จากรายงานประจำปีของ IDC พบว่าปริมาณข้อมูลดิจิทัลอาจจะมีปริมาณมากถึง 1.2 Zettabytes ภายในปีนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่าแล้วเจ้า Zettabytes นี่มันมีขนาดเท่าไรกันแน่ 1 Zettabytes มีขนาดเท่ากับ 1 ล้าน petabytes ส่วน 1 petabytes คือ 1 ล้าน gigabytesก็ลองไปคำนวณกันดูแล้วกันนะครับว่าข้อมูลจะมีขนาดใหญ่เท่าไรกันแน่ ปัญหาก็คือเราอาจจะไม่สามารถเก็บข้อมูลทั้งหมดได้ คือมีที่เก็บไม่พอนั่นเอง สิ่งที่จะต้องจัดการก็คือการลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บข้อมูล ในบทความบอกว่าร้อยละ 75 ของข้อมูลทั้งหมดเป็นสำเนา ดังนั้นเราก็ไม่จำเป็นต้องเก็บข้อมูลที่ซ้ำกัน เราต้องลดโอกาสที่ข้อมูลจะสูญหาย และใช้ประโยชน์จากข้อมูลให้มากที่สุด
ขอเพิ่มความเห็นส่วนตัวนะครับ ผมคิดว่าตอนนี้พวกเรากำลังถูกทำให้เสียนิสัยจากฟรีอีเมลที่แข่งกันให้เนื้อที่แบบไม่จำกัด และบอกว่าเราไม่จำเป็นต้องลบอีเมลอะไรเลย ซึ่งผมคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย จริง ๆ เราควรสร้างนิสัยให้ใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่มีอย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะช่วยบรรเทาสถานการณ์ดังที่กล่าวมาข้างต้นได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
ที่มา KurzweilAI.net
วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
หุ่นยนต์สำรวจความแข็งแรงของที่เกิดเหตุ
นักวิจัยจาก University of Missouri ได้พัฒนาโปรแกรมสำหรับหุ่นยนต์เพื่อใช้ในการตรวจสอบความแข็งแรงของสถานที่เกิดเหตุ โปรแกรมดังกล่าวจะทำให้หน่วยกู้ภัยสามารถสำรวจสภาพของที่เกิดเหตุก่อนที่จะเข้าไปยังที่เกิดเหตุจริง นอกจากนี้โปรแกรมนี้ยังอาจนำไปใช้กับการสำรวจสภาพโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างอีกด้วย ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจนี้จะบอกให้วิศวกรทราบว่าถึงเวลาต้องซ่อมแซมหรือยัง โดยบทความต้นฉบับได้ยกตัวอย่างของสะพาน Minneapolis ที่ถล่มลงมาในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งถ้ามีเครื่องมือนี้ตรวจสอบสภาพสะพานก็อาจไม่เกิดโศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น
ที่มา University of Missouri News Bureau
ที่มา University of Missouri News Bureau
ไมโครซอฟท์กับการปรับปรุงระบบปฎิบัติการแบบมัลติคอร์
นักวิจัยจากห้องปฎิบัติการวิจัยของไมโครซอฟท์ที่เคมบริดจ์ประเทศอังกฤษได้พัฒนาระบบปฏิบัติการชื่อ BarrelFish ซึ่งระบบปฎิบัติการนี้จะเข้ามาดูแลเรื่องการรับส่งข้อมูลระหว่างคอร์ต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบดีขึ้น
ที่มา IT Pro
ที่มา IT Pro
วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
10 อับดับองค์กรและอาชีพยอดนิยม
ได้อ่านวารสาร Positioning ฉบับประจำเดือน เมษายน มีประเด็นที่จะมาเล่าให้ฟังสองประเด็นครับ คือ 10 อันดับองค์กรที่มีคนอยากทำงานด้วยมากที่สุด และ 10 อันดับอาชีพในฝัน สำหรับองค์กรยอดนิยมก็เรียงตามลำดับดังนี้ครับ
เว็บไซต์ของวารสารครับ ซึ่งสำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานด้านคอมพิวเตอรฺ์หลัก ๆ ก็คงเป็น SCG และ NECTEC ซึ่งถ้าใครได้อ่านรายละเอียดของ SCG แล้วจะพบว่าทำไมถึงได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง ส่วน NECTEC บอกตรง ๆ ว่าผมค่อนข้างประหลาดใจและก็รู้สึกดีใจเพราะ NECTEC เป็นหน่วยงานที่เน้นการวิจัย การที่มีคนอยากทำงานด้วยก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าการวิจัยของประเทศน่าจะดีขึ้น
ส่วน 10 อันดับอาชีพยอดนิยมก็ตามนี้ครับ
ส่งท้ายวันนี้ก็ขอให้นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ หรือใครที่คิดจะเปลี่ยนงานใหม่ได้ทำงานและอยู่ในหน่วยงานที่ตัวเองชอบนะครับ
- เครือซิเมนต์ไทย (SCG)
- บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
- สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
- บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
- OGILVY & MATHER (THAILAND) Co.,Ltd.
- ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
- บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกสิกรไทย
- บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
- บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด
เว็บไซต์ของวารสารครับ ซึ่งสำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับงานด้านคอมพิวเตอรฺ์หลัก ๆ ก็คงเป็น SCG และ NECTEC ซึ่งถ้าใครได้อ่านรายละเอียดของ SCG แล้วจะพบว่าทำไมถึงได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง ส่วน NECTEC บอกตรง ๆ ว่าผมค่อนข้างประหลาดใจและก็รู้สึกดีใจเพราะ NECTEC เป็นหน่วยงานที่เน้นการวิจัย การที่มีคนอยากทำงานด้วยก็น่าจะแสดงให้เห็นว่าการวิจัยของประเทศน่าจะดีขึ้น
ส่วน 10 อันดับอาชีพยอดนิยมก็ตามนี้ครับ
- ผู้ประกอบการ
- นักวางแผนการตลาด
- เจ้าของร้านกาแฟ
- อาจารย์นักวิชาการ
- เจ้าของโรงแรมแบบบูติกโฮเต็ล
- เจ้าของร้านอาหาร
- นักวางแผนโฆษณา
- นักเขียน
- แพทย์
- วิศวกร
ส่งท้ายวันนี้ก็ขอให้นักศึกษาที่เพิ่งจบใหม่ หรือใครที่คิดจะเปลี่ยนงานใหม่ได้ทำงานและอยู่ในหน่วยงานที่ตัวเองชอบนะครับ
วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553
ขับรถโดยใช้ตา
นักวิจัยจากกลุ่มปัญญาประดิษฐ์ Freie Universitat Berlin ได้พัฒนาโปรแกรมที่เรียกว่า eyeDriver เพื่อให้คนขับรถสามารถควบคุมพวงมาลัยโดยใช้ดวงตา โดยคนขับรถจะต้องสวมหมวกที่มีกล้องสองตัว โดยกล้องตัวหนึ่งจะจับอยู่ที่ตาของคนขับ ส่วนอีกตัวหนึ่งจะจับภาพของถนนด้านหน้า ข้อมูลจากรูม่านตาของคนขับ และถนนด้านหน้าจะถูกส่งไปยังคอมพิวเตอร์และโปรแกรม eyeDriver จะคำนวณทิศทางจากข้อมูลดังกล่าว สำหรับโหมดการขับด้วยวิธีนี้จะมีสองโหมด โหมดแรกเรียกว่า "free ride" คือคนขับรถจะต้องมองไปยังทิศทางที่ต้องการไป ในกรณีที่ไม่สามารถบอกได้ว่าคนขับมองไปทางไหน เช่นคนขับหลับตารถจะหยุดทันที โหมดที่สองเรียกว่า "routing" ในโหมดนี้รถจะขับไปเองเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอทางแยกก็จะหยุดรอให้คนขับเลือกว่าจะไปทางไหน เมื่อคนขับมองไปในทิศทางหนึ่งเป็นเวลา 3 วินาที ระบบก็จะยืนยันทิศทางดังกล่าว และก็จะขับรถต่อไปให้โดยอัตโนมัติ
ที่มา Freie Universitat Berlin
ที่มา Freie Universitat Berlin
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)