วันพุธที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

บล็อกเชนคืออะไร? ต่างจากสกุลเงินคริปโทไหม? มาทำความเข้าใจพื้นฐานกัน

ผมได้สอนและบรรยายเกี่ยวกับบล็อกเชนมาตั้งแต่ปี 2559 (ไม่น่าเชื่อว่าจะเกือบสิบปีแล้ว!) ต้องบอกว่าหัวข้อนี้เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจจะเขียนมานานมาก แต่ก็ไม่ได้เริ่มสักที จนได้เห็นนักศึกษา หรือแม้แต่คนทั่วไป พูดถึงบล็อกเชนราวกับว่าเป็น "ของวิเศษ" ที่จะแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง หรือบางทีก็สับสนว่าเป็นสิ่งเดียวกับ Bitcoin ไปเลย

ด้วยเหตุนี้ ในคอลัมน์ #พุธขุดบล็อกเชน ที่ผมตั้งใจจะเขียนต่อจากนี้ไป เราจะมาแกะรอยและทำความเข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชนในแง่มุมต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไปครับ และสำหรับบทความแรกนี้ เรามาเริ่มกันที่พื้นฐานที่สุด: บล็อกเชนจริง ๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ และมันต่างจากสกุลเงินคริปโทที่เราได้ยินชื่อบ่อยๆ อย่างไร? ไปหาคำตอบพร้อมกันครับ!

บล็อกเชน: เริ่มต้นจาก Bitcoin แต่ไม่ใช่ Bitcoin

ถ้าพูดถึงบล็อกเชน สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้น บิตคอยน์ (Bitcoin) ซึ่งเป็นสกุลเงินคริปโท Cryptocurrency) ที่โด่งดังที่สุด และต้องยอมรับว่าบิตคอยน์นี่แหละครับคือ "แอปพลิเคชันแรก" ที่พิสูจน์ให้เห็นว่าแนวคิดของบล็อกเชนนั้นใช้งานได้จริง

นี่จึงเป็นที่มาของความสับสนที่ว่า บล็อกเชนกับบิตคอยน์คือสิ่งเดียวกัน แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่ ครับ!

ลองนึกภาพง่ายๆ แบบนี้ครับ:

  • บล็อกเชน คือ "เทคโนโลยีเบื้องหลัง" หรือ "แนวคิดของฐานข้อมูล" ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล
  • บิตคอยน์ หรือ อีเธอเรียม (Ethereum) (อีกหนึ่งสกุลเงินคริปโทที่นิยมรองจากบิตคอยน์) คือ "แอปพลิเคชัน" หรือ "แพลตฟอร์ม" ที่นำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ในการเก็บและจัดการข้อมูล ซึ่งข้อมูลที่เก็บส่วนใหญ่ก็คือ รายการธุรกรรม (Transaction) ต่างๆ เช่น การโอนเงินระหว่างผู้ใช้งาน

บล็อกเชนคืออะไรกันแน่?

จริงๆ แล้ว บล็อกเชนคือ แนวคิดการจัดเก็บข้อมูลประเภทหนึ่ง หรือจะเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูลแบบพิเศษ" ก็ได้ครับ

เราอาจคุ้นเคยกับฐานข้อมูลแบบดั้งเดิม เช่น ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ที่เก็บข้อมูลในรูปแบบตารางที่มีความสัมพันธ์กัน ดังรูป

Er-Diagram
ตัวอย่าง ER-Diagram

แล้วบล็อกเชนล่ะ? 

แนวคิดสำคัญของบล็อกเชน คือ:

  1. ข้อมูลที่บันทึกลงไปแล้ว จะแก้ไขหรือลบไม่ได้ (Immutability): เหมือนกับการเขียนลงสมุดบัญชีที่ห้ามฉีกหรือแก้รายการ
  2. ข้อมูลชุดเดียวกันจะถูกเก็บกระจายกันไปบนคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเครือข่าย ไม่ได้เก็บไว้ที่ศูนย์กลางเพียงแห่งเดียว

ทำไมต้อง "แก้ไม่ได้" และต้อง "กระจาย"? 

บล็อกเชนเป็นรูปแบบหนึ่งของ เทคโนโลยีสมุดบัญชีแบบกระจาย (Distributed Ledger Technology - DLT) ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามีสองคำสำคัญคือ กระจาย (Distributed) และ สมุดบัญชี (Ledger)

  1. สมุดบัญชี (Ledger): ข้อมูลหลักที่เราบันทึกในสมุดบัญชีคือ รายการธุรกรรม (Transaction) ต่างๆ เช่น การโอนเงิน เหตุการณ์เหล่านี้คือสิ่งที่ "เกิดขึ้นไปแล้ว" และโดยธรรมชาติของรายการที่เกิดขึ้นไปแล้ว คือมัน ต้องแก้ไขไม่ได้ ครับ

    ลองนึกถึงการโอนเงิน ถ้าโอนผิดจำนวน เราไม่ได้ไปแก้รายการที่โอนผิด แต่เราจะทำรายการใหม่เพื่อโอนเงินคืน นี่คือหลักการเดียวกับข้อมูลในบล็อกเชน เมื่อบันทึกลงไปแล้วจะแก้ไขไม่ได้ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือของประวัติทั้งหมด

  2. กระจาย (Distributed): ทำไมต้องกระจาย? ลองเปรียบเทียบกับการเก็บสมุดบัญชีไว้เล่มเดียว ถ้าเก็บไว้ที่ศูนย์กลาง เราต้องมอบความไว้วางใจให้ "ผู้ดูแล" คนนั้น หรือ "หน่วยงาน" นั้น ว่าจะไม่โกง ไม่แก้ไขข้อมูล และไม่ทำสมุดบัญชีหาย

    แนวคิดแบบกระจายคือ การคัดลอกสมุดบัญชีไปเก็บไว้หลายๆ เล่ม โดยให้คนหลายๆ คน หรือคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องช่วยกันดูแล การทำแบบนี้มีข้อดีคือ:

    • ลดความเสี่ยงเรื่องความน่าเชื่อถือ: ถ้ามีคนคิดจะโกง ก็ต้องไปแก้สมุดบัญชีของคนส่วนใหญ่ในเครือข่าย ซึ่งทำได้ยากมาก
    • เพิ่มความทนทาน: ถ้าสมุดบัญชีของบางคนหายหรือเสียหาย ก็ยังมีข้อมูลจากคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่

    แน่นอนว่าวิธีนี้ก็มีข้อแลกเปลี่ยน คือมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า เพราะต้องดูแลสมุดบัญชีหลายชุด และต้องมีกลไกที่ทำให้แน่ใจว่าสมุดบัญชีทุกเล่ม "ตรงกัน" เสมอ

แล้ว "บล็อก" และ "เชน" มาจากไหน?

ในเมื่อ DLT บอกแค่ว่าเป็นสมุดบัญชีแบบกระจาย แต่ไม่ได้กำหนดรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลที่ชัดเจน บล็อกเชนจึงเป็นรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลแบบเฉพาะของ DLT ที่เลือกโครงสร้างข้อมูลเป็นแบบ "บล็อก" (Block) ซึ่งแต่ละบล็อกจะถูกเชื่อมต่อกันเป็น "โซ่" (Chain) ดังรูป


blockchain-structure
ภาพรวมโครงสร้างบล็อกเชน

โดยข้อมูลรายการธุรกรรมต่างๆ จะถูกรวมกลุ่มกันอยู่ในแต่ละบล็อก และแต่ละบล็อกจะถูกเชื่อมโยงกันด้วย "แฮชเข้ารหัส" (Cryptographic Hash) ซึ่งเปรียบเสมือน "ลายนิ้วมือดิจิทัล" ของบล็อกก่อนหน้า การเชื่อมโยงนี้ทำให้การแก้ไขข้อมูลในบล็อกใดบล็อกหนึ่งทำได้ยากมาก เพราะจะทำให้ "ลายนิ้วมือ" ของบล็อกนั้นเปลี่ยนไป และกระทบต่อบล็อกถัดไปในโซ่ทั้งหมด

ข้อมูลบล็อกเชนชุดนี้จะถูกเก็บไว้บนคอมพิวเตอร์หลายเครื่องในเครือข่าย ที่เรียกว่า "โหนด" (Node) ซึ่งโหนดเหล่านี้จะช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล หากมีใครพยายามแก้ไขข้อมูลในเครื่องตัวเอง ข้อมูลนั้นจะไม่ตรงกับข้อมูลส่วนใหญ่ในเครือข่าย และจะถูกปฏิเสธโดยระบบ

ยิ่งไปกว่านั้น การอัปเดตข้อมูลให้ทุกโหนดมีข้อมูลตรงกัน ทำได้โดย ไม่ต้องอาศัยศูนย์กลาง นี่คือหัวใจสำคัญของ "การกระจายอำนาจ" (Decentralization) ตราบใดที่ยังมีโหนดทำงานอยู่ ระบบบล็อกเชนก็ยังคงดำเนินต่อไปได้ ไม่สามารถถูกสั่งปิดได้ง่ายๆ จากจุดเดียว

(รายละเอียดเรื่องแฮชเข้ารหัสและกลไกการทำงานอื่นๆ ในเชิงลึก ขอติดไว้ในบทความต่อๆ ไปนะครับ!)

บล็อกเชน ต่างจาก สกุลเงินคริปโท อย่างไร? (อีกมุมมอง)

ถ้ามองว่าบล็อกเชนคือแนวคิดของฐานข้อมูลแบบกระจาย แล้วสกุลเงินคริปโทอย่างบิตคอยน์และอีเธอเรียมคืออะไร?

อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าในแง่หนึ่งมันคือแอปพลิเคชันที่ใช้บล็อกเชน แต่ถ้าเปรียบเทียบกับโลกของฐานข้อมูลแบบดั้งเดิม:

  • บล็อกเชน คือ "แนวคิด" หรือ "โครงสร้าง" ของฐานข้อมูล (คล้ายกับแนวคิดของ Relational Database)
  • บิตคอยน์ และ อีเธอเรียม คือ "ระบบจัดการฐานข้อมูล" (Database Management System - DBMS) หรือ "โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล" ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานตามแนวคิดบล็อกเชน (คล้ายกับ MySQL, Oracle, SQL Server ในโลกของ Relational Database)

โปรแกรมอย่างบิตคอยน์และอีเธอเรียมก็คือสิ่งที่นำแนวคิดบล็อกเชนมาพัฒนาต่อ โดยมีกลไกและกฎเกณฑ์ในการบริหารจัดการข้อมูลที่แตกต่างกันไป (เช่น อีเธอเรียมมีการพัฒนาให้ซับซ้อนและรองรับการทำงานที่หลากหลายกว่าบิตคอยน์ในปัจจุบันมาก)

อีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจคือ บิตคอยน์และอีเธอเรียมยังถือเป็น "แพลตฟอร์ม" ที่รองรับการพัฒนา แอปพลิเคชันแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Application - DApp) ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่ทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์กลาง การโอนเงินบนเครือข่ายเหล่านี้ก็เป็น DApp รูปแบบหนึ่ง แต่เรายังสามารถสร้าง DApp อื่นๆ ได้อีกมากมายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ โดยเฉพาะบนอีเธอเรียม

บล็อกเชนไม่ใช่ "ของวิเศษ" มีข้อจำกัดอะไรบ้าง?

ถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าบล็อกเชนมีคุณสมบัติเด่นๆ อย่างการไม่สามารถแก้ไขข้อมูลได้ การกระจายอำนาจ และความทนทาน แต่ บล็อกเชนไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกปัญหา และไม่ใช่ว่าทุกข้อมูลจะต้องถูกเก็บบนบล็อกเชนหมด

ข้อจำกัดหลักๆ ของบล็อกเชนที่เราต้องพิจารณาคือ ค่าใช้จ่ายและความซับซ้อนในการเก็บและจัดการข้อมูล ครับ

  • การเก็บข้อมูลซ้ำซ้อน: ข้อมูลชุดเดียวกันต้องถูกคัดลอกไปเก็บหลายๆ ที่ ทำให้ใช้พื้นที่และทรัพยากรมากกว่าฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์
  • ความเร็วในการทำธุรกรรม: กระบวนการที่ต้องให้โหนดส่วนใหญ่ในเครือข่ายเห็นพ้องต้องกัน (Consensus Mechanism) ก่อนจะบันทึกข้อมูลลงบล็อกได้ ทำให้ความเร็วในการทำธุรกรรมโดยรวมช้ากว่าระบบแบบรวมศูนย์มาก (เช่น บิตคอยน์ใช้เวลาสร้าง 1 บล็อกประมาณ 10 นาที)
  • พลังงานและค่าธรรมเนียม: บางกลไกการเห็นพ้องต้องกัน (เช่น Proof-of-Work ที่ใช้ในบิตคอยน์)  ที่ทำให้ทุกโหนดเก็บข้อมูลเดียวกัน ใช้พลังงานมหาศาล และผู้ใช้มักต้องเสียค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม ซึ่งบางครั้งอาจสูงมากโดยเฉพาะในเครือข่ายที่มีการใช้งานหนาแน่น

มีการพัฒนาโซลูชันต่างๆ เช่น เครือข่ายชั้นที่สอง (Layer 2 Network) (เช่น Lightning Network สำหรับ Bitcoin) เพื่อช่วยให้การทำธุรกรรมบนบล็อกเชนหลักทำได้เร็วขึ้นและค่าธรรมเนียมถูกลง แต่ก็อาจต้องแลกมาด้วยความน่าเชื่อถือบางส่วน (จะลงรายละเอียดในอนาคตครับ)

ดังนั้น ก่อนจะนำบล็อกเชนมาใช้ ต้องถามตัวเองก่อนว่า:

  • เราต้องการคุณสมบัติ การกระจายอำนาจ และ การไม่สามารถแก้ไขข้อมูล จริงๆ หรือไม่?
  • ข้อมูลที่เราจะเก็บมีขนาดเล็กพอที่จะอยู่บนบล็อกเชนได้หรือไม่ (บล็อกเชนเหมาะกับบันทึกรายการธุรกรรม ไม่ใช่ไฟล์ขนาดใหญ่)?
  • เรายอมรับข้อแลกเปลี่ยนในเรื่อง ค่าใช้จ่ายและความเร็ว ได้หรือไม่?

บล็อกเชนเอาไปทำอะไรได้บ้าง (นอกจากคริปโท)?

แม้จะมีข้อจำกัด แต่คุณสมบัติเด่นของบล็อกเชนก็ทำให้มันมีประโยชน์ในหลากหลายด้าน เช่น:

  • การเงินแบบกระจายอำนาจ (Decentralized Finance - DeFi): การให้บริการทางการเงินที่ไม่ผ่านตัวกลาง เช่น การกู้ยืม การแลกเปลี่ยนสินทรัพย์
  • การระดมทุน: การออกโทเคนเพื่อระดมทุนหรือแสดงความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ต่างๆ
  • การยืนยันความถูกต้อง (Verification/Provenance): ใช้ตรวจสอบและยืนยันความเป็นเจ้าของหรือความแท้จริงของสิ่งของ/เอกสาร เช่น ประกาศนียบัตร, งานศิลปะ, สินค้าแบรนด์เนม
  • การบริหารห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management): ติดตามแหล่งที่มาและประวัติของสินค้าในห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความโปร่งใส
  • การดูแลสุขภาพ (Healthcare): การจัดการบันทึกสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ที่ปลอดภัยและควบคุมการเข้าถึงได้
  • วิทยาศาสตร์ข้อมูลและ AI: ข้อมูลบนบล็อกเชนที่แก้ไขไม่ได้ สามารถเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้สำหรับการฝึกฝนโมเดล AI หรือการวิเคราะห์ข้อมูล

(ตัวอย่างการประยุกต์ใช้เหล่านี้ จะนำมาเล่าให้ฟังในรายละเอียดในบทความต่อๆ ไปครับ!)

หวังว่าบทความแรกนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของบล็อกเชนได้ชัดเจนขึ้นนะครับ

สรุป:

  • บล็อกเชน คือ แนวคิดของฐานข้อมูลแบบกระจายประเภทหนึ่ง ที่เน้นการบันทึกข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้ และไม่ต้องมีศูนย์กลางในการบริหารจัดการ
  • สกุลเงินคริปโท (เช่น Bitcoin, Ethereum) คือ แอปพลิเคชัน หรือ แพลตฟอร์ม ที่ถูกสร้างขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการเก็บข้อมูลรายการธุรกรรม
  • บล็อกเชนมีจุดแข็งเรื่องความน่าเชื่อถือ การกระจายอำนาจ และความทนทาน แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่อง ค่าใช้จ่าย ความเร็ว และขนาดข้อมูล ที่ต้องพิจารณาในการนำไปใช้

บล็อกเชนไม่ใช่ "ของวิเศษ" ที่จะมาแทนที่ทุกอย่าง แต่เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับกรณีที่ต้องการคุณสมบัติพิเศษของมัน

แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าของคอลัมน์ #พุธขุดบล็อกเชน นะครับ!




วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

สหรัฐฯ เตรียมยกเลิกและเปลี่ยนกฎเกณฑ์การส่งออกชิป AI ทั่วโลก

AI-Chip
ภาพจาก Reuters โดย Karen Freifeld และ Arsheeya Bajwa

ทำเนียบขาววางแผนที่จะยกเลิกและแก้ไขกฎที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งจะจำกัดการส่งออกชิป AI 

โฆษกหญิงของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยืนยันเมื่อวันพุธ กฎระเบียบดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อจำกัดการส่งออกชิปและเทคโนโลยี AI ไปยังคู่แข่ง โดยแบ่งโลกออกเป็นชั้นตามความสัมพันธ์ของแต่ละประเทศกับสหรัฐฯ 

โฆษกหญิงของกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ "ไม่ชอบระบบแบ่งชั้น" และกฎดังกล่าว "ไม่สามารถบังคับใช้ได้" เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า การถกเถียงเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดยังคงดำเนินต่อไป

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Reuters โดย Karen Freifeld และ Arsheeya Bajwa

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

รถบรรทุกไร้คนขับเริ่มวิ่งบนถนนในเท็กซัส

Aurora-Driverless-Truck
ภาพจาก Axios โดย Joann Muller

บริษัทรถบรรทุกไร้คนขับ Aurora ได้เดินทางไปกลับแบบไร้คนขับครั้งแรกระหว่างดัลลัสและฮิวสตันเมื่อวันที่ 27 เมษายน โดยบรรทุกขนมอบแช่แข็งไว้ในรถพ่วง 

นี่เป็นผลมาจากการทดสอบเป็นเวลาสี่ปีโดยที่ยังมีคนนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ซึ่งระหว่างนั้น Aurora บันทึกระยะทางขับขี่อัตโนมัติได้ 3 ล้านไมล์ และขนส่งสินค้าให้ลูกค้ามากกว่า 10,000 เที่ยว 

ภายในสิ้นปีนี้ บริการไร้คนขับมีแผนที่จะขยายไปยังเอลปาโซและฟีนิกซ์

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Axios โดย Joann Muller

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

การสมัครเรียนปริญญาด้าน AI ในสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 15%

College-Degree
ภาพจาก BCS-The Chartered Institute for IT

บริการรับสมัครนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัยและวิทยาลัย (Universities and Colleges Admissions Service) พบว่ามีการสมัครเข้าศึกษาต่อด้าน AI ในมหาวิทยาลัยของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้น 15% ในปีนี้ โดยมีการเพิ่มขึ้น 15% ในกลุ่มผู้หญิง และ 12% ในกลุ่มผู้ชาย 

อย่างไรก็ตาม การสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีแบบเต็มเวลาในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์กลับลดลง 10% แม้ว่าปริญญาด้าน AI จะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ของจำนวนใบสมัครในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่ความต้องการโดยรวมยังคงสูงกว่าสำหรับวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และปริญญาด้านเกมคอมพิวเตอร์และแอนิเมชัน

อ่านข่าวเต็มได้ที่: BCS-The Chartered Institute for IT


มุมมองเกี่ยวกับ TAA อาร์เตต้า แชมป์เปี้ยนลีกและยูโรป้าคัพนัดชิง

Anfield-Stadium
ภาพจาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Anfield_Stadium,_Liverpool_-_geograph.org.uk_-_5885062.jpg

บล็อกนี้เป็นบล็อกแรกที่ผมจะเขียนถึงลิเวอร์พูลในคอลัมน์ #อาทิตย์ติดแอนฟิลด์ ซึ่งจริง ๆ ผมตั้งใจจะเขียนคอลัมน์นี้มาตั้งแต่ต้นปีแล้วนะครับ แต่บังเอิญมาป่วยมาก ๆ ซะก่อน เลยไม่ได้เขียน  สำหรับคอลัมน์ #อาทิตย์ติดแอนฟิลด์นี้ ตามชื่อก็คือจะเป็นคอลัมน์เกี่ยวกับทีมที่ผมเชียร์มาสี่สิบกว่าเกือบจะห้าสิบปีก็คือลิเวอร์พูล และก็อาจจะมีกีฬาอื่น ๆ บ้าง เป็นการคุยกันวันอาทิตย์แบบสบาย ๆ ถ้าลิเวอร์พูลแข่งวันเสาร์ ก็จะเอาผลลัพธ์ เอารูปเกมมาพูดคุยกัน ถ้าลิเวอร์พูลแข่งวันอาทิตย์ ก็จะมาคาดการณ์ถึงผลการแข่งขันที่อาจจะเกิดขึ้น หรือบางสัปดาห์ก็อาจจะเอาข่าวที่น่าสนใจมาพูดคุยกัน

ก็ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่นักข่าวกีฬา ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านแท็กติกฟุตบอลอะไร ดังนั้นก็จะเขียนในมุมมมองของแฟนบอลธรรมดาคนหนึ่ง และถ้ามีข่าวอะไรก็คงไม่ได้อัพเดตเท่ากับอินฟลูเอนเซอร์ด้านฟุตบอลที่มีอยู่มากมายนะครับ 

บล็อกแรกนี้ผมเขียนขึ้นหลังจากที่พวกเราก็รู้กันอยู่แล้วนะครับว่าลิเวอร์พูลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษประจำฤดูกาล 2024-2025 ไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนการจบฤดูกาลสี่นัด ก็แน่นอนครับว่าสร้างความยินดีให้กับเดอะคอปทั่วโลก และจะเป็นปีที่ได้ฉลองแชมป์แบบจริง ๆ จัง ๆ หลังจากที่การคว้าแชมป์ครั้งแรกในรอบ 30 ปีเมื่อฤดูกาล 2019-2020 มันเป็นช่วงโควิด ตอนนี้คนรู้จักของผมหลายคนก็ได้ออกเดินทางไปแอนฟิลด์กันแล้วครับ 

Trent-Alexander_Arnold
ภาพจาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Trent_Alexander_Arnold_2022_(2).jpg

กลับมาถึงหัวข้อหลักของเราในวันนี้นะครับ อย่างที่พวกเราคงทราบกันแล้วนะครับว่านักเตะที่เป็นกำลังหลัก เป็นนักเตะที่เป็น scouser นักเตะที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นยอดตำนานของสโมสรต่อไปต่อจากสตีเวน เจอร์ราด ก็คือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ หรือ TAA ตัดสินใจที่จะไม่อยู่ต่อกับทีม โดยคาดว่าจะไปเป็นนักเตะของทีมราชันชุดขาว เรอัล มาดริด 

ซึ่งการตัดสินใจนี้ ก็คงต้องบอกว่าทำความเสียใจให้กับเดอะคอปส่วนใหญ่ และจากความเสียใจก็แตกออกเป็นหลากหลาย บางกลุ่มก็กลายเป็นความโกรธ สาปแช่ง เกลียดไปเลย บางกลุ่มก็เข้าใจ และเห็นว่า TAA เต็มที่กับเรามาแล้ว ถ้าจะไปหาความท้าทายใหม่ ก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จ บางกลุ่มก็อยู่กลาง ๆ ไม่เกลียดแต่ก็ไม่เชียร์ 

สำหรับผมน่าจะอยู่ในกลุ่มกลาง ๆ นะครับ คือเราเชียร์ทีมมานาน ก็เห็นนักเตะเข้ามาแล้วย้ายออกไป เป็นเรื่องปกติ แต่สโมสรก็ยังคงอยู่ และเราก็เชียร์กันต่อไป แน่นอนนักเตะที่เป็นระดับไอคอน เป็นตำนาน เมื่อย้ายออกหรือเลิกเล่น มันก็มีผลกระทบทางจิตใจมากกว่า ยิ่งเป็นการย้ายของนักเตะที่จริง ๆ ควรเล่นอยู่กับเราจนเป็นตำนาน สร้างความสำเร็จไปด้วยกันย้ายออกไปก็มีความรู้สึกมากกว่าปกติ 

ถามว่าผมเข้าใจ TAA ไหม ก็ต้องบอกว่าทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจครับ ที่ว่าเข้าใจก็คือ คนเราเมื่ออยู่ที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ ก็อาจเป็นไปได้ว่าถึงจุดอิ่มตัว และต้องการย้ายไปหาความท้าทายใหม่ ๆ ออกจากเซฟโซนของตัวเอง แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ถ้าคิดว่าจะย้ายออกไปเพื่อไปอยู่สโมสรที่ดีกว่า มีโอกาสคว้ารางวัลส่วนตัวอย่างบัลลงดอร์มากกว่า อันนี้ผมไม่เข้าใจครับ 

ในฐานะแฟนบอลลิเวอร์พูล ผมไม่เคยคิดว่าจะมีสโมสรไหนดีกว่าลิเวอร์พูล ดังนั้น TAA ซึ่งเป็นคนที่เป็นทั้งแฟนบอลและเติบโตมากับสโมสร ถ้า TAA จะไปคิดว่ามีสโมสรไหนดีกว่าลิเวอร์พูลผมก็ไม่เข้าใจครับ 

ถ้าจะมองในแง่ความสำเร็จส่วนตัว ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อนผมเข้าใจได้ครับ เพราะลิเวอร์พูลมีปัญหามาก ดังนั้นนักเตะเก่ง ๆ ที่ต้องการความสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัล ก็เลือกย้ายออกไปถ้ามีข้อเสนอมาจากเรอัลมาดริด หรือบาร์เซโลนา แต่ตอนนี้ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่คว้าถ้วยรางวัลได้เกือบทุกปี ดังนั้นถ้าต้องการความสำเร็จ มาอยู่คว้าความสำเร็จกับทีมที่รักไม่ดีกว่าหรือ

ในแง่รางวัลส่วนตัวอย่างบัลลงดอร์ ก็ไม่เห็นว่าถ้าอยู่กับลิเวอร์พูลแล้วจะคว้าไม่ได้ ที่ผ่านมาก็มีโอเว่น (ซึ่งบางคนอาจไม่อยากนับ) ที่ได้มาแล้ว และปีนี้ซาลาห์ก็มีโอกาสจะได้  และก็เหมือนเดิมการคว้ารางวัลกับทีมที่ตัวเองรักมันน่าจะฟินกว่า 

อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องการบริหารจัดการ และองค์ประกอบเบิ้องหลังของทีม ตอนนี้ลิเวอร์พูลก็ถือว่ามีการบริหารจัดการและทีมงานเบื้องหลังที่สุดยอดมาก อาจมีเรื่องการซื้อขายที่อาจขัดใจอยู่บ้าง (คือขัดใจแฟนบอลนะครับ แต่ทีมบริหารเขาอาจคิดดีแล้วก็ได้) ส่วนตัวคิดว่าดีกว่ามาดริดนะ

เรื่องนักเตะและความสามัคคีในทีม ผมก็คิดว่าทีมลิเวอร์พูลเราก็น่าจะดีกว่า เรื่องแฟนบอลนี่ไม่ต้องพูดถึง อย่างที่เขาพูดกัน แฟนบอลมาดริด อดทนต่ำ พร้อมจะด่านักเตะตัวเองได้เสมอ ถ้าไม่พอใจ และก็ไม่ค่อยให้เวลาในการปรับตัว เขาอาจคิดว่าเมื่อคุณเข้ามามาดริดคุณคือซุปตาร์ซึ่งไม่ต้องการเวลาปรับตัวใด ๆ อีกอย่างคือเรื่องเงิน ตามข่าวคือ TAA จะได้เงินน้อยกว่าที่ลิเวอร์พูลจะให้ 

ดังนั้นจากที่กล่าวมาทั้งหมด ถ้าเป็นผมผมไม่ย้ายครับ แต่ TAA อาจคิดต่างออกไป ก็เป็นเรื่องการตัดสินใจของเขาครับ 

ดังนั้นสิ่งที่ผมจะอวยพรให้กับ TAA คือ ขอให้เขาได้ลงเป็นตัวจริงเป็นตัวหลักของทีม ไม่ถูกดอง หรือกลายเป็นแค่ตัวเสริมของทีมที่มีแต่ซุปตาร์ แต่ถามว่าจะอวยพรให้สำเร็จได้ถ้วยรางวัลอะไรไหม ก็คงไม่ครับ เหตุผลคือผมไม่ได้ชอบมาดริดครับ และมาดริดก็เป็นคู่แข่งของเราในยูฟ่าแชมป์เปี้ยนลีก ดังนั้นถ้าเชียร์ให้ TAA ประสบความสำเร็จกับทีม ก็เท่ากับเชียร์ให้มาดริดประสบความสำเร็จ เขาก็จะมีความสำเร็จเหนือเราไปเรื่อย ๆ ซึ่งผมว่าแฟนลิเวอร์พูลเดนตายทั้งหลายก็คงไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น 

จบเรื่อง TAA ไปมาคุยเรื่องอาร์เตต้าหน่อย ผมขอย้ำนะครับว่าอาร์เตต้า ไม่ใช่อาร์เซนอล ถึงแม้อาร์เตต้าจะเป็นผู้จัดการทีมของอาร์เซนอลก็ตาม ก่อนอื่นผมต้องบอกว่า อาร์เซนอลทำผลงานได้ดีมากในยุคอาร์เตต้านะครับ การที่ได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีกติดต่อกันสองสมัย มันแสดงถึงมาตรฐานที่ดีมากของทีม (ไม่ต่างจากที่เราขับเคี่ยวกับซิตี้มาหลาย ๆ ฤดูกาล) ยิ่งในฤดูกาลนี้ นักเตะเจ็บกันเพียบ ยังอยู่ที่สองตอนนี้ และเข้าถึงรอบรองแชมป์เปี้ยนลีก ซึ่งผลงานตรงนี้มันประจักษ์อยู่แล้ว 

Mikel-Arteta
ภาพจาก https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Mikel_Arteta_2021_(cropped).png

ส่วนตัวผมนับถืออาร์เซนอล และอาร์เตต้าว่าเก่งจริง ๆ คือโค้ชจะเก่งไม่เก่ง ผมว่ามันวัดกันด้วยการแก้ปัญหาแบบนี้ด้วยนะครับ แต่อาร์เตต้าไม่รู้คิดอะไร ถึงไปให้สัมภาษณ์เหมือนคนแพ้ไม่เป็น ทั้งในลีกซึ่งยังแข่งไม่จบนะ บอกว่าลิเวอร์พูลได้แชมป์โดยมีแต้มน้อยกว่าอาร์เซนอลปีที่ไม่ได้แชมป์ ขอโทษนะอาร์เตต้า คุณได้ไม่ถึง 90 นะ ลีกก็ยังแข่งไม่จบ และมันมีปีที่ลิเวอร์พูลได้ 97 แล้วก็ไม่ได้แชมป์ด้วยนะคุณรู้หรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากแพ้ PSG ตกรอบรองแชมป์เปียนลีกส์ ยังบอกว่าทีมตัวเองดีที่สุดในสี่ทีมอีก จนถูกตอกกลับจากหลุยส์ เอนริเก้ โค้ช PSG

วันอาทิตย์คือวันนี้เราจะเปิดบ้านรับอาร์เซนอลด้วย ผมก็อยากกระตุ้นให้ทีมเราเอาจริงหน่อยนะ จริง ๆ สามนัดที่เหลืออยากให้ชนะให้หมด ทำแต้มให้ทะลุ 90 ไปเลยจะได้จบ ๆ กันไป อีกอย่างยังมีภารกิจเหลืออีกนะคือปั้นซาลาห์ให้คว้าบัลลงดอร์ปีนี้ 

ส่วนคู่ชิงแชมป์เปียนลีก ผมเชียร์ PSG นะ เพราะจะได้พูดว่าเราตกรอบเพราะทีมแชมป์ แต่อินเตอร์มิลานนี่ก็โชว์ฟอร์มได้ดีจริง ๆ สมควรเป็นแชมป์เหมือนกัน ส่วนถ้วยอันดับสองอย่างยูโรป้าลีกได้คู่ชิงเป็นทีมจากอังกฤษชิงกันเอง แต่เป็นทีมอันดับสิบห้าและสิบหกในลีกตอนนี้ คือแมนยูและสเปอร์ ซึ่งมันอาจแสดงให้เห็นได้ในส่วนนึงนะว่า พรีเมียร์ลีกอังกฤษแข็งแค่ไหน รอบรองนี่ทั้งสองทีมชนะขาดเลยนะ แต่ในอีกแง่หนึ่งทั้งสองทีมจริง ๆ เป็นทีมชั้นนำในพรีเมียร์ลีกนะ เพียงแต่ปีนี้ผลงานในลีกไม่ดี  

ส่วนคนที่ออกมาให้ความเห็นว่าแชมป์ยูโรป้าไม่ควรได้สิทธิเล่นแชมป์เปี้ยนลีก อันนี้เอาจริง ๆ ผมเห็นด้วยนะ ไม่รู้ว่ามันเริ่มมาจากปีไหน และยูฟ่าได้วิเคราะห์ไหมว่าทีมที่ได้เข้ามาจากการเป็นแชมป์ยูโรป้าไปได้ไกลแค่ไหน เอาง่าย ๆ อย่างเซบีญาจากสเปนที่ได้สิทธิมาจากการเป็นแชมป์ยูโรป้ามาตั้งหลายครั้งไปได้ไกลแค่ไหน ซึ่งถ้าวิเคราะห์จริง ๆ ก็จะเห็นได้ว่าไปได้ไม่ไกลเท่าไร

แต่กฎมันก็ต้องเป็นกฎดังนั้นถ้าถามว่าทีมใดทีมหนึ่งในสองทีมนี้ควรได้ไปไหม ก็ต้องบอกว่าสมควรเพราะเขาตามกฎทุกอย่าง  เขาชนะผ่านมาตลอด ไม่ได้จับฉลากเข้ามา เอาจริง ๆ แมนยูยังไม่แพ้ใครในถ้วยนี้เลยด้วยซ้ำ และทั้งแมนยูและสเปอร์จริง ๆ ก็เป็นทีมที่ได้ลุ้นโควต้าแชมป์เปี้ยนลีกแทบทุกปี แต่ก็น่าเห็นใจทีมอย่างฟอเรสต์ที่โชว์ฟอร์มได้ดีเกือบทั้งฤดูกาล แต่มาหลุดช่วงท้ายอาจไม่จบหนึ่งในห้า หรือสมมติอาร์เซนอลเจอสถานการณ์เลวร้ายสุด ถูกแซงในสามนัดสุดท้ายอดไป แล้วต้องมาดูทีมอันดับ 15 หรือ 16 ได้ไปก็คงแปลก ๆ เหมือนกัน 

แต่ถ้าถามว่าผมอยากให้ใครได้แชมป์ยูโรป้าลีก ผมคงไม่บอกตรง ๆ นะครับ แต่ผมเป็นหนึ่งในคนที่เชียร์ลิเวอร์พูลแบบเข้าเส้น ผมเชื่อว่าคนที่เป็นแฟนลิเวอร์พูลในระดับเดียวกับผมนี่ คงรู้ว่าผมเชียร์ใครนะครับ...