วันเสาร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2566

หุ่นยนต์จิ๋วท่องไปในเส้นเลือดผ่าตัดได้สมบูรณ์

blood-vessel
ภาพจาก  IEEE Spectrum

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Hanyang ของเกาหลีใต้ได้แสดงให้เห็นว่าหุ่นยนต์ขนาดเล็กสามารถเดินทางโดยอัตโนมัติไปยังหลอดเลือดแดงต้นขาชั้นตื้นในหมู ส่งสีย้อมที่ตัดกัน และกลับไปยังจุดสกัด (extraction) ได้อย่างปลอดภัย

นี่อาจเป็นการปูทางไปสู่การใช้หุ่นยนต์เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดอุดตันในมนุษย์ และลดความจำเป็นในการถ่ายภาพเอ็กซ์เรย์เพื่อนำทางอุปกรณ์ผ่าตัด

นักวิจัยได้พัฒนาหุ่นยนต์ I-RAMAN (robotically assisted magnetic navigation system for endovascular intervention: ระบบนำทางด้วยแม่เหล็กโดยใช้หุ่นยนต์ช่วยสำหรับการสอดสายสวนหลอดเลือด) ซึ่งสามารถนำทางหลอดเลือดของผู้ป่วยได้เองโดยใช้แผนที่สามมิติที่สร้างจากภาพเอ็กซ์เรย์สองมิติ

หุ่นยนต์ถูกฉีดเข้าไปในเส้นเลือดผ่านทางสายสวน จากนั้นสนามแม่เหล็กภายนอกจะปลดหุ่นยนต์ออกจากสายสวนและนำหุ่นยนต์ไปยังพื้นที่การรักษาและกลับมา

อ่านข่าวเต็มได้ที่: IEEE Spectrum

วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566

การตรวจจับยังนำหน้า Deepfake อยู่ในตอนนี้

deepfake
ภาพจาก IEEE Spectrum

นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กำลังพัฒนาอัลกอริทึมขั้นสูงสำหรับการสร้างเนื้อหาสังเคราะห์ ในขณะเดียวกันก็สร้างอัลกอริทึมตอบโต้เพื่อตรวจจับเนื้อหาดังกล่าว

Real-Time Deepfake Detector ของ Intel ซึ่งมีกำหนดเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลินี้ จะมี FakeCatcher ซึ่งสามารถระบุการเปลี่ยนแปลงของใบหน้าเนื่องจากการไหลเวียนของเลือด

FakeCatcher พัฒนาโดยนักวิจัยที่ Intel และ Binghamton University ไม่สามารถทำวิศวกรรมย้อนกลับได้ง่าย ๆ ดังนั้นจึงไม่สามารถนำมาฝึกให้อัลกอริทึมสร้างข้อมูลหลอกได้ดีขึ้น

ท่ามกลางเครื่องมือตรวจจับอื่น ๆ นักวิจัยจาก University of Florida ได้พัฒนาระบบที่สร้างตัวแบบช่วงเสียงของมนุษย์ และสามารถระบุได้ว่าการบันทึกเสียงนั้นมีความเป็นไปได้ทางชีวภาพหรือไม่

อ่านข่าวเต็มได้ที่: IEEE Spectrum



วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2566

ภาษาโปรแกรมและหัวข้อยอดนิยมที่นักพัฒนาต้องการเรียน

developer-working
ภาพจาก ZDNet

รายงานแนวโน้มเทคโนโลยีของ O'Reilly Media ในปี 2023 ในการวิเคราะห์ข้อมูลบนแพลตฟอร์มการเรียนรู้ของบริษัทจากผู้ใช้ 2.8 ล้านคน พบว่าปัญญาประดิษฐ์เป็นหัวข้อที่นักพัฒนาให้ความสนใจบ่อยที่สุดในปีที่แล้ว

แพลตฟอร์มการเรียนรู้กล่าวว่าผู้ใช้แสดงความสนใจเนื้อหาเกี่ยวกับการประมวลผลภาษาธรรมชาติเพิ่มขึ้น 42% ปีต่อปี และความสนใจเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้เชิงลึกเพิ่มขึ้น 23%

อย่างไรก็ตาม ความสนใจในเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบเสริมกำลัง (reinforcement learning) และแชทบอทลดลง 14% และ 5.8% ตามลำดับ

สำหรับความนิยมของภาษาโปรแกรม Java และ Python อยู่ในอันดับต้น ๆ ตามด้วย Go, C++, JavaScript, C#, C, Rust, TypeScript ของ Microsoft ซึ่งเป็นภาษาที่เป็นซุปเปอร์เซ็ตของ JavaScript, R, Kotlin และ Scala

อ่านข่าวเต็มได้ที่: ZDNet

วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2566

สร้างคอมพิวเตอร์จากอะตอมเพียงตัวเดียว

atom-physic
ภาพจาก  SciTechDaily

นักวิจัยจาก Tulane University และ US Army Research Laboratory ได้พัฒนาคอมพิวเตอร์อะตอมเดี่ยวแบบไม่เชิงเส้นที่ใช้การประมวลผลอินพุต-เอาท์พุตแบบออปติคอลอย่างสมบูรณ์ โดยมีการสอบทวนการคำนวณให้แน่นอนโดยใช้ตัวกรองเอาต์พุต

Gerard McCaul จาก Tulane กล่าวว่า "การวิจัยของเรายืนยันว่าวิธีการนี้ใช้ได้ผลในหลักการ เช่นเดียวกับการยืนยันข้อเท็จจริงที่ว่าระบบทำงานได้ดีขึ้นเมื่อไฟอินพุตได้รับการออกแบบให้เหนี่ยวนำให้เกิดความไม่เป็นเส้นตรงในระดับที่สูงขึ้นในระบบ ฉันอาจพูดได้ว่าสิ่งที่เราพยายามเน้นในงานนี้คือระบบขั้นต่ำที่สามารถคำนวณได้นั้นมีอยู่จริงในระดับของอะตอมเดี่ยว และการคำนวณนั้นสามารถทำได้ด้วยกระบวนการทางแสงเท่านั้น"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: SciTechDaily

วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2566

คอมพิวเตอร์ของรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองอาจเพิ่มการปล่อยคาร์บอน

car
ภาพจาก National Science Foundation

นักวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) พบว่าการทำงานของคอมพิวเตอร์ของรถยนต์ไร้คนขับสามารถกระตุ้นให้เกิดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก

นักวิจัยได้พัฒนาแบบจำลองทางสถิติเพื่อวิเคราะห์การใช้พลังงานที่อาจเกิดขึ้นและการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้ยานยนต์ไร้คนขับอย่างแพร่หลาย

ตัวแบบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารถยนต์ไร้คนขับจำนวน 1 พันล้านคันที่ขับขี่วันละ 1 ชั่วโมงโดยใช้คอมพิวเตอร์ที่กินไฟ 840 วัตต์ จะสร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่ากับศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ซึ่งInternational Energy Agency ระบุว่ามีสัดส่วนประมาณ 0.3% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก

Vivienne Sze จาก MIT กล่าวว่า "การใช้พลังงานของรถยนต์ไร้คนขับมีความสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่การยืดอายุแบตเตอรี่เท่านั้น แต่ยังเพื่อความยั่งยืนด้วย"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: National Science Foundation