วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2565

งานด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลตัวเลือกสูงสุดสำหรับเจน Z

data-scientist
ภาพจาก ACM

เว็บไซต์สำรวจงานของสหรัฐ Glassdoor รายงานว่าคนทำงานเจน Z มีความพึงพอใจในอาชีพด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูล โดยอยู่ในอันดับที่ 4 จาก 10 อันดับแรก

Richard Johnson แห่ง Glassdoor กล่าวว่าการวิจัยก่อนหน้านี้พบว่านักวิทยาศาสตร์ข้อมูลได้รับค่าแรงสูง มีตำแหน่งงานว่างมากมาย และมีความพึงพอใจในงานมาก ทำให้ "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปัจจัยเหล่านี้ดึงดูดพนักงานที่อายุน้อยที่กำลังเริ่มต้นทำงาน"

รายงานยังระบุด้วยว่าพนักงานที่อายุน้อยมีความพึงพอใจมากขึ้นในการทำงานให้กับบริษัทขนาดใหญ่และเป็นที่ยอมรับ ซึ่งสามารถรับมือกับความวุ่นวายทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลไม่จำเป็นต้องอยู่ในสำนักงาน นายจ้างจึงมีแนวโน้มที่จะให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการทำงานทางไกลมากขึ้น

Johnson กล่าวว่าวิทยาศาสตร์ข้อมูลยังดึงดูดเจน Z เพราะมันต้องการความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากพนักงานต้อง "ทำความเข้าใจรูปแบบข้อมูลที่ซับซ้อน และนำมาผสานเข้ากับคำบรรยายที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้เกี่ยวข้องที่หลากหลาย"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Fortune


วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2565

คำที่สร้างขึันเอง หลอก AI ที่ใช้สร้างภาพจากข้อความ

circuit-board
ภาพจาก Discover

Raphaël Millière แห่ง Columbia University' พบว่าคำที่สร้าวขึ้นเองสามารถหลอกลวงเครื่องมือสร้างข้อความเป็นรูปภาพ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัย 

Millièreสร้างคำที่ไร้สาระโดยใช้เทคนิคการรวมเอาคำที่มีความหมายจริงจากภาษาต่าง ๆ มาประกอบกัน ตัวอย่างเช่น คำว่า "falaiscoglieklippantilado" ที่ประกอบขึ้นจากคำภาษาเยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส และสเปนสำหรับ "หน้าผา" ซึ่งผลลัพธ์คือเครื่องสร้างภาพของหน้าผาหลายรูป เมื่อป้อนข้อมูลลงในเครื่องมือสร้างข้อความเป็นรูปภาพ DALL-E 2 

Millière กล่าวว่า "การทดลองเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าสตริงแบบผสมสามารถสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างภาพของวัตถุแทบทุกประเภทที่ต้องการ หรือแม้กระทั่งรวมเข้าด้วยกันเพื่อสร้างฉากที่ซับซ้อนมากขึ้น" 

อย่างไรก็ตาม Millière ตั้งข้อสังเกตว่า "โดยหลักการแล้ว การผสมคำแบบนี้อาจเป็นวิธีที่ง่าย และน่าจะเลี่ยงจากตัวกรอง [เนื้อหา] ได้เป็นอย่างดี ซึ่งอาจนำไปสู่เพื่อสร้างเนื้อหาที่เป็นอันตราย ล่วงละเมิด ผิดกฎหมาย หรือมีความละเอียดอ่อน ซึ่งรวมถึงความรุนแรง ความเกลียดชัง การเหยียดผิว การเหยียดเพศ หรือ ภาพลามกอนาจาร

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Discover

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Apple เตือนช่องโหว่ด้านความมั่นคงของ iPhone, iPad และ Mac

Apple-Store
ภาพจาก Associated Press

Apple ออกรายงานความมั่นคงสองฉบับเกี่ยวกับข้อบกพร่องสำคัญที่แฮ็กเกอร์อาจใช้ประโยชน์จากเพื่อยึด iPhone, iPad และ Mac โดยได้รับ "สิทธิ์การเข้าถึงระดับผู้ดูแลระบบเต็มรูปแบบ"

Rachel Tobac จากบริการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ SocialProof Security กล่าวว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ผู้บุกรุกปลอมแปลงเป็นเจ้าของอุปกรณ์และเรียกใช้ซอฟต์แวร์ใด ๆ เหมือนกับเจ้าของเป็นคนเรียกเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงแนะนำให้ผู้ใช้อัปเดตอุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบ ในขณะที่นักวิจัย Will Strafach กล่าวว่าเขาไม่เห็นการวิเคราะห์ทางเทคนิคเกี่ยวกับช่องโหว่ที่ Apple เพิ่งแก้ไข

บริษัทอ้างว่านักวิจัยนิรนามเป็นผู้ค้นพบข้อบกพร่อง โดยไม่เปิดเผยว่าพบได้อย่างไรหรือที่ไหน ก่อนหน้านี้ Apple ยอมรับการมีอยู่ของข้อบกพร่องร้ายแรงที่คล้ายคลึงกัน และแสดงความตระหนักว่าช่องโหว่ดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้งานหลายสิบครั้งจากการประมาณการของ Strafach

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Associated Press

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565

Deepfakes เผยช่องโหว่ในเทคโนโลยีจดจำใบหน้า

deep-fake
Photo by Christian Gertenbach on Unsplash

นักวิจัยจาก Pennsylvania State University และ หลายมหาวิทยาลัยในซานตงและเจ้อเจียงของจีนพบว่า ส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์ (Application Programming Interface) หรือ  API ส่วนใหญ่ที่ใช้คุณสมบัติการตรวจจับความมีชีวิตจากใบหน้าของเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ระบุ Deepfakes ไม่ได้เสมอไป และตัวที่ทำได้ก็มีประสิทธิภาพน้อยกว่าที่อ้างไว้ในการตรวจจับ Deepfakes

นักวิจัยได้สร้างและใช้เฟรมเวิร์กการโจมตีที่ขับเคลื่อนด้วย DeepFake คือ LiveBugger เพื่อประเมิน API การตรวจสอบความมีชีวิตจากใบหน้าที่ใช้ในเชิงพาณิชย์จำนวน 6 รายการ LiveBugger พยายามหลอกลวง API โดยใช้รูปภาพและวิดีโอ Deepfake จากชุดข้อมูลสองชุดที่แยกจากกัน และสามารถผ่านการตรวจจับจากวิธีการตรวจสอบที่ใช้กันมากที่สุด 4 วิธีได้อย่างง่ายดาย

นักวิจัยเสนอให้เสริมความปลอดภัยให้กับเทคโนโลยีด้วยการกำจัดการตรวจสอบที่วิเคราะห์เฉพาะภาพนิ่งของใบหน้าของผู้ใช้ และใหใช้การจับคู่การเคลื่อนไหวของริมฝีปากกับเสียงของผู้ใช้ในรูปแบบการวิเคราะห์ภาพและเสียงแบบคู่

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Pennsylvania State University

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2565

นักวิจัยจาก Stanford และ Nvidia ลดขนาดอุปกรณ์สวมหัว VR ให้เหลือขนาดเท่าแว่นปกติ

vr-headset
ภาพจาก Interesting Engineering

อุปกรณ์สวมหัวสำหรับความจริงเสมือน (virtual reality) หรือ VR ถูกลดความหนาให้เท่ากับแว่นตาที่ใช้กันทั่วไป โดยนักวิทยาศาสตร์จาก Stanford University และบริษัทซอฟต์แวร์ Nvidia ซึ่งออกแบบเลนส์แพนเค็ก (pancake lense) ให้ทำงานร่วมกับภาพสามมิติ 

 อุปกรณ์นี้มีน้ำหนักเพียง 60 กรัม ซึ่งหนักน้อยกว่าชุดสวมหัว Quest ของ Meta ที่หนัก 503 กรัม เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม มุมมองภาพ (field-of-view) ของตัวอุปกรณ์ต้นแบบยังเล็กกว่าอุปกรณ์ที่มีขายในตลาดปัจจุบัน และยังต้องมีการวัดขนาดรูม่านตาของผู้ใส่ให้แม่นยำอีกด้วย

อ่านข่าวเต็มได้ที่:  Interesting Engineering