วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าจากงานสัมมนา

ในช่วงปิดเทอมพอจะมีเวลาว่างบ้าง ก็เลยไปร่วมสัมมนาวิชาการสักหน่อยครับ จริง ๆ หลาย ๆ งานก็นำมาประกาศเชิญชวนบนเฟซบุ๊คของตัวเองนะครับ แต่พอไปในงานไม่เจอนักศึกษาของตัวเองเลยสักคน :( วันนี้พอมีเวลาว่างก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกันสักหน่อย เริ่มจากงานแรกก็คือ PRAGMA Cloud Computing and Software-Defined Networking (SDN) Technology Workshop งานนี้จัดที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ระหว่างวันที่ 20-22 มีนาคม 2556 ครับ ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมฟังสัมมนาวันแรกซึ่งในช่วงแรกก็เป็นการปูพื้นคลาวด์คอมพิวติงทั่ว ๆ ไปว่าคืออะไร ในส่วนหลังก็จะเน้นไปที่ตัวอย่างของการติดตั้งคลาวด์คอมพิวติง ซึ่งก็จะลงไปในแง่ของสถาปัตยกรรมซึ่งไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมมากนัก ดังนั้นก็ขอสรุปสิ่งที่คิดว่าพอจะเป็นประเด็นที่น่าสนใจและยังพอจำได้มาให้ฟังกันสักสองสามเรื่องดังนี้ครับ

 1. ประเด็นหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ยังมีความเป็นกังวลเกี่ยวกับคลาวด์คอมพิวติงก็คือเรื่องของความมั่นคง (security) คือต้องแยกเป็นสองประเด็นนะครับ ข้อมูลที่อยู่บนคลาวด์ในแง่หนึ่งก็จะมีความมั่นคงในแง่ที่บริษัทผู้ให้บริการคลาวด์ส่วนใหญ่ก็จะสำรองข้อมูลไว้ให้เราอยู่ระดับหนึ่ง แต่ความกังวลด้านความมั่นคงจะเกี่ยวกับข้อมูลที่มีความอ่อนไหว หรือเป็นเรื่องลับ การที่เราจะฝากข้อมูลดังกล่าวไว้ให้กับผู้ให้บริการก็อาจไม่ปลอดภัยได้

2. ประเด็นเรื่องการเขียนงบประมาณการใช้งานคลาวด์ครับ อันนี้ผมว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับประเทศเราที่น่าจะเตรียมตัวไว้นะครับ เพราะแม้แต่ประเทศต้นกำเนิดอย่างสหรัฐอเมริกาก็ยังมีปัญหาครับ คือวิทยากรเล่าให้ฟังว่าเขามีปัญหาเรื่องการเขียนงบประมาณเหมือนกัน เพราะโดยปกติเวลาเขียนงบประมาณนี่เราก็จะระบุเป็นของไปเช่นจะซื้อเครื่องเซิฟเวอร์ มีฮารด์ดิสก์เท่าไร มีหน่วยความจำเท่าไร แต่พอจะเขียนข้อกำหนดคุณลักษณะของคลาวด์เราไม่ได้ซื้อฮาร์ดแวร์ แต่เราจะซื้อเวลาในการประมวลผล ซึ่งตรงนี้ระเบียบหลาย ๆ อย่างยังไม่รองรับ

3. การใช้งานคลาวด์ไม่ได้เหมาะกับงานทุกงาน วิทยากรบอกว่าอย่าลืมว่าเราต้องจ่ายค่าบริการคลาวด์ตามปริมาณการใช้งาน ดังนั้นงานที่ต้องมีการรับส่งข้อมูลไปมาเป็นจำนวนมากอาจไม่เหมาะที่จะใช้บริการคลาวด์ งานที่ควรใช้งานคลาวด์ควรเป็นงานที่มีการประมวลผลหลัก ๆ อยู่บนเซิฟร์เวอร์ และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ถ้าใครตามข่าวด้านไอทีคงพอจะทราบว่าเริ่มมีแนวคิดที่จะเก็บเงินค่าบริการอินเทอร์เน็ตต่อการคลิกดูข้อมูลแต่ละครั้ง เพราะผู้ให้บริการอาจต้องจ่ายค่าการใช้งานข้อมูลที่เราโหลดมานั่นเองครับ

 4. ประเด็นที่เป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในกระแสของคลาวด์ตอนนี้ก็คือเรื่องของ Software-Defined Networking (SDN) ซึ่งเป็นการจัดการเครือข่ายผ่านทางซอฟต์แวร์ พูดถึงตรงนี้หลายคนอาจนึกถึง Virtual LAN แต่วิธีนี้จะเหมือนกับเหนือขึ้นไปอีกระดับครับ เป็นลักษณะของเขียนโปรแกรมเพื่อปรับแต่งเครือข่ายตามที่เราต้องการ ซึ่งก็จะรองรับกับแนวคิดของคลาวด์คอมพิวติงซึ่งจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงทรัพยากรต่าง ๆ ในแบบไดนามิก ก็เป็นเรื่องที่คนที่สนใจด้านการทำ IaaS น่าจะศึกษาไว้นะครับ 

ทั้งหมดนี่้ก็คืองานสัมมนาแรกที่พอจะจับประเด็นและพอจะจำได้ครับ 

งานสัมมนางานที่สองที่ไปมาก็เมื่อวันอาทิตย์ 31 มีนาคม ที่ผ่านมาครับ งานนี้ก็คือการประชุมวิชาการประจำปี สวทช.ครั้งที่ 9 ในหัวข้อ ความพร้อมสู่ AEC ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Towards AEC with Science and Technology) สำหรับงานนี้ก็มีประเด็นพอจะสรุปให้ฟังได้ดังนี้ครับ ในช่วงเช้าเป็นการบรรยายหลักที่เกี่ยวกับทีมของงานครับ แต่ผมไปสายครับ :( ก็เลยได้ฟังเรื่องเดียวคือ เรื่องการสนับสนุนงานวิจัยของสวทช. ซึ่งสามารถดูรายละเอียดของได้จากเอกสารประกอบการบรรยายของ ดร.ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ซึ่งนอกจากจะมีข้อมูลงานวิจัยแล้ว ก็มีข้อมูลที่น่าสนใจเช่นความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตัวอย่างงานวิจัยที่นำไปใช้ได้จริงที่สนับสนุนโดยสวทช. ถ้าใครอยากได้เอกสารบรรยายของวิทยากรทุกคนก็สามารถโหลดได้ที่นี่ครับ

ในช่วงบ่ายจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพยากรบุคคลครับ ซึ่งหัวข้อของการบรรยายก็คือ  AEC : ขุมทรัพย์ Talent ไร้พรมแดน (AEC : Talent Treasury ) ต้องบอกตามตรงว่าตอนแรกผมตั้งใจว่าจะไปฟังแค่ช่วงเช้าแล้วกลับ แต่พอเห็นหัวข้อนี้จากเอกสารที่ได้รับก็รู้สึกสนใจครับเลยตัดสินใจอยู่ฟัง และจากที่ฟังก็ได้ประเด็นที่น่าสนใจมาสรุปให้ฟังดังนี้ครับ  

1. อันนี้คิดว่าหลายคนก็คงทราบอยู่แล้วนะครับว่าเมือประเทศเราเปิด AEC จะมีการเคลื่อนย้ายบุคคลากรระหว่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ซึ่งอาชีพ 7 อย่างที่จะเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีก็คือ หมอ หมอฟัน นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก พยาบาล และนักสำรวจ ยังไม่มีคอมพิวเตอร์นะครับ ถ้ามองในแง่ดีก็คืออย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ถูกแย่งงาน แต่ถ้ามองอีกแง่หนึ่งก็คือถ้าเราอยากไปทำงานในประเทศอื่นบ้างก็ยังไม่เปิดเสรี

2. ประโยชน์ของการใช้เครือข่ายสังคมในการได้งาน เครือข่ายสังคมที่พวกเราใช้อยู่ตอนนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งเป็นช่องทางที่เราจะได้รู้เรื่องความต้องการงานจากนายจ้าง และเป็นช่องทางให้นายจ้างรู้จักเราด้วย โดยเครือข่ายสังคมที่วิทยากรบอกว่ามีศักยภาพเกี่ยวกับการเรืองงานมากที่สุดคือ Linkedin ถัดมาคือ Facebook และ Twitter ตามลำดับ ดังนั้นใครที่ยังไม่มี Linkedin ก็ไปเปิดบัญชีกันไว้ซะนะครับ และก็ไม่จำเป็นนะครับที่เราจะต้องหางานอยู่แล้วค่อยไปเปิดบัญชีพวกนี้ ถึงแม้เราจะมีความสุขดีอยู่แล้วกับงานที่ทำแต่ถ้าเราไปเปิดบัญชีไว้ ก็เท่ากับเราเปิดโอกาสของงานใหม่ ๆ ที่อาจดีกว่าเข้ามาสู่ตัวเรา

3. ถัดมาอีกหัวข้อหนึ่ง อันนี้น่าสนใจมากครับเพราะเป็นเสียงของผู้ประกอบการที่ชี้ให้เห็นถึงนิสัยแบบไทย ๆ ที่ทำให้คนไทยไม่ค่อยก้าวหน้าในหน้าที่การงานเมื่อเทียบกับชาวต่างชาติ ปัญหาประการแรกคือปัญหาที่เรารู้กันอยู่แล้วก็คือเรื่องของภาษา ซึ่งทางวิทยากรบอกว่าสิ่งที่เราต้องแก้ที่สุดไม่ใช่เรื่องของการพูดนะครับ แต่เป็นเรื่องของการฟัง เขาบอกว่าเรื่องพูดนี่อย่างภาษาอังกฤษสำเนียงสิงคโปร์ฝรั่งก็ยังฟังรู้เรื่อง แต่เหตุผลหนึ่งที่คนไทยไม่ค่อยแสดงความเห็นอาจเป็นเพราะฟังไม่รู้เรื่องมากกว่า ปัญหาประการที่สองก็คือเขามองว่าคนไทยไม่ทุ่มเทให้กับงานเท่าที่ควร เขาบอกว่าไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาทำงานเป็นบ้าเป็นหลังนะครับ แต่หมายความว่าให้ใส่ใจในงานที่รับผิดชอบให้มากกว่านี้ อันถัดมาก็คือเรื่องของการที่เรามักจะทำตัวเป็นผู้รายงานเหตุการณ์แต่ไม่ทำตัวเป็นผู้แก้ปัญหา เขายกตัวอย่างว่าบริษัทรับนักศึกษาฝึกงาน เมื่อเกิดปัญหาขึ้นนักศึกษาไทยก็จะรายงานว่าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นแบบนี้ขึ้น แต่ไม่เคยบอกว่าควรจะแก้ปัญหาอย่างไร ดังนั้นเราคงต้องเริ่มกันตั้งแต่ในห้องเรียนแล้วล่ะครับ ดังนั้นนักศึกษาของผมต่อไปผมถามอะไร ให้คิดวิเคราะห์แก้ปัญหาอะไรก็ช่วยกันตอบนะ 

4. หัวข้อต่อมาเกี่ยวกับบทบาทของสถานศึกษาครับ โดยหน้าที่หลักของสถานศึกษาก็คือสร้างบุคคลากรที่มีความสามารถดีเด่น (talent)  ซึ่งวิทยากรก็ได้ยกตัวอย่างโครงการต่าง ๆ ของสถาบันการศึกษาที่วิทยากรดูแลคือพระจอมเกล้าธนบุรีมาให้ดูกัน ซึ่งประเด็นสำคัญก็คือการสอนที่เน้นกระบวนการเรียนรู้ครับ 

5. ส่วนหัวข้อสุดท้ายอันนี้เป็นเรื่องผ่อนคลายครับเหมือนกับดูทอล์กโชว์เลย เป็นการขึ้นนำเสนอของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นนักคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ โดยได้รางวัลนวัตกรรมมากมายหลายรางวัล ประเด็นที่ได้ก็คือการที่เราจะสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาได้นั้นเราต้องมีความรักกับงานที่เราทำ มีความสังเกตุ มีความอดทน มีความพยายาม และอย่าคิดดูถูกตัวเองว่าเราเป็นคนไทยเราจะไปทำอะไรสู้ระดับโลกได้ยังไง หรือเราอยู่นอกเมืองคงทำอะไรสู้คนในเมืองไม่ได้อะไรอย่างนี้ นอกจากนี้การนำเสนอก็เป็นเรื่องสำคัญ ต่อให้ทำงานออกมาดีเลิศแต่นำเสนอไม่เป็นหรือไม่น่าสนใจก็อาจทำให้งานของเราถูกมองข้ามไปได้ 

สำหรับรายละเอียดและรายชื่อวิทยากรของหัวข้อนี้สามารถดูได้จากที่นี่ครับ เสียดายที่หัวข้อนี้ไม่ได้มีลิงก์ให้ไปโหลดเอกสารประกอบการบรรยายครับ 

สำหรับงานสัมมนาเรื่อง AEC นี้ ผมขอนำเสนอมุมมองส่วนตัวในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์หน่อยแล้วกันนะครับว่านักศึกษาและบุคคลากรในด้านนี้จะมีบทบาทอย่างไร จากงานนี้ผมได้เห็นว่าประเทศของเรากำลังมุ่งสู่งานวิจัยระดับสูงในด้านต่าง ๆ ซึ่งก็เน้นไปในส่วนที่เป็นหลักของประเทศเราก็คือด้านอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งงานวิจัยเหล่านี้ผมมองว่าต้องการการสนับสนุนด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างแน่นอนครับ ดังนั้นสถานศึกษาที่สอนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ก็ควรจะเน้นที่จะสร้างคนด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จริง ๆ กันให้มากขึ้นได้แล้ว คือสร้างคนที่มีความรู้ความสามารถในการพัฒนาซอฟต์แวร์ระดับสูงที่อาจต้องมีการคิดค้นขั้นตอนวิธีใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหา พอผมพูดประเด็นนี้อาจมีคนสงสัยว่ามันยังไงเน้นวิทยาการคอมพิวเตอร์จริง ๆ ปัจจุบันนี้มันไม่จริงยังไง คือต้องขออธิบายก่อนว่าสาขาหลัก ๆ ที่มีการเรียนการสอนทางด้านคอมพิวเตอร์และดูมันจะเหลื่อม ๆ กันอยู่ก็มีอยู่สามสาขาคือวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งทั้งสามสาขานี้จริง ๆ แล้วมีจุดเน้นที่ต่างกันนะครับ ผมขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดเรื่องความแตกต่างแล้วกันนะครับเพราะมันยาว และรู้สึกว่าน่าจะมีคนเคยเขียนไว้แล้ว ลองค้นจาก Google ดูแล้วกันนะครับ ถ้าค้นไม่เจอมาคอมเม้นต์บอกไว้ได้ครับแล้วผมจะเขียนให้อ่านกัน แต่เพราะตลาดแรงงานของเราในอดีตถึงปัจจุบันมันอาจจะไม่กว้างนักครับ ดังนั้นทั้งสามสาขาก็จำเป็นที่จะต้องเรียนอะไรที่เป็นความต้องการของตลาด เพราะถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็อาจตกงานกันหมด นักศึกษาจึงมักจะเลือกเรียนวิชาที่ออกมาทำงานในตลาดแรงงานได้ โดยไม่เลือกเรียนวิชาที่เป็นวิชาระดับสูงในสาขาตัวเองเพราะมองว่ายากและเรียนแล้วก็ไม่ได้ใช้ ดังนั้นบัณฑิตที่จบจากสามสาขานี้ก็มักจะจบออกมามีความรู้ในเรื่องที่ใกล้ ๆ กัน ทำงานในด้านเดียวกันเช่นจบมาไม่ว่าสาขาไหนก็มาพัฒนาเว็บแอพพลิเคชันอะไรประมาณนี้ แต่ถ้าเรามีงานด้านวิจัยระดับสูงแบบนี้มารองรับก็น่าที่จะทำให้นักศึกษาหันมาเรียนวิชาเลือกที่เคยโดนมองข้ามไปมากขึ้น 

เอาล่ะครับนั่นก็คือบทสรุปทั้งหมดตามที่พอจะจำได้ในงานสัมมนาวิขาการที่ได้ไปฟังมา ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยนะครับ...  


วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

การแก้ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์เริ่มได้ที่ตัวเรา

สวัสดีครับสำหรับวันนี้พอดีอ่านเจอเรื่องที่น่าสนใจจาก CNET เกี่ยวกับความพยายามแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ของค่ายหนังค่ายเพลงในอเมริกาครับ เห็นว่าน่าสนใจดีเลยเอามาเล่าให้ฟังกัน สำหรับวิธีแก้ปัญหานี้เขามุ่งไปที่ตัวผู้ใช้ครับแทนที่จะไปไล่ตามจับผู้ละเมิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไปไล่จับผู้ใช้ที่ดาวน์โหลดไฟล์ละเมิดนะครับ แต่เขาจะใช้วิธีที่เรียกว่าให้ความรูู้กับผู้ใช้บริการครับ วิธีนี้นี้มีชื่อว่าระบบแจ้งเตือนการละเมิดลิขสิทธิ์ (Copyright Alert System)  หรือเรียกย่อ ๆ ว่าซีเอเอส (CAS) ลักษณะการทำงานของระบบก็คือ  จะให้ผู้บริการอินเทอร์เน็ตแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้ว่าขณะนี้ผู้ใช้กำลังดาวน์โหลดไฟล์ที่ละเมิดลิขสิทธิอยู่  ซึ่งทางระบบมองว่าถ้าเป็นผู้ใช้ที่ดีและไม่รู้เรื่องจริง ๆ ก็จะหยุดการกระทำดังกล่าว แต่เขาจะให้โอกาสผู้ใช้โดยการเตือนถึงหกครั้งนะครับ ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกระบบนี้คือ  "เตือนหกครั้ง (six strikes)"   ถ้าเตือนไปขนาดนี้แล้วแต่ผู้ใช้ยังคงละเมิดต่อไปก็แสดงว่าผู้ใช้คนนี้อาจเกินเยียวยาแล้ว ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตก็มีสิทธิที่จะระงับการให้บริการชั่วคราวได้ แต่การยกเลิกสัญญากับผู้ใช้นี่ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของระบบนี้นะครับ แต่ถ้าผู้ใช้คิดว่าตัวเองไม่ได้ละเมิดก็สามารถแสดงหลักฐานกับทางผู้ให้บริการได้นะครับ แต่สุดท้ายแล้วเจ้าของลิขสิทธิ์ก็จะต้องลงมาดำเนินการฟ้องร้องกับผู้ใช้เองต่อไป ระบบนี้เริ่มใช้แล้วในอเมริกาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2556 ครับ จริง ๆ ระบบนี้มีกำหนดการที่จะต้องเสร็จและใช้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วครับ แต่ก็ต้องเลื่อนมาเพราะพายุเฮอริเคนแซนดี้กับเรื่องที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตยังลังเลที่จะให้ความร่วมมือด้วย 

จากประเด็นนี้เราคงเห็นนะครับว่าไม่ใช่เฉพาะคนในประเทศเราที่ละเมิดลิขสิทธิ์ แม้แต่ในประเทศที่ถูกมองว่าเจริญแล้วอย่างอเมริกาก็ยังมีปัญหานี้ ในส่วนตัวผมว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้ก็มาถูกทางแล้วระดับหนึ่งคือเริ่มจากการให้ความรู้  แต่ที่น่ารังเกียจกว่าพวกประเภทไปเอาของเขามาคือพวกที่เอาของเขามาฟรี ๆ แล้วเอามาหากำไรต่อหรือเอามาเคลมว่าเป็นของตัวเองครับ อย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ได้อ่านเว็บดรามาเรื่องมีคนไปโหลดเกมมาฟรี ๆ แล้วก็เอามาให้คนอื่นโหลดต่อแต่ดันทำลิงก์โฆษณาครอบไว้ประเภทว่าต้องคลิกผ่านลิงก์นี้ก่อนถึงจะโหลดไฟล์ได้ ดังนั้นคนพวกนี้ก็จะได้ค่าโฆษณาครับ แต่คนเขียนเกมไม่ได้อะไรเลย ส่วนเขาจะดราม่าอะไรกันนั้นก็ลองไปอ่านกันดูเองนะครับ หรือที่เจออีกอันหนึ่งก็คือมีคนสร้างฟอนต์ที่ให้นักพัฒนาแอพบน iOS เอาไปใช้ ก็มีคนเอามาเผยแพร่แล้วก็บอกว่าเป็นของตัวเอง ลองอ่านดูที่นี่ครับ และอีกอันหนึ่งที่ยุคนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างมากมายและอยู่ในวงการวิชาชีพของผมซะด้วย ก็คือพวกนักวิชาการที่ไปโขมยผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเอง 

ข้ออ้างที่คนเหล่านี้มักจะนำมาใช้ซึ่งผมว่ามันน่าเศร้าใจมากก็คือคำว่า "สังคมแห่งการแบ่งปัน" จริงครับสังคมแห่งการแบ่งปันเป็นสังคมที่ดีแต่ก็ควรจะให้เกียรติกับเจ้าของผลงาน และไม่ควรเอาของที่เจ้าของเขาไม่ได้แบ่งปันเอามาแบ่งปัน หนักไปกว่านั้นดันไปเอาของเขามาหาประโยชน์ และบางครั้งพอเจ้าของเขามาทวงถามหรือขอให้ให้เครดิตเขาบ้างดันไปด่าเขาอีกว่าเห็นแก่ตัว จริง ๆ นะครับพออ่านความคิดเห็นอะไรแบบนี้แล้วรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ 

วิธีการแก้ปัญหานี้ที่ดีที่สุดผมว่าต้องเริ่มที่ตัวเราครับ ระบบอะไรที่สร้างขึ้นมาผมว่ามันกันคนที่ตั้งใจจะละเมิดไม่ได้หรอก อย่างมากก็ทำให้ลำบากขึ้นบ้าง ตัวเราเองต้องสำนึกครับ เริ่มจากไม่ทำงานหรือรายงานด้วยการตัดปะงานคนอื่น และให้คิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นคนที่นั่งหลังขดหลังแข็งสร้างงานขึ้นมา แต่มีใครไม่รู้ที่ใช้เพียงการคลิกไม่กี่คลิกก็ได้งานของเราไปใช้แบบฟรี ๆ หรือมาหาประโยชน์จากงานของเราแล้วเราจะรู้สึกอย่างไร เราภูมิใจไหมกับการที่ได้รับตำแหน่งเพิ่มขึ้นหรือได้รับความชื่นชมด้วยการไปลอกผลงานของคนอื่นมา แล้วเราจะมีความสุขไหมที่ต้องมานั่งกังวลว่าจะมีคนมาเจอไหมว่าเราลอกงาน 

เราควรจะเริ่มต้นให้ความรู้กับคนที่อาจจะยังไม่รู้ครับว่าเนื้อหาที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต หรือที่ไหนก็ตามถึงแม้บางอย่างเจ้าของเขาอาจจะประกาศให้เรานำไปใช้ได้ฟรี แต่มันก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องเคารพ ถ้าเราต้องการจะนำมาใช้ไม่ว่าจะเป็นแค่ประโยคเดียวเราก็ควรจะต้องให้เกียรติกับเจ้าของ ยิ่งของอะไรที่ผู้ใช้ไม่ได้บอกว่าให้ฟรีนี่ก็ไม่ควรจะไปเอามาใช้

ซอฟต์แวร์ก็เหมือนกันครับ เดี๋ยวนี้ราคาก็ถือว่าถูกลงจนพอหาซื้อมาใช้ได้ และถ้าเราไม่อยากซื้้อเราก็ยังมีทางเลือกอื่น อย่างชุด Microsoft Office ในสมัยก่อนเราอาจไม่มีทางเลือก แต่ในปัจจุบันเราอาจใช้ OpenOffice ซึ่งใช้ได้ฟรี หรือใช้บริการอย่าง Google Docs ก็ได้ มันอาจจะมีคุณสมบัติไม่ครบเท่า Microsoft Office แต่คุณสมบัติพื้นฐานก็มีครบถ้วน หรือถ้าจะตกแต่งรูปถ้าเราไม่ใช่มืออาชีพ อยากตกแต่งรูปเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจไม่ต้องไปหาโปรแกรมอย่าง Photoshop มาใช้ก็ได้ มีเว็บให้เราใช้แต่งภาพแบบฟรีมากมาย แม้แต่ Photoshop เองก็มีเครื่องมือออนไลน์อย่าง PhotoshopExpress  แต่ถ้าเป็นมืออาชีพและต้องการใช้งานคุณสมบัติในระดับสูงของโปรแกรม ผมก็แนะนำว่าควรซื้อโปรแกรมแบบถูกลิขสิทธิ์มาใช้นะครับ เพราะคุณนำโปรแกรมเขาไปหาผลประโยชน์ 

เรามาเริ่มที่ตัวเราสร้างสังคมให้เป็นสังคมแห่งการแบ่งปันที่อยู่บนฐานของการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ (และสิทธิ) ของคนอื่นกันเถอะครับ... 

วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556