วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ระบบควบคุมความอุณหภูมิแบบเรียนรู้ด้วยตัวเอง

นักวิจัยจาก Swiss Federal Laboratories for Materials Science and Technology (Empa) ได้พัฒนาระบบที่ใช้ข้อมูลอุณหภูมิจากปีก่อนและข้อมูลการพยากรณ์อากาศในปัจจุบัน เพื่อใช้ประเมินสภาพของตัวอาคาร และปรับเครื่องควบคุมความร้อนในอาคารให้ปรับอุณภูมิให้มีความสบายสำหรับผู้อาศัย ซึ่งผลจากการประเมินพบว่าระบบนี้ให้ผลลัพธ์ดีพอ ๆ กับการตั้งค่าความสบายจากเมนูที่เครื่องเตรียมไว้ให้  แต่ประหยัดพลังงานได้มากกว่าถึง 25%

อ่านข่าวเต็มได้ที่:  Empa News

เพิ่มเติมเสริมข่าว:

อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้งาน Big Data

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ส่งข้อมูลบนเครือข่าย 5G มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มฮาร์ดแวร์

การส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย 5G ในเมืองที่มีผู้คนหนาแน่น ต้องใช้ฮาร์ดแวร์มากขึ้นเพื่อให้ได้การใช้งานที่มีเสถียรภาพ นักวิจัยในญี่ปุ่นได้เสนอวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหานี้โดยติดตัวรับส่งสัญญาณวิทยุบนรถยนต์ และให้ตัวรับส่งสัญญาณเหล่านี้ช่วยกันทำงานจากรถยนต์ที่จอดอยู่ โดยตัวรับส่งสัญญาณนี้จะใช้แบตเตอรีรถยนต์เป็นแหล่งจ่ายพลังงาน แนวคิดหลักของวิธีนี้ก็คือในพื้นที่ที่มีผู้คนหนาแน่นมักจะมีรถยนต์จอดอยู่ในลานจอดรถเป็นจำนวนมาก  ในข่าวบอกว่ามีการทดลองกับรถที่วิ่งอยู่ด้วย แต่ผลการทดลองพบว่าการส่งสัญญาณจากรถที่วิ่งอยู่ทำได้ยากมาก

อ่านข่าวเต็มได้ที่: IEEE Spectrum


วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

AI ที่ทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญระบาดวิทยาเตือนการแพร่กระจายของไวรัสอูฮันได้เป็นที่แรก

BlueDot ซึ่งเป็นระบบสำหรับเฝ้าระวังด้านสาธารณสุขของแคนาดา เป็นที่แรกที่ได้ส่งสัญญาณเตือนเรื่องการระบาดของโคโรนาไวรัสอูฮันในวันที่ 31 ธันวาคมปีที่แล้ว BlueDot ใช้การวิเคราะห์รายงานข่าวในภาษาต่างประเทศ เครือข่ายโรคพืชโรคสัตว์ และข้อมูลจากรัฐบาลเพื่อเตือนผู้ใช้ระบบให้หลีกเลี่ยงบริเวณที่การระบาดของโรคน่าจะเกิดขึ้น ขั้นตอนวิธีที่ระบบใช้ยังวิเคราะห์ไปถึงข้อมูลสายการบินทั่วโลกเพื่อช่วยทำนายว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ติดเชื้อเดินทางไปที่ไหนบ้าง ระบบ BlueDot ทำนายได้อย่างถูกต้องว่าไวรัสจะแพร่กระจายจากอูฮัน ไปกรุงเทพ โซล ไทเป และโตเกียวหลังจากวันที่มันเริ่มระบาด ผู้พัฒนาระบบ BlueDot บอกว่าแรงบันดาลใจจากการพัฒนาระบบก็คือการระบาดของไวรัส SARS ในปี 2003 ซึ่งการระบาดนี้ทำให้บุคคลากรทางการแพทย์ต้องทำงานหนักเพื่อรับสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งเขาไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีก ระบบ BlueDot นี้เริ่มเปิดตัวในปี 2014 ด้วยทุน 9.4 ล้านเหรียญสหรัฐ มันจะวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยใช้การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Proessing) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) เพื่อกรองข้อมูลจากนั้นก็ส่งข้อมูลให้นักระบาดวิทยาที่เป็นคนวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบความถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ และส่งข้อมูลให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Wired

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

IoT จะพาเมืองอัจฉริยะก้าวไปอีกขั้น

การใช้งานเครือข่าย IoT ในเมืองอัจฉริยะกำลังก้าวหน้าไปอย่างมาก Gartner ประมาณว่าเมื่อปีที่แล้วเครือข่าย IoT มีอุปกรณ์เชื่อมต่อกันอยู่ประมาณ 14.2 พันล้านเครื่อง ส่วน IDC คาดการณ์ว่าจะมีอุปกรณ์เชื่อมต่อกัน 41.6 พันล้านเครื่องในปี 2025 ในปัจจุบันเมืองใช้เครือข่ายนี้ในการจัดการของเสีย และการจราจร แต่ผู้เชี่ยวชาญตั้งความหวังว่าปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) จะช่วยให้สามารถทำงานที่ซับซ้อนขึ้นในการบริหารจัดการเมือง และในด้านการทำนาย เช่นหน่วยงานดับเพลิงใน Nashville ใช้ซอฟต์แวร์ช่วยวิเคราะห์ตำแหน่งที่จะเกิดไฟใหม้ขึ้นในอนาคต ซึ่งก็จะทำให้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งก็คือการเปลี่ยนจากการทำงานเชิงรับไปเป็นการทำงานเชิงรุกนั่นเอง

อ่านข่าวเต็มได้ที่: Financial Times

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ตำรวจลอนดอนกำลังจะใช้ระบบรู้จำใบหน้าแบบทันที

ตำรวจมหานครลอนดอนกำลังจะใช้ระบบรู้จำใบหน้าแบบทันทีเพื่อที่จะสามารถระบุตัวตนของคนที่เดินอยู่ในรัศมีที่กล้องจับได้ ถึงแม้ว่าจะมีบางคนกังวลเรื่องประสิทธิภาพและเสรีภาพของประชาชน แต่ตำรวจบอกว่าจากการทดลองพบว่าระบบสามารถระบุตัวคนร้ายที่ต้องการได้ถูกต้อง 70% และพลาดระบุว่าคนธรรมดาว่าเป็นคนร้ายเพียง 1 ใน 1000 รายเท่านั้น และบอกว่าจากการสำรวจพบว่ามีคนที่เห็นด้วยในการใช้ระบบนี้ถึง 80% ตำรวจบอกว่าการใช้ระบบนี้จะเชื่อมต่อภาพจากกล้องเข้ากับฐานข้อมูลผู้ต้องสงสัย ถ้าตรงกันระบบจะเตือนให้ตำรวจเข้าไปสอบสวน แต่ถ้าไม่ตรงภาพของคนคนนั้นจะถูกลบออกไปในไม่กี่วินาที ดังนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ผู้เชียวชาญกลับให้ความเห็นที่แตกต่างกับตำรวจในแง่ประสิทธิภาพ โดยบอกว่าระบบนี้มีประสิทธิภาพในการระบุตัวคนร้ายได้แค่ 19% เท่านั้น ไม่รู้ตัวเลข 70% มาจากไหน และสำนักข่าวที่รายงานข่าวนี้บอกว่าระบบจะทำงานได้ดีเฉพาะในตอนกลางวันที่มีแสงสว่างชัดเจน แต่จะด้อยประสิทธิภาพลงในเวลากลางคืน ยิ่งไปกว่านั้นตำรวจยังยอมรับว่าระบบยังทำงานไม่ดีในกรณีที่มีคนอยู่หนาแน่น

อ่านข่าวเต็มได้ที่: The Guardian

เพิ่มเติมเสริมข่าว:

เท่าที่ตามข่าวมาในจีนใช้ระบบนี้แล้วและแน่นอนว่าปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวอะไรก็ไม่มีใครสามารถพูดถึงได้อยู่แล้ว แต่ส่วนตัวคิดว่าถ้าในไทยจะนำมาใช้โดยจุดประสงค์เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมก็โอเคนะ คิดว่าเราคงหนีเทคโนโลยีแบบนี้ไปไม่พ้นอยู่แล้ว อ้อแต่ประเทศไทยอาจต้องเริ่มจากมีกล้องวงจรปิดชัด ๆ และไม่เสียให้ทั่วก่อนนะ เวลาเกิดคดีอะไรขึ้นมารู้สึกจะมีปัญหากับกล้องไม่ชัด กล้องเสียเป็นประจำ