วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2564

นักวิจัยพบว่า Apple Pay ถูกแฮคโดยใช้การจ่ายเงินแบบไม่ต้องสัมผัสของ VISA

contactless-payment
ภาพจาก BBC News

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Birmingham and Surrey ของสหราชอาณาจักรค้นพบวิธีการแฮ็กสำหรับการชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัสบน iPhone โดยใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนใน Apple Pay พวกเขาเปิดใช้งานการชำระเงิน Visa แบบไม่ต้องสัมผัสจาก iPhone ที่ถูกล็อค โดยใช้คุณสมบัติ "Express Transit" ของ Apple Pay ซึ่งช่วยให้ผู้เดินทางชำระเงินได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการวางอุปกรณ์วิทยุไว้ใกล้ ๆ ทำให้ iPhone คิดว่าอยู่ใกล้ที่อ่านบัตร ในขณะที่โทรศัพท์ Android ที่ใช้งานแอปพลิเคชันพิเศษจะส่งสัญญาณจาก iPhone ไปยังเครื่องชำระเงินแบบไม่ต้องสัมผัส การสื่อสารกับเครื่องอ่านบัตรได้รับการปรับแต่ง ดังนั้นจึงทำให้มันคิดว่า  iPhone  นั้นปลดล็อกและได้รับการยืนยันตัวตนแล้ว นักวิจัยกล่าวว่าปัญหาดังกล่าวเกี่ยวข้องกับบัตร Visa ที่ตั้งค่าในโหมด Express Transit ในกระเป๋าเงินของ iPhone โดยVisa มองการแฮ็กนี้ว่า "ทำไม่ได้ในทางปฏิบัติ" ในขณะที่ Apple อธิบายว่า "ไม่น่าจะทำได้"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: BBC News

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แพลตฟอร์ DeFi ส่งเงินผิดพลาดไป 89 ล้านเหรียญ CEO ขอร้องให้โอนเงินคืน

 

Bitcoins
Photo by Executium on Unsplash

แพลตฟอร์ม DeFi ชื่อ Compound ได้ส่งสกุลเงินดิจิทัลไปให้ผู้ใช้ไปแบบผิดพลาดคิดเป็นมูลค่าไปเกือบ 90 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากข้อบกพร่องในการอัพเดทล่าสุด และ CEO Robert Leshner กำลังเรียกร้องให้ผู้ใช้ส่งคืนโดยสมัครใจ แพลตฟอร์ม DeFi อาศัย "สัญญาอัจฉริยะ (smart contracts)" ระหว่างผู้ใช้ที่ควบคุมโดยรหัสคอมพิวเตอร์ทั้งหมด Compound ยังแจกจ่ายโทเค็น COMP เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าโปรโตคอลทำงานอย่างไร Leshner ตั้งข้อสังเกตว่าข้อผิดพลาดเกี่ยวข้องกับโทเค็น COMP 280,000 โทเค็นมูลค่าประมาณ 89.3 ล้านดอลลาร์ที่แจกจ่ายในวันที่ 1 ต.ค. Kevin Werbach แห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย Wharton School กล่าวว่า "คนส่วนใหญ่ในโลกจะไม่ไว้วางใจใช้เงินของพวกเขากับบางสิ่งบางอย่าง หากมีใครบอกพวกเขาว่าบั๊กที่เกิดขึ้นจะทำให้เขาสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Bloomberg

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2564

เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นโดรนจะให้น้ำหนักกับทางเลือกต่าง ๆ

drone
ภาพจาก University of Illinois at Urbana-Champaign

การวัดความสามารถของอากาศยานไร้คนขับในการกลับมาทำงานเป็นปกติจากการทำงานผิดพลาด และทำภารกิจให้เสร็จสมบูรณ์ได้อย่างปลอดภัย คือหัวใจสำคัญของการวิจัยโดยนักวิทยาศาสตร์ที่  University of Illinois at Urbana-Champaign (UIUC)   "ความยืดหยุ่นเชิงปริมาณ (quantitative resilience)" ของระบบควบคุมพยายามตรวจสอบความสามารถดังกล่าวของระบบหลังจากเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ตามคำกล่าวของ Melkior Ornik ของ UIUC เขากล่าวว่างานดังกล่าวต้องการให้โดรนแก้ปัญหาความท้าทายด้านการปรับให้เหมาะสม (optimization) แบบซ้อนทั้งสี่แบบซึ่งอาจไม่เป็นแบบเชิงเส้น และลดการคำนวณความยืดหยุ่นเชิงปริมาณให้เป็นปัญหาการปรับให้เหมาะสมเชิงเส้น Ornik กล่าวเสริมว่า "ความสามารถในการทำงานต่อให้เสร็จเมื่ออุปกรณ์ทำงานผิดปกติมีผลกับการใช้งานในชีวิตจริง"

อ่านข่าวเต็มได้ที่: University of Illinois at Urbana-Champaign

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ก้าวสู่การบันทึกข้อมูลสุขภาพดิจิทัลแบบฉลาดขึ้น

med-work
ภาพจาก MIT News

ระบบที่พัฒนาโดยนักวิจัยจาก Massachusetts Institute of Technology (MIT) และ Boston’s Beth Israel Deaconess Medical Center มีเป้าหมายที่จะปรับปรุงบันทึกด้านสุขภาพทางอิเล็กทรอนิกส์โดยผสมผสานการเรียนรู้ของเครื่องและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ ระบบนี้เรียกว่า MedKnowts จะแสดงเวชระเบียนที่ได้รับการปรับแต่งเฉพาะผู้ป่วยแต่ละคนโดยอัตโนมัติ เสนอการเติมข้อความอัตโนมัติสำหรับศัพท์ทางคลินิก และเติมข้อมูลในช่องข้อมูลผู้ป่วยโดยอัตโนมัติ และอีกหลายอย่าง Luke Murray แห่ง MIT กล่าวว่า "[แพทย์] จะดูหน้าที่เกี่ยวกับการรักษาและมุ่งเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสภาพปัจจุบันของคนไข้ เรากำลังช่วยทำกระบวนการนั้นโดยอัตโนมัติ และหวังว่าจะช่วยย้ายอะไรบางอย่างออกจากหัวของแพทย์เพื่อให้พวกเขามีมีเวลาคิดเกี่ยวกับอะไรที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งก็คือการระบุว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับคนไข้ และคิดแผนการรักษา”

อ่านข่าวเต็มได้ที่: MIT News

วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2564

จะสร้างระยะห่างระหว่างคนเดินถนนได้อย่างไรในโลกยุคหลังการระบาด

pedestrians
ภาพจาก Universitat Oberta de Catalunya (Spain)

ด้วยการใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ นักวิทยาศาสตร์จาก Universitat Oberta de Catalunya (UOC) ในสเปนและ University of California, Berkeley ได้ออกแบบวิธีในการกำหนดวิธีการวัดที่ต้องใช้เพื่อให้แน่ใจว่าคนเดินถนนในที่สาธารณะจะเว้นระยะห่างกันมากขึ้น นักวิจัยใช้ข้อมูลระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ หรือ GIS ซึ่งโดยทั่วไปจะถูกเก็บอยู่บนเครื่องสำหรับเก็บข้อมูลที่เปิดเป็นสาธารณะของหน่วยงานในเมือง เพื่อวัดพื้นที่ที่สำหรับคนเดินเท้าและสำหรับการจราจรใน 10 เมืองในยุโรป อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ โดยงานวิจัยนี้ได้แสดงถึงความแตกต่างระหว่างเมืองต่าง ๆ และพบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วแต่ละเมืองจะเหลือที่ให้คนเดินเท้าค่อนข้างน้อย เมื่อเปรียบเทียบระหว่างยุโรป อเมริการเหนือ และอเมริกาใต้ พบว่ายุโรปนั้นมีการแบ่งส่วนที่เป็นธรรมมากที่สุด โดยประเทศที่เหลือที่ให้คนเดินเท้าน้อยที่สุดคือสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศในอเมริกาใต้นั้นอยู่ตรงกลาง "วิธีการของเราแสดงให้เห็นว่าด้วยกลยุทธ์ที่วางแผนไว้อย่างดี ความพยายามในการปรับปรุงระบบทางเท้าในเมืองสามารถทำได้ ในขณะที่ยังคงอนุญาตให้มีการการจราจรไหลไปตามปกติ" นักวิจัยกล่าว

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Universitat Oberta de Catalunya (Spain)

เพิ่มเติมเสริมข่าว: อยากให้มาลองวิเคราะห์ในประเทศไทยดูจัง นักวิจัยอาจตะลึงไปเลยก็ได้