วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ข่าวงานวิจัยด้านไอที 29/12/2555

สรุปข่าวส่งท้ายปี หลังจากไม่ได้โพสต์มานาน หวังว่าปีหน้าจะโพสต์ได้มากขึ้น สวัสดีปีใหม่ครับ

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มารู้จักปุ่มไปรษณีย์และปุ่มบทวิจารณ์กันดีกว่า

สุดสัปดาห์นี้มีเรื่องเบา ๆ ที่ตัวเองได้เจอมาเล่าให้ฟังกันครับ จริง ๆ มันเกิดขึ้นประมาณเกือบเดือนมาแล้วตั้งใจจะเขียนเล่าให้ฟังกันแต่พอดีไม่ค่อยว่าง ประกอบกับมีเรื่องอื่นแทรกเข้ามาเลยเขียนก่อน สำหรับวันนี้เป็นเรื่องนี้เกี่ยวกับการแปลส่วนติดต่อกับผู้ใช้ของโปรแกรมมาเป็นภาษาท้องถิ่นหรือที่พวกเราอาจรู้จักกันในชื่อ localization ครับ

ปัญหาที่เกิดกับ localization นี้ผมว่าพวกเราทุกคนน่าจะเจอกันมามากบ้างน้อยบ้างนะครับคือประเภทเปิดเมนูภาษาไทยขึ้นมาแล้วต้องนั่งคิดกลับว่าภาษาอังกฤษของมันคืออะไรหว่า จนบางคนเลือกใช้เมนูภาษาอังกฤษไปเลย แต่ผมว่าปัญหานี้เดี๋ยวนี้ดีขึ้นมากนะครับ และผมก็เข้าใจว่าทำไมสมัยก่อนบางครั้งการแปลออกมามันดูเพี้ยน ๆ เพราะตัวเองเคยมีประสบการณ์การทำ localization ให้กับไมโครซอฟท์เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว โดยโปรแกรมที่ผมมีส่วนทำก็คือโปรแกรมที่ชื่อว่า Microsoft Work ไม่ทราบว่ามีใครรู้จักบ้างไหมครับ... เงียบ สงสัยจะ(ไม่) ช้อต เจ้าโปรแกรมนี้พูดง่าย ๆ คือโปรแกรม Microsoft Office ชุดเล็ก คือมันจะมีโปรแกรมพวก Word Processor และ Spread Sheet อะไรเหล่านี้ แต่แน่นอนครับความสามารถของมันสู้ Microsoft Office ไม่ได้แน่ ซึ่งเข้าใจว่าโปรแกรมนี้มันไม่ประสบความสำเร็จนะครับ เพราะผมว่ามันทับซ้อนกับ Microsoft Office (หวังว่ามันคงไม่ได้เจ๊งเพราะผมไปทำ localization ให้นะ) และจากการทำ localization โปรแกรมนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมการแปลมันถึงเพี้ยน เพราะจากประสบการณ์ที่ผมทำมาก็คือ ผมจะได้รายการคำศัพท์มาแล้วก็นั่งแปลไป โดยบางครั้งก็ไม่รู้ว่าไอ้คำศัพท์นี้มันจะอยู่ในเมนูไหนหรือโปรแกรมอะไร ซึ่งการทำอย่างนี้มีโอกาสผิดพลาดสูงนะครับ เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ต้องใช้ความหมายไม่ใช่คำแปล คือมันต้องรู้บริบทรอบข้างของคำศัพท์นั้นด้วยถึงจะใช้คำได้ถูกต้อง แต่คิดว่าปัจจุบันนี้ไมโครซอฟท์คงเข้าใจปัญหานี้มากขึ้นแล้วแหละครับ เพราะเท่าที่ลองใช้เมนูภาษาไทยดูก็รู้สึกว่าดีขึ้นมาก 

กลับมาเรื่องที่ผมเจอดีกว่า คือเมื่อเดือนก่อนผมได้ใช้โปรแกรมเช็คอินยอดนิยมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่โปรแกรมหนึ่ง คือโปรแกรม Foursquare ปกติผมจะใช้แค่เช็คอินตำแหน่งที่ผมอยู่เท่านั้น แต่วันนั้นผมพาลูกไปเรียนฟุตบอลและก็ถ่ายรูปเขาก็เลยเช็คอินแล้วก็แนบรูปของเขาไปด้วย แต่บังเอิญตอนเช็คอินผมลืมให้มันส่งข้อมูลไปที่ Facebook และ Twitter ด้วยก็เลยต้องมาทำตอนหลัง และเมื่อผมเข้ามาผมก็เจอหน้าจอนี้ครับ  

เห็นปุ่มไปรษณีย์ไหมครับ พวกเราคิดว่ามันคือปุ่มอะไรครับ .... ใช่แล้วครับมันคือปุ่ม Post บอกตามตรงว่าตอนแรกที่ผมเห็นปุ่มนี้ผมนั่งอี้งอยู่พักหนึ่ง เพราะนึกไม่ออกว่าปุ่มนี้มันคืออะไร เกือบไม่กล้ากดแล้วครับ เพราะกลัวมันจะเอาข้อความผมไปส่งตู้ไปรษณีย์ :) ถึงแม้ผมจะมีความเข้าใจเรื่อง localization อยู่บ้าง แต่พอเห็นอันนี้เข้าแล้วก็อดขำและประหลาดใจไม่ได้ คือประการแรกผมมองว่าโปรแกรมอย่าง Foursquare นี่ ไม่ใช่โปรแกรมใหญ่นะครับ ดูมันมีหน้าจอหลัก ๆ ไม่กี่หน้าจอเอง ดังนั้นไม่น่าพลาด และคำว่า Post ในภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับโปรแกรมนี้ มันก็ไม่น่าจะสื่อถึงอะไรได้อย่างอื่นนอกจากการโพสต์ข้อมูล แต่คนแปลกลับเลือกใช้คำว่าไปรษณีย์ ซึ่งในการใช้งานของคนไทยเรามักจะนึกถึงแต่การส่งจดหมายหรือพัสดุ จะว่าใช้ Google Translate แปลแทนจ้างคนแปลก็ไม่น่าใช่ เพราะผมลองใช้ Google Translate ลองแปลคำว่า Post ดูมันก็ใช้คำว่าโพสต์

ยังไม่พอครับคราวนี้กับ Apple บ้าง อันนี้เพิ่งเจอเมื่อสักสัปดาห์ก่อน คือผมสอนลูกสมัคร Apple ID อันนี้เสียดายไม่ได้จับหน้าจอไว้ และพยายามเข้าไปที่หน้าจอนั้นอีกก็เข้าไม่ได้ รู้สึกว่ามันจะขึ้นมาเฉพาะตอนเราสมัคร Apple ID ใหม่ เอาเป็นว่าเราให้ฟังแบบแห้ง ๆ แล้วกันนะครับ คือหลังจากเราป้อนข้อมูลไปมันจะมีปุ่มขึ้นมาปุ่มหนึ่งครับปุ่มนั้นมีคำว่าบทวิจารณ์ ซึ่งพอเรา (ผมกับลูก) เจอปุ่มนี้เข้าก็มองหน้ากันไปมาว่ามันคืออะไร มันจะให้เราวิจารณ์อะไร สุดท้ายก็นึกออกว่ามันหมายถึงปุ่ม Review ซึ่งตรงนี้คำว่า Review ควรจะหมายถึงการตรวจทานมากกว่านะครับ เจอแบบนี้สงสัยคงต้องใช้เมนูภาษาอังกฤษไปตลอดครับ แต่คิดอีกทีก็เป็นการฝึกสมองดีเหมือนกันนะครับ

ผมว่าหลายคนมีความเข้าใจผิดว่าคำศัพท์ในภาษาอังกฤษนี่เราจะแปลได้แบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น  แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่นะครับ ศัพท์ในภาษาอังกฤษนี่มันมีลักษณะเป็นความหมายมากกว่า คำ ๆ หนึ่งอยู่ในบริบทหนึ่งมันจะหมายถึงอย่างหนึ่ง อีกบริบทหนึ่งอาจจะหมายถึงอีกอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้แปลก็ควรจะมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะแปลในระดับหนึ่งด้วย ผมมีประสบการณ์การอ่านบทความภาษาไทยบทความหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว และยังติดใจมาจนถึงทุกวันนี้ บทความนั้นเป็นบทความทางคณิตศาสตร์ และคนแปลได้ใช้คำหนึ่งครับคำนั้นคือ ผลิตภัณฑ์คาร์ทีเชียน เดาได้ไหมครับว่าเขาแปลมาจากคำว่าอะไร ใครที่จบคณิตศาสตร์มาอาจตอบได้ ครับใช่แล้ว Cartesian Product ซึ่งในทางคณิตศาสตร์คำที่ใช้กันคือผลคูณคาร์ทีเชียน แต่จริง ๆ ก็คงโทษคนแปลไม่ได้นะครับ เพราะเมื่อสิบกว่าปีก่อนคนที่ทำงานด้านแปลเก่ง ๆ ในประเทศเราอาจยังมีน้อย ยิ่งไปกว่านั้นผมลองใช้ Google Translate ดู มันก็แปลว่า ผลิตภัณฑ์ Cartesian ครับ

ที่เล่ามาให้ฟังทั้งหมดนี่ก็ไม่มีเจตนาจะไปตำหนิหรือติเตียนใครนะครับ แค่อยากจะเล่าให้ฟังแล้วก็ให้ระมัดระวังกันเวลาจะแปลหรือเขียนบทความอะไร แต่สุดท้้ายแล้วไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันจะย้อนมาเข้าตัวหรือเปล่า เพราะตัวผมเองมักจะจู้จี้กับนักศึกษา (ที่หลงผิดมาทำงานด้วย) ในที่ปรึกษา หรือนักศึกษา (ที่โชคร้าย) ได้ผมเป็นกรรมการสอบ ให้ระมัดระวังเรื่องการเขียน และการใช้คำ พอเขามาอ่านเรื่องนี้เข้าอาจย้อนว่าโห.... อาจารย์จะเอาอะไรกับพวกผม (หนู) นักหนา ดูอย่างโปรแกรมที่คนใช้กันเกือบทั้งโลกอย่าง Foursquare หรือ Apple สิ เขายังทำแบบนี้เลย....

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เรามาน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงมาปฏิบัติกันเถอะครับ

ในวาระที่วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่านได้เวียนมาครบอีกวาระหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายพระพร ขอพระองค์จงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ เป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยไปชั่วกาลนาน และข้าพระพุทธเจ้าขอปฏิญาณว่าข้าพระพุทธเจ้าจะทำความดีถวายแด่พระองค์ท่าน ด้วยการปฏิบัติตัวเป็นพลเมืองที่ดีเคารพกฏหมายของบ้านเมือง และจะปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าให้ดีที่สุด และจะน้อมนำพระราชดำรัสเรื่องความปราถนาดีต่อกันมาใช้ โดยข้าพเจ้าจะมีความเมตตาให้กับผู้อื่นทั้งที่เห็นด้วยหรือเห็นต่างจากข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไม่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติขาดความสามัคคี ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ


วันนี้แน่นอนครับจะเขียนบล็อกเรื่องอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระองค์ท่าน ซึ่งวันนี้ของแต่ละปีผมจะพยายามหาโอกาสมาเขียนบล็อกให้ได้ไม่ว่าจะไม่ว่างอย่างไร วันนี่ก็นั่งทำงานออกข้อสอบรีวิวบทความวิชาการมาตั้งแต่เช้า เดี๋ยวพอเขียนบล็อกเสร็จก็จะต้องกลับไปออกข้อสอบต่อ

สำหรับบล็อกผมเรื่องนี้ในทุกปีผมก็จะเริ่มด้วยการถวายพระพรและปฏิญาณตนทำหน้าที่เป็นพลเมืองที่ดี ซึ่งผมมองว่าถ้าทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดีแค่นี้ประเทศชาติก็น่าจะสงบสุขและก้าวหน้าไปได้อย่างดี แต่ในปีนี้พระองค์ท่านมีพระราชดำรัสเรื่องความปราถนาดีต่อกันและความสามัคคี ที่จะทำให้เกิดความพร้อมเพรียง ผมก็เลยเพิ่มคำปฏิญาณนี้เข้าไปด้วย และก็อยากเชิญชวนพวกเราน้อมนำพระราชดำรัสนี้มาใช้กันเถอะครับ

วันนี้ถ้าใครที่ได้ติดตามบรรยากาศของงานพระราชพิธีมาตั้งแต่เช้าคงจะเห็นว่าเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขความตื้นตัน ผมจึงอยากจะให้พวกเราจำบรรยากาศนี้ไว้ครับ บรรยากาศที่เรามีจุดมุ่งหมายร่วมกันเราไม่คิดถึงเรื่องความขัดแย้งใด ๆ ซึ่งมันก็ทำให้เกิดความพร้อมเพรียงอย่างที่พระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้ ซึ่งถ้าเราจะรักษาเรื่องนี้ไว้ได้ ผมว่าเราต้องเปิดใจให้กว้างอย่ามีอคติแบ่งสีแบ่งฝ่ายกันมากเกินไปจนมองคนที่เราคิดว่าอยู่ตรงข้ามกับเราเลวไปหมด หรือได้รับฟังข่าวอะไรมาถ้าเป็นข่าวไม่ดีเกี่ยวกับคนที่เราไม่ชอบแล้วก็อย่าเพิ่งปักใจเชื่อลองคิดด้วยเหตุด้วยผล หรือหาข้อมูลอื่นมาประกอบ เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับอีกฝ่ายแต่ลองเปิดใจรับฟังและถกกันอย่างมีเหตุผล

ยิ่งในสมัยที่เราใช้เครือข่ายสังคมกันอย่างนี้ผมว่าเรายิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะสิ่งที่เราสื่อออกไปมันกระจายออกไปได้กว้างมาก และจากการที่เคยสอนวิชาคอมพิวเตอร์เพื่อการสื่อสาร ต้องบอกว่าข้อจำกัดประการหนึ่งของการสื่อสารแบบนี้คือบางครั้งมันทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย เพราะบางทีมันขาดองค์ประกอบเช่นน้ำเสียงหรือสีหน้าท่าทางที่จะมีในตอนที่เราพูดคุยกันแบบเห็นหน้า ยิ่งไปกว่านั้นตามทฤษฎีแล้วข้อเตือนใจประการหนึ่งของการสื่อสารแบบนี้ก็คือเราไม่ควรส่งข้อความที่จะสร้างความขุ่นเคื่องที่เรียกว่า flaming message แต่ตอนนี้ดูเหมือนกับว่าหลายคนสามารถที่จะด่าใครก็ได้ด้วยข้อความที่รุนแรง เช่นโง่ หรือบางทีก็เสียดสีประชดประชันฝ่ายตรงข้าม ซึ่งข้อความเหล่านี้แหละที่อาจสร้างความขัดแย้งไม่จบไม่สิ้น อันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องการเมืองนะครับ แค่เรื่องเชียร์ฟุตบอลคนละทีมนี่แหละ บางทีก็โพสต์ว่ากันเอง ว่าทีมตรงข้ามสาดเสียเทเสีย ผมไม่ได้บอกว่าเราจะแสดงความเห็นที่ขัดแย้งหรือถกเถียงไม่ได้นะครับ แต่ที่อยากจะบอกก็คือก่อนโพสต์ข้อความเหล่านี้ เรามีเวลาคิดก่อนนะครับ เรามีเวลาที่จะเลือกใช้ถ้อยคำ หรือถ้าเห็นว่าตอนนั้นเรายังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ปกติก็น่าจะเลือกที่จะไม่โพสต์อะไรไว้ก่อน ซึ่งถ้าทำอย่างนี้ได้ผมว่ามันจะช่วยลดความขัดแย้งไปเยอะ

อีกเรื่องก็คือก่อนที่เราจะโพสต์เห็นด้วยหรือสนับสนุนการกระทำใดให้คิดก่อนว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรไหม ยกตัวอย่างเช่นเรื่องนักบินที่ไล่ผู้โดยสารคนหนึ่งลงจากเครื่องบิน เพราะว่ามีคดีเรื่องหมิ่นสถาบันที่และก็รู้สึกว่ามีชาวเครือข่ายสังคมไปยกย่องนักบินคนดังกล่าวราวกับเป็นวีรบุรุษ ถึงตรงนี้ต้องบอกก่อนว่าผมรักในหลวงนะครับ ใครที่ติดตามการโพสต์ของผมมาตลอดก็คงทราบดี และผมก็ไม่เข้าใจด้วยว่าคนที่ไม่รักพระองค์ท่านนี่เขามีเหตุผลอะไร แต่ที่ผมอยากจะบอกก็คือให้ลองคิดว่าจริง ๆ แล้วนักบินคนนั้นเขาทำถูกหรือเปล่า หน้าที่ของเขาคืออะไร เรื่องการจัดการมันก็มีกระบวนการตามกฏหมายอยู่แล้ว ถ้าเราสนับสนุนเรื่องอะไรแบบนี้ก็คงไม่ต่างจากการเรียกร้องให้มีคนออกมาเอาปืนไปไล่ยิงพิพากษาคนที่เราคิดว่าชั่วโดยไม่ต้องพึ่งตำรวจหรือศาล หรือถ้าเอาให้ใกล้ตัวหน่อยอย่างผมเป็นอาจารย์ ถ้าผมมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ไม่รักในหลวง แต่เขาตั้งใจเรียนทำข้อสอบได้ ผมควรทำยังไงกับเขาดี ผมควรจะไล่เขาออกจากห้องเรียน หรือแกล้งตรวจข้อสอบเขาให้ตกในวิชาผมอย่างนั้นหรือ อีกอย่างจะให้คนคิดเหมือนเราทุกคนคงไม่ได้ (ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาคิดอย่างนั้นก็ตาม) ให้คิดว่าขนาดพระพุทธเจ้ายังก็ถูกนินทาว่ากล่าวได้ก็น่าจะเข้าใจเขามากขึ้น ตราบใดที่เขายังไม่ได้ทำผิดกฏหมายหรือยังไม่ได้ถูกตัดสินว่าทำผิดกฏหมายเราก็ไม่มีสิทธิที่จะไปจำกัดสิทธิของเขา และถ้าเขาทำผิดกฏหมายจริงและเขาหลบหนีหน้าที่ของเราก็คือแจ้งผู้ที่มีหน้าที่ไม่ใช่ไปไล่ยิงหรือไล่ชกเขา

เรามาเริ่มต้นที่ตัวเรากันก่อนเถอะครับ น้อมนำพระราชดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสกับพวกเราในวันนี้มาทำให้ได้ เพื่อที่พ่อหลวงของเราจะได้มีความสุขที่เห็นพสกนิกรของพระองค์ท่านที่ถึงแม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่ก็มีความพร้อมเพรียงที่จะร่วมมือร่วมใจกันผลักดันให้ประเทศของเราเดินหน้าต่อไปได้

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผู้บริหารบ้านเมืองของเราจะยอมรับผิดกันบ้างได้ไหม?

วันนี้ขอเขียนเรื่องฟุตซอลชิงแชมป์โลกสักวันแล้วกันนะครับ ในขณะที่เขียนนี่ก็กำลังรอลุ้นว่าไทยจะผ่านเข้ารอบเป็นหนึ่งในสี่ของอันดับสามที่ดีที่สุดหรือเปล่า ซึ่งบอกตรง ๆ ว่าต้องลุ้นเหนื่อยมากครับ ต้องให้ทีมนั้นชนะทีมโน้นกี่ประตูขึ้นไป ปวดหัวจริง ๆ ครับเรื่องต้องยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจเนี่ย  แต่ที่จะพูดถึงไม่ใช่เรื่องการแข่งขันครับ แต่จะพูดถึงข่าวที่ได้ฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจเลย ก็คือข่าวที่ผู้ว่ากทม.จะฟ้องฟีฟ่าเรื่องที่ไม่ยอมอนุมัติให้ใช้สนามบางกอกฟุตซอลอารีน่าในการแข่งขันฟุตซอลชิงแชมป์โลกที่เราเป็นเจ้าภาพอยู่ตอนนี้ เหตุผลที่ผู้ว่าจะฟ้องก็คือการกระทำของฟีฟ่าทำให้กทม.เสียชื่อ ผมฟังแล้วก็รู้สึกประหลาดใจมาก จริง ๆ เราเสียชื่อมาตั้งแต่สนามสร้างเสร็จไม่ทันวันเปิดการแข่งขันแล้วไม่ใช่เพิ่งจะมาเสียชื่อตอนนี้

ผมอยากถามว่าการที่ผู้ว่าจะฟ้องนี่จริง ๆ แล้วจะปกป้องชื่อเสียงกทม.หรือชื่อเสียงตัวเองกันแน่ เพราะตอนนี้รู้สึกว่าตัวผู้ว่าตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก แต่ในส่วนนี้ขอออกตัวให้ผู้ว่าหน่อยแล้วกันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้โทษผู้ว่าคนเดียวไม่ได้นะครับ ต้องโทษผู้บริหารที่เกี่ยวข้องทุกคนตั้งแต่รัฐบาลประชาธิปัตย์ รัฐบาลนี้ และตัวนายกสมาคมฟุตบอลด้วย แต่ที่ผู้ว่าโดนหนักก็เพราะเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างสนามโดยตรง และจากที่สื่อนำเสนอก็คือมีการมาโหมเร่งงานกันเมื่อเหลือเวลาประมาณสองสามเดือนสุดท้ายก่อนจะแข่ง

ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นตามความคิดของผมคือผู้บริหารเหล่านี้ติดการทำงานแบบไทย ๆ และเล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป ที่ว่าติดการทำงานแบบไทย ๆ ก็คือได้รับงานมาล่วงหน้าแต่แทนที่จะวางแผนเร่งลงมือทำก็มักจะทอดเวลาไว้จนใกล้จะถึงเส้นตายแล้วถึงจะเร่งลงมือทำ หรือตามสำนวนที่เรียกว่ารอจนไฟลนก้นนั่นแหละครับ เหตุการณ์ที่เราเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาหลายรายการก่อนหน้าก็เป็นแบบนี้นะครับ คือรู้ว่าต้องเป็นเจ้าภาพมาล่วงหน้าหลายปี แต่กว่าจะลงมือทำก็รอไว้จนใกล้จะถึงกำหนด ซึ่งที่ผ่านมาเราโชคดีครับที่เราสามารถสร้างสนามอะไรต่ออะไรให้เสร็จก่อนหน้าการแข่งขันได้ประมาณสักไม่กี่เดือนมั้งครับ ที่เราทำได้เพราะเราโชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์วิกฤตอย่างมหาอุทกภัยในปีที่แล้ว  แต่คราวนี้เราไม่โชคดีอย่างนั้น ดังนั้นจากเหตุการณ์นี้ถ้าประเทศเรายังมีโอกาสได้เป็นเจ้าภาพอะไรอีก (ซึ่งผมว่าคงยากแล้วหละ) ช่วยคิดใหม่ทำใหม่ให้เหมือนประเทศที่เขามีการวางแผนที่ดีหน่อยนะครับ เช่นอยากเห็นสนามแข่งเสร็จก่อนหน้าการแข่งขันสักครึ่งปีอะไรอย่างนี้ และอีกอย่างก็คือช่วยดูหน่อยนะครับว่าเรื่องอะไรมันเป็นเรื่องของประเทศชาติก็พักเรื่องส่วนตัวไว้ มาระดมแรงระดมความคิดช่วยกันให้ผ่านไปให้ได้ ไม่ใช่ขัดแข้งขัดขากันจนมันเกิดความเสียหายจนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วแบบนี้

 กลับมาที่เรื่องที่ผู้ว่าจะฟ้องผมว่าอยากให้คิดใหม่นะ ผมว่าฟีฟ่าก็มีเหตุผลที่เหตุผลที่จะไม่รับนะครับ ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นฟีฟ่าตอนมาดูเมื่อเดือนสองเดือนที่แล้วยังเป็นโครงอยู่เลยอะไรอะไรก็ไม่เสร็จสักอย่าง แป๊บเดียวเสร็จเหมือนเนรมิต ลองย้อนถามตัวเราเองดูว่าเป็นเราเราจะกล้าใช้ไหม ถ้าใช้ไปแล้วมันเกิดถล่มเกิดพังขึ้นมามันจะเสียหายกันมากกว่านี้นะครับ หรือถ้าฟีฟ่าให้ผ่านด้านความปลอดภัยได้ มันก็อาจมีปัญหาอื่นไม่ว่าจะเป็นปัญหาสภาพแวดล้อม การดำเนินการ ลองคิดดูสนามเพิ่งเสร็จยังไม่ได้ทดสอบเต็มที่เลย สมมติถ้าใช้ตอนแข่งเกิดเกิดปัญหาที่ไม่คาดคิดขึ้นจะทำยังไง เปรียบเหมือนซอฟต์แวร์ที่เร่งพัฒนาจนเสร็จ ดูภาพรวมอาจดูดีมีส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่สวยงาม แต่พอใช้ไปอาจเจอบั๊กก็ได้ เพราะไม่ได้มีการทดสอบซอฟต์แวร์เต็มที่ทั้งระบบ สรุปก็คือคนพวกนี้เขาทำงานกันแบบมืออาชีพครับ เขาไม่มานั่งมัวรักษาหน้าหรือเกรงใจใครหรอกถ้าคิดว่ามันอาจทำให้เกิดปัญหา อีกอย่างเขาอาจไม่เข้าใจวิธีทำงานแบบผักชีโรยหน้าของไทย และเขาอาจไม่ชอบกินผักชีก็ได้ :)

ถ้าสร้างเหมือนเนรมิตแบบนี้อย่าว่าแต่ฟีฟ่าเลย แม้แต่ผมเองผมยังถามตัวเองเลยว่าผมจะกล้าเข้าไปใช้สนามนี้ไหม เพราะมันสร้างกันเร็วมาก บอกตามตรงตอนที่รู้ว่าเราเป็นเจ้าภาพและจะมีการสร้างสนามที่หนอกจอก ผมก็วางแผนไว้แล้วว่าจะพาลูก ๆ ไปดูฟุตซอลสักนัดหนึ่ง เพราะสนามมันอยู่ไม่ไกลจากบ้านและอยากให้ลูก ๆ ได้สัมผัสบรรยากาศของงานระดับโลก แต่ตอนนี้ต่อให้ฟีฟ่าอนุมัติผมยังลังเลที่จะไปเลยครับ

ดังนั้นผมคิดว่าฟีฟ่าทำถูกแล้วครับที่ไม่รับ แต่ถ้าฟีฟ่าจะผิดก็ผิดอยู่อย่างเดียวคือไม่ยอมใช้เทคโนโลยีมาช่วยตัดสินฟุตบอลเสียที เพราะทำให้หงส์แดงของผมเสียประโยชน์มากมาย... เฮ้ยไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้...   คือที่ผมว่าฟีฟ่าทำผิดก็คือไม่รีบบอกมาตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ใช้ เพราะในความคิดของผมผมว่าฟีฟ่าจะไม่ใช้มาตั้งแต่ต้นแล้วแต่อาจติดเชื้อพี่ไทยเข้าไปหน่อยก็เลยออกลูกเกรงใจรักษาหน้าเจ้าภาพไว้ แต่ผมว่าถ้าฟีฟ่าฟันธงมาเลยตั้งแต่มาตรวจรอบแรกว่าไม่ใช้ เราจะได้ไม่ต้องเร่งสร้าง อาจจะเลิกสร้างไปเลยจะได้ประหยัดงบไป แต่ถ้ากลัวเป็นแบบโครงการโฮปเวล (โฮปเลส) ก็อาจสร้างต่อแต่ทำให้มันมั่นใจว่ามันแข็งแรง แล้วก็ใช้แข่งฟุตซอลในรายการอื่น ๆ ต่อไป


พูดถึงการสร้างแบบเนรมิตแบบนี้ทำให้ผมคิดถึงนิทานที่ผมเคยอ่านตอนเด็ก ๆ ได้เรื่องหนึ่งครับ เรื่องก็มีอยู่ว่ามีชาวไทยคนหนึ่ง ไปรับเพื่อนชาวต่างชาติสองคนคนหนึ่งเป็นคนจีนอีกคนเป็นอเมริกัน ซึ่งทั้งสองเพิ่งเคยมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก พอทั้งสองขึ้นรถได้ก็เริ่มคุยโม้โอ้อวดกันว่าจีนกับอเมริกานี่ใครเป็นสุดยอดของการก่อสร้าง คนจีนก็ยกตัวอย่างกำแพงเมืองจีนว่าสร้างในสมัยที่ไม่มีเทคโนโลยีอะไรเลย  ใช้เวลาไม่กี่ปีก็เสร็จ คนอเมริกันก็บอกว่าอเมริกันสิสุดยอดกว่า อย่างเทพีสันติภาพนี่คนอเมริกันใช้เวลาสร้างสองสามเดือนเอง คือจริง ๆ เจ้าสองคนนี่โม้นะครับ เพราะจริง ๆ พวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริง ๆ มันใช้เวลาสร้างเท่าไรกันแน่  ส่วนคนไทยก็เงียบไม่พูดอะไร ทำให้เจ้าสองคนนี่นึกดูถูกว่าคนไทยคงไม่มีความสามารถก่อสร้างอะไรเลย จนรถแล่นผ่านมาถึงอนุเสาวรีย์ชัย ฯ เจ้าคนอเมริกันก็ถามว่าเฮ้ยนี่มันอะไรน่ะประเทศนายก็มีสิ่งก่อสร้างดี ๆ เหมือนกันนี่ คนจีนก็ถามว่าสร้างนานไหม คนไทยก็ตอบแบบนิ่ง ๆ ว่า เรียกว่าอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้ตอนขามามันยังไม่มีไอ้นี่อยู่เลย...

ออกนอกเรื่องไปอีกแล้วสรุปก็คือผมอยากจะให้พวกผู้บริหารหรือแม้แต่ตัวพวกเราเองยอมรับในความผิดพลาด แล้วก็แก้ไขแทนที่จะเที่ยวไปโทษคนโน้นคนนี้ก่อน อย่างผมเองเป็นอาจารย์ก็มีบางครั้งที่ผมพูดผิดแต่เมื่อผิดผมก็บอกว่าผิดและก็ขอแก้ไข ซึ่งผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นการเสียหน้าอะไร อาจารย์ก็คนก็ผิดได้ (วันนี้ก็เพิ่งพูดผิดไปต้องรีบสั่งให้นักเรียนลบที่พูดออกจากหน่วยความจำ) แต่หลัง ๆ มานี่ผมรู้สึกว่าผู้บริหารของเรากลัวเสียหน้ามากกว่าอย่างอื่น นอกจากกรณีนี้ที่โยนกันไปโยนกันมาและกำลังจะโยนต่อไปให้ฟีฟ่าแล้ว อีกตัวอย่างก็คือเครื่อง GT200 ครับ ทำไมยังมีคนพูดอยู่ได้ว่ามันใช้งานได้ ทั้งที่ไม่สามารถหาหลักการทางวิทยาศาสตร์อะไรมารองรับได้เลย นักวิทยาศาสตร์ในต่างประเทศและในประเทศก็พิสูจน์แล้วว่ามันทำงานไม่ได้ มันจะเสียหน้าอะไรนักหนาถ้าจะออกมายอมรับความผิดพลาด มันไม่ใช่ประเทศเราประเทศเดียวเสียหน่อยที่ีโดนหลอก ประเทศที่เขาเจริญกว่าเราก็ยังโดน

อ้าวจากเรื่องสนามฟุตซอลมาออกเรื่อง GT200 ได้ยังไงนี่ จบดีกว่าเดี๋ยวจะลากไปเรื่องอื่นอีก แล้วบล็อกจะพาลถูกปิดเอา...