karen Freifeld และ Arsheeya Bajwa

ทำเนียบขาววางแผนที่จะยกเลิกและแก้ไขกฎที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งจะจำกัดการส่งออกชิป AI 

โฆษกหญิงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยืนยันเมื่อวันพุธ กฎระเบียบดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการส่งออกชิปและเทคโนโลยี AI ไปยังคู่แข่ง โดยแบ่งโลกออกเป็นชั้นตามความสัมพันธ์ของแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ 

โฆษกหญิงของกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ "ไม่ชอบระบบแบ่งชั้น" และกฎดังกล่าว "ไม่สามารถบังคับใช้ได้" เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า การถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดยังคงดำเนินต่อไป

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Reuters โดย Karen Freifeld และ Arsheeya Bajwa

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

รถบรรทุกไร้คนขับเริ่มวิ่งบนถนนในเท็กซัส

Aurora-Driverless-Truck
ภาพจาก Axios โดย Joann Muller

บริษัทรถบรรทุกไร้คนขับ Aurora ได้เดินทางไปกลับแบบไร้คนขับครั้งแรกระหว่างดัลลัสและฮิวสตันเมื่อวันที่ 27 เมษายน โดยบรรทุกขนมอบแช่แข็งไว้ในรถพ่วง 

นี่เป็นผลมาจากการทดสอบเป็นเวลาสี่ปีโดยที่ยังมีคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ซึ่งระหว่างนั้น Aurora บันทึกระยะทางขับขี่อัตโนมัติได้ 3 ล้านไมล์ และขนส่งสินค้าให้ลูกค้ามากกว่า 10,000 เที่ยว 

ภายในสิ้นปีนี้ บริการไร้คนขับมีแผนที่จะขยายไปยังเอลปาโซและฟีนิกซ์

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Axios โดย Joann Muller

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

การสมัครเรียนปริญญาด้าน AI ในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 15%

College-Degree
ภาพจาก BCS-The Chartered Institute for IT

บริการรับสมัครนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยและวิทยาลัย (Universities and Colleges Admissions Service) พบว่ามีการสมัครเข้าศึกษาต่อด้าน AI ในมหาวิทยาลัยของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 15% ในปีนี้ โดยมีการเพิ่มขึ้น 15% ในกลุ่มผู้หญิง และ 12% ในกลุ่มผู้ชาย 

อย่างไรก็ตาม การสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีแบบเต็มเวลาในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์กลับลดลง 10% แม้ว่าปริญญาด้าน AI จะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ของจำนวนใบสมัครในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่ความต้องการโดยรวมยังคงสูงกว่าสำหรับวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และปริญญาด้านเกมคอมพิวเตอร์และแอนิเมชัน

อ่านข่าวเต็มได้ที่: BCS-The Chartered Institute for IT