วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ซอฟต์แวร์ช่วยพยากรณ์ค่าใช้จ่ายในโรงงาน

นักวิจัยจาก Purdue University และ Indiana Next Generation Manufacturing Competitiveness Center (IN-MaC) ได้พัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อช่วยให้โรงงานทำนายค่าใช้จ่ายในการผลิตได้ดีขึ้น โปรแกรมนี้ทำงานโดยผู้ใช้สามารถทดลองปรับเปลี่ยนสายการผลิตในแบบลากองค์ประกอบที่ต้องการมาวางลงบนจอภาพ เช่นการปรับเปลี่ยนว่าจะใช้เครื่องมือ คน หรือหุ่นยนต์ ซึ่งผู้ใช้จะเห็นราคาค่าใช้จ่ายเมื่อปรับเปลี่ยนองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งนักพัฒนาบอกว่าโปรแกรมนี้จะช่วยในการวางแผลกลยุทธของโรงงานในด้านการดำเนินการและประเมินค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งทั้งหมดอยู่ในขอบเขตเพื่อให้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีผลกระทบกับค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้าง 

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Purdue University News

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ภาษาเขียนโปรแกรม Rust เข้าสู่ 1 ใน 20 อันดับภาษายอดนิยมเป็นครั้งแรก

ภาษาเขียนโปรแกรม Rust เข้ามาติด 1 ใน 20 ของภาษาเขียนโปรแกรมที่มีความนิยมมากที่สุดของดัชนี Tiobe เป็นครั้งแรก ภาษา Rust ได้รับความนิยมมากขึ้นในการนำไปใช้เขียนโปรแกรมระบบ โดยไมโครซอฟท์ได้พิจารณาใช้ Rust กับ Windows และ Azure เพื่อลดข้อผิดพลาดจากการใช้งานหน่วยความจำจากโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C และ C++ ส่วน Amazon Web Service ก็ใช้ Rust กับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูง ในปีนี้ Rust ได้รับความนิยมอยู่ในอันดับที่ 20 โดยปีที่แล้วอยู่อันดับที่ 38 โดยอันดับในดัชนีนี้ไม่ได้หมายความว่ามีคนเขียนโปรแกรมด้วยภาษา Rust เพิ่มขึ้น แต่มีการค้นข้อมูลเกี่ยวกับภาษานี้มากขึ้น โดย CEO ของ Tiobe  software บอกว่า Rust เป็นภาษาสำหรับการเขียนโปรแกรมระบบที่ทำทุกอย่างได้ถูกต้อง

อ่านข่าวเต็มได้ที่: ZDNet

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2563

โปรแกรมเรียกค่าไถ่ที่ใช้ Java มุ่งโจมตี Windows และ Linux

นักวิจัยด้านความมั่นคงได้พบโปรแกรมเรียกค่าไถ่ตัวใหม่ที่ทำงานบน Windows และ Linux โดยตัวโปรแกรมนี้ใช้รูปบบของไฟล์ Java ที่ไม่ค่อยมีคนใช้และไม่ค่อยรู้จักคือ JIMAGE ซึ่งเป็นรูปแบบของโปรแกรม Java อีกแบบหนึ่ง คือสามารถรันได้เหมือนโปรแกรม Java ปกติที่เราใช้กัน การทำแบบนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจจับของโปรแกรมป้องกันไวรัส หน่วยงานที่ถูกจู่โจมจากโปรแกรมนี้คือสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในยุโรป จากการสำรวจพบว่าโปรแกรมนี้ถูกปล่อยเข้ามาผ่านทางเซิฟร์เวอร์ที่ให้บริการเชื่อมต่อจากระยะไกล และทิ้งโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นประตูลับไว้ แฮกเกอร์ไม่ได้จู่โจมทันทีแต่กลับมาหลังจากนั้นหลายวัน ซึ่งพบว่าไม่มีโปรแกรมหรือใครที่เห็นโปรแกรมประตูลับนี้ จึงได้ปล่อยโปรแกรมเรียกค่าไถ่ชื่อ Tycoon ซึ่งทำหน้าที่เข้ารหัสไฟล์ต่าง ๆ นักวิจัยบอกว่าถ้าใครที่โดน Tycoon เวอร์ชันแรก ๆ อาจจะยังไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าไถ่ เพื่อให้ได้คีย์มาถอดรหัส เพราะนักวิจัยพบว่ามันใช้คีย์เข้ารหัสเดียวกัน ดังนั้นถ้าแก้ได้หนึ่งที่ก็จะแก้ที่อื่นได้ด้วย แต่ถ้าเป็นเวอร์ชันใหม่โปรแกรมได้อุดช่องโหว่นี้ไปแล้ว

อ่านข่าวเต็มได้ที่: TechCrunch

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การทดลองอพยพออกจากตึกเสมือน

นักวิจัยจาก Delft University of Technology (TU Delft) ในเนเธอร์แลนด์ ได้ศึกษาการใช้ VR และ AR ในการศึกษาพฤติกรรมของคนเมื่อยู่ในภาวะอันตราย โดยได้ให้ผู้ทดลอง 150 คนเข้าไปร่วมอยู่ในตึกจำลองผ่านทางทั้งแว่น VR และคอมพิวเตอร์ โดยมีกิจกรรมให้ผู้เข้าร่วมทำ จากนั้นจะส่งสัญญาณให้ผู้เข้าร่วมอพยพออกจากตึกโดยไม่บอกล่วงหน้า ซึ่งจากการสังเกตพบว่าผู้เข้าร่วมหลายคนที่ใช้แว่น VR ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองอยูในตึกเสมือนก็ยังมีอาการตื่นตระหนก อย่างไรก็ตามคนที่ใช้คอมพิวเตอร์จะไม่ค่อยตื่นตระหนก เพราะมันเหมือนกับกำลังเล่นเกมอยู่ ถ้าเทียบกับคนที่ใช้ VR ซึ่งจะรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริง ผู้วิจัยจะทำการทดลองกับตึกจริงต่อไป เพื่อดูว่าพฤติกรรมของคนจะแตกต่างออกไปหรือไม่ 

อ่านข่าวเต็มได้ที่: TU Delft

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563

สรุปประสบการณ์สอนออนไลน์และสิ่งที่น่าจะทำต่อไป

สัปดาห์นี้ผมเพิงจบการสอนออนไลน์ของภาคการศึกษาที่ 2/2562 ไปครับ อย่างที่เราทราบกันว่ามันมีเรื่อง COVID 19 เกิดขึ้น แล้วก็เกิดการระบาดไปทั่วโลกรวมถึงประทศไทยด้วย โดยสถานการณ์ของประทเศไทยเริ่มมีปัญหาหนักในช่วงปลายเดือนมีนาคม จากการระบาดครั้งใหญ่จากสนามมวยลุมพินีทำให้สถานศึกษาทุกแห่งในประเทศต้องเปลี่ยนเข้าสู่ระบบออนไลน์ทันทีไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ ผมก็เลยอยากจะสรุปประสบการณ์ของตัวเองและข้อเสนอแนะเอาไว้ในบล็อกนี้สักนิดนะครับ 

ต้องบอกว่าผมใช้วิธีสอนออนไลน์หลายอย่างมากครับ คือบางวิชาที่มีวีดีโออยู่แล้ว ผมก็ใช้วิธีให้ดูวีดีโอมาก่อน แล้วก็มาทำโจทย์ร่วมกันแบบออนไลน์ตามเวลาเรียนปกติ วิชาที่ไม่มีวีดีโอก็บรรยายสดผ่านโปรแกรมประชุมออนไลน์ที่ใช้มากที่สุดก็คือ Google Meet และวิชาไหนที่มี Lab คอมพิวเตอร์ก็มีใช้ Zoom บ้าง Google Meet บ้าง ให้นักศึกษาทำโจทย์ ใครทำเสร็จก็ให้แชร์หน้าจอมาให้ดู แล้วก็อธิบายโปรแกรมให้ฟัง มีการ Quiz เพื่อวัดความรู้ผ่านทางโปรแกรมอย่าง Socrative หรือ Google Form ใช้ Google Classroom ให้ทำแบบฝึกหัดแล้วอัดวีดีโอส่ง มีการสอบปฎิบัติโดยให้ทำแล้วอัดวีดีโอขณะที่ทำ แล้วส่งทั้งโค้ดและวีดีโอขึ้น Google Classroom สิ่งเดียวที่ไม่ได้ทำคือจัดสอบออนไลน์ แล้วให้นักศึกษาเปิดกล้องแล้วไปคุมสอบ อย่างที่หลายที่ทำกัน 

ซึ่งขอสรุปว่าวิธีที่ผมไม่ชอบที่สุด และสุดท้ายก็ต้องเลิกไปก็คือการสอนสด เพราะมีปัญหาหลายอย่าง อันแรกคือเรื่องความสนใจของนักศึกษา ซึ่งตามปกติเรียนในห้องก็สมาธิไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งเรียนแบบนี้ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นการสอนนี่ยิ่งเหมือนเป็นทางเดียวหนักเข้าไปอีก เพราะตามปกติเด็กไทยเรียนในห้องก็แทบจะไม่อยากตอบอะไรอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งไม่มีส่วนร่วมใหญ่ ขนาดผมให้ chat มา ไม่ต้องพูดถาม/ตอบ ยังแทบไม่มีใครทำ นอกจากบรรยากาศแล้ว ยังเป็นเรื่องความพร้อมของนักศึกษาทั้งทางด้านวินัยตัวเอง ขนาดเรียนออนไลน์ ผมนัดตามเวลาเรียน ซึ่งจริง ๆ ไม่ควรจะมีใครมาสายก็ยังมีคนที่เข้ามาร่วมชั้นเรียนสาย ไม่ต่างจากเวลามาเรียนในห้องปกติ ความไม่พร้อมด้านสภาพแวดล้อม และอุปกรณ์ของนักศึกษาเอง ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมของบ้าน คุณภาพของเครือข่าย ความพร้อมของอุปกรณ์อื่น ๆ อย่างคอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้ามาเรียนตามปกติ ก็มาใช้ทุกอย่างของมหาวิทยาลัย แต่พอใช้ที่บ้านเครื่องที่มีอยู่อาจไม่พร้อมเท่ามหาวิทยาลัย นักศึกษาหลายคนบ่นว่าได้ยินเสียงขาด ๆ หาย ๆ ซึ่งในที่สุดผมก็ต้องเลิกใช้วิธีนี้ และไปใช้การอัดวีดีโอให้ไปดูมาล่วงหน้า ซึ่งมันทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาอีก อย่างเช่นผมไม่มีเวลาตรวจงานที่มอบหมายให้นักศึกษาได้ทันเวลา ซึ่งจริง ๆ ควรตรวจสัปดาห์ต่อสัปดาห์ จะได้ให้คำแนะนำต่องานที่นักศึกษาส่งเข้ามา ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าทำไม่ได้เลย เพราะการทำวีดีโอมันค่อนข้างใช้เวลา และผมก็สอนเยอะมาก เทอมนี้สอน 7 วิชา มีวีดีโออยู่ 4 วิชา ซึ่งก็ต้องปรับปรุง และยังมีวิชาที่ไม่มีดีโอเลย ซึ่งการทำวีดีโอนี่ใช้เวลามากครับ ผมเลยไม่มีเวลาไปตรวจงานได้

และทุกวิธีก็มีปัญหา บางปัญหาก็เกิดจากตัวนักศึกษาเอง บางครั้งก็เกิดจากผมเอง เพราะสั่งงานไปบางครั้งก็ไม่คิดว่าจะมีปัญหาแบบนี้ เพราะเอาตัวเองเป็นหลักว่าตัวเองรู้แล้ว หรือเด็กเอกคอมน่าจะรู้ น่าจะแก้ปัญหาได้ บางปัญหาก็ไม่นึกว่าจะเกิดขึ้น อย่างทำ quiz อยู่ นักศึกษาบอกว่าไฟดับเพราะที่บ้านฝนตกหนัก บอกให้ไปซ้อมอัดวีดีโอหน้าจอมา บางคนไปซ้อมอัดมาแค่คลิปละ 2-3 นาที พอมาใช้จริง ก็พบว่า โปรแกรมที่ใช้แบบฟรี ๆ มันให้ใช้แค่คลิปละไม่เกิน 10 นาที (นี่แสดงให้เห็นถึงปัญหาของพวกเราที่เป้นผู้ใช้หลายคนนะครับ คือไม่เคยอ่านข้อตกลงเงื่อนไขการใช้งานเลย) บางคนพออัปคลิปขึ้น Youtube ซึ่งมันต้องให้ยืนยันตัวตนก่อน ถึงจะอัปคลิปยาวเกิน 15 นาทีได้ ก็ไม่อ่านว่าแค่ยืนยันตัวตนก็อัปได้แล้ว แต่กลับไปแบ่งวีดีโอเป็นหลาย ๆ คลิป อะไรแบบนี้เป็นต้น 

โดยความเห็นส่วนตัวผมมองว่า ที่ผมทำผ่านมามันไม่ใช่การเรียนออนไลน์จริง ๆ การเรียนออนไลน์จริง ๆ  ควรจะเป็นแบบที่ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามอัธยาศัยของผู้เรียน โดยอาจมีการกำหนดเวลาอย่าง Coursera, MOOC,  และ อีกหลาย Platform ซึ่งผมอยากทำแบบนั้น และตั้งใจจะทำมานานแล้ว แต่ยังหาเวลาทำให้สมบูรณ์ไม่ได้ และยังหา Platform ที่จะทำแบบนี้ยังไม่ได้ ซึ่งคิดว่าในช่วงปิดเทอมนี้จะพยายามทำให้ได้ ไม่ว่าจะต้องสอนออนไลน์หรือกลับไปสอนตามปกติ ซึ่งผมว่ามันจะเป็นประโยชน์และเป็นประโยชน์อื่น ๆ ด้วย อย่างเช่นผมสามารถให้นักศึกษาไปเรียนด้วยตัวเอง และอาจนัดกันคุยผ่านออนไลน์หรือในห้องสักสองสัปดาห์ครั้ง ครั้งละไม่นานนัก หรือถ้าใครอยากถามเป็นการส่่วนตัวก็จะกำหนดเวลาให้ซักถามไว้ ซึ่งตรงนี้ถ้าใครเรียนได้เร็วก็จบเร็ว โดยถ้าใครเรียนจบได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ ก็จะให้เกรดอย่างต่ำ C จากนั้นก็อาจมาสอบกันจริง ๆ และ/หรือมานำเสนอโครงการ เพื่อที่จะได้เกรดที่สูงกว่า C ต่อไป 

อีกอย่างที่ต้องปรับตัวและทำความเข้าใจก็คือส่วนของสถานศึกษาครับ สถานศึกษาหลายแห่งยังเข้าใจว่าการเรียนออนไลน์ก็คือการเปลี่ยนจากสอนในห้องเป็นสอนผ่านเน็ต ดังนั้นก็จะเรียกหาหลักฐานการสอนว่าสอนครบชั่วโมง สอนตามตารางสอนไหม และที่น่าต้องคิดกันต่อไปก็คือ น่าจะสนับสนุนให้อาจารย์สร้างคอร์สออนไลน์กันให้มากขึ้น โดยอาจจะนับให้หนึ่งวิชามีค่าเท่ากับหนึ่งบทความวิชาการ และสามารถนับเพื่อไปขอผลงานทางวิชาการได้ ซึ่งถ้าทำแบบนี้ก็จะทำให้เรามีคอร์สออนไลน์มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะให้นักศึกษาเรียนแล้ว ยังเปิดให้คนนอกเรียนได้ ซึ่งจะเปิดเป็นบริการวิชาการแบบฟรี ๆ หรือจะเก็บเงินเพื่อเป็นรายได้ส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัย และแจกประกาศนียบัตรให้กับคนที่เรียนจบ นอกจากนี้อาจเปิดให้คนที่เรียนออนไลน์และได้ใบประกาศนียบัตรนี้ เมื่อสมัครเข้ามาเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัย ก็สามารถนำมาแสดง และสามารถรับการสอบ เพื่อให้เรียนจบได้เร็วขึ้นได้ ซึ่งก็จะเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ตามอัธยาศัย และการเรียนรู้ตลอดชีวิตอีกด้วย